๐๐๐๐ถึงลูกจ้างที่อยากเป็นนายตัวเอง๐๐๐๐
|
|
ผมไม่ทราบว่าควรจะเอาไปโพสต์กลุ่มไหน แต่เล็งเห็นว่ากลุ่มนี้น่าจะตรงประเด็นของผมที่อยากจะเล่า และถ่ายทอดประสบการณ์ก่อนการตัดสินใจในชีวิตการทำงานของแต่ละคน
เรื่องเป็นแบบนี้ครับ
สวัสดีครับทุกท่าน โดยเฉพาะท่านที่กำลังมีความคิดที่จะลาออกจากงานประจำเพื่อมาสร้างธรุกิจส่วนตัวทั้งหลาย วันนี้ผมมีประสบการณ์ และแนวคิดเล็กๆน้อยๆจากชีวิตจริงของผม ณ ตอนนี้มาเล่าและแลกเปลี่ยนให้อ่านกัน
ผมขอแนะนำตัวแบบคร่าวๆก่อนนะครับ ซึ่งปัจจุบันผมทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านการเกษตร ส่วนอดีตเคยเป็น โปรแกรมเมอร์ และวิศวกรซอฟท์แวร์เล็กๆของบริษัทเอกชนมาหลายแห่งเป็นเวลากว่าสิบปี ผมตัดสินใจลาออก จากงานมาประกอบอาชีพส่วนตัวเมื่อหนึ่งปีที่แล้วหลังรับโบนัสก้อนเล็กๆจากบริษัท กะว่าจะเอาโบนัสก้อนนี้ รวมกับเงินเก็บก้อนหนึ่งมาทำการเกษตรที่บ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งผมมีประสบการณ์ทางด้านนี้มานานเหมือนกัน แต่ลึกๆแล้ว ก็ยังไม่เคยลงมือทำจริงจังสักที
ด้วยใจที่อยากเป็นนายตัวเองสักที บวกกับความโชคดีที่ทางบ้านทำการเกษตรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เครื่อง ไม้เครื่องมือ ที่ดิน อุปกรณ์ทุกอย่าง รวมถึงการบริหารการจัดการ แหล่งเงินกู้ แรงงาน และอื่นๆจิปาถะมากมาย มี ให้เพรียบพร้อมเสร็จสรรพหมดแล้ว แต่กระนั้นผมก็ใช้เวลาครุ่นคิดก่อนตัดสินใจในครั้งนี้ร่วมๆ สองปีได้ ครั้งแรกผมเริ่มปลูกแตงโมกับพี่เขย ซึ่งครึ้งนี้ผมแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เพราะผมยังต้องเคลียร์ ภาระกิจที่กรุงเทพฯ บ่อยๆ จึงไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลและเข้าสวนเท่าไหร่ แต่ด้วยประสบการณ์ของพี่เขยที่ทำ แตงโมมากว่ายี่สิบปี ทำให้ผมมั่นใจได้ว่ามันคงไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ทุนที่ผม ลงไปบวกกำไรที่ได้รับมา กับระยะเวลาเพียงแค่สองเดือนในการลงทุน 10 ไร่หลังหักต้นทุนทุกอย่างแล้วเหลือ กำไรเหนาะๆ ห้าหมื่นกว่าบาท ถือว่าบาทออกบาทเลยทีเดียว แม้อาจจะไม่เท่ากับเงินเดือนที่เคยได้ในระยะเวลา สองเดือนแต่ผมก็ได้เงินเป็นก้อนๆมาทีเดียว ซึ่งต่างจากเงินเดือนที่ได้มานั้น หักค่าน้ำมันรถ หักค้าบัตรเครดิต ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต แทบจะไม่เหลือเก็บเลยในแต่ละเดือน ซึ่งพอเราเห็นเงินก้อนนี้ ก็ทำให้ หัวใจพองโต คิดการณ์ใหญ่ คิดแต่จะได้ เลยตัดสินใจลงทุนต่อ
ครั้งนี้ผมทุ่มทุนในการปลูกแตงโมฤดูกาลใหม่ โดยใช้ทิษฎีและความคิดเห็นทางด้านการตลาดส่วนตัว ล้วนๆ โดยมองว่าระยะเวลาที่ผลผลิตจะออกมาต้องอยู่ในเวลาที่ได้ราคาสูงแน่นอน เพราะชาวบ้านไม่มีใครกล้าทำ แตงโมนอกฤดูการปกติแบบผม ทุนเก่าและกำไรยังไม่ทันใช้ ก็ควักเงินก้อนใหญ่ไปอีกเป็นห้าเท่า เพื่อลงทุน 100 ไร่ ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น เพราะช่วงนี้มีเวลาดูแลเองบ้าง อีกไม่กี่วันก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต ผมก็ติดต่อกับ พ่อค้าเรื่องราคาและได้คำนวนผลกำไรไว้ ด้วยตัวเลขที่คำนวนไว้ทำให้ผมวางแผนอนาคตซะสวยหรู ผมตัดสินใจ บินไปเที่ยวเมืองนอก แม้เงินจะหมดไปกับการลงทุน แต่ผมมีทุนล่วงหน้านั่นคือบัตรเครดิต เที่ยวไปด้วยความสุข ในหัวมีแต่ของที่อยากจะซื้อ อยากจะทำ แต่ลมแทบจับเมื่อทราบข่าวว่าพายุเข้ากระหน่ำทำให้เถาแตงโมยุบ ต้อง รีบเก็บก่อนกำหนด ทำให้ราคาที่คุยเคยกับพ่อค้า ลดลงมากว่า 30% แต่นั่นก็ยังมีกำไรพอควร ได้แต่หัวเสีย แต่ พายุออกก็ไม่มีอะไร สิ่งที่ทำให้ลมจับจริงๆก็ต้องเกิด เมื่อพี่เขยและพ่อค้าแจ้งมาว่า เส้นทางในการขนส่งนั้นถูกตัด ขาดจากสายน้ำ ไม่มีทางไหนเลยที่จะเอาผลผลิตออกมาได้ นอกเสียจากเช่าเฮลิคอปเตอร์ขนเอา!!!!!
หมดครับ แถมเป็นหนี้อีกก้อนเพราะบัตรเครดิตที่สร้างไว้ในเมืองนอกเมืองนา จะลงทุนครั้งใหม่ ก็ไม่มี ทุนจะไปลงกับพี่เขยแล้ว เพราะพี่เขยก็โดนไปไม่น้อยเหมือนกัน นี่เป็นประสบการณ์เจ็บแสบครั้งแรกที่เจอ
เราจะถอยไม่ได้ เราต้องสู้ต้องหาทางเดินต่อไป อย่างที่บอกไว้ว่าพ่อกับพี่ชายมีเครื่องไม้เครื่องมือ ให้ทำครบครัน แต่จะให้ผมไปลงมือทำการเกษตรเหรอ ผมจะเอาแรงที่ไหนไปทำกับเขา เจอแดดก็จะเป็นลมเป็นแล้งไปแล้ว ไม่ ไหว คิดทำอะไรที่ไม่ต้องใช้แรง ไม่ต้องตากแดดดีกว่า ซึ่งก็คิดออกจนได้ พ่อและพี่ชายปลูกอ้อยส่งโรงงานน้ำตาล ไอ้เราปีนี้ก็ไม่ได้ช่วยพ่อช่วยพี่ทำ คงไม่มีหน้าไปขอส่วนแบ่งแน่นอน แต่สิ่งที่ผมคิดได้ก็คือ ค้าน้ำมันดีเซล ซึ่ง ลูกค้าผมก็มีพ่อและพี่ชายนั้นเอง โชคดีของผมที่มีเพื่อนเป็นบริษัทขนส่งน้ำมันรายใหญ่ของภูมิภาคนี้ เครดิตได้ พ่อมีถังน้ำมันไม่ได้ใช้ ส่วนพี่สะใภ้มีหัวจ่ายน้ำมัน ไม่ได้ใช้เช่นกัน เข้าทางผมครับ ยืมและใช้เงินเพียงเล็กน้อยใน การติดตั้งปั๊มหัวจ่ายภายในบ้าน สำหรับเติมรถพ่อ พี่ชาย พี่สะใภ้ ในฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อย วันละกว่าพันลิตร แน่นอนครับ กำไรเหนาะๆ เพราะราคาขายผมก็อ้างอิงจากราคาโรงงานน้ำตาลที่เมื่อก่อนเขาก็เติมที่โน่นเป็น ประจำอยู่แล้ว ต้นทุนมาจากเพื่อน หลังหักค่าใช้จ่ายก็เอาเงินก้อนไปให้เพื่อน ลงล็อตใหม่ไปเรื่อยๆ และผมก็ใช้ เครื่องจักรของพ่อหางานรับจ้างเพราะปกติแล้วพ่อซื้อเครื่องจักรเหล่านี้มาใช้ส่วนตัวแต่ผมมองว่า จะทิ้งไว้เฉยๆ ก็ กะไรอยู่เพราะมันสามารถหางานหารายได้เพิ่มจึงทำควบคู่กันไป แต่ก็ทำได้ไม่นาน สามเดือนปริมาณการใช้ น้ำมันก็ลดลง เพราะฤดูเก็บเกี่ยวอ้อยก็หมดแล้ว และฤดูกาลในการทำงานรับจ้างก็ร่อยหลอลงไปด้วย ซึ่งผล ประกอบการณ์ก็พอใช้หนี้บัตรเครดิตได้ส่วนหนึ่ง ก็ยังค้างอีกส่วนที่ยังต้องหาทางกันต่อไป
เมื่อทางเดิมมันตันแล้ว ก็ต้องหาทางใหม่ เพราะหนี้สินเราล้นพ้นตัวอยู่ อีกแง่มุมหนึ่งที่ผมมองออก โดย ไม่ได้ตั้งใจ นันก็คือการจำหน่ายปุ๋ย ซึ่งผมมองอีกแล้วว่าลูกค้าผมก็คือพ่อนั้นเอง เพราะปกติท่านก็ไปซื้อมาจากที่ อื่นอยู่ดี แต่นี่เราก็หาทุนมาลง แล้วก็เอาผลกำไรส่วนต่างจากพ่อ แทนที่จะเอาไปให้คนอื่น เอามาให้ลูกตัวเองแทน ละกัน ซึ่งปุ๋ยที่ผมนำมาขายนี้ ไม่ใช่ปุ๋ยเคมี เพราะต้นทุนสูงมาก แต่ผมขายปุ๋ยขี้ไก่ เพราะต้นทุนต่ำ กำไรสูง อาจจะ เป็นดวงหรือความโชคดีของผมก็ได้ ที่รู้จักกับผู้จัดการฟาร์มไก่ เลยได้รับเหมาทั้งฟาร์ม ซึ่งมีปริมาณออกมามาก และเป็นที่ต้องการของตลาดมากในช่วงนี้ ทำให้ไม่พอขายกันเลยทีเดียว สุดท้ายพ่อก็ยังไม่ได้ใช้ เพราะผมขายเอา เงินส่วนอื่นมาหมุนเวียนก่อน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ เพื่ออยากแสดงประสบการณ์และความคิดเห็นเกียวกับการที่จะ ลาออกจากงานประจำมาเป็นเจ้านายตัวเองดูนั้น สำหรับผมแล้วมันไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ผมมีพร้อมทุกอย่าง ในด้านงานเกษตรที่จะทำ แต่สิ่งที่ผมขาดคือ ความรอบคอบ ประสบการณ์ในการทำงานจริง และที่ขาดไม่ได้เลย คือ วิถีการดำเนินชีวิตเราเปลี่ยนไปจนแทบจะรับไม่ได้เลย จนทุกวันนี้ถ้าเป็นไปได้ผมคงอยากกลับเข้าทำงาน บริษัทตามเดิม ได้เงินเดือนมา ก็หักค่าเช่า ค่าผ่อนรถ ค่ากิน ค่าบัตร ค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งมันก็พอใช้ในทุกเดือน ผมกลับ มองว่า นี่แหร่ะคือสิ่งที่องค์เหนือหัวของเราสอนไว้ว่า พอเพียง แต่ตอนนั้นผมกับตีความผิดไปว่า การอยู่อย่าง พอเพียงคือการที่ออกไปทำไร่ไถนา ทำพออยู่พอกิน กลับไม่ได้คิดเลยว่า จริงๆแล้ว ตัวเองนั้นเหมาะกับงานแบบ ไหน เหมาะกับการทำหน้าที่อะไร เหมาะกับการดำเนินชีวิตในแนวไหน จึงอยากบอกทุกคนว่า หากคิดที่จะ ออกไปเป็นนายตัวเองนั้น คิดให้ดี คำว่าคิดให้ดีนี้ หมายถึง - คิดให้ดีว่าตัวเองเหมาะกับงานแบบไหน - คิดให้ดีว่าตัวเองเหมาะกับการดำเนินชีวิตอย่างไร - คิดให้ดีว่าสิ่งที่จะไปทำนั้นตัวเองชอบมันจริงๆหรือไม่ หรือเพียงแค่เห็นคนอื่นทำ - คิดให้ดีว่าตัวเองพร้อมมากแค่ไหนที่จะออกไปทำงานนั้นๆ - คิดให้ดีว่าถ้าทำแล้วมันไม่ได้มีทางออกอื่นอีกมั๊ย - คิดให้ดีว่าตัวเองเข้าใจคำสอนขององค์เหนือหัวที่ว่า พอเพียง นั้นดีเพียงพอที่จะออกไปหรือเปล่า
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่าอาจจะพอเป็นแนวทางสำหรับเพื่อนๆได้บ้าง
จากคุณ |
:
ปังแปด
|
เขียนเมื่อ |
:
28 เม.ย. 53 19:00:10
|
|
|
|