ความคิดเห็นที่ 1 กล้าห้ามหลวงพ่อคูณไหมคร๊าบ คุณรู้ไหมครับ มีพระองค์หนึ่งสมัยพุทธกาล เสนอพระพุทธเจ้า ให้พระถือศึลที่เคร่งกว่าเดิม ห้ามกินเนื้อสัตว์ ต้องอยู่แต่ในป่า พระองค์นี้ชื่ออะไร เดี๋ยวคงมีคนมาบอกนะคัรบ ส่วนตัวแล้ว แก่นพระพุทธศาสนา อยู่ที่ปัญญา ถ้าเข้าถึงจะอย่างไรไม่สำคัญ ดูจี้กง สิคัรบ ถ้าตัวบริสุทธิ์ ทำอะไรถ้าใจไม่คิดเป็นกรรม ทำอะไรก็ไม่เป็นกรรม อย่ายึดติดนะคร๊าบ พระไม่ใช่คนที่เป็นอรหันต์นะคัรบ เห็นหลายคนสับสน พระคือคนธรรมดาที่ตั้งใจเข้ามาศึกษาพระธรรม สรุปแล้วคือ ดีกว่าเรา ที่ไม่กล้าเข้าไปศึกษาพระเธรรมนะครับ จากคุณ : กก - [ 22 ต.ค. 47 04:33:01 A:221.128.114.62 X: TicketID:059510 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อย่าห้ามพระท่านเลย อย่าถวายบุหรี่ท่าน อย่าถวายหมากให้ท่าน ก็น่าจะเป็นวิธีที่นิ่มนวลกว่าน๊ะ :-) จากคุณ : BlueJeans - [ 22 ต.ค. 47 05:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทำไมเราเข้าใจว่า พระเป็นอรหันต์หล่ะ อ่อ ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง จากคุณ : LB - [ 22 ต.ค. 47 07:56:57 A:147.182.5.50 X: TicketID:044454 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พระสุบบุหรี่ครับ รู้สึกว่ากะแค่บุหรี่ ยังตัดไม่ได้ มันสะท้อนว่าไม่มีสัมมาวายามะ ที่จะพยาม ละ ลด กิเลสของตัวเอง เหมือนกับอยู่ไปวันๆ ปากว่าถือศีล แต่ก็คาบบุหรี่อยู่ ส่วนพระรูปที่ เสนอให้พรพุทธเจ้าเพิ่มสิกขาบทให้เคร่งยิ่งกว่าเดิมนั้น ถ้าผมจำไม่ผิดเป็นพระเทวทัตครับ สาเหตุที่พระพุทธเจ้าห้าม เพราะว่าการถือศีลเคร่งแบบนั้น มันเป็นสีลัพตปรามาส ซึ่งเป็นความยึดติดอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ไมได้หมายความว่าการถือศีล จะเป็นการยึดติดไปหมด เพราะอย่างไร ศีลก็เป็น หลักที่สำคัญ ที่จะเกื้อหนุนให้เกิดปัญญาได้ง่ายขึ้นกว่า ที่จะไปมุ่งที่ตัวปัญญาตัวเดียวเลย จากคุณ : Parky - [ 22 ต.ค. 47 12:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นคล้ายๆ คุณ Parky คหที่ 4 ครับ บุหรี่ ไม่ดีต่อสุขภาพครับ หรือว่าถ้ายังต้องการสูบอยู่แสดงว่ายังติดในอารมณ์ของความเพลินในการสูบครับ ภาษาธรรมเรียกว่า นันทิ ครับ ส่วนเรื่องพระเทวทัต นั้นต่างกันครับ ตามความเป็นอยู่ของพระ ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติมาเพื่อให้มีความเป็นอยู่ง่ายครับ กินง่าย นอนง่าย ไม่ต้องเลือกครับ และอีกอย่างอาหารการกินต้องขอบริจาคจากญาติโยมครับ จริงๆ คือ มีอะไรก็ต้องกินได้ครับ กินเพื่ออยู่ครับ ไม่ใช่ต้องไปจำกัดจำเขี่ย ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ คือ จริงๆ พระเทวทัต หาเรื่องแยกวงมาต่างหากครับ จุดประสงค์จริงๆ คือ ตรงนี้ ก็เลยหาเรื่องทำลายความน่าเชื่อถือของพระพุทธเจ้าครับ จากคุณ : มัชฌิม - [ 22 ต.ค. 47 13:44:31 A:203.159.23.11 X:203.159.12.15 TicketID:037950 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณใช้สิทธิอะไร มาบัญญัติสิขขาบทเหรอครับ มีแต่พระพุทธเจ้านะครับที่ทรงมีสิทธิบัญญติ จากคุณ : เพลิงแค้นที่เผาผลาญ - [ 22 ต.ค. 47 14:09:02 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผม ในธานะคนต่างศาสนานะ คือผมไม่ไช่พุทธ ความจริงห้ามก็ดี เพราะว่ามันดูไม่ค่อยดีนะครับ พระก็ควรเป็นแบบอย่างที่ดี ตัวเองยังไม่ดีแล้วจะไปสอนใครไห้ดีได้จริงไหมครับ จากคุณ : กังซี - [ 22 ต.ค. 47 14:52:03 A:203.209.120.65 X: TicketID:076645 ]

ความคิดเห็นที่ 8 "คุณใช้สิทธิอะไร มาบัญญัติสิขขาบทเหรอครับ" สิทธิ์ของคนที่รับภาระอุ้มชูพระศาสนาไงครับ..... ถ้าไม่มีประชาชน คนทำบุญตักบาตร ถ้าไม่มีประชาชน คนถวายปัจจัย พระก็ไม่สามารถอยู่ดำรงศาสนาได้ ดังนั้น การปฏิบัติต่างๆของพระ จึงต้องอยู่ภายใต้เป้าหมายรับใช้สังคมครับ การที่พระ ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ไม่มีกิริยาสำรวม ใช้ความล้าหลังของพระธรรมวินัยเป็นช่องว่างในการกระทำอันไม่สมควร ก็นับได้ว่า ไม่สามารถรับใช้สังคมได้ขอรับ จะบอกว่ามีแค่พระพุทธเจ้าองค์เดียวที่บัญญัติพระธรรมวินัยได้ ตลกครับ พระพุทธเจ้าตายไปตั้ง 2500 กว่าปีแล้วนะครับ สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ กิเลสที่หลั่งไหลเข้ามาในรูปแบบต่างๆ พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นเมื่อ 2500 ปีที่แล้ว ก็ไม่สามารถตามทันสังคมที่เปลี่ยนไปได้ หรือว่าจะขุดกระดูกพระพุทธเจ้าขึ้นมาบัญญัติพระธรรมวินัยกันใหม่ครับ ผมเป็นคนไม่มีศาสนา ผมมองว่าคนไทยมองสถาบันพุทธเป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จับต้องไม่ได้ จนไม่กล้าทำอะไรกับพระที่ทำตัวไม่สมกับผ้าเหลือง เป็นต้นเหตุให้ศาสนากลายเป็นภาระของสังคมเช่นทุกวันนี้ จากคุณ : ดอกไม้คาตาลัน - [ 22 ต.ค. 47 16:48:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เพื่อนผมมันบอกว่า การสูบบุหรี่เป้นการเจริญสติปัฐฐาน ด้วยการ อาณาปานสติแบบหนึ่ง พิจารณาลมหายใจเข้าออก มองควัน พิจารณาไปเรื่อย เชื่อมันเลยครับว่า มันหาข้อดีของบุหรี่จนได้ครับ ^__^ แต่มันมีความสุขจองมันนะครับ ก็เห็นว่าจิตมันอยู่นิ่งขณะหนึ่งจิงนะครับ หรือนี่คือสาเหตุที่บุหรี่เลิกยาก 1 สาเหตุ ด้วยความเป็น มิจฉาสมาธิรึเปล่าครับเนี่ย อ่านแล้วอย่าคิดมากนะครับ เรื่องตลกๆ ^__^ จากคุณ : Ambient - [ 22 ต.ค. 47 18:38:05 A:61.90.88.21 X: TicketID:024999 ]

ความคิดเห็นที่ 10        ควรศึกษาเนื้อความที่ ยกมาแสดง ข้างล่างนี้ :-               พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕               มหาวรรค ภาค ๒               พระพุทธานุญาตมหาประเทศ ๔        [๙๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่า            สิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไว้ สิ่งไรไม่ได้ทรงอนุญาต               จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.               วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ        พระผู้มีพระภาคได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง ๔ ข้อ ดังต่อไปนี้:-        ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย        ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควรขัด กับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย        ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย        ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.         _________________________________________               พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕               อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต               สังขิตตสูตร [บางส่วน]        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า        ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้               เป็นไปเพื่อความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด               เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อพรากสัตว์ออก               เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส               เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย               เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ               เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด               เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร               เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย        ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดาฯ                ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้               เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัด               เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ ไม่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้               เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส               เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก               เป็นไปเพื่อสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ               เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ               เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน               เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก        ดูกรโคตมี ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้เป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ         _________________________________________               พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕               อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต               อนุรุทธสูตร [บางส่วน]        พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้ถวายแล้ว ครั้นแล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมหาปุริสวิตก ๘ ประการ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟัง ฯลฯ                ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มหาปุริสวิตก ๘ ประการเป็นไฉน        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้ของบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของบุคคลผู้มีความปรารถนามาก ๑               ธรรมนี้เป็นของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของบุคคลผู้ไม่สันโดษ ๑               ธรรมนี้ของบุคคลผู้สงัด มิใช่ของบุคคลผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑               ธรรมนี้ของบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของบุคคลผู้เกียจคร้าน ๑               ธรรมนี้ของบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของผู้มีสติหลงลืม ๑               ธรรมนี้ของบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น มิใช่ของบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น ๑               ธรรมนี้ของบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของบุคคลผู้มีปัญญาทราม ๑               ธรรมนี้ของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า มิใช่ของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ๑ ฯ         _________________________________________ ที่มา และแนะนำ :-        พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕        มหาวรรค ภาค ๒ พระพุทธานุญาตมหาประเทศ ๔ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=2572&Z=2585        พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕        อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต        สังขิตตสูตร http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=5908&Z=5933        พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕        อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต        ๑๐. อนุรุทธสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=23&A=4717 จากคุณ : ฐานาฐานะ - [ 22 ต.ค. 47 18:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11       สำหรับ ภิกษุรูปหนึ่งที่มีผู้กล่าวถึงไว้        ควรศึกษารายละเอียด และวัตถุประสงค์ของภิกษุนั้น        พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗        จุลวรรค ภาค ๒        เรื่องวัตถุ ๕ ประการ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=7&A=3770&Z=3817        และวัตถุ ๕ ประการที่พระเทวทัตต์ทูลขอ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=วัตถุ_๕_ประการ&book=1&bookZ=33           สำหรับ ผู้ใคร่ต่อการศึกษา พึงศึกษาวัตถุประสงค์ของในการบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้ :-        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย        อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ               เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑               เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑               เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑               เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑               เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑               เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑               เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑               เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑               เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑               เพื่อถือตามพระวินัย ๑. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=02&A=0&Z=155 จากคุณ : ฐานาฐานะ - [ 22 ต.ค. 47 19:04:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12        สำหรับ ผู้กล่าวจาบจ้วงพระผู้มีพระภาค ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม        เรื่องนี้ไม่แปลกอะไร เพราะเมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้กล่าวจาบจ้วง        แต่ พุทธบริษัท ควรชี้แจง โดยสหธรรม        ควรทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอาศัยพระกรุณาธิคุณ ได้ทรงแสดงมหาประเทศ ๔ ไว้แล้ว        ดังที่นำมาแสดงไว้ แล้ว ที่ความคิดเห็นที่ ๑๐        แม้อนาคตของพระศาสนานี้ พระผู้มีพระภาค ก็ทรงแสดงไว้ ในทักขิณาวิภังคสูตร        [๗๑๓] ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก      คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น        ดูกรอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่า มีผลมากกล่าวทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ        ทักขิณาวิภังคสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=ทักขิณาวิภังคสูตร              เรื่องการบัญญัติพระวินัยนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียวเท่านั้น จะทรงบัญญัติ        ควรศึกษา               เรื่อง เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน               เรื่อง ปรารภเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบท        ซึ่งเป็นพระภาษิต และภาษิตของพระผู้มีพระภาค และพระสารีบุตร ตามลำดับ        ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย        อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก        เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตาม พระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน        ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กำจัดไม่ได้ซึ่งดอกไม้เหล่านั้น        ข้อนั้นเพราะเหตุไร        เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด        เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตาม พระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ ตลอดระยะกาลยืนนาน ฉันนั้น เหมือนกัน. http://84000.org/tipitaka/read/?1/7-8+1p        หากบุคคลเลื่อมใสว่า               พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ               พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา        เป็นมหาบุรุษ ผู้เลิศด้วยปัญญา ถึงพร้อมด้วยวิชาและจรณะ มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์เกื้อกูลให้สัตว์ทั้งปวง            บุคคลผู้นั้น พึงศึกษาพระธรรมวินัย โดยความเคารพ จากคุณ : ฐานาฐานะ - [ 22 ต.ค. 47 19:42:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คนไม่มีศาสนาไม่มี สิทธิมาวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาอื่น เพราะไม่ได้ศึกษา เมื่อไม่ได้ศึกษา ก็เปรียบเหมือนไอ้โง่ที่ไม่เคยเห็นทะเล แต่อวดว่าทะเลเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่เป็นอย่างนี้ ๆ เรื่องพระธรรมวินัย กับเรื่องกฎหมายบ้านเมืองต่างกัน มีแต่คนกิเลสหนา มีแต่มานะ อวดโอ่ความคิดเห็น ปราศจากความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง เลยบอกว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ๆ ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ ๆ สรุปคือถ้าไม่มีศาสนาก็อย่าเ-อก ครับ ขอบคุณ จากคุณ : กก - [ 22 ต.ค. 47 21:26:39 A:221.128.110.250 X: TicketID:059510 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องบุหรี่กับพระมันเป็นเรื่องพูดยากครับ แม้แต่พระอาจารย์มั่น หรือพระป่าสายกรรมฐานหลายๆรูป บางรูปท่านก็สูบบุหรี่ พอมีคนมาถามว่า เอ๊ะ อย่างท่านอาจารย์มั่น ก็มีคนเชื่อว่าท่านบรรลุอริยธรรมแล้วนี่ ทำไมจึงยังสูบบุหรี่อยู่ล่ะ ก็มีท่านอาจารย์หลวงตาบัวท่านบอกว่า "เป็นธาตุขันธ์ของท่าน ท่านมีลักษณะของร่างกายเป็นเช่นนั้นเอง "(ก็คือ ร่างกายของท่านต้องสูบบุหรี่) แต่ผมว่าท่านอาจารย์หลวงตาบัวพูดแบบนี้ออกจะแปลกๆไปนิด แต่ช่างเถอะ กลับมาเรื่องการห้ามพระสูบบุหรี่ ถามว่า ห้ามได้ไหม ตอบว่า.. ห้ามด้วยอะไร ๑. ห้ามด้วยพระธรรมวินัย... - มติของนิกายเถรวาท คือ เราจะไม่เพิกถอนสิ่งที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้แล้ว และไม่เพิ่มเติมสิ่งที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติ - การสูบบุหรี่ แม้จะยังเป็นกิเลส เป็นยาเสพติด แต่พระภิกษุ ท่านก็สูบแล้วไม่ได้ขาดสติ (ไม่เหมือนกับกินเหล้า กินเหล้าแล้วขาดสติ ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงห้ามพระภิกษุดื่มสุรา เว้นแต่สุรานั้นเป็นกระสายยาในยาบางชนิด หรืออยู่ในวัตถุดิบอาหารบางชนิด และมีการเจือจางจนไม่เหลือรส และฤทธิ์ที่จะทำให้เมา พระองค์ทรงอนุญาต เช่นยาธาตุ ซึ่งต้องมีเหล้าอยู่นิดหน่อย แต่ไม่ทำให้ถึงกับเมา) - พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสูบควันได้ (ขออนุญาตไปค้นก่อนว่าอยู่ในวินัยปิฏกตอนไหน ตอนนี้ขออ้างไว้ก่อนนะครับ) แต่ปัญหาว่า ไอ้ควันเนี่ย หมายถึงควันอะไร แต่ผมไม่คิดว่าสมัยนั้นจะมีบุหรี่ ควันที่ว่านี่น่าจะเป็นพวกควันที่เกิดจากการรมสมุนไพร เช่น สมุนไพรบางชนิดที่ต้องใช้วิธีสูดเอาควันจากการเผา - การที่จะห้ามด้วยพระธรรมวินัยนั่น เป็นเรื่องยากที่ว่า จะให้เอาระดับไหน สูบบุหรี่ จะถึงขั้นปาจิตตีย์ไหม หรือจะเป็นสังฆาทิเสส หรือปาราชิก หรือแค่ทุกกฏ (ผิดสมบัติผู้ดี หรือเสขิยวัตร เรียกว่าทุกกฏ เป็นอาบัติที่เกี่ยวกับความประพฤติที่ไม่เรียบร้อยเล็กๆน้อย เช่นฉันอาหารเสียงดัง) อันนี้ต้องขอบอกว่า การที่จะไปเพิ่มสิกขาบทในพระปาฏิโมกข์นั้น เป็นเรื่องของคนบ๊องๆที่คิดจะเอาคำพูดตัวเองไปยัดใส่พระพุทธโอฏฐ์ ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควร ดังนั้น ไม่พึงห้ามโดยพระธรรมวินัย เพราะมติของเถรวาทเป็นเช่นนั้น (แม้มหายานเองก็ไม่ได้ห้ามพระสูบบุหรี่) ๒. ห้ามโดยกฏหมาย - กฏหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฏหมายอะไร หรือว่ากฏมหาเถรสมาคม.. อันนี้ต้องขอบอกว่า เป็นเรื่องยาก ถ้าหากไปใส่ไว้ในกฏหมายรัฐธรรมนูญ "มันก็ต้องผิดข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน" กล่าวคือ.. รัฐ จะมาออกกฏห้ามพระสูบบุหรี่.. ถ้าเช่นนั้นฆราวาสยังสูบได้...ทำไมไม่ออกให้มันเท่ากันล่ะครับ - หรือจะออกกฏมหาเถรสมาคม ห้ามพระสูบบุหรี่ แต่มหาเถรสมาคมท่านมีหลักอยุ่ว่า จะไม่ออกกฏใดๆ ที่ละเมิดจากพระธรรมวินัย ดังนั้น พระวินัยไม่ได้ห้าม ท่านเองจะมาออกกฏห้ามได้อย่างไร จึงขอบอกว่า อย่าไปยุ่งให้มันมากเรือ่งขนาดนั้นเลย เอาแค่ว่าฆราวาสอย่างเรา อย่าไปถวายให้ท่านก็พอแล้ว อีกอย่างก็คือ อย่าไปคิดว่า การที่พระท่านสูบบุหรี่เป็นความคิดร้ายแรงอะไรนักเลยครับ มันไม่ได้เป็นการขวางกั้นสวรรค์นิพพานหรอก พระที่ท่านสูบบุหรี่อย่างทุกวันนี้ จะรู้ได้อย่างไรว่า อาจจะมีบางรูปท่านเป็นพระโสดาบัน หรือพระอริยบุคคลระดับสูงแล้วก็ได้ ระวังปากหน่อย เดี๋ยวจะอริยุปปวาท (ว่าร้ายพระอริยะ) โดยไม่รู้ตัว จากคุณ : p.p_upasmo - [ 22 ต.ค. 47 22:27:40 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณเคยไปประเทศพม่าไหม ภาพคนสูบบุหรี่ในประเทศพม่าให้ความรู้สึกเหมือนกับภาพคนไทยนั่งกินก๋วยเตี๋ยวริมถนน แต่ภาพคนสูบบุหรี่ในประเทศไทยถูกทำให้เห็นเป็นภาพความชั่วร้าย คนไทยก็ไปเหมาเอาว่าการสูบบุหรี่คือความชั่วร้าย เหมือนกับผู้นำไทยสมัยหนึ่งว่าการกินหมากคือภาพแห่งความชั่วร้ายไร้อารยะธรรมโดยสิ้นเชิง จากคุณ : Peet - [ วันปิยมหาราช 00:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ p.p_upasmo แจงประเด็นได้ชัดเจนดีครับ ผมเห็นด้วยว่า บุหรี่จะสูบได้ไม่ได้ ควรเอาไปเทียบกับเหล้าเป็นหลัก ต้องดูว่าศีลข้อห้าห้ามดื่มเหล้าเพราะอะไร ๑) ถ้าห้ามเหล้าเพราะเสพแล้วติด ถ้ายังนั้นบุหรี่ก็เข้าข่ายด้วย เพราะก็เป็นสารเสพติดเหมือนกัน ๒) ถ้าห้ามเหล้าเพราะกินแล้วขาดสติ ก็ต้องมาดูบุหรี่ว่าทำให้ขาดสติได้หรือเปล่า ระดับไหน คงต้องให้คนที่ความรู้ทางสุขศึกษาหรือทางสารเสพติดมาตอบตรงนี้ละกันครับ จากคุณ : It hurts to look at things - [ วันปิยมหาราช 15:19:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คหที่ 13 ไม่ม่แรงไปหรอครับ ไปหาว่าเค้าไม่ได้ศึกษา แล้วทำอย่างกะคนพุทธส่วนมากจะศึกษาศาสนากันอย่างลึกซึ้งอย่างนั้นแหละครับ เพื่อนผมเป็นพุทธหลายๆคนถามไรเกี่ยวกะพุทธไม่เคยตอบได้ซักอย่าง ก่อนจะไปว่าใครเค้ามองตัวเองก่อนดิ จากคุณ : กังซี - [ วันปิยมหาราช 17:03:12 A:203.209.120.96 X: TicketID:076645 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ควรมาจากจิตสำนึกครับ พระ = วร (วะ-ระ) แปลว่า ผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐ เผาปอดตัวเอง ให้ตายผ่อนส่ง ? จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ วันปิยมหาราช 18:21:21 ]

ความคิดเห็นที่ 19 บุหรี่ไม่ได้ทำลายสติเหมือนเหล้า จากคุณ : ชิตังเม - [ วันปิยมหาราช 21:07:26 A:24.31.120.117 X: TicketID:000833 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เห้นด้วยกับ คุน peet การไม่สุบบุหรี่ หรือ การสุบบุหรี่ เป้นเพียง ค่านิยม ทางวัตนทรรม ตัวอย่าง ลองเปรียบเทียบบุหรี่กับหมาก จะเห้นว่าสองสิ่งนี้ เป้น ของคล้ายกันมาก แต่สิ่งหนึ่งมีการรนรงคื ต่อต้าน แต่อีกสิ่งหนึ่งไม่มี ครั้งนึง เรานิยมการทานหมาก ต่อมาเราพบว่าหมากมีการเสี่ยงต่อมะ เรง เราก้อเลิกทานหมาก อถ้าปัจจุบันเห้นยายแก่ เคี้ยวหมาก เรายังไม่ตตะขิดตะขวงใจ เท่าเห้นยายแก่สุบบุหรี่ ทั้งๆที่หมากและบุหรี่มีันตรายในแบบเดียวกัน ก้อเพราะเราหลงไปกับการประชาสัมพันเรื่องบุหรี่ในสื่ อต่างๆในยุคนี้ และเราเกิดไม่ทันที่จะรับทราบการรนรงคในเรื่องหมาก นั่นเอง ลองเทียบดุนะครับ ถ้าจะเอากันแบบ ให้หมดกิเลส และดีต่อ่างกาย ขสงสัยต้องห้าม ให้หมด เช่น บุหรี่ หมาก น้ำแขงเปล่า น้าอัดลม ขนม ข้าวเหนียวทุเรียน ปาท่องก่ ขนมเค้ก หมุหัน ชา กาแฟ จากคุณ : คนบอราน - [ วันปิยมหาราช 21:34:13 A:202.57.159.91 X: TicketID:000815 ]

ความคิดเห็นที่ 21 การสูบบุหรี่ไม่ใช่สิ่งดี แต่ไม่ใช่เหตุที่ทำให้เสียสติ จนเสียจริตได้ เหมือนเหล้าครับ จะบอกว่า ผู้ประเสริฐ เผาปอดตัวเอง ให้ตายผ่อนส่ง ต้องพิจารณาดีดีนะครับว่าเป็นอย่างไร ถ้าเข้าใจก็จะไม่คิดว่าแปลกหรอกครับเรื่องบุหรี่ กินอาหารมาก กินอาหารน้อยเป็นเหตุให้อ้วน ไขมันอุดตัน กินของไขมันมาก ของย่าง ไหม้เกรียม เป็นเหตุของมะเร็ง เป็นเหตุของโรคหัวใจเช่นกัน อันไหนตายไวกว่ากัน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพอดีนั่นแหละครับ ตรงนี้ไม่ได้กล่าวเพื่อสนับสนุนให้พระภิกษุสูบบุหรี่นะครับ เพราะก็ดูเสียกริยาวัตรที่ควรอยุ่ ก็รู้อยู่ว่ามีโทษครับ แต่ผิดวินัยอย่างไรก้ต้องตีความต่างหากครับ เพราะเรื่องความเป็นพระภิกษุเป็นเรื่องพระวินัยมากกว่าครับ จากคุณ : Ambient - [ 24 ต.ค. 47 02:59:19 A:202.41.179.233 X: TicketID:024999 ]

ความคิดเห็นที่ 22 กินอาหารมาก กินอาหารน้อยเป็นเหตุให้อ้วน ไขมันอุดตัน กินของไขมันมาก ของย่าง ไหม้เกรียม เป็นเหตุของมะเร็ง เป็นเหตุของโรคหัวใจเช่นกัน อันไหนตายไวกว่ากัน เอาศีลเจไปอีกข้อไหมครับ ทางออกวิเศษเลยนะนั่น จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 25 ต.ค. 47 20:03:11 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ถึง ดอกไม้คาตาลัน ศึกษา มากๆ หน่อยนะครับ ก่อนที่จะมาตอบในกระทู้ ความรู้ก็ไม่มี ได้แต่อาศัยความหน้าหนา ความอวดเก่ง มาเขียนแจกแจงให้คนอื่นหยั่งออกในสติปัญญาของตน บางทีการอ่านอาจช่วยคุณได้ ลองอ่านในกระทู้นี้ก็ได้ หลายคนตอบได้ดี อย่างคุณ ฐานาฐานะ ,p.p_upasmo เป็นต้น แล้วก็ถ้าไม่มีศาสนา อย่างที่ป่าวประกาศ ก็อย่ามาลบหลู่ ศาสนาอื่นๆ จาบจ้วงหรือ แสดงความเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่ ได้รู้แบบนี้อีกเลย เคยได้ยินไหมที่เขาว่า ยิ่งพูดยิ่งแสดงความโง่ อะไรทำนองเนี้ย ดังนั้นก่อนแสดงความเห็นอะไร คิดก่อนนะครับ อย่าหาว่าสอนเลย อายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่คิดเองไม่ได้นี่นา จากคุณ : เพลิงแค้นที่เผาผลาญ - [ 27 ต.ค. 47 13:15:29 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อยากสูบก็สูบไปเถอะครับ แต่ขอร้องเวลาเป็นโรคเกี่ยวกับบุหรี่ ไม่ต้องให้ รพ.รักษาได้มั้ยครับ ขอเท่านี้แหละครับ จากคุณ : 003670 - [ 27 ต.ค. 47 16:46:26 A:172.28.1.232 X:203.155.8.227 TicketID:003670 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เราเป็นคนพุทธ แต่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคนไม่มีศาสนานะ เราว่าเขาคิดถูกและดูจะเข้าใจคำสอนและความหมายแท้จริงของพุทธศาสนาได้ดียิ่งกว่าพวกคุณซึ่งปากบอกว่าเป็น "พุทธ" เสียอีก และการที่เขาไม่มีศาสนา ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ศึกษา เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?? ทำไมจึงมองบุหรี่และหมากเป็นสิ่งที่เหมือนกัน ทั้งๆที่ต่างกันสิ้นเชิง ทั้งสองสิ่งอาจจะทำลายสุขภาพเหมือนๆกัน แต่...คิดแค่เรื่องสุขภาพเท่านั้นหรือ? คิดแค่เป็นเหตุก่อมะเร็งเท่านั้นหรือ? เป็นแค่ค่านิยมทางวัฒนธรรมเท่านั้นหรือ? จริงอยู่ บุหรี่ไม่ทำให้เสียสติ เสียจริตเหมือนเหล้าแต่ควันของมันนั้น ทำไมไม่มีใครพูดถึง ควันของบุหรี่นั้น สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือไม่? ลองคิดดูอีกทีนะ ที่ว่าคนใกล้ชิดของคนสูบบุหรี่จะยิ่งได้รับผลกระทบจากการสูดควันมากกว่าคนสูบเอง ลืมกันแล้วเหรอ? ยิ่งกว่านั้นเป็นการเพิ่มมลพิษในอากาศซึ่งมีมากอยู่แล้ว แบบนี้ยังเป็นแค่ค่านิยมทางวัฒนธรรมอยู่รึเปล่าล่ะ??? แล้วเรื่องของพระ... บุหรี่คือกิเลสอย่างหนึ่ง ถ้าแค่บุหรี่ยังตัดไม่ได้ แล้วอย่างอื่นจะตัดได้หรือ? จากคุณ : ++[S]ataN Circu[S]++ - [ 31 ต.ค. 47 17:31:09 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คนทั่วไปสูบบุหรี่ดูแย่แต่พอพระสูบกลับดูดีไปได้ มันแปลกดีน่ะ จากคุณ : isdl - [ 11 พ.ย. 47 20:10:20 A:202.183.178.128 X: TicketID:058725 ]