ความคิดเห็นที่ 1   1 ทำไมคนที่มีรายได้หลักล้าน ไม่มีชื่อติดอันดับ มหาเศรษฐีในประเทศไทย - ในการสมัครเป็นนักธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าค่ายไหน ก็จะได้รหัสนักธุรกิจครับ  โดยจะเป็น ตัวเลข5-7หลัก ในรหัสนั้นนักธุรกิจ สามารถทำธุรกรรมได้ด้วยการ ยกผลประโยชน์ไปให้ใครก็ได้ครับ พวกเขา จึงไปจดทะเบียน ในนามนิติบุคคลแล้วเปลี่ยนเป็นผู้รับผลประโยชน์แทน   เช่น   นาย สมชาย   มีรายได้หลักแสนต่อเดือน  ก็จะไปจดทะเบียน นิติบุคคล เป็น หจก.สมชาย เทรดดิ้ง หรือ คณะบุคคล หรือบริษัท  เพื่อให้มีผลในเรื่องของ ภาษีครับ   ดังนั้น เมื่อจัดอันดับผู้ที่มีรายได้ระดับต้นๆ  เค้าจะดูข้อมูลจากสรรพากร นั่นล่ะครับ  หจก ที่มีรายได้เดือนละ แสน เดือนละล้าน  คงไม่ได้ติดอันดับเศรษฐีเมืองไทยแน่นอนครับ แต่ก็อาจจะมี คำถามชวนฉงนว่า  แบบนี้ มันก็เท่ากับเลี่ยงภาษีน่ะสิ ก็ไม่แปลกนี่ครับ  บางคน จดทะเบียนหจกมา แล้ว จ้างลูกน้อง คนสองคน คอยดูแล ออฟฟิศ แล้วตัวเองก็ไป หาลูกค้า  องกรแบบนี้ มีให้เห็นเยอะแยะไป   การที่นักธุรกิจเครือข่าย จดทะเบียน แล้วเอาชื่อบริษัทเป็นผู้รับผลประโยชน์ ก็ไม่แปลกอะไรเช่นกันครับ    เค้าทำมาแบบนี้ กว่า 20ปีแล้ว ไม่เห็นมีใครจะมีปัญหาอะไร ----------------------------------------------------------------- 2 ทำไม ไม่เอาคนล้มเหลวมาพูด - คำถามนี้ ตลกที่สุดที่เจอมาเลยครับ  ในระบบคำนวณค่าคอมมิชชั่น  ทางบริษัท เค้าจะไม่มานั่งดูหรอกครับ ว่า สมาชิก ร่วมแสน ถึงล้านรหัส แต่ละคนเป็นยังไงกันมั่ง   ทำได้แค่ ตรวจสอบจากการประมวลผลว่า เดือนนี้ มีคนทำคุณสมบัติ นั้นได้กี่คน ซึ่งระบบจะคำนวณรายได้อัตโนมัติ เปรียบเทียบเหมือนกับ สรรพากร  ค้นหาผู้ที่มีรายได้สูงที่สุดนั่นล่ะครับ    เค้าก็ดูว่าใครเสียภาษีสูงที่สุดนั่นเอง ดังนั้น นักธุรกิจ คนไหน ทำสำเร็จ ไม่สำเร็จ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อของ บริษัทเค้าไม่รู้หรอกครับ  เค้ารู้แต่ว่า คนสำเร็จนั้นหมายถึง พิชิตเกียรติ์รางวัลต่างๆ ได้กี่คนในเดือนนั้นๆ ฝากให้คิดครับ :  ต่อให้เอาคนล้มเหลวมาพูด แล้วเค้าจะให้มาพูด เพื่อ? จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:03:20

ความคิดเห็นที่ 2   3 ไปจดทะเบียนหุ้นส่วนกับเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่ - นักธุรกิจ เค้าจะบอกว่าเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท   ซึ่งเมื่อไหร่ฟัง  คุณจะมองเป็นลักษณะ จดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของบริษัทเลยใช่มั้ยครับ แต่สิ่งที่เป็นจริงก็คือ  นักธุรกิจ เหล่านี้ ไม่ได้ไปจดอะไรกับเค้าหรอกครับ แต่ ยอด ขายของบริษัทจะเกิดขึ้น ภายใต้องกรของนักธุรกิจนั่นเอง   ถ้า ยอดขายนักธุรกิจคนนี้ สร้างได้ 1ล้าน   ยอดนี้ก็จะขึ้นบริษัทด้วย 1ล้านบาทเช่นเดียวกัน  และ บริษัทจะปันผลมาให้กับนักธุรกิจ ตาม% ของ ของยอดนั้นๆ ถ้า ยอด ตกรายได้บริษัทก็ตก  ถ้ายอดขึ้น รายได้ นักธุรกิจก็ขึ้นด้วย  เปรียบเสมือนเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทครับ แต่  แล้วมันจะต่างกับ เซลส์บริษัทยังไงล่ะ เซลส์บริษัท ได้ยอดเยอะ ยอดขายบริษัทก็เยอะ   ก็ได้ค่าคอมเยอะ   สิ่งที่ต่างคือ เซลส์มีเงินเดือน ดังนั้น พวกเค้ามีเจ้านาย ส่วนนักธุรกิจเครือข่าย ไม่มีเงินเดือน จึงไม่มีเจ้านายครับ ---------------------------------------------------------------- 4 ทำไมรายได้เฉลี่ยต่อคนน้อยจัง สำเร็จไม่กี่คนหรอก -คำถามนี้ เจอบ่อยครับ   คือมีหลายคน พยายามเอาข้อมูลจำนวนสมาชิกของบริษัทขายตรงนั้นๆ มาหาค่าเฉลี่ยรายได้ต่อบุคคล   ผมอยากจะบอกว่า มันเป็นเรื่องที่ ไม่ควรจะเอามาคำนวณครับ เพราะ  ทุกธุรกิจ ทุกงาน มีเงื่อนไขของมันครับ   ธุรกิจเครือข่าย มีเงื่อนไข อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ  สร้างเครือข่าย  ใครสร้างได้มากที่กว่า เร็วกว่า รายได้ก็มากตามตัว     เช่น  คนที่สำเร็จในบริษัทนี้  ต้องมีเครือข่าย 1000 คน จึงจะมีรายได้หลักแสน ณ วันที่ คนที่ 1 มีรายได้หลักแสน  ผมถามว่า คนที่ 1000 มีรายได้แล้วเหรอ? แน่นอนครับ ยังไม่มีแน่ๆ เพราะเค้ายังไม่สร้างเครือข่ายเลย ในธุรกิจนี้  หลายคนสมัครมาเป็นนักธุรกิจ แต่ไม่ได้ทำครับ   หลายคนเพิ่งเริ่มต้น  เพิ่งมีคนในองกร  แต่ไม่มียอดซื้อเกิดขึ้น  แล้วเค้าจะมีรายได้ ได้อย่างไร   ----------------------------------------------------------------- 5  ถ้ามันดี ทำไมไม่ทำเอง จะได้รวยคนเดียว มาชวนทำไม   -คำถามนี้ ยี้สุดๆแล้วครับสำหรับ คนเครือข่าย   ธุรกิจนี้ ไม่ได้ให้ขายของ แต่ให้สร้างเครือข่ายผู้บริโภค เค้ามาชวนคุณให้เป็นเครือข่ายเค้านั่นล่ะ  แต่เค้าต้องช่วยให้คุณมีองกรเหมือนเค้า คุณถึงจะมีรายได้ ธุรกิจนี้ ต้องดึงคนขึ้นมา เราถึงจะมีรายได้ครับ  ไม่ใช่เหยียบให้คนอื่นจมเราถึงจะขึ้นตำแหน่ง เค้ามาชวนคุณซื้อของ และแนะนำ    คุณไม่ได้เป็นลูกน้อง ลูกจ้างอะไร  ดังนั้น แค่ไปซื้อของใช้ด้วยการเปลี่ยนที่ซื้อมันยากเหรอครับ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:04:00

ความคิดเห็นที่ 3   6 ไหนว่าเป็นเจ้าของธุรกิจไง  ที่ไหนได้ เป็นเซลส์แมนชัดๆ - คุณ เคยเห็น เจ้าของร้าน ขายครีม  ตามห้างหรือจะเป็น เอเยนต์ ดีลเลอร์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์  จะยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ ถามว่า เค้าเป็น เจ้าของธุรกิจ หรือเป็น เซลส์ที่คอยดันยอดให้สินค้านั้นๆ มองในมุมหนึ่ง พวกเค้า ไม่มีเจ้านายครับ เค้าซื้อสินค้า ยี่ห้อนี้แล้วมาเช่าที่ในห้างเป็นร้านค้า เค้าอยากเปิดก็เปิดอยากปิดก็ปิด และที่แน่ๆ รายได้เค้าเกิดจากการซื้อสินค้านั้นๆ มาขาย เดือนไหนไม่ซื้อก็ไม่มีรายได้จากสินค้านั้น และทุกครั้งที่ซื้อก็เป็นการรักษายอดให้กับเจ้าของสินค้านั้นๆ ถ้ามองอีกมุมนึงล่ะ   เค้าก็เป็นเซลส์อิสระนั่นละขายของ ทำยอด (บางบริษัท ยอดถึงมีแจกทอง และพาไปเที่ยว ตปท.) ต้องซื้อของมาตุน ทำยอดทุกเดือนๆ เคยมั้ยครับ เจอเพื่อน แล้วเพื่อนบอกว่า ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่   ถามว่า ขายอะไร ตอบว่า ขายมือถือ   ขายครีม ขายเครืองใช้ไฟฟ้า  ฯลฯ    คุณมองเค้าเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือเซลส์? ---------------------------------------------------------------- 7 ไม่เคยเจอใครทำสำเร็จ -เจอสิครับ  ประเด็นก็คือ คุณไปอยู่ในที่เดียวกับที่พวกเค้าอยู่มั้ยล่ะ ลองคิดดูครับว่า ใน1วัน คุณอยู่ในบริษัทกี่ชั่วโมง  อยู่ร้านกี่ชั่วโมง อยู่บ้านกี่ชั่วโมง ถ้าจะบอกว่า เห็นน้องๆ พี่ๆ ที่ทำงานทำอยู่ ไม่เห็นสำเร็จเลย  ลองไปถามเค้าว่า เค้าเข้าระบบมั้ย แล้วทำแบบไหน  เอาเศษเวลามาแลกก็ได้เศษเงินกลับไป คนสำเร็จเค้าก็อยู่ในระบบนั่นล่ะครับ อยากเจอคนสำเร็จเค้าก็อยู่ในเซนเตอร์เค้าล่ะ  เค้าจะมาเดินตามตลาด หรือ เข้าๆออกๆในบริษัทคุณเหรอ พระที่เคร่งในศีลในธรรม  ท่านก็อยู่วัด  อยากเจอท่านก็ไปที่วัดครับ พระที่ไม่เคร่ง ก็อยู่ตามห้างครับ  อยากเจอก็ไปที่ห้างครับ นักธุรกิจเครือข่ายที่สำเร็จ ก็อยู่ในเซนเตอร์และงานต่างๆครับ นักธุรกิจเครือข่ายที่ทำแบบไม่สำเร็จก็อยู่ในออฟฟิศคุณนั่นล่ะครับ ทำทำทำ แล้วก็กลับบ้าน ไม่เข้าไปเรียนรู้ ไม่ขับเคลื่อนคนเข้าระบบ แล้วก็อยู่หน้าจอคอมฯทั้งวัน ----------------------------------------------------------------- 8 ทำไมของแพง - หลายคนคิดว่า สินค้าขายตรงแพง กว่าท้องตลาด   นี่คือเรื่องจริงครับ แต่ถ้าบอกว่า แพงเพราะเอาไปปันผลให้สมาชิกแล้วแพง   นี่ก็เรื่องจริงบางส่วนครับ แต่ที่ผมบอกว่าจริงนั้น เพราะว่า เค้าตัดขั้นตอนบางอย่างออกไป เช่น การจ้างเซลส์ ทำยอดให้เงินเดือน+ค่าน้ำมัน เอาสินค้าไป ยัดตามออเดอร์ของร้านค้า ตาม ตจว ,  ไม่ได้โฆษณา ออกสื่อทีวี  ,  ไม่ต้องส่งขายหลายทอด เค้าเอาเงินส่วนนี้ มาแบ่งจ่ายให้นักธุรกิจครับ  แต่อยู่ที่ว่า แต่ละคน จะทำโครงสร้างได้ตรงตามที่บริษัทระบุไว้หรือเปล่า   อาจมีคำถามแปลกๆ  มาถามว่า  “ถ้ามันตัดช่องทางบางอย่างไป ราคามันน่าจะถูกลงสิ” ผมก็อาจจะตอบไปแบบโง่ล่ะครับ  ว่า “ราคาถูกได้ครับ แต่ไม่มีเงินมาแบ่งให้คุณนะ” บางคนบอกว่า มันแพง  จริงๆแล้วสินค้า มันจะบอกต่อได้ คุณภาพ วัตถุดิบ ส่วนผสมต่างๆ มันต้องใช้เกรดที่สูงกว่าท้องตลอดครับ  แล้วบวกราคา ประมาณเรทเดียวกับ สินค้าในเกรดเดียวกัน ฝากให้คิดครับ :  บางคน คิดว่าการซื้อสินค้าขายตรงมาใช้ มันแพงเกินควร เพราะ เอาไปแบ่งให้กับสมาชิกหลายๆทอด ทั้งทั้งที่ ใช้แล้วชอบมาก  แต่ก็พาลไม่ซื้อ และเกลียดธุรกิจนี้ไปเลย   เรื่องนี้ ก็คล้ายกับ กรณีที่เราๆ  ซื้อ ชาเขียวขวดละ 20 บาท กินเป็นประจำนั่นล่ะครับ  แต่เมื่อ รู้ว่า ต้นทุน แค่3 บาท บางคนก็พาลเลิกซื้อไปเลยก็มี  ไม่รู้จะกลัวอะไรนะครับ  สงสัย กลัว ผู้ผลิตรวย   แต่บางคนก็ซื้อกินต่อไป เพราะซื้อได้ไม่เดือดร้อน และ อร่อย พอใจ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:04:47

ความคิดเห็นที่ 4   9 กลืนน้ำลายตัวเอง ไหนว่าไม่โฆษณา แล้วที่เห็นในทีวีล่ะ -ทุกวันนี้ เราอาจจะเห็นโฆษณา ตามทีวี สำหรับ 3บริษัทขายตรง อย่างแอมเวย์ กิฟฟารีน และ คังเซน นะครับ ไหนว่า เค้าห้ามโฆษณา ไง?   จริงๆ ไม่ได้มีข้อห้ามครับ แต่เป็นเพียง คอนเซปที่ว่า ไม่เอาเงินมาลงทุนในส่วนนี้แล้วมีงบไป จ่ายให้สมาชิก การโฆษณา จุดประสงค์หลักๆ นั้นมีแค่ 2อย่างครับ 1 สร้างแบรนด์  การสร้างแบรนด์โดยใช้สื่อต่างๆนั่น เป็นเพียง ขั้นตอนหนึ่งของการทำตลาดเท่านั้น และช่องทางทีวี เป็นสื่อที่ทำให้คนรู้จักได้เยอะและไวที่สุด   2 ย้ำแบรนด์ เรียกอีกอย่างก็คือ สร้างภาพลักษณ์นั่นเอง  เจ้าของสินค้า ต้องการให้ ผู้บริโภค ไว้วางใจสินค้า และเชื่อมั่นในตัวบริษัทครับ ถามว่า  บริษัท ที่ทำตลาดแบบขายตรง  ต้องสร้างแบรนด์มั้ย   คำตอบคือ  จะโฆษณาหรือไม่ คนก็บอกต่อกันอยู่แล้ว  ถ้าคุณใช้สินค้าแล้วดี  ก็บอกต่อเพื่อนง่ายๆ   ถ้ามันไม่ดี คุณบอกเพื่อนว่า ไงครับ ? ** คุณเริ่มรู้จัก บริษัทเหล่านี้ จากไหน   จริงๆแล้ว รู้จักก่อนที่เค้าจะโฆษณาใช่มั้ยครับ ** ดังนั้น ที่เราเห็นในทีวีตอนนี้ นั่นคือ บริษัท ที่เปิดมา มากกว่า 10ปีแล้ว  เค้าโฆษณา เพื่อต้องการตอกย้ำแบรนด์เท่านั้นเอง ทิ้งท้ายอีกเรื่องครับ  น่าจะมี คำถามตามมาอีกว่า ไหนว่าไม่โฆษณาเลยจ่ายให้สมาชิกได้ แล้วตอนนี้ล่ะ หมายความว่าไง ? ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆครับ   -ปีแรกๆ-  ต้นทุน+กำไร 40%   เปิดศูนย์ 10%  จ่ายสมาชิก 50%           -10ปีหลัง- ต้นทุน+กำไร 40%   โฆษณา 10%  จ่ายสมาชิก 50% สรุปคือ  1 -ปีแรก ไม่จำเป็นต้องโฆษณา เอางบไปขยายสาขาดีกว่า                   2- ผ่านไปหลายปี สาขาทั่วไทยแล้ว เอางบไปโฆษณาก็ไม่เสียอะไร ---------------------------------------------------------------- 10 ถ้าสินค้าดีจริงทำไม ไม่โฆษณา ทำไมไม่วางขายในห้าง -  คุณอาจจะเห็นสินค้าหลายตัวโฆษณา ในทีวี ทำให้คุณมั่นใจมากขึ้น  มีผลให้คุณเก็บไว้เป็นตัวเลือกหนึ่งเวลาเลือกซื้อสินค้าประเภทนั้น ๆ แต่เมื่อซื้อใช้แล้วไม่ประทับใจ คุณไปโวยวายเค้ามั้ยครับ สิ่งที่คุณทำก็คือ เลิกใช้เลิกซื้อแล้วบอกเพื่อนต่อว่า มันห่วย     สินค้าที่โฆษณานั้น ไม่ได้บ่งบอกเลยครับ ว่าจะเป็นสินค้าที่คุณภาพ ดีที่สุด แค่คุณคิดไปเองต่างหากว่ามันดี    ยกตัวอย่าง อาหารสุนัขก็ได้ครับ คุณลองไปถาม สัตวแพทย์ตามคลินิกสัตว์เลี้ยงดูสิ  เค้าจะบอกเลยครับว่า อาหารสุนัขที่โฆษณาในทีวี จัดอยู่ในเกรด C+  ถึง B  เท่านั้น      ส่วนเกรด A ไม่ได้โฆษณาครับ  แต่  เป็นอาหารสุนัขที่ สัตวแพทย์แนะนำ ถ้าพูดถึงในเรื่องของ การวางขายในห้างสรรพสินค้า   หลายคนจะมั่นใจว่ามันต้องเป็นของดีใช่มั้ยครับ ซื้อของห้าง แพงกว่าข้องนอกอีก  แต่มั่นใจ เพราะคิดว่า มันแพงกว่า ต้องคุณภาพดี  มั่นใจว่า มันขึ้นห้างได้มันต้องดี      ผมอยากจะบอกว่า การเอาสินค้าขึ้นห้าง ก็เป็นเพียงช่องทางกระจายสินค้าช่องทางหนึ่งนั่นเอง โดยห้างสรรพสินค้า ถือเป็น เพียง ตลาด เท่านั้นเอง    ห้างสรรพสินค้า  เป็นเพียงการบริหาร อสังหาริมทรัพย์ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น  ซึ่ง ห้างที่มีคนเข้าเยอะ ก็ย่อมเก็บค่าที่สูงๆได้  คิดง่ายๆก็เหมือน ตลาด แถวสะพานใหม่นั่นล่ะครับ สินค้าของธุรกิจเครือข่าย ไม่เอามาวางในห้างครับ เพราะจะกระจายทั่วประเทศต้องเสียค่าเช่าพื้นที่เดือนละเท่าไหร่?   คำนวณเอาเองครับ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:05:17

ความคิดเห็นที่ 5   11 ไม่ขายแล้วจ่ายได้ยังไง เป็นแสน - คำถามนี้เจอทุกยุคเลยครับ นั่นหมายความว่า จะผ่านมากี่ปี ก็จะมีคนที่ไม่เข้าใจมากอยู่ทีเดียว ดูตามนี้ก่อนครับ     A-  เรา  ---->  เบิกสินค้า ----> ขาย  ----> ส่งเงินเข้าบริษัทและปันผล  (เซลส์บริษัท)     B-  เรา ---->  ซื้อสินค้า ---->บวกราคา ขาย----> หักกำไร                             (ธุรกิจส่วนตัว)     C- เรา ---->ซื้อสินค้าไปใช้----> แนะนำ---->เพื่อนซื้อตรงกับบริษัท---->บริษัทปันผล   (ธุรกิจเครือข่าย) ผมยกตัวอย่าง 3แบบ เพื่อให้เห็นที่มาของเงินครับ จะเห็นนะครับ  ไม่ว่า จะ ABC  เงินที่จะถูกจ่ายกลับมานั้น เป็นเงินที่เกิดจากการขายหรือซื้อของเพื่อนเราทั้งนั้น มันต่างกันแค่ขั้นตอนเท่านั้นเอง ในธุรกิจนี้  เป็น แบบ C   แต่ก็มีหลายคนทำแบบผิดๆ ด้วยการไปทำแบบ B อยู่   คนไหนทำแบบ B ทำไม่นานก็เลิกครับ   ไม่แปลกเลยที่หลายๆคน จะบอกว่า เห็นเพื่อนมันมาขายให้แล้วมันก็เลิกไป เค้าทำผิดวิธีไงครับ แล้วมันจะได้เป็นแสนได้ยังไง?   น่าคิดนะครับ คำถามนี้   ผมจะยกตัวอีกละครับ    เงิน 100 บาท   หักแบ่งจ่ายสมาชิก ไป 50 บาท โบนัสคือ  50 บาทนั่นล่ะครับ จะแบ่งจ่ายให้ใคร จะไม่ถูกแบ่งให้เราคนเดียวแน่ครับ แต่จะแบ่งให้คนที่ทำโครงสร้างได้ตามที่บริษัทกำหนด อยู่ที่ใครทำได้มากกว่ากัน   ดังนั้น เริ่มต้นคุณอาจจะได้จริงๆ แต่ 20 บาทก็ได้ แต่ถ้ามีคนในองกรเราซัก 1000 คนละก็แปลว่าเราจะมีรายได้ถึง 20000บาทเลยใช่มั้ยครับ และถ้าเรามีคนในองกรถึง 10000 คนล่ะ  คุณอาจจะไม่ได้แค่20 %ของแต่ละคน คุณอาจจะได้ 50% ของยอดรวมทั้งหมดเลยก็ได้ และในความเป็นจริง พวกเค้าไม่ได้ซื้อคนละ 100บาทนะครับ  เค้าซื้อกันเดือนละ1000ล่ะ  ได้เท่าไหร่ครับ? ---------------------------------------------------------------- 12 เน้นหาคน ไม่เน้นขายของ  ทุเรศ -  ไม่ทุเรศหรอกครับ  ธุรกิจเครือข่าย เค้าเน้นสร้างองกร  ต้องชวนคุณสมัครเป็นสมาชิกซื้อสินค้าอยู่แล้ว แต่ ถ้ามองตาม พระราชบัญญัติขายตรง  ในนั้น จะเขียนว่า  เป็นการซื้อของไปขายถึงหน้าบ้าน ซึ่งนั่นก็ถูกครับ เอาไว้ใช้กับ SLM  (single level marketing)  แต่ธุรกิจเครือข่ายนั้น MLM (multi level marketing) หรือ Network marketing   เค้าไม่เน้นขายแล้ว  เค้าให้สร้างเครือข่าย และตอนนี้ ก็มีการร่าง แก้ไขพระราชบัญญัติขายตรงใหม่อยู่นะครับ หลายคนคิดว่า เน้น กินค่าสมัคร  ซึ่งลองมาคิดในแง่ความจริง ค่าสมัคร 300 -500-600 -900   ถ้าหากินกับค่าสมัคร  คุณต้องชวนคนเดือนละกี่คน ถึงจะมีรายได้หลักแสน สมัครเป็นรายปีใช่มั้ยครับ   ผมว่า ไปขายประกัน ออมทรัพย์รายเดือน จะง่ายกว่ามั้งครับ ----------------------------------------------------------------- 13  ไม่เห็นมีคนสำเร็จเอาเงินมาต่อธุรกิจอื่นเลย -คนที่สำเร็จในธุรกิจนี้ มีเวลา และมีเงินแล้ว   ทำไมเค้าต้องเอาเงินไปลงทุน จ้างคน มาทำธุรกิจเพิ่มล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่ที่พวกเค้าทำ คือเอาเงินไปต่อเงิน ในส่วน Invester เค้าทำกันซะมากกว่า จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:06:07

ความคิดเห็นที่ 6   14 ใช้ความโลภทำธุรกิจ สอนให้ฟุ่มเฟือย -ที่พวกคุณทำงานกันทุกวันนี้เพื่ออะไร เหรอครับ  ต้องการให้ชีวิตดีขึ้นใช่มั้ยครับ แล้วดีขึ้นหรือยัง   งานในธุรกิจเครือข่าย เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งเท่านั้นครับ   อาจมีบางคนบอกว่า เค้าพอแล้ว ไม่ต้องการอะไรแล้ว กินอิ่มนอนหลับก็ดีแล้ว   ซึ่งก็ถูกครับ แต่เอาเรื่องจริงมาพูดกัน  ทุกวันนี้ มีคนที่เพียงพอ กี่คนที่พอใจกับสิ่งที่เป็นมีกี่เปอร์เซนต์ เวลาเทศกาล เห็นคนแย่งกันขึ้นรถกลับบ้านมั้ยครับ  ถ้าเลือกได้อยากไปอยู่ที่บ้านใช่มั้ยครับ แต่ปัญหาคือ ที่บ้านเกิดเค้าไม่มีงานให้ทำไง ถึงต้องมาทำงานในเมืองหลวง ความจริงก็คือความจริงครับ   เราทำงานเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อพบว่ามีเครื่องมือที่สร้างรายได้ไม่จำกัด  แล้วเมื่อพวกเค้าทำได้ เค้าก็อยากได้สิ่งที่เค้าไม่มีไง หลายคนไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เมื่อพวกเค้ามีเงินที่จะซื้อรถดีๆได้ คุณจะไปเดือดร้อนแทนเค้าทำไมครับ บางครั้งเราเห็นว่า รถBenz   BMW เป็นรถหรู คิดมั้ยครับว่าทำไมคนรวยซื้อล่ะ เพราะพวกเค้าไม่ได้คิดว่ามันแค่หรูไง เค้าอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดมากกว่า มันแข็งแรง มันปลอดภัยกว่ารถญี่ปุ่นต่างหาก   ทุกคนอยากได้อยากมีทั้งนั้น อย่าลืม ว่าความจริงคุณอยู่ในโลกเดียวกันกับพวกเค้า   ถ้าคุณ บอกว่า ไม่อยากได้รถ ก็อย่าซื้อรถสิครับ   หรือว่าคนซื้อรถญี่ปุ่นไม่ฟุ่นเฟือย  คนซื้อรถยุโรปฟุ่มเฟือย ถ้าคุณบอกว่า ไม่อยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ ก็ดีครับจะได้ไม่ต้องจ้างคนทำความสะอาด แต่ผู้ประกอบการบ้านคงจะขายบ้านไม่ได้  ต้องเน้นสร้างอพาร์เมนต์ คอนโด ถ้าคุณบอกว่า ไม่อยากเที่ยวต่างประเทศ ก็ไม่เป็นไรครับ หลายคนเค้าอยากเที่ยวครับ คุณเปลี่ยนความคิดเค้าไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าคุณบอกว่า ไม่อยากได้หลักแสน  แต่วันหนึ่งคุณต้องใช้เงินจำนวนมากๆ  คุณจะเอามาจากไหน ถ้าบอกว่าต้องกู้ต้องยืม   ถามตัวเองก่อนครับ ว่า อยากเป็นลูกหนี้เค้าแล้วเหรอ? สรุปแล้ว  ความต้องการแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ คนอื่นเปลี่ยนคุณไม่ได้ คุณก็เอาตัวเองเป็นหลักเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้เช่นกัน นักธุรกิจเครือข่ายทำแบบดีๆมีเยอะครับ แต่ประเภทให้ซื้อของเยอะ โดยบอกว่าจะได้เร็วๆได้มากๆ แบบนี้ก็สมควรโดนด่าว่า โลภมาก ครับ ----------------------------------------------------------------- 15 ไม่ทำขายตรงก็รวยได้ -เห็นด้วยครับ ไม่ทำก็รวยได้  แต่ทำอะไรล่ะครับ ไม่พ้นธุรกิจส่วนตัวใช่มั้ยครับ หรือไม่ก็เล่นหุ้น แล้วมีเงินไปทำ หรือยังครับ? ตอบว่า มีครับ  แต่ มีคน กี่% ในสังคม ในส่วนงานประจำก็ใช่  มีกี่% ที่มีรายได้หลักแสนต่อเดือน คน 100 คน  ทำธุรกิจส่วนตัวได้กี่คนครับ    ผมพูดเลยได้ว่าแค่ 10 คน     เพราะ เงินทุน แล้วทุกคนทำธุรกิจแล้ว จะรุ่งทุกคนมั้ยครับ   ไม่ต้องเถียงหรอกครับ  มันเสี่ยงทุกอย่างล่ะ แต่ ธุรกิจเครือข่ายขายตรง  คน 100คน    เข้ามาทำได้ 100 คนครับ เพราะลงทุนน้อย แต่สำเร็จทุกคนมั้ย  ก็เหมือนกันครับ ไม่ถึง 10คนเช่นกัน เพราะคนกว่า 90 % คุ้นเคยกับการที่เป็นผู้ตาม เป็นลูกน้องให้คนอื่นนำ  เมื่อตัวเองต้องเป็นผู้นำ กลับมองว่า ทำไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเอง ไม่เหมาะ ฯลฯ สารพัดปัญหา   คุณเห็นเรื่องแบบนี้แล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนนั่นล่ะ   มีหัวหน้ากลุ่มกี่คน หัวหน้าห้อง มีแค่1คน   ที่เหลือเป็นได้แค่ผู้ตาม ที่คิดว่า เค้าจะเป็นหัวหน้าไม่ได้ จริงๆ ไม่ได้เป็นการดูถูกนะครับ แต่ความเป็นจริง พวกเค้า ไม่มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองในด้านนั้นๆ อ่านถึงตรงนี้ ผมไม่ได้หมายความว่า พวกเค้าจะสำเร็จไม่ได้นะครับ เพราะคนที่สำเร็จเกือบ 10 % ก็ไม่ใช่หัวหน้าใครมาก่อน แต่ธุรกิจนี้เปิดโอกาสให้เค้าพัฒนาศักยภาพตัวเองจนเป็นผู้นำได้ และพัฒนาองกรให้สำเร็จตามๆกัน สรุปแล้ว ธุรกิจนี้ ให้โอกาสกับทุกคนครับ  อยู่ที่ว่า เห็นมันเป็นโอกาสหรือเปล่า ธุรกิจนี้ เป็นเพียงเครื่องมือ สำหรับคนที่อยากมีรายได้ ที่ไม่ใช่ค่าจ้างครับ  หลายคนมีรายได้เป็นเงินเดือนอยู่แล้ว แต่พวกเค้า ไม่อยากมีเจ้านาย เท่านั้นเอง  ธุรกิจนี้ จึงตอบโจทย์ให้พวกเค้าได้ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:06:41

ความคิดเห็นที่ 7   16ทำไม ใช้วิธีเดิมๆ -วิธีเดิม   ? แล้ววิธีอะไรล่ะ? หลักการง่ายๆในธุรกิจนี้ คือ แข่งกัน พาคนไปสำเร็จ ครับ ไม่ใช่แข่งกันรวย เวลาเค้าชวน หลักๆก็คือ เค้าจะโทรมานัดหมายคุณครับ   การชวนมีการชวนแบบเปิด และแบบปิด เค้าจะวิเคราะห์คุณก่อนครับ ว่า จะชวนคุณแบบไหน ถ้าคุณเป็นคนที่ รับฟังทุกเรื่อง เค้าก็จะบอกเองครับว่า เค้าทำอะไร โทรมานัดเพื่อจะคุยอะไร ถ้าคุณเป็นคนที่ปิดใจกับธุรกิจนี้  เค้าจะชวนแบบปิดกับคุณครับ เค้าจะไม่บอกว่าคืออะไร เพราะจะเสนอกับคุณต่อหน้า    แน่นอนครับถ้าเค้าบอกว่า ทำบริษัท .... อยู่    คุณจะให้เค้าพบมั้ยล่ะ   ไม่ต้องมาโกรธเค้าหรอกว่าทำไมไม่บอกตรงๆ  เพราะฟันธงเลย ว่าบอกตรงๆ คุณจะไม่ไปเจอเค้า   ใช่มั้ยครับ? แต่บางคน ก็สับสนครับ   เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือ ชวนแบบปิด แต่กลายเป็นการหลอกลวง แบบนี้ก็สมควรให้คุณเกลียดครับ ธรรมชาติมนุษย์เรา จะเปิดใจกับคนที่เราประทับใจครับ  ถ้าคุณไม่ประทับใจเค้า คุณก็ไม่เปิดใจหรอกครับ  พวกเค้าจึงต้อง พาคุณไปฟังคนที่เหมือนคุณ  นั่งคือ ชวนไปฟัง อาจจะเป็นเซนเตอร์หรืองานประชุมในโรงแรม หลายคนที่เข้ามาในธุรกิจนี้ ก็เปิดใจในห้องประชุมนี่ล่ะครับ ดังนั้น ไม่ว่าเค้าจะชวนคุณไปฟังยังไง ก็คิดในแง่บวกครับ ว่า อย่างน้อยก็ได้รู้ไง ว่าจะให้ไปทำอะไร ถ้าชอบก็ทำ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องทำครับ   สิทธิ์ของคุณ สรุป   คือ วิธีเหล่านี้ทำให้คนสำเร็จมาหลายปีแล้ว  ถ้าไม่ใช้วิธีเดิมๆ คุณจะสอนให้เค้าทำแบบไหนล่ะ ----------------------------------------------------------------- 17ทำไมบริษัทใหญ่ๆ ไม่ใช้โรงแรมหรูๆจัดที่ประชุม - การสร้างธุรกิจนั้น บริษัทเค้าบอกให้เรา ไปแนะนำคนมาซื้อของ แล้วได้โบนัสกลับไป โดย บริษัท จะผลิตสินค้า สต๊อกสินค้า ให้เรา  แต่ การจะไปชวนคนมาให้ได้มากๆ และสามารถถ่ายทอดแนวคิดที่ถูกต้องได้นั้น  จำเป็นต้องมีสถานที่ ที่เรียกว่า เซนเตอร์ เพื่อให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้ทีละหลายสิบคน   ถือเป็นเครื่องมือในการผ่อนแรง สำหรับนักธุรกิจ  แต่ บางคนอาจจะเห็น เป็นแค่ห้องแถว เป็นแค่ตึกเล็ก ๆ  ซึ่งนั่น เป็นหน้าที่ของผู้นำที่จะจัดหาสถานที่ขึ้นมา โดยไม่เกี่ยวกับ บริษัทแต่อย่างใด บ้างก็คิดว่า การใช้ห้องประชุมนั้น เป็นการล้างสมอง เป็นจิตวิทยาหมู่ ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ จะรู้ครับ ว่า ข้อเสียธุรกิจนี้  คือ ไม่มีเจ้านายและลงทุนน้อย แล้วถ้าไม่อยู่ให้ห้องประชุมเหล่านี้ บอกได้คำเดียวครับ ว่าทำไม่ถึงเดือนก็เลิก   เพราะไม่มีแรงกระตุ้น ขาดแรงบันดาลใจที่ชัดเจน และ ถ่ายทอดวิธีการให้ทีมงานไม่ได้ ** การเข้าไปฟังในนั้น เป็นเครื่องมือช่วย สกรีนคนครับ  คนไหนเปิดใจจะทำ  คนไหนปิดใจ จะออกมาต่อต้าน และโพสด่าในตาบเว็บบอร์ดครับ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:07:18

ความคิดเห็นที่ 8   18 ไม่ใช่หัวๆ ทำไม่ได้หรอก -ถามตัวเองก่อนครับว่า สมัครบริษัทนั้นหรือยัง ถ้ายัง  มีคนแบบคุณเพียบเลย ธุรกิจนี้ไม่ใช่ อยู่ก่อนจะสำเร็จเสมอไปครับ  หลายคนทำในยุคนี้ก็สำเร็จได้ อยู่ที่ว่าใครสร้างองกรได้โตกว่ากัน ----------------------------------------------------------------- 19 ไม่เห็นมีใครกล้าเอารายได้มาโชว์เลย -  การที่จะเอา book bank หรือ สลิป มาโชว์ให้ดูนั้น โชว์ได้ครับ  แต่โชว์เป็นคนๆ ไป (ขอดูก็ให้ดู ไม่ใช้โพสเรื่อยเปื่อย) เพราะเป็นจรรยาบรรณของนักธุรกิจครับ   ต้องไม่โอ้อวด แต่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน พวกคุณไปเค้น ให้  นาย นั่น นายนี้ โพสรายได้ให้ดูในนี้น่ะ เค้าไม่ทำหรอกครับ ถึงแม้เค้าจะยังไม่มีให้โชว์ก็ตาม   แต่ถ้าบริษัท อยากเปิดเผยต่อสาธารณชนก็เป็นสิทธิของบริษัทครับ เพราะถือว่าเอาเรื่องจริงมาเปิดเผย ---------------------------------------------------------------- 20 ไหนว่าหยุดได้ง่าย  พวกที่ได้เดือนละหลักแสน ทำไมไม่หยุดกัน - หยุดได้ รายได้ไม่หยุด  อันนี้เรื่องจริงครับ  เพียงแต่ พวกเค้ายิ่งทำยิ่งมันส์น่ะครับ ถ้าคุณรู้ว่าคุณทำแบบเดิมๆ แล้วรายได้มันเพิ่มจาก 1แสน ไปเป็น 2แสนภายใน1ปี  คุณทำกันมั้ยครับ หลายคนที่อยู่ในงานต่างๆ พวกเค้า กำลังแข่งขันกันครับ ว่าใครจะถึงเป้าหมายอย่างที่ตั้งเป้าไว้ ตราบใดที่พวกเค้ายังไม่ถึงตำแหน่งสูงสุด พวกเค้าก็ไม่หยุดครับ แต่ เรื่องจริงคือ  พวกเค้า ไปไหนก็ได้  ไปเที่ยวก็ได้ หายไปเป็นเดือนๆ เงินก็ยังเข้าบัญชีทุกๆเดือนครับ ----------------------------------------------------------------- 21 สำเร็จไม่กี่คนหรอก -อันนี้ก็เรื่องจริงครับ สำเร็จไม่กี่คนหรอก   ปัจจุบันชีวิตเราๆ ก็อยู่กับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว คนรวยมีน้อยกว่าคนจน   คนขับรถเบนซ์มีน้อยกว่าคนขับโตโยต้า คนเอ็นท์ติดเข้าม.จุฬา ม.ธรรมศาสตร์  ก็  มีน้อยกว่า คนเอ็นท์ไม่ติด เวลาสมัครงาน  สมัคร 200คน  รับเพียง20คน พวกคุณอยากเป็นคนส่วนน้อยหรือคนส่วนมากครับ “ธุรกิจเครือข่ายให้คุณเป็นคนส่วนน้อย ด้วยการใช้เครื่องมือที่ทุกคนสัมผัสได้” ---------------------------------------------------------------- 22 ถ้ารักกันจริง ทำไมไม่ออกค่าสมัครให้ -ถ้าธุรกิจที่ผมทำ สมัคร 500   แล้ว ผมมีเพื่อน 10คน บอกแบบนี้ ผมคงต้องหาเงินมา5000 บาทให้ได้ก่อนสินะครับ จริงๆถามอะไรให้นึกถึงความเป็นจริงบ้าง  เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่รู้ แต่เป็นการปฏิเสธแบบทำให้เพื่อนเสียหน้าครับ   ประโยคแบบนี้ คล้ายกับ ประเภท  “ถ้าทำแล้วรวย เอามายืมซัก2แสนซิ”  ถ้าเป็นคุณ  เพิ่งสมัครมาเมื่อวาน  คุณจะมีเงินเลยเหรอครับ    ตลกมั้ยล่ะ ธุรกิจนี้ไม่ใช้กระโจนเข้าไปแล้วรวยเลย  มันต้องใช้เวลา   รายได้มันจะเริ่มจากน้อย(น้อยมากๆ) ไปจนถึง มากจนใช้ไม่หมด  แต่ต้องใช้เวลา อย่างน้อย ก็เป็นปีครับ ถึงจะมีรายได้หลักแสนต่อเดือน   บางคนเดือนแรกมีรายได้แค่ไม่กี่ร้อยบาทเองครับ      นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่คุณไม่ทำใช่มั้ยครับ   แต่ผมว่า ถ้าทำเดือนแรกแล้วได้หลักหมื่นทุกคน  คุณคงสมัครทำไปแล้วล่ะ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:08:29

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นกระทู้มีความรู้ครับ หลายๆ จุดมีเหตุผล แต่การตอบดูเหมือน "ร้อนตัว" ไปหน่อย จากคุณ : TurnTheLightOn เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:40:39

ความคิดเห็นที่ 10 ฮา และเห็นด้วยข้อสุดท้ายนะ แบบที่ประเภทมาบอกว่า "พอบอกให้ออกตังให้ก็หายไปเลย ไหนว่ารวยไง" คือผมมีเงินพันล้าน ผมก็ไม่ออกให้หรอกครับ  อนาคตคุณเอง อยากเป็นขอทานก็เป็นไป  จิงปะ จากคุณ : ซุปเปอร์เหมียว เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 14:41:34

ความคิดเห็นที่ 11 เพิ่มให้ประโยตนึงรวมเป็น 23 ประโยค รบกวนตอบต่อด้วยนะครับ "ทำไมเวลาสาธิตสินค้าชอบอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง / หลอกผู้บริโภค / โจมตีสินค้าอื่น / พูดความจริงครึ่งเดียว" จะรอฟังนะครับ ^__^ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 15:20:03

ความคิดเห็นที่ 12 ซะยาวเลย ผมอ่านแค่หัวข้อพอ แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว จากคุณ : M.D.Luffy เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 17:02:54

ความคิดเห็นที่ 13 ทำไมชอบเอาความเกรงใจของผู้อื่นมาใช้ประโยชน์ รู้อยู่ว่าคนไทยขี้เกรงใจ มาพูด มาโน้มน้าวต่างๆนานาๆ ครั้นจะทำเป็นไม่สนใจเลย ก็กระไรอยู่ เพราะคนที่มาพูด ก็ต้องมีสัมพันธ์กับเราในระดับหนึ่ง หรือถ้าไม่มีเลย ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำเป็นไม่สนใจคนที่แลดูมีอัธยาศัยดี คือถ้ามาแบบโจรห้าร้อย บังคับให้ซื้อ มันจะปฏิเสธได้ง่ายกว่ามาก แต่มาแบบสุภาพชน แม้เราไม่ได้สนใจจริงๆ แต่ก็ต้องเกรงใจ อันนี้พอเข้าใจมั้ยคะ อีกเรื่องคือเรื่องภาพลักษณ์ ทำไมต้องให้คนทำธุรกิจใหม่ๆ เสพติดภาพลักษณ์ที่หรู โก้ อวดบารมี ต้องไปเช่ารถ หรือซื้อรถแพงๆมาใช้ออกโชว์ลูกค้า ล่าสุดมาที่บ้าน เป็นเบนซ์ แต่พอขอดูทะเบียนว่ามีชื่ออยู่หรือไม่ ก็บ่ายเบี่ยงแล้วทำหน้าแย่ๆใส่ ทุเรศมาก เรื่องสุดท้าย หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อของ MLM จนชีวิตล้มเหลวไปเลยทางสังคม เป็นหนี้เป็นสินมหาศาล บริษัทมีการเยียวยาอะไรบ้างมั้ยคะ ในเมื่อสิ่งที่ทำให้เค้าเป็นแบบนั้น ส่วนนึงมาจากตัวเค้าเองก็จริง แต่อีกส่วนก็เป็นเพราะบรรดาลูกสมุนของบริษัทนั้นน่ะแหล่ะ ยุแหย่ให้ทำในสิ่งที่เกินตัว กู้เงินจากญาติพี่น้องบ้างล่ะ ซื้อรถราคาแพงๆบ้างล่ะ สุดท้ายมันเจ๊งขึ้นมา ไม่มีหมาที่ไหนมาช่วยเลยสักตัว จากคุณ : sadako เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 17:15:17

ความคิดเห็นที่ 14 อืม ยังไม่ค่อยเคลียร์นะ ^^ จากคุณ : หมูทอดกะหล่ำปลี เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 17:29:15

ความคิดเห็นที่ 15 มันน่าจะจบได้แล้วนะ ธุรกิจก็คือธุรกิจครับ หวังกำไร เค้าใจกันได้ แต่ปัญหาคือความน่ารำคาญของคนที่ทำ คุณทำคุณคงไม่รู้สึก จากคุณ : karakob เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 18:18:53

ความคิดเห็นที่ 16   คห 9 ครับ บางอย่างร้อนตัวมั้ย จริงๆ ผมเอาจากที่หลายๆคนโพสไว้ในนี้ มาบอกให้ครับ ----------------------- ความคิดเห็นที่ 11   เพิ่มให้ประโยตนึงรวมเป็น 23 ประโยค รบกวนตอบต่อด้วยนะครับ "ทำไมเวลาสาธิตสินค้าชอบอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง / หลอกผู้บริโภค / โจมตีสินค้าอื่น / พูดความจริงครึ่งเดียว" จะรอฟังนะครับ ^__^ -  รอผมเหรอ   รอต่อไปครับ ------------- คห ที่ 13 ตอบครับ ทำไมชอบใช้ความเกรงใจน่ะเหรอครับ ผมถามกลับว่า ถ้าคุณจะชวนคนมาซื้อของ  คุณจะไปชวนคนรู้จักหรือคนไม่รู้จักก่อน ? แน่นอน แทบทุกคน ต้องไปหาคนรู้จักก่อนครับ  และด้วยความที่มีสายสัมพันธ์เกิดขึ้น หลายๆคนจึงสมัคร และซื้อของเพราะความเกรงใจ ซึ่งถ้า รู้ว่าสมัครเพราะเกรงใจ  ผมก็จะบอกว่า อย่าสมัครเลย เสียดายเงิน ส่วนอีกพวกหนึ่งที่ กลัวคนรู้จักจะปฏิเสธ  พวกนี้ก็เลย ส่งเมลล์ขยะ หาพวกคุณยังไงล่ะครับ  ชวนคนไม่รู้จัก คนสิ้นคิด เค้าก็ทำกันแบบนี้ล่ะ  น่ารำคาญใช่มั้ยครับ - ส่วนเรื่อง การติดหรู ก้เพื่อให้เห้นว่า ธุรกิจนี้ ย่นระยะเวลาในการหาเงินได้ ไม่งั้นเก็บเงินกี่ชาติจะซื้อเบนซ์ขับได้ การที่เค้าเอารถหรูมาให้เห็น ก็เพื่อเป็นรูปธรรม ให้คนใหม่เห็นยังไงล่ะครับ ส่วน เรื่องเช่ารถเบนซ์ แล้วบอกว่าซื้อเอง ก็มีจริงๆครับ  เป็นบางบริษัทเท่านั้น หรือบางบริษัท ก็บอกว่ามีกองทุนเบนซ์ แต่จริงๆ แค่ออกเงินดาวน์ให้เท่านั้นครับ ที่เหลือ ผ่อนกันเอง เรื่องกองทุนรถหรูนั้น  ก็เปรียบเหมือนเงินโบนัสที่จะให้ถ้าคุณขึ้นตำแหน่งได้ แต่เปลี่ยนจากเงินสด เป็นเงินดาวน์รถให้เท่านั้นเอง - ส่วนเรื่องการเยียวยานั้น  บริษัทไม่รู้หรอกครับ ว่าไปยืมเงินไปกู้เงินใครมา  จรรยาบรรณแต่ล่ะบริษัทจะเขียนไว้ว่าไม่ให้ตุนของครับ  กฏจรรยาบรรณมีไว้เพื่อไม่ให้นักธุรกิจเจ็บตัว   ถ้าไม่ทำตามแล้ว เจ็บตัว บริษัทก็ไม่รับผิดชอบอยู่แล้วครับ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 21:22:57

ความคิดเห็นที่ 17 ตาลาย O_O หน้ายึ้ = น่ายี้ จากคุณ : ซ้อเป็ด เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 21:37:15

ความคิดเห็นที่ 18 มาอีก 1 จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 22:35:04

ความคิดเห็นที่ 19 เจ้าของกิจการทุกคนเป็น Saleman แต่ Saleman ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการทุกคน แล้วที่เหลือ ก็แค่กระบวนการ จากคุณ : แพนด้าแดง เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 00:08:22

ความคิดเห็นที่ 20   คห ที่ 11   เพิ่มให้ประโยตนึงรวมเป็น 23 ประโยค รบกวนตอบต่อด้วยนะครับ "ทำไมเวลาสาธิตสินค้าชอบอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง / หลอกผู้บริโภค / โจมตีสินค้าอื่น / พูดความจริงครึ่งเดียว" จะรอฟังนะครับ ^__^ --   การนำเสนอสินค้า เพื่อให้คนเห็นว่ามันดี มันต้องมีการสาธิตครับ แต่บางอย่างก็ เห็นด้วยครับ ว่า ต้มคนดูจริงๆ เช่น เอาวิตตามินซี มาทำให้ ไอโอดีนมันเปลี่ยนสีแล้วบอกว่า ล้างสารพิษ เรื่องนี้ก็ตลกเหมือนกันครับ  เค้าสอนกันมาแบบนั้น ก็เชื่อกันมาแบบนั้น (แต่ผมไม่เชื่อครับ 555) หรือ เห็นคนเอาลิปสติกมาทาแล้วบอกว่า ของท้องตลาดมีสารปรอท  ใช้ของตัวเองดีกว่า แบบนี้ก็โจมตีคนอื่น   น่าด่าเหมือนกันครับ เจอแบบนี้ ผมก็ถอยห่าง แต่นโยบายทุกบริษัท บอกว่า ให้เปรียบเทียบ ไม่ใช่ หลอกลวง หรือโจมตีชาวบ้านครับ ไม่ว่าจะสินค้าแบบไหน หรือทำตลาดแบบไหน  ถ้าคุณได้เป็น นักขาย คุณก็ต้องนำเสนอแต่ข้อดีของตัวเอง ไม่โจมตีคนอื่น แต่ก็มีบางคนล่ะครับ ที่ชอบไปโจมตีผู้อื่น   อันนี้ผมก็เคยเป็นครับ เพราะทำงานด้านฝ่ายขายมาก่อน เซลส์ที่ประสบการณ์น้อยๆ ก็จะศึกษาข้อมูลคู่แข่ง แล้วก็ชอบโจมตีชาวบ้าน ก็มีให้เห็นเยอะเหมือนกัน แต่เมื่อ ประสบการณ์เยอะเข้า ก็จะไม่โจมตีใครครับ เพราะรู้แล้วว่า ลูกค้า จะเปิดใจกับผู้นำเสนอ ที่ให้ข้อมูลที่เป็นความจริง นักธุรกิจเครือข่ายมือใหม่หลายๆคนก็ คล้ายๆกับเซลส์มือใหม่ที่ผมกล่าวถึงนั่นล่ะครับ พวกเค้า ตื่นเต้นก็สินค้าของเค้า ตื่นเต้นกับช่องทางการหาเงินของพวกเค้า ก็จะนำเสนออะไรด้านเดียว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนครับ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 00:12:20

ความคิดเห็นที่ 21 ทำไมต้องขายด้วยวิธียัดเยียด ดูถูกคนซื้อ รถเบนซ์เขาไม่เห็นต้องดูถูกคนใช้โตโยต้า เพราะของเขาดีจริง นี่ของก็ไม่ได้ดีเด่อะไร แต่อาศัยความสนิท เกรงใจ ยัดเยียด หลอกขายเพื่อนเก่า ญาติ ฯลฯ เฮ้อ... ธุรกิจหลอกลวง ดีกว่าเปิดโต๊ะให้คนแทงบอลนิดเดียว จากคุณ : แอบรักสาวใจร้าย เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 08:46:45

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบค.ห.20 สรุปว่าคนทำมันมือใหม่ ยกโทษให้มันเถอะ ไม่พูดถึงผู้บริโภคที่ถูกหลอกมั่งรึครับ? หรือผู้บริโภคผิดเอง เพราะในฐานะผู้บริโภคต้องมีการหาข้อมูลพิจารณาสินค้าด้วยตัวเองก่อน การที่ละเลยไม่หาข้อมูลจนถูกต้มถือเป็นความผิดของลูกค้าเอง แบบนั้นรึเปล่าครับ จากคุณ : sleeper_j เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 10:03:36

ความคิดเห็นที่ 23 ตามความคิดเห็นส่วนตัว ธุรกิจแบบนี้ อาศัยจากความเกรงใจของมนุษย์จริงๆครับ และอาศัยช่องว่างของ ค่านิยมในสมัยใหม่ ด้วย ( จากที่คนเริ่มบูชาเงินและวัตถุมากขึ้น ) ที่คิดแบบนี้เพราะ  ผมเพิ่งสมัครสมาชิกธุรกิจแบบนี้ไป 300 บาท เพราะเพื่อนเป็นคนนำมา พรีเซนต์ให้ฟัง ปกติผมไม่คิดจะทำธุรกิจขายตรงเลย เพราะมันขัดกับธรรมชาติ สันดาน และนิสัยส่วนตัว อย่างแรง แต่ก็เซนต์ใบสมัครไป เพราะอะไรน่ะเหรอครับ  ความเกรงใจที่ผมบอกเมื่อตอนแรกไงครับ ( ทั้งๆที่ยัง พรีเซนต์ไม่จบเลยด้วยซ้ำ ) คือผมเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์ตรงนี้ไว้ เงินแค่ 300 ขอกันกินเมื่อก่อนยังมากกว่านี้ แถม 300 นี้เพื่อนไม่ได้อะไรอีกต่างหาก แค่ถอนทุนคืนที่ไปซื้อใบสมัีครมาแค่นั้น ( สุดท้ายบริษัทได้เงิน ) ป.ล แต่ก็คงจะไม่คิดจะเป็น sv อะไรหรอกครับ เป็นสมาชิกยังงี้แหละ ( แต่มันจะคิดหนักตอนต่อสมาชิกปีหน้าน่ะจิ ว่าตูจะจ่ายตังค์อีกดีรึเปล่าว้า ) จากคุณ : M.D.Luffy เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 12:28:37

ความคิดเห็นที่ 24 พิมพ์มาได้มากขนาดนี้ คุณคงมีผลประโยชน์ หรือ เป็นหนึ่งในนักธุรกิจเครือข่ายสินะครับ สำหรับผมเห็นว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ทำงานนี้ได้ดีครับ ก็ต้องเป็นเบี้ยล่างอยู่ร่ำไป จากคุณ : >>Hunter_One<< เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 12:39:34

ความคิดเห็นที่ 25   คห 22 ถ้าเห็นว่า เค้าหลอกก็ด่าเค้าไปเลยครับ  เพื่อนคุณไม่ใช่เพื่อนผมอยู่แล้ว   อิอิ ส่วนการนำเสนอ โอเวอร์เกิน จริง มันมีทุกวงการครับ ผมแค่อยากจะบอกว่า มันเป็นธรรมชาติ ของคนใหม่ๆ ที่เข้าไปสัมผัส ซักพัก เค้ารู้ว่าไม่เหมาะกับเค้า เค้าจะถอนตัวออกมาเองครับ จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 13:23:28

ความคิดเห็นที่ 26   คห 24  ผมเห็นด้วยกับคุณครับ ใช่ครับ ผมทำเครือข่าย เรื่องส่วนได้ส่วนเสียอะไรนั้น ผมไม่สนใจหรอกครับ เพราะผมรู้อยู่แล้ว ว่าทุกคน คิดไม่เหมือนกัน ต่อให้ ผมพิมให้ข้อมูลยังไง ก็มีคนคิดแตกต่างอยู่ดี เจตนาผม ไม่ได้จะให้ทุกคนคิดเหมือนผม แค่ ให้ข้อมูลตรงๆ ช่วงนี้ว่างๆน่ะครับ  ไม่มีอะไรมาก จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 13:26:51

ความคิดเห็นที่ 27 หน้ายี้   หรือ  น่ายี้ จากคุณ : baicha_o เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 16:33:39

ความคิดเห็นที่ 28 ถามหน่อยว่าธุรกิจนี้ลงทุนน้อย แต่ใช้เวลาไม่นาน อาศัยเพียงความขยันและการสร้างเครือข่ายจริง 1. ทำไมนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ไม่ทำธุรกิจนี้เสริมล่ะครับ เพราะเขาน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นๆ 2. ธุรกิจนี้สร้างรายได้ดี ผลประโยชน์มหาศาล ทำไมคนแรกที่คุณนึกถึง ถึงเป็นเพื่อน ทำไมไม่ใช่คนในครอบครัวล่ะครับ 3. และทำไมธุรกิจแบบคุณนี้ ชอบชวนให้คนออกจากงาน เพื่อทำธุรกิจอย่างเต็มตัว เพื่อที่เขาจะได้หลังชนฝาใช่หรือไม่ ธุรกิจแบบคุณมันไม่สนหรอกว่า ใครจะได้เครือข่าย ทีมงาน หรือขายมาวิธีไหน ขอเพียงแต่ว่ามีคนเข้ามาเพื่อต่อยอด เป็นฐานให้คุณเท่านั้นก็พอ วิธีการรีครูตก็ผิด หากมันดีจริง ทำไมคนสังคมถึงเกลียดธุรกิจแบบนี้มากกว่าครึ่ง และทำไมต้องไปหลอกรีครูตนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ หรือเพิ่งจบล่ะ จากคุณ : rainforce2003 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 20:25:32

ความคิดเห็นที่ 29 อืมม เราว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกนะคะ ที่ชอบชวนคนออกจากงาน คือพี่ชายเราทำเครือข่ายค่ะ เราก็ถามเค้าตลอดอ่ะ ว่ามันได้จริงๆเหรอๆ เราก็เลยตามไปดูวิธีการทำงานของพี่เราอ่ะค่ะ ว่าเค้าทำยังไงถึงมั่นใจว่าทำได้จริงๆ เวลาที่มีทีมงานพี่เรามาปรึกษาเรื่องออกจากงาน พี่เราจะบอกเสมออ่ะค่ะ ว่าอย่าออก ถ้าวันนี้เนื้องานยังไม่มั่นคงพอ เพราะมันไม่คุ้ม แล้วทีมพี่เราก็เชื่อค่ะคือไม่ออกจากงาน ดังนั้นเราว่า การชวนให้คนออกจากงานเราว่า น่าจะขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะคะ เราเห็นพี่เราวิเคราะห์เนื้องานของทีมเค้า ว่ามีเนื่องาน รายได้ และมั่นคง มากพอรึยัง ถึงจะบอกว่าเค้าสามารถออกจากงานได้รึยังน่ะค่ะ แหะๆ งงๆ ป่ะคะ เราว่าเรางงล่ะ55 จากคุณ : เม่นน้อยขนพริ้ว เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 20:37:27

ความคิดเห็นที่ 30 เอมสตาร์แน่เลย  น้องที่ทำงานก็เป็นเอามาก  มาคุยกับเรา ปกติไม่เคย ชวนไปฟังเฉยเลย ตอนที่เค้าอธิบาย  น้องเราตั้งใจฟังมาก หน้าตามีความหวังสุดๆ จากคุณ : ไออุ่นร้อน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 22:49:28

ความคิดเห็นที่ 31   ความคิดเห็นที่ 28 ถามหน่อยว่าธุรกิจนี้ลงทุนน้อย แต่ใช้เวลาไม่นาน อาศัยเพียงความขยันและการสร้างเครือข่ายจริง 1. ทำไมนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ไม่ทำธุรกิจนี้เสริมล่ะครับ เพราะเขาน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นๆ --- นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แบบไหนบ้างล่ะครับ มีเยอะแยะครับ ที่เป็นเจ้าของกิจการ แล้วมาทำเสริม เคยเห็นมั้ยครับ ผมเห็นบ่อย อยากเห็นก็ต้องไป อยู่ในที่ๆพวกเค้าอยู่ครับ 2. ธุรกิจนี้สร้างรายได้ดี ผลประโยชน์มหาศาล ทำไมคนแรกที่คุณนึกถึง ถึงเป็นเพื่อน ทำไมไม่ใช่คนในครอบครัวล่ะครับ --- ก็ชวนคนในครอบครัวก่อนอยู่แล้วนี่ครับ แล้วก็ไปชวนเพื่อน มีหลายครอบครัวที่เค้าสมัครทำกันทั้งบ้านครับ เคยเห็นมั้ยครับ ผมเห็นประจำเลย 3. และทำไมธุรกิจแบบคุณนี้ ชอบชวนให้คนออกจากงาน เพื่อทำธุรกิจอย่างเต็มตัว เพื่อที่เขาจะได้หลังชนฝาใช่หรือไม่ --เพราะเค้าเห็นว่าผลลัพธ์ระยะยาวมันต่างกันครับ คนที่ออกจากงานก็คิดเองเป็นครับ ว่าควรหรือไม่ควร หลายคนทำจนได้เยอะแต่ไม่ออกจากงาน หลายคนทำจนได้เยอะแล้วลาออกจากงาน เคยเห็นมั้ยครับ ผมเห็นประจำเลย ส่วนการหลอกนักศึกษา ก็ยอมรับครับ ไอ้พวกต้มเด็ก มันมีจริงๆ เช่น งานรับส่ง อีเมลล์วันละ 500 งานประชาสัมพันธ์ งานพรีเซนเตอร์ ฯลฯ ที่ทำให้พวกเด็กจบใหม่เข้าใจว่างานประจำ พวกนี้สมควรประนามครับ แต่นักศึกษามาทำแล้วรุ่งมีมั้ย มีเยอะครับ คุณเคยเห็นมั้ยล่ะ ผมเห็นหลายคนเลยล่ะ ...... จากคุณ : หล่อน้อยต่อยหนัก (หล่อน้อยต่อยหนัก) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 53 00:02:53

ความคิดเห็นที่ 32   ต้องยอมรับครับว่าธุรกิจขายตรงมีสองด้าน คนเห็นในด้านไหนก็จะคิดว่ามันเป็นอย่างที่ตัวเองเห็น ผมเห็นคนที่เค้าตั้งใจจริงๆกับมัน หาข้อมูลอย่างดี  แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อนๆก็ตีตัวออกห่าง คุณเคยเห็นไหมละ ผมเห็นหลายคนเลยละ ทุกคนรู้นิ สิ่งไหนที่ทำแล้วดี สิ่งไหนที่ทำแล้วไม่ดี คิดเองได้ คิดไม่ได้ตอนนี้ สักวันก็คิดได้เองแหละ เวลาจะเครื่องพิสูจน์เอง จากคุณ : อยู่อย่างราชา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 13:27:45

ความคิดเห็นที่ 33 ผมว่านะมันมีสองด้านจริงๆ หลังจากได้อ่านที่ จขกท อธิบาย มันก็จริงอย่างเค้าว่าน่ะแหละ  ส่วนอันที่เพื่อนๆตีตัวออกห่างนี่ ก็คงเป็นเพราะขายไม่เป็นรึเปล่า เน้นแต่จะขายลูกเดียว   มันก็เหมือนกับตอนเราไปซื้อของที่ห้างแล้วพนักงานพูดฉอดๆๆ ตามติดไม่ยอมให้เราเลือกของเอง เจออย่างงี้ก็ไม่ไหว  ก็คงจะทำนองนี้ ทุกอย่างมันก็อยู่ที่วิธีของแต่ละคนน่ะแหละ ผมว่าก็โอเคนะสำหรับขายตรง จากคุณ : okpgvd เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 21:24:13

ความคิดเห็นที่ 34 ชอบความเห็นที่ 33 คะ เห็นภาพมากเลย ทุกอย่างมันมี 2 แง่คะ แล้วแต่คนทำ แต่เนื่องจากว่า มันมีเรื่องของเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องไงคะ หลายๆ คนเลยเผลอแสดงความเป็นตัวตนจนลืมจรรยาบรรณ ออกมา แต่ก็มีเยอะนะคะทีค่ยังคงไว้ซึ่งจรรยาบรรณ และยังเป็นเพื่อนที่น่ารักเหมือนเดิม แม้จะทำ MLM ตรงข้ามปานยังรู้สึกว่าเค้าดีขึ้นนะ ด้านนิสัย ทุกสิ่งในโลกล้วนมี 2 ด้าน ปานยืนยันคะ แล้วแต่คนทำ ...แต่ คุณๆ ที่เกลียด MLM กล้ายืนยันมั้ยคะว่า ในโลกนี้มีคนดีมากกว่าคนชั่ว และคุณเองก็ทำงานโดยจรรยามากกว่าเพื่อเงิน หากเช่นนั้น ปานก็เห็นด้วยคะว่า MLM น่ารังเกียจ แต่ถ้าไม่ใช่ มองอย่างสัจธรรมเถอะนะคะ..มันก็แค่ธุรกิจ อยากให้เป็นกลางคะ ..ในฐานะนักจิตวิทยาคนนึง แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 53 23:56:58 จากคุณ : Pancheeva เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 23:55:08