ความคิดเห็นที่ 1 ก็เพราะความตายเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆหนะซีครับ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องตายกันอยู่แล้ว ผมว่าคนเราไม่ได้กลัวตายหรอก เห็นศพก็เหมือนเห็นคนนอนนิ่งๆ ที่เรากลัว คือกลัวการไม่ได้อยู่เพื่อเสพกิเลสตามใจเรามากกว่า เรารู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของนั่น เคยทำนี่ เราก็อยากอยู่ครอบครอง อยู่ทำต่อ ถ้าเราละความอยากมี อยากเป็นเจ้าของ เสียได้บ้าง การอยู่หรือ การตายก็ไม่แตกต่างกันนักในสายตาของเราไปเอง มีข้อสังเกตว่า คนยิ่งมีความสุขกับชีวิต และมีสมบัติมากเท่าไร ก็กลัวตายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 23:58:15

ความคิดเห็นที่ 2 พิจารณาด้วยปัญญาให้เห็นตามความเป็นจริง แล้วยอมรับมัน อย่าพยายามฝืนหรือขัดขืนไม่ชอบมัน......ทําบ่อยๆให้เคยชิน มองให้เห็นว่าเป็นของธรรมดาๆ เมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีตาย และก็ไม่มีใครในโลกที่จะหนีตวามตายไปได้ ไม่ช้าก็เร็ว หมั่นสร้างแต่บุญกุศล พยายามงดเว้นจากอกุศลทั้งปวงแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม คนที่สร้างบุญกุศลเอาไว้มากๆย่อมไม่กลัวความตาย จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:07:39

ความคิดเห็นที่ 3 การฝันเห็นศพ อาจเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่มาเตือนคุณว่า หากมีกิจการอันใด ก็เร่งทำเสีย อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เราผัดไปในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่ำได้ทำหรือเปล่า ควรใช้ประโยชน์จากการกลัวตายแบบนี้ อย่ากลัวแล้วอยู่เฉยๆ จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:08:00

ความคิดเห็นที่ 4 ทำอย่างไรให้คิดว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา              คือช่วงนี้จิตตกมากค่ะ กลัวว่าตัวเองจะตาย ฝันเห็นดลงศพ        งานศพบ่อยมาก ทำอย่างไรให้คิดว่าความตายนี้เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ จากคุณ : แม่ลูก1     เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 55 23:23:36              แนะนำการพิจารณา ดังนี้ :-              1. พิจารณาพระสูตรชื่อว่า ฐานสูตร บ่อยๆ เนืองๆ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=1649&Z=1741&bgc=8              2. เมื่อไปงานศพ ก็พิจารณาว่า                   สรีระที่มีวิญญาณนี้ เหมือนสรีระที่ตายแล้วนั่น                   สรีระที่ตายแล้วนั้น เหมือนสรีระที่มีวิญญาณนี้              นี้ว่าโดยนัยแห่งพระสูตร ชื่อว่า วิชยสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=7571&Z=7599&bgc=5              3. พิจารณาพระพุทธพจน์ ดังนี้ว่า                   [๙๖๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า                   ดูกรอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ชราธรรมย่อมมีในความเป็นหนุ่มสาว                   พยาธิธรรมย่อมมีในความไม่มีโรค มรณธรรมย่อมมีในชีวิต                   ผิวพรรณไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเมื่อก่อน สรีระก็หย่อนย่นเป็นเกลียว                   กายก็ค้อมไปข้างหน้า และความแปรปรวนแห่งอินทรีย์                   คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ก็ปรากฏอยู่.              นี้ว่าโดยนัยแห่งพระสูตร ชื่อว่า ชราสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=5669&Z=5692&bgc=6              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔              อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต              ฐานสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=1649&Z=1741&bgc=8              ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=57&bgc=8              วิชยสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=7571&Z=7599&bgc=5              ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=312&bgc=5              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑              สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค              ชราสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=5669&Z=5692&bgc=6              ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=962&bgc=6              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙              ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑              อุทยชาดก [บางส่วน]              [๑๕๓๕] หมู่ชนเป็นอันมากในโลกนี้ กลัวอะไรเล่าจึงไม่ไปเทวโลกกัน              ก็หนทางไปเทวโลกบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้หลายด้าน              ดูกรเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า              บุคคลตั้งอยู่ในหนทางไหน จึงจะไม่กลัวปรโลก?              [๑๕๓๖] บุคคลผู้ตั้งวาจา และใจไว้โดยชอบ ไม่กระทำบาปด้วยกาย              อยู่ครองเรือนอันมีข้าวและน้ำมาก เป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน              จำแนกแจกทาน รู้ความประสงค์ ชอบสงเคราะห์ มีถ้อยคำกลมกล่อม              อ่อนหวาน ผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรมดังกล่าวมานี้ ไม่พึงกลัวปรโลก. - - - - - - - - - - - ควรศึกษาทั้งชาดก :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=27&A=6147&Z=6212&bgc=mintcream                   ศึกษาอรรถกถาชาดกนี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1526&bgc=mintcream              หมวดหนังสือธรรมะ              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม     http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม                สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                   หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:13:36

ความคิดเห็นที่ 5 อย่ากลัว อย่ากังวลไปเลยครับ ยังไง ๆ  คุณก็ต้องตาย  แต่ตายแล้วจะไปไหน ขอให้ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าก่อน นะครับ จากคุณ : กระบี่นางฟ้า เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:19:30

ความคิดเห็นที่ 6 เจริญมรณานุสติไว้เสมอสิครับ มีสติอยู่เสมอเฝ้าดู เฝ้าสังเกตุความไม่เที่ยงของจิต ของกายอยู่เรื่อยๆจนเห็นไตรลักษณ์ ทำทุกนาทีของชีวิตให้ดีให้ระลึกไว้ว่าเราตายได้ทุกเมื่อ คนที่เรารัก เราเกลียดก็ตายได้ทุกเมื่อเช่นกัน ถ้าเรามองให้เห็นว่ากายนี้คือทุกข์ จิตนี้ก็คือทุกข์ เราจะคลายความยึดมั่นถือมั่นในกายในใจนี้ลงเรื่อยๆ เราเกิดและตายกันมาไม่รู้เท่าไรแล้ว มาศึกษาและปฏิบัติธรรมเร่งความเพียรให้หลุดพ้นจากวงจรแห่งความทุกข์นี้เถอะครับ จากคุณ : Yamada taro เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:23:58

ความคิดเห็นที่ 7 กลัวตายมากจาก การกลัวการสูญเสีย ยังยึดมั่นถือมั่น ความไม่รู้ว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร พิจารณากายนี้เกิดมามันไม่ใช่ของเรา ตายไปมันก็ไม่ใช่ ของเรา แม้แต่ร่างกายนี้มันก็ไม่ใช่ของเรายังจะมีอะไร ที่เรายึดถือว่าเป็นของเราอีกเล่า ส่วนการตายแล้วจะไปไหน จะเป็นอย่างไร ลองศึกษาพระธรรม ลองปฏิบัติดูครับ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ท่านได้ฝันเห็นศพ ถือเป็นลางดีที่ท่านจะ นำพาธรรมะเข้าสู่ตัวเอง จากคุณ : EspressoFx เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:56:38

ความคิดเห็นที่ 8 ฝันเห็นโลงศพ ฝันเห็นคนตาย ไม่ต้องจิตตก ไม่ต้องกังวลครับ ไม่มีอะไร รับรองได้ . . . . . . . .. . . . . . . รับรองได้ว่าตายแน่ๆ ตายทุกคน ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าคนแก่ ไม่ว่าหญิง ไม่ว่าชาย ไม่ว่าไม่หญิงไม่ชาย อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีคุณค่าหรือไม่เพียงไร จากคุณ : จันทร์สะท้อนเงา เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 00:57:27

ความคิดเห็นที่ 10 ขออนุญาตเกริ่น(นอกเรื่อง) ทำอย่างไรเรื่องการมีเซ็กส์ ถึงเป็นเรื่องธรรมดา? ทำอย่างไรถึงจัดการประหม่าในเวลาต้องเข้าประกวด,แข่งขัน ให้เป็นเรื่องธรรมดา? ทำอย่างไรเมื่อต้องทำข้อสอบไล่ ให้เป็นเรื่องธรรมดา? ฯลฯ ส่วนใหญ่มักตอบว่า "ฝึกซ้อมบ่อยๆ" หรือ "ทำกิจกรรมนั่นให้มาก" "อารมณ์เกินธรรมดา" จักค่อยๆลดลงจนเกือบเท่า "ธรรมดา" แล้วค่อยใช้สติสมาธิควบคุม สัมปชัญญะจัดลำดับสิ่งที่ต้องทำต่อไป ปัญหาคือ เราสามารถซ้อมตายได้หรือไม่? หมวดมรณานุสติ เป็นทางเลือกแรกๆ ก่อนลืมตาตื่นจากที่นอน ให้จินตนาการเสียก่อนลุกจากเตียง เช่นว่า เช้านี้ระหว่างเข้าห้องน้ำ คุณลื่นน้ำสบู่ในห้องน้ำศรีษะฟาดขอบโถชักโครกสิ้นใจ , เดินลงบันได เท้าเปียก ลื่นน้ำตกบันไดคอหักพับ หัวติดกับหน้าอก , กำลังเปิดประตูออกจากบ้าน มีรถเสียหลักพุ่งชนคุณอัดติดกำแพงบ้าน แต่คุณสำลักเลือกอยู่นานกว่าจะสิ้นใจตาย ฯลฯ พิจารณาตัวเอง ณ อารมณ์ที่สิ้นใจตาย ว่าคุณเอาบ่วงอะไรคล้องคอตนเองอยู่ นำกิจวัตรประจำวันคุณมาคิดเองครับ ว่ามีโอกาสตาย เพราะประมาทชั่วพริบตาเดียว ตรงไหนได้บ้าง จินตนาการเสร็จแล้ว ก็กำหนดลมหายใจ ทำอานาปานสติสักครู่ ลุกขึ้นสวดมนต์ไหว้พระ แล้วค่อยลงจากที่นอน --------------- ทางเลือกเสริม ที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านใช้เป็นกุศโลบาย คือ ไปนอนในโลงศพ (ยิ่งเป็นโลงผ่านการใช้งานมาแล้วยิ่งดี) หรือโลงต่อหลอกๆ ให้ลองเข้าไปนอนสมมติว่า "ตาย" เลือกได้ตามสะดวกครับ คนยิ่งกลัว(กลัวอะไรไม่รู้?) มักทำใจกันอยู่นานกว่าจะได้ลงไปนอน --------------- จริงๆการสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ(เจริญสติ) ถือเป็นการประคองจิตทางอ้อม "ไม่ให้จิตตก" นะครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 55 02:09:05 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:06:08

ความคิดเห็นที่ 11 เริ่มฝึกเจริญสติได้แล้วครับ จะได้อยู่กับปัจจุบัน ถ้ามีสติอยู่กับปัจจุบัน จะไม่ฟุ้งซ่านไปในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิด และอันที่จริง ไม่ว่าเราลืมตาขึ้นมาตอนเช้า  ไม่ว่ายังไง เราก็เจอแต่ปัจจุบันครับ อนาคตยังไม่เกิด แสดงว่าตอนนี้คุณยังไม่ตายครับ http://03.wimutti.net/pramote/books/newcomer_thai.pdf จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 02:38:48

ความคิดเห็นที่ 12 ถึงคุณ จขกท. เราไม่เคยกลัวตายเลยค่ะ เรารู้สึก "เฉยๆมาก" กับการตาย ^_^ แต่ที่เรากังวล คือ "คนที่เรารัก ตาย" อันนี้เราเคยเครียดมาแล้วช่วงหนึ่ง เราไม่มีทางทำใจได้แน่นอน หากคนที่เรารักต้องมาจากเราไปในวันหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือ คนรัก อย่าว่าแต่ตายเลย แค่พวกเขาเหล่านั้น เจ็บป่วย เราก็ทุกข์มากแล้ว --- ตอนนั้นเราไม่รู้จะทำยังไง เราชอบไล่อายุพ่อกับแม่ ท่านทั้งสองใกล้จะ 60 ปีแล้ว เราเริ่มคิดแล้วแหละว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ในการตอบแทนพระคุณบิดามารดา เมื่อก่อนเราเคยคิดว่า การไม่สร้างปัญหา การพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวที่สวยๆ คือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ตอนหลังเราว่า มันก็ยังไม่ดีที่สุด ถ้าเราไปคิดถึงแต่ วันตาย ของคนที่เรารัก เราจะเครียด พอเราเครียด โรคภัยต่างๆจะมา สิ่งที่เราอยากจะมอบให้พ่อกับแม่และทุกๆคนที่เรารัก ก็คือ "ความสบายใจ และ เสียงหัวเราะ" ค่ะ ^_^ แน่นอนว่า เพื่อนๆห้องศาสนาหลายๆคน คงจะแนะนำว่า น่าจะมอบธรรมทานให้พวกเขาเหล่านั้น แต่.. เราเคยลองทำดูแล้วค่ะ ที่บ้านเรา บางคนเขาก็ไม่รับจริงๆ >< เราไม่ชอบตอแยหรือไปยัดเยียดอะไรให้ใคร เราชอบนึกถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เกี่ยวกับ "ดอกบัว ๔ เหล่า" บางคน ฟังธรรมครั้งเดียวก็เข้าใจ บางคน ฟังเป็นสิบๆรอบก็ยังไม่เข้าใจ บางคนฟัง 2-3 รอบถึงจะเข้าใจ อีกทั้ง ตัวเราเองก็ไม่ใช่คนที่เก่งกาจมากเรื่องธรรมะ --' ตัวเราเองก็ยังต้องการให้คนมาสอนธรรมะเราอยู่ ดังนั้น สิ่งที่เราสามารถมอบให้พ่อกับแม่ได้ ก็คือ ธรรมะที่พ่อจะมอบให้ได้(แต่จริงๆพ่อกับแม่ก็ใฝ่ธรรมอยู่แล้ว --') และ ความสบายใจ เสียงหัวเราะ และสุขภาพจิตที่ดีค่ะ ^_^ ถ้าคนๆหนึ่งมีสุขภาพจิตที่ดี กินอาหารมีประโยชน์ สุขภาพกายมันก็จะดีไปด้วยเองแหละ (แต่ถ้าทำขนาดนี้สุขภาพกายยังไม่ดี ก็คงเป็นกรรมเก่าแล้วล่ะค่ะ --') --- มนุษย์เราเกิดมา เอาจริงๆนะ คนที่อยู่เกิน 100 ปีนี่ นับหัวได้เลย! ทั้งโลกอาจจะมีไม่ถึง 10,000 คนด้วยซ้ำ พวกเราส่วนใหญ่ก็มาตายกันช่วงราวๆ 70-80 ปีนี่แหละ มากๆหน่อยก็ 90 ปี จะเห็นได้ว่า แต่ละปีมันก็ช่างผ่านไปเร็วซะเหลือเกิน --' แล้วที่บอกว่า ช่วงอายุ 70-80 ปีถึงจะตายเนี่ย.. หมายถึง "ตาย" อย่างเดียวนะ แต่พวก "โรคภัยไข้เจ็บ" มันมาก่อนหน้านั้นอีก มันจะเริ่มมาตอนย่างเข้า 40 บางคนโชคดีหน่อยก็ไม่ป่วยเลย หรือไปป่วยตอน 60-70 ปีก็มี ดังนั้น.. จะเห็นได้ว่า ชีวิตคนๆหนึ่ง มันสั้น! ถ้าเรามัวแต่ไปคิดถึงวันตาย มัวแต่กลัวตาย มันก็ "เสียเวลาเปล่า" เราควรคิดถึงแต่ "ปัจจุบัน" ว่า ปัจจุบันเราทำดีที่สุดหรือยัง เราได้ทำในสิ่งที่อยากทำหรือยัง เราทำประโยชน์ให้กับใครหรือยัง แล้วเรา "ได้ทำในสิ่งที่ มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ" แล้วหรือยัง ??? --- เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องร้องไห้กับการจากไปของคนรักแล้ว เพราะเราเลิกคิดถึงอนาคตแล้ว เราเอาแค่ปัจจุบัน ทุกๆวันเราทำให้คนที่เรารักมีความสุข สุขภาพดี และสบายใจ ส่วนเรื่องการตายในอนาคต... การตายของคนรักในอนาคต ไม่ได้ทำให้เราทุกข์อีกต่อไป เพราะเราอยู่กับปัจจุบัน แต่.. การตายในอนาคต มันช่วยเตือนสติเรา ถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า... "การเกิดเป็นทุกข์" เวลาที่เรามีความสุข มันจะแถมความทุกข์มาด้วยเสมอ ยิ่งเรารักใครคนหนึ่งมากเท่าไหร่ ตอนที่เขาจากเราไป เราก็จะทุกข์มากเท่าๆกับที่เรารักเขา (นึกออกมะ ถ้าไม่รัก ก็ไม่ทุกข์) เวลาเราได้มือถือเครื่องแพงๆมา พอเราทำหล่นหาย เราก็ทุกข์มาก (แต่ถ้าเราซื้อเครื่องรุ่นเก่าราคาถูกๆ ตอนทำหายอาจไม่ทุกข์มากขนาดนี้) ตอนเราไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เราก็ดีใจ มีความสุขที่ได้มันมา แต่พอมันเริ่มเก่าและขาด เราก็เสียใจ ไม่อยากใส่ อยากซื้อใหม่ --- เราอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดี มีสติสัมปชัญญะ แล้วมันจะไม่ทุกข์ แต่การคิดถึงอนาคต ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน คือ มันช่วยเตือนสติให้เราพึงระลึกถึงความจริงของสรรพสิ่ง ได้แก่ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครหนีพ้น เพราะฉะนั้น อย่าประมาทในการใช้ชีวิตล่ะ ^^ จากคุณ : Gretchen เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 03:18:12

ความคิดเห็นที่ 13 ก็มองความจริงให้เห็นแล้วยอมรับมันสิครับ ว่าเราหน่ะตายมาหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ชาติก่อนๆก็เวียนว่ายตายเกิดมานับไม่ถ้วน นับเฉพาะชาตินี้ก็ตายจากความเป็นเด็ก ตายจากความเป็นหนุ่มเป็นสาว ตายจากความเป็นวัยกลางคน อีกไม่นานก็ต้องตายจากความเป็นคนแก่ ธรรมดามั๊ยหล่ะ จริงๆตายไม่น่ากลัวหรอกครับ ถ้าตายด้วยใจที่มีบุญกุศล ตายด้วยใจที่มีศีล ตายด้วยใจที่ไม่หลงยึดถือว่านั่นนี่เป็นเราเป็นของเรา มองความจริงให้เห็นสิครับ ว่าเกิดน่ากลัวกว่าตายตั้งเยอะ ถ้าเรายังปรารถนาเวียนว่ายตายเกิด เกิดครั้งต่อไปต้องลุ้นตลอด ว่าจะมาเผชิญทุกข์เผชิญกรรมอะไรบ้าง จากคุณ : แมวเปอร์เซีย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 05:26:07

ความคิดเห็นที่ 14 ค่อยๆ ปล่อยวางทีละนิดๆ ไม่ต้องถึงขนาดปฏิบัติธรรมชั้นสูงอะไรหรอก  แค่ปล่อยวางทีละนิดในชีวิตประจำวัน  คิดในแง่บวก  พลังคิดบวกก็จะค่อยๆ สะสมจนมองเห็นว่าทุกอย่างในโลกเป็นเรื่องธรรมดาไปซะหมดนั่นเองล่ะ จากคุณ : ไม่หล่อแต่เซ่อ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 07:30:12

ความคิดเห็นที่ 15 โลงศพ ฝันเห็นโลงศพ แต่ไม่โลงศพ ตั้งซ้อนกันหรือมีคนหายโลงศพผ่านมา ทายว่า จะได้ข่าวดีหรือลาภทางไกลหรือเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงานในทางดี งานศพ ฝันเห็นงานศพ ฝันว่าไปได้ร่วมพิธีในงานศพ หรือเห็นผู้คนพลุกพล่านในงานศพ ทายว่าจะได้รับข่าวดีเกี่ยวกับการหน้าที่การงาน หรือการค้าขาย ถ้าเป็นคดีความจะได้รับชัยชนะ  เลขเสี่ยงโชค คือ 27,47,48,427,437,484 *** จะต้องไปทำใจยัง ก็เเค่คิดว่า มันคือความจริงซิ ที่คนเราเกิดมาเเล้วต้องตาย จากคุณ : บุษกรจันทร์ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 08:05:56

ความคิดเห็นที่ 16 ความตายมันก็เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติจริงๆ นั่นแหละ.. เป็นความธรรมดาของสรรพชีวิตเช่นเดียวกับการเกิด..การเปลี่ยนแปลง เราเองต่างหากที่ขัดขืนดื้อดึง..ไม่ยอมให้ธรรมชาติมันเป็นไปตามทางของมัน เราหวังจะให้ชีวิตเป็นอมตะ..หวังให้โลกไม่เปลี่ยนแปลง..หวังให้น้ำไหลจากที่ต่ำขึ้นที่สูง ใครก็ตามที่ตั้งความหวังเอาไว้อย่างนี้... ย่อมเป็นทุกข์..เพราะเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีทางเป็นจริง มองให้เห็นความจริง...และยอมรับมันด้วยความสงบ เพราะดิ้นรนขัดขืนไปก็จะมีแต่ความทุกข์..และเสียแรงเปล่า บอกตัวเองไว้ทุกวันว่าเราตายแน่..พูดกับตัวเองหน้ากระจกบ่อยๆ รอยเหี่ยวย่นที่ปรากฏ..เส้นผมที่ร่วงหล่นมันเป็นสัญญาณบอกว่าเรากำลังเปลี่ยนแปลง และต้องตายในที่สุด ถ้าเอาแต่หนีและกลบเกลื่อน..ความตายมันก็ดูจะเป็นสิ่งไกลตัวและน่าหวาดกลัว แต่ถ้าเราพิจารณามันทุกวัน..ทุกลมหายใจเข้าออก เราจะคุ้นเคยกับมัน..สนิทสนมกับมันปานเพื่อนสนิท...และหวาดกลัวมันน้อยลง..??? จากคุณ : อารยัน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 08:09:33

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้ากลัวตาย  เราก็จะตายหลายครั้ง  แต่ไม่ชิน  เปลี่ยนเรื่องกลัวไปเรื่อย ๆ กลัวแม้กระทั่งอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  และไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ ถ้าไม่ตายสักทีอายุยืน  ไม่ต้องกลัวไปอีก  30-40 ปีเลยเหรอคะ อย่าตั้งตัวเองอยู่ในความประมาท  เราสามารถตายได้ทุกลมหายใจเข้าออก จากคุณ : ประดู่หลังบ้าน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 09:27:55

ความคิดเห็นที่ 19 -*- ปีที่แล้ว ทั่วประเทศไทย ตายไป 419,265 คน เฉลี่ยวันละ 1,148.7 คน  ชั่วโมงละ 47.9 คน   นาทีละ 0.8คน  ธรรมดายังครับ จากคุณ : ginosty เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 09:55:40

ความคิดเห็นที่ 20 หลายปีก่อน เกือบตายด้วยอุบัติเหตุ (ตายจริง ไม่ใช่ความฝัน) ตอนนั้นไม่มีความกลัวอะไร เพียงแต่คิดถึงเรื่องไม่ดีเก่า ๆที่เคยทำไว้ยังไม่ได้สารภาพหรือแก้ไข คิดถึงเรื่องที่เคยสัญญาไว้แต่ยังไม่ได้ทำ คิดว่าทั้งหมดนี้เราจะไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว เสียดายที่เราปล่อยให้เวลาผ่านไป มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง พอไม่ถึงฆาต ยังมีชีวิตต่อมา รีบทำทั้งหมดที่คิดไว้ในตอนนั้นเลย ถ้าต้องตายในตอนนี้ ตายตาหลับ ไม่มีห่วงอะไรแล้วครับ ยังไงก็หนีไม่พ้น มาเตรียมตัวตายกันดีกว่า จะได้ตายด้วยความสบายใจ จากคุณ : banchap เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 11:46:24

ความคิดเห็นที่ 21 ความตายไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่ทุกคนต้องตายเป็นธรรมดา ฉะนั้น เมื่อเลี่ยงไม่ได้ แทนที่จะเอาแต่กลัว ก็ศึกษาให้ถ่องแท้ดีกว่า จะได้เตรียมตัวตายอย่างไร้กังวล เหมือนคนที่ต้องออกไปรบ เตรียมตัวพร้อมรบไว้ก่อน ย่อมเบาใจได้ระดับหนึ่ง จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 12:54:15

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าเราหมั่นปฎิบัติธรรม ทำทาน รักษาศิล สมาธิ ปัญญา ทำไว้ทุกๆัวัน แล้วก็ควรระลึกถึงความตาย เป็นประจำไว้ด้วย ยังงัยเราก็ต้องตายวันหนึ่งแน่นอนหนีไม่พ้นหรอก การที่เราปฎิบัติธรรมมันทำให้จิตใจ เรามั่นคงไม่หวั่นไหวกับความตาย  ก็ถ้าสุขคติโลกหน้ามีจริงเราก็ได้ทำเหตุ แห่งการไปสุขคติไว้พร้อมแล้ว แล้วจะกลัวตายทำไม  มีแต่จิตใจที่เบิกบานยิ้มรับกับความตาย การตายจึงไม่ใช่การสูญเสียสำหรับผู้ปฎิบัติธรรม แต่เป็นการได้มาตะหากล๊ะ^^ จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 13:14:17

ความคิดเห็นที่ 23 ผม คิด อย่างนี้ ครับ คุณ ก็ ปรกติดี นะครับ สำหรับ ปถุชน ใคร ไม่กลัวตาย ตาย ผมว่า คนเรากลัว เพราะไม่แน่ใจว่า ตายแล้วไปไหน ตอนตาย ทรมานไหม ถ้า มีคำตอบที่แน่นอนว่า ทุกคน ตายแล้วไปสวรรค์  ตอนตาย ไม่ทรมานด้วย แถม ถ้ายังลืมทำอะไร ก็กลับมาทำให้เรียบร้อยได้ ผมว่า คุณ คงไม่กลัวหรอก ครับ มันก็จะเหมือน การไปเที่ยวนอกบ้านแค่นั้นเอง แต่ เราไม่รู้ว่า ตายแล้วไปไหน ทรมานหรือเปล่า ผมจำพระสูตรไม่ได้ครับ แต่จำได้ว่า ถ้าไม่แน่ใจว่า ตายแล้วไปไหน แต่เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ให้ทำดีเข้าไว้ เพราะ ที่ไป ย่อมดี แน่นอน ส่วนเรื่อง ทรมาน นั้น ท่านก็ ให้เรา ทำใจ กับสิ่งที่ต้องเกิด รู้จักปล่อยวาง สิ่งที่มากระทบ ต่อเรา อย่าง บางคน ที่ไม่สนใจที่ตนเจ็บ ก็ จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่นั้นเป็นการ เลี่ยง ไม่ใช่การ รู้แล้ว ปล่อยวาง จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 14:33:51

ความคิดเห็นที่ 25 ไปอินเดียดูสักเดือนสิครับ ถ้ามีชีวิตรอดกลับมาจะตัดสินใจได้ทุกเรื่อง... รับรองสมองโล่งไปเยอะเลย 555 ปกติผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการเที่ยวเตร่แบบหาความเพลิดเพลิน แต่กรณีของอินเดีย จะเป็นการเที่ยวแบบไหนก็ไปเถอะครับ ไปให้เห็นด้วยตา รับรู้โลกของความเชื่อที่ต่างออกไปค่อนข้างเยอะ แนะนำอย่างยิ่งเลยครับ จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 15:57:31

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่รู้จะแนะนำยังไง เพราะการตายมันเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดามากๆ สำหรับชีวิตมนุษย์และสัตว์ต่างๆ แต่ถ้ากลัวตายเพราะกลัวเจ็บ กลัวทรมาน หรือไม่ก็กลัวตายเพราะห่วงคนข้างหลัง อันนี้พอเข้าใจอ่ะ แต่สำหรับเรา เราไม่กลัวตาย แต่กลัว "ตายแบบขาดสติ" มากกว่า เพราะช่วงเวลา ณ จุดที่เรากำลังจะตาย จุดนั้นสำคัญมากๆ และมีผลต่อภพภูมิที่เราจะไปจุติใหม่มากๆ ถ้าเราตายแบบทุกข์ทรมานเจ็บปวดหรือกระทันหัน เรากลัวไม่ได้เจริญสติอ่ะ จากคุณ : snoopy21 เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 17:05:06

ความคิดเห็นที่ 27 ความตายนี้เป็นเรื่องธรรมดา จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 55 18:19:20

ความคิดเห็นที่ 28 ฝันเห็นโลงศพ แต่ไม่เห็นศพ ตั้งซ้อนกัน หรือมีคนหามโลงศพผ่านมา ทายว่า จะได้ข่าวดีหรือลาภทางไกล หรือเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงานไปในทางที่ดีขึ้น ทำนายฝัน เลขเด็ด 04,44,440,442,448 เห็นโลงศพ วันไม่รู้ ทายว่าศัตรูที่คิดร้ายจะมีอันพ่ายแพ้ ถ้าเป็นคดีความจะชนะ หรือจะมีความสุขพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ตัวเลขนำโชค ได้แก่ 484 จากคุณ : lucky dream (HeavenMoon) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 20:00:01

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ เป็นเรื่องธรรมดา สุดท้าย เราก็รู้แก่ใจเองว่า ความตาย ก็เป็นธรรมดา สังขาร ย่อมต้องเสื่อมสลายไปตามกาล เราเขา ไม่มี มีเพียงรูปและนาม กายและจิต แค่นั้น....ความกลัวที่ว่าด้วยเรื่องความตาย กลัวตาย เป็นเรื่องธรรมดา หากไม่เตรียมการ หรือ กังวลเกินไป เพราะไม่รู้ว่า จะตายเมื่อใด แก้เหตุกังวล ก็เตรียมตัวให้พร้อม แต่เนิ่น ๆ ภาระต่าง ๆ ที่มีอยู่ หากเราตาย จะทำอย่างไร เตรียมการให้พร้อม เมื่อเวลานั้นมาถึง และเราพร้อม ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว จากคุณ : Panjasila เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 23:16:38

ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุขคติเป็นที่ไป เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุกข์คติเป็นที่ไป จากคุณ : deedang เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 55 12:10:17