 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
ขึ้นกับบริษัทค่ะ
บางบริษัทก็มีฐานลูกค้าให้อยู่แล้ว sales ทำหน้าที่ service ให้ข้อมูล ประสานงาน รับ order คุยกับลูกค้าให้รู้เรื่องด้วย e-mail, โทรศัพท์, skype , msn
งาน export เป็นงานที่ต้องรับใช้ลูกค้าค่อนข้างมาก บางบริษัท sales ไม่ได้มีไว้เพื่อขายของโดยตรง เพราะบางที่จะต่อรองราคาอะไรต้องผ่านเจ้านาย ก็จะไม่ serious เรื่องราคา แต่จะไปปวดหัวกับตัวงานแทน โดยเฉพาะงาน OEM รายละเอียดจะเยอะมาก เนื้องานก็จะมากด้วย ยิ่งลูกค้าหลาย account คุณก็ยิ่งต้องอ่าน e-mail เยอะมากกกกก เอกสารของแต่ละ order ก็จะเยอะมาก วันๆ คุณจะอยู่กับ e-mail, skype และกองเอกสาร ถ้าชอบงานเอกสารก็ทำได้ค่ะ
คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวก terms of payment เงื่อนไขการผลิตสินค้า และมาตรฐานของแต่ละประเทศที่จะต้องแม่นและไม่พลาด เพราะของส่งออกจะต้องผ่าน standard ของแต่ละประเทศหรือกลุ่มประเทศ แต่ละ order คุณจะต้องคุยกับลูกค้าและฝ่ายผลิตให้ละเอียดค่ะ
ถ้าเป็นการผลิตสินค้าใหม่เอี่ยม คุณก็ต้องหัวไวในเรื่องตัวเลข เพราะต้องคุยเรื่องต้นทุนการผลิต กำไร margin กับเจ้านาย ต้องเอาไปคุยกับลุกค้าต่อให้รู้เรื่อง ว่าทำไมรุ่นนี้แพงกว่ารุ่นก่อนตรงไหน
บางบริษัทจะให้คุณทำ shipping เองด้วย คือ จะต้องติดต่อเรื่องส่งสินค้ากับทาง forwarder เอง ซึ่งก็จะ load งานคุณเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าคุณมีลูกค้าหลายเจ้า ถ้าบริษัทที่เค้าจัดการได้ดี ก็จะมีแผนก shipping โดยตรง แต่ sales เองก็ต้องประสานงานกับลูกค้าและฝ่าย shipping ด้วยค่ะ แต่จะดีตรงที่เราแค่ให้ข้อมูลไป หรือถ้าเป็นลูกค้าประจำ shipping จะมี record การส่งสินค้าอยู่แล้ว ก็จะแค่มา confirm กับ sales ว่าส่งของไปที่ port นี้ๆๆ เงื่อนไขการชำระเงินเหมือนเดิมมั้ย โดยที่เราไม่ต้องโทรติดต่อ forwarder เองค่ะ
sales ต้องทำงานร่วมกับหลายฝ่ายค่ะ กับข้างนอกก็จะเป็นลูกค้า กับคนข้างในก็จะตั้งแต่เจ้านาย ฝ่ายออกแบบ ฝ่ายผลิต จัดซื้อ (ในและนอกประเทศ) shipping บัญชี การเงิน ธุรการ (จองรถเวลาลูกค้ามา) แม่บ้าน (เวลาลูกค้ามา)
กับภายในก็จะวุ่นวายและสติแตกได้ เพราะ sales เป็นด่านหน้าถ้าเกิดความผิดพลาดที่ไม่ได้เกิดจากตัวเรา ต้องอ้อนให้เป็น เวลาฝ่ายอื่นส่งงานมาช้าแต่ยังไงต้องให้ทันวันสินค้า ผลิตเสร็จเพื่อส่งออกให้ตรงวันที่แจ้งไว้กับลูกค้า และต้องแข็งให้ถูกที่ถูกเวลาด้วยค่ะ
ที่สำคัญ กลุ่มประเทศของลูกค้าที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสำคัญกับคุณค่ะ ถ้าคุณดูแลลูกค้าทางยุโรป อเมริกา พูดง่ายๆ คือ ทางตะวันตก คุณจะเครียดกับงานขึ้นไปอีก เพราะกว่าลูกค้าจะตอบเมล์คุณ หรือได้สื่อสารกับคุณก็บ่ายโมงบ่ายสองเวลาไทยเป็นต้นไป ซึ่งหากคุณเลิกงาน 5 โมง นั่นหมายความว่า คุณจะต้องอยู่เย็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อที่จะเคลียร์งาน หาคำตอบให้ลูกค้าหรือแจ้งความคืบหน้าภายในเย็นถึงค่ำนั้น เพราะถ้าคุณไม่มีข้อมูลอะไรให้เค้า นั่นหมายความว่าลูกค้าจะเสียเวลาของเค้าไป 1 วันค่ะ ซึ่งในทางธุรกิจมันมีผลมาก และลูกค้าต่างชาติชอบเร่ง ทวงงานยิกค่ะ แต่ถ้าคุณยินดีที่จะอยู่เย็นค่ำจนถึงดึก ก็ไม่มีอะไรค่ะ ลูกค้ายิ่งชอบค่ะ
ถ้าคุณได้ดูแลลูกค้าโซนเอเชียก็สบายหน่อย ยิ่งออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เพราะเวลาเร็วกว่าเรา ก็ดีค่ะ ไม่เครียดกับการอยู่มืดค่ำ
นอกจากนี้ก็ take care ลูกค้าเวลามาบริษัท มาโรงงาน มาคุยเรื่อง new production หรืออาจจะมาเคลียร์เรื่องการปรับค่าเสียหายย้อนหลัง 555 สำหรับลูกค้าที่เขี้ยวลากดินอ่ะค่ะ
บางบริษัทก็จะมีการไปออก road show trade fair ที่ตปท. ก็จะได้ไปทำงานด้วยค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นกับลูกค้าที่เจอค่ะ ได้ลูกค้าดีก็สบายหน่อย ถ้าเจอลูกค้าแย่ๆ ทำงานไม่เป็นระบบ เราก็จะแย่ไปด้วยค่ะ
สรุปนะคะ ถ้าเป็นบริษัทที่ลูกค้าเยอะ ธุรกิจไปได้ดี และเป็นงาน custom made ที่ผลิตเองด้วย แถมสินค้านั้นเป็นสินค้าที่มีรายละเอียดเยอะ มีส่วนประกอบมาก และยังมีลูกค้าอยู่ในโซนตะวันตก แถมให้เราดูลูกค้าหลายประเทศมากๆ ก็ให้เตรียมใจได้เลยว่างานหนักสมองมาก และเครียดใช้ได้เลยค่ะ ต้องหัวไว ความจำดีมากพอสมควรค่ะ
แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 52 01:39:41
จากคุณ |
:
By the sea
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ส.ค. 52 01:29:50
|
|
|
|
 |