ความคิดเห็นที่ 25
ปกติธนาคารจะไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์บังคับคดีตีทรัพย์ชำระหนี้ (ยึดเอาทรัพย์มาแล้วขายทอดตลาด)
เพราะปกติแล้วมักจะไม่คุ้มมูลหนี้ (ราคาขายทอดตลาดมักต่ำกว่าราคาประเมิน 30% และบางทีไม่มีคนซื้อธนาคารต้องเก็บไว้เองเพื่อปล่อยต่อในรูป NPA)
สิ่งที่ธนาคารต้องการมากที่สุดคือ การชำระหนี้ด้วยกระแสเงินสดจากรายได้ของลูกหนี้ (การปรับโครงสร้างหนี้จะเข้ามาปรับสัญญาเงินกู้ เช่น อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ ค่างวดในแต่ละงวด การยกให้ในดอกเบี้ยค้างชำระ(ดอกเบี้ยพัก) ฯลฯ
โดยธนาคารจะคำนวณความคุ้มค่าในการลงทุนให้มีส่วนเสียน้อยที่สุด แต่ก็ต้องยอมเพราะไม่ต้องการเสียไปทั้งก้อน หรือไม่คุ้มถ้าต้องตีทรัพย์ชำระหนี้ (การประนอมหนี้จะคำนวณ NPV ตามวิธีคิดทั้งสองแบบ ประกอบกับนโยบาย ขั้นตอน เมื่อตัดสินใจได้ในการจัด package หลังการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ซึ่งปกติจะ matching กับกระแสเงินสดของลูกหนี้)
กรณีนี้ถ้าลูกหนี้ยังมีรายได้จากการทำธุรกิจ ทั้งบริษัทต่างๆ ทั้งค่าเช่าจากทรัพย์ สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะนำมาคำนวณเช่น รายได้รวมต่อเดือน 200,000 บาท อาจจะตกลงกันว่าให้ชำระ 40% ประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน (ระยะเวลาในการกู้ยืมหลังปรับโครงสร้างหนี้อาจยาวขึ้นจากเดิมเพราะผ่อนต่อเดือนน้อยลง) นอกจากนี้ธนาคารยังสามารถยกเว้นดอกเบี้ยค้างชำระหรือดอกเบี้ยพักให้ได้ ถ้าสามารถแสดงให้ธนาคารเห็นว่าต้องการชำระจริงๆ (risk น้อยลง) บน NPV ที่รับได้
ส่วนที่ธนาคารบอกว่า ต้องการเอาทรัพย์มาเพิ่ม น่าจะหมายถึง การนำทรัพย์มาจดจำนองเป็นหลักประกันสำหรับเงินกู้ก้อนนั้นเพิ่ม (เนื่องจากเดิมเงินกู้ให้สูงกว่าราคาตลาดมากเกินไป อาจถูกตรวจสอบแล้วซวย จึงต้องการให้มีหลักประกันที่มากขึ้น ถ้าหากบังคับคดีธนาคารก็จะได้รับการชำระสูงขึ้น)
ตามที่ผมอ่านสถานการณ์ผมไม่คิดว่าเคสนี้จะจบด้วย NPL เพราะลูกหนี้ยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ ขึ้นอยู่กับว่ามีความตั้งใจในการชำระมากน้อยเพียงใด
และธนาคารเองก็เกลียด NPL ยังกับอุจจี้ (นอกจากไม่สร้างรายได้ ยังเป็นภาระในการกันสำรอง ส่งผลเสียต่องบกำไรขาดทุน ถ้าเยอะเกินก็ต้องเพิ่มทุน) เพราะฉะนั้นถ้ามีหนทางใดในการแก้ปัญหารับรองว่าธนาคารยินดีที่จะเข้าแก้ด้วย
นอกจากนี้สิ่งนึงที่สังเกต
พนักงานธนาคารที่รับผิดชอบ ผู้อนุมัติ ต้องการหลักประกันเพิ่ม (LTV) สังเกตจากข้อความที่กล่าวเกี่ยวกับทรัพย์ที่จขกท.กล่าวในคห.บน หนึ่งเพื่อปิดตูดตัวเอง สองเพื่อผลประโยชน์ของธนาคาร
ส่วนทางพ่อแม่จขกท.ต่างพยายามเลี่ยงที่จะนำทรัพย์ไปจดค้ำประกันเงินกู้เพิ่ม เพราะกังวลว่าจะถูกยึดเพิ่ม (ต่อให้ไม่จดเพิ่ม ถ้าไม่ได้ไซฟอนออกไปจนเค้าจับไม่ได้ ยังไงก็ต้องเอาทรัพย์นี้ชำระ เพราะไ้ด้ค้ำประกันบุคคลไว้)
ด้วยเหตุนี้จึงยังคงเป็นประเด็นในเรื่องการเจรจาต่อรองกันระหว่าง พนักงานธนาคารนั้นที่ดีลกับพ่อแม่จขกท.
ถ้าจขกท.ลองคำนวณรายได้ของพ่อแม่รวมกันดูครับว่าเท่าไหร่ แล้วคิดว่า 50% ของรายได้เป็นเท่าไหร่ เก็บไว้ในใจ
จากนั้นลองดูมูลหนี้ทั้งหมด ระยะเวลาเงินกู้เดิมแล้วยืดออกไปแต่ไม่เกินซัก 10 - 15 ปี อัตราดอกเบี้ยเดิม หรือ อัตราดอกเบี้ยประกาศ ใช้สูตรใน excel คำนวณหาค่างวด ใช้สูตร PMT = (Rate,Nper,-PV)
PMT คือค่างวดที่ำคำนวณไ้ด้ เปรียบเทียบกับ 50%ของรายได้ที่ทดในใจว่าใกล้กันหรือเปล่า ถ้าเท่าก็แสดงว่ายังพอชำระได้ (Rate อัตราลดต้นลดดอก/12, Nper จำนวนงวดหน่วยเป็นเดือน , ยอดภาระหนี้ทั้งหมดในปัจจุบัน)
ลองปรับตัวเลขไปเรื่อยๆ แล้วพิจารณาดู
ถ้าสงสัยตรงไหนก็ถามได้ ในนี้มีพี่ๆหลายๆท่านยินดีช่วยตลอดครับ
หรือถ้าให้ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ผมก็ยินดีช่วยดูให้ครับ ถ้าเกินสติปัญญาน้อยนิดผม ผมจะถามผู้ที่ทำตรงนี้โดยตรงที่ทำงานเก่าให้ครับ เพื่อจะให้คำปรึกษาวิจารณ์ที่อาจเป็นประโยชน์ให้
จากคุณ :
วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก
- [
18 มิ.ย. 51 23:18:10
]
|
|
|