CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ผมลาออกจากงาน แล้วครับ

    ผมมีอะไรจะมาถ่ายทอดให้ฟังนะครับ
    อาจเป็นกำลังใจให้ใคร ๆ ได้นิดหน่อยนะครับ
    ผมพึ่งจะลาออกจากบริษัทต่างชาติแถวสีลมครับ
    อยากเล่าประสบการณ์ให้ฟังครับ
    จากเด็กทำงานร้านอู่ วันละ 120
    มาทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์วันเดือนละ 20000 ครับ

    ผมภูมิใจว่ามันแทบไม่น่าเชื่อเลยในชีวิตผม


    ตอนนี้ผมอายุ 25 ครับ ผมเรียนไม่จบ ป.ตรีครับ
    ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดไม่ชอบ กทม คิดว่าน่าเบื่อไม่น่าอยู่
    ผมจะเล่าความรู้สึกให้ฟังนะครับ

    ตอนสมัยที่ผมเรียน ผมไม่เกเรนะครับ แต่ว่าติดหญิงครับ
    ก็ไม่เรียนครับ ชอบไปเรียนแต่ไม่เข้าเรียน ไปรอสาวเมื่อไรเธอจะเลิกเรียนจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน

    สุดท้ายก็เรียนไม่จบ

    พอเรียนไม่จบ ผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ผมก็ไปทำงานร้านเน็ทวันละ 100
    ตอนนั้นผมอายุ 18 ผมทำร้านเน็ทได้ประมาณ ปี กว่า ๆ ก็ได้เพิ่มจนถึง 160 ละ ครับ
    เพราะว่างานมันหนักนะครับ

    อยู่มาวันหนึ่งพี่ชายผมก็คือลูกของป้าผมนะครับ ก็ได้หุ้นกับเพื่อนเพื่อเปิดร้านเน็ทกันนะครับ
    ผมก็เลยต้องไปช่วยพี่ผมทำงานที่ร้านเน็ท
    พี่ ๆ ของเพื่อนผมก็ยังไม่มีงานทำกัน
    คงอายุประมาณ 23-24 กันทั้งนั้นนะครับ
    ร้านเน็ทก็เป็นร้านเล็ก ๆ นะครับ มันเป็นร้านหุ้นส่วนสุดท้าย ก็ต้องมีปัญหากัน

    มันเริ่มจากที่ แม่ของเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง ต้องการให้ลูกชายออกมาทำงานมากกว่า
    เพราะเขาคิดว่าการเรียนจบสูง ก็ควรจะได้ทำงานที่บริษัทดีดีและมั่นคงด้วย

    เมื่อเพื่อนคนหนึ่ง ออกมาทำงานได้ คนอื่น ๆ ก็อยากจะไปหางานทำบ้าง

    สุดท้ายจากหุ้นส่วน 5 คน ก็กลายมาเหลือ 2 คนที่ยังทำอยู่และบวกกับผมเป็นคนช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

    ขนาดเหลือกัน 2 คน ก็ยังไม่วายจะมีปากเสียงกัน (เนื่องมากจากการเอาเงินไปพนันบอลแล้วไม่บอก)

    สุดท้ายร้านเกมส์ ก็ต้องพังไปตามระเบียบแบ่งแยกคอมกันและเอาไปขายแบ่งเงินกันไป
    แล้วพี่ ๆ ก็ไปทำงานที่ กรุงเทพกัน


    ส่วนผม ก็คงจะกลับไปทำงานร้านคอมไม่ได้แล้วเพราะว่า มีคนมาทำแทนแล้ว


    ผมก็เลย ไปทำงานร้านอุ่ซ่อมรถครับ ก็ไปช่วยกวาดร้าน รับของที่จะมาซ่อม
    บอกตรง ๆ ครับช่วงนี้ผมเหมือนชีวิตจะไร้อนาคตไปแล้วครับ ทำงานร้านอู่รถ วันละ 120 บาท
    ตัวมอมแมม เลอะน้ำมันเครื่อง
    ตอนเช้าปั่นจักรยานไปทำงาน ตอนเย็นปั่นจักรยานกลับบ้าน อายุจะ 20 แล้วนะช่วงนั้น
    ก็ทำใจแล้วครับ ก็รับได้เพราะว่าผมมีความสุขได้กลับบ้านไปหาแม่อยู่กับบ้านก็โอเคนะ
    กลับบ้านกินข้าวตอนเย็น ตอนเช้าหิ้วถุงข้าวมากิน

    ผู้หญิงที่ผมเคยชอบนะหรอครับ รับปริญญาไปเรียบร้อยแล้วครับ มีอนาคตที่ดีไปแล้ว


    แต่ จุดเปลี่ยนแห่งชีวิตผม มันก็เริ่มจากวันหนึ่งครับ

    วันหนึ่งพี่ที่เคยเปิดหุ้นกันเปิดร้านคอม เขาดันมาเจอผมที่ร้านอู่รถครับ

    ก็ได้คุยกันและผมก็พูดเชิงโทษเขาละครับว่าผมอยู่ร้านเน็ทดีดีอยู่แล้ว ดันชวนผมไปทำ
    สุดท้ายผมก็ต้องมาทำงานอู่รถ

    เขาก็ขอโทษผมและก็ให้สัญญาว่า จะไม่ลืมผมถ้าพอมีช่องทางทำอะไรให้ผมได้บ้าง

    อีกประมาณ ครึ่งปี พี่คนนั้นก็กลับมาพร้อมกับชวนผมไปทำงานเขียนโปรแกรมที่กรุงเทพ

    ใช่ครับ งานเขียนโปรแกรมครับ
    ตอนสมัยที่ผมเรียน ปวส ผมก็เรียนคอมนะครับ แล้วก็ชอบด้วยครับ
    แต่ไม่ชอบเข้าเรียน ชอบจะศึกษาด้วยความอยากรู้ในสิ่งที่อยากรู้มากกว่าครับ


    พี่เขาก็บอกให้ผมไปสมัครซึ่งเป็นบริษัทที่พี่เขาทำงานอยู่ อยุ่ที่อโศก
    ซึ่งเขาก็ได้บอกกับเจ้าของแล้วว่าผมรู้จักกันและต้องการมาให้ช่วยทำงาน
    เพราะว่าเคยร่วมงานกันมาก่อน

    และแล้ว วันที่ 16 เมษายน 2543 ผมก็ได้ทำงานเป็น มนุษย์เงินเดือน ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ ASP ครับ
    เงินเดือนที่ได้ 10000 บาท ครับ
    ผมจำได้ว่า คืนวันที่ 15 เมษายน เป็นคืนแรกที่ผมได้ไป RCA และผมก็ไปเสียตัว ที่อาบอบนวดแห่งหนึ่ง

    วันแรกที่ผมไปทำงาน มันเป็นงานไม่ยากเลยครับ
    มันคือการลงโปรแกรมวินโดว์ 98 ในกับเครื่องของตัวเองโอ้ย ๆ ๆ ที่ร้านเน็ท ผมทำประจำอยู่แล้ว
    ผมทำงานได้ 1 เดือน ผมไม่ได้ลงมือเขียนโปรแกรมของบริษัทเลยครับ
    พี่ให้ผมหัดแต่เขียนโปรแกรม หาเว็บมาศึกษาและศึกษาด้วยตนเอง ผมอ่าน ผมลองเขียนเว็บบอร์ด
    ลองเขียนแบบสำรวจ อะไรก็ได้ที่มันง่าย ๆ และเป็นการเริ่มต้น

    ผมเขียนอยู่ 3 เดือนครับพี่ก็เริ่มให้ผมได้ทำงานบริษัทมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นงานเล็ก ๆ อยู่

    แต่ช่วง 3 เดือน สิ่งที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดไม่ได้เป็นเรื่องของการทำงาน

    แต่เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตของผม ผมไม่รักกรุงเทพ

    เราตื่นเช้ามาในห้องแคบ ๆ มีเพียงโทรทัศน์ 14 นิ้ว
    เราเปิดโทรทัศน์เพื่อฟังเสียงแล้วเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ
    เราไปทำงาน เราเดินฝ่าผู้คนมากมายสวนทางกันทางกว่าที่ผมเดินอยู่ที่บ้านผมที่ต่างจังหวัด
    ไม่มีใครรู้จักกันเลย ต่างคนก็เดินไปตามทางของคนทุกวัน
    เรากลับบ้านในตอนเย็น เพื่อกลับมาที่ห้องเล็กแล้วเปิดดูละคร ดูข่าว ตอนนี้ผมดูคนเดียว
    ไม่มีคนที่บ้านมาดูด้วย ไม่มีเพื่อนเดินมาตะโกนหน้าบ้านเพื่อไปเล่นไปเที่ยว

    ผมเหลือคนเดียวในห้องแคบ ๆ ผมเคยร้องไห้ คนเดียว คิดถึงบ้านมาก

    ผมตัดสินใจคิดว่าจะลาออก

    ผมเดินไปบอกพี่ที่ดึงผมมาทำงานว่า ผมอยากจะลาออก

    "แล้วเองจะไปทำงานอะไร ทำร้านอู่หรอ ชีวิตเองถูกขีดให้เหลือทางเดียวแล้วอายุ 21 แล้วทำงานต่อไปเหอะเก็บเงิน"
    พวกคุณเชื่อไหมครับ สิ่งที่พี่เขาบอกผม มันเป็นเหมือนคำพูดที่หดหู่ มากกว่า ตอนที่ผมคิดว่า ผมเป็นเด็กอุ่ซ่อมรถซะอีก


    ผมก็ตัดสินใจทำงานต่อไปครับ ทำงานด้วยความเหงา ๆ เก็บ เงินเดือนไปเรื่อย ๆ


    ผมทำงานได้ 11 เดือน ครับ พี่ผมก็ดันทิ้งผมไปอีกรอบครับ พี่เขาตัดสินใจลาออกไปก่อน
    แต่ช่วงนั้นก็ไม่มีปัญหาเรื่องงานอะไรเพราะว่าผมก็เริ่มเขียนเป็นมากขึ้น

    ผมก็คิดแล้วครับว่า ผมทำอีกเดือนเดียวผมก็จะลาออกแล้ว กลับบ้าน .......


    และแล้ว ผมก็ได้กลับบ้านนอกอีกครั้งใน กลางปี 44

    ผมกลับบ้านผม
    ผมได้เจอเพื่อนตอนเย็น ๆ ผมไปเล่นบอลที่สนามบอล
    ผมเจอเพื่อนทุก ๆ วัน ผมเจอแม่เจอน้องคอยแย่งกันเปลี่ยนโทรทัศน์

    ช่วงที่ผมลาออกมา ผมก็ทำงาน เป็น Freelance ครับ ทำอยู่ที่ ต่างจังหวัดนีละครับ
    Upload งานไปให้เขา ก็รับได้หลายงานนะครับ

    โดนโกงไม่จ่ายก็มี หรือ ทำแล้วงานไม่จบเขาเลิกก่อนก็มี ก็ปะปนกันไปครับ


    8 เดือน ครับ ผมทำแบบนี้อยู่กับบ้านได้ 8 เดือน
    ก็ตัดสินใจกลับไปทำงานที่กรุงเทพใหม่เพราะว่าต้องการเงินแล้วครับอยากได้เงิน

    ตอนนี้ผมกล้าที่จะสมัครงานเองแล้ว เพราะว่าผมมีประสบการณ์ ผมมีผลงานมาให้ดู
    และสิ่งที่ผมได้จากการทำงาน ที่กรุงเทพมากมายก็คือ การโกหก
    ผมใช้การโกหกที่ได้มาจากรุงเทพได้อย่างแนบเนียน
    ผมรู้จักที่จะแต่งตัวให้ดูน่าเชื่อถือ ผมรู้จักที่จะใช้สายตาแสดงถึงความมั่นใจ
    ผมรู้จักที่จะได้ภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ
    ซึ่งผมยอมรับว่าก่อนที่ผมจะมาทำงาที่กรุงเทพผมไม่มีสิ่งนี้อยู่เลยจริง ๆ

    ผมไปสมัครงาน 3 ที่

    งานที่แรกผมไปสมัครเขาถามผมว่า ทำไม่ไม่มี วุฒิละ ผมก็โกหกเขาไปว่า
    "ช่วงนั้นที่บ้านมีปัญหาฟองสบู่พ่อกับแม่แยกทางกัน ผมลาออกมาทำงานเพื่อให้น้องสาวได้เรียน"

    ใช่ครับ ผมโกหก เพื่อจะเปลี่ยนวิกิดให้เป็นโอกาส

    จากคนไม่มีวุฒิการศึกษา คนเรียนไม่จบเพราะไม่อยากเรียน ติดหญิง
    ถูกสร้างให้เป็นคนรักครอบครัวเสียสละให้น้องได้เรียน ถูกมองว่าเป็นคนขยัน

    ผมดูดีมากขึ้นกว่าเด็กที่เรียนจบ
    เขายินดีรับผมทันที แล้วถามว่า ไปสมัครที่อื่น ๆ อีกหรือป่าว
    ผมก็โกหกไปอีกว่า "ที่อื่นไม่สนใจผมครับ ไม่มีวุฒิก็ไม่ให้เขียนใบสมัครแล้วครับ"
    เขาก็บอกว่าโอเค เริ่มงานได้เลยใช่ไหม
    ผมก็ตกลงว่าเริ่มงานได้ครับ
    เขาให้เงินเดือนผม 12000 บาท

    ---------------------------------------------------
    วันต่อมาผมก็ไปสมัครงานอีกที่หนึ่ง ผมก็ใช้การโกหกเหมือนเดิม
    แต่ที่นี่ให้ผม 10000 ผมก็ตกลงทันทีแต่บอกว่า
    ผมต้องขอเวลาหาห้องพักซัก 2 -3 วัน ก่อ่น
    --------------------------------------
    วันเดียวกันผมก็ไปสมัครต่อ แต่ที่นี่ให้ผม 13000 เพิ่มกับ สัญญาว่าถ้าดีจะเพิ่มเป็น 15000
    --------------------------------------
    ตอนเช้าผมโทรไปบอกอีก 2 บริษัทว่า ผมไม่สามารถหาห้องได้เพราะว่าไม่มีค่ามัดจำและทางบ้าน
    ก็ยังส่งเงินมาไม่ได้ ผมขอสละสิทธิ์ เพราะว่าไม่รับปากว่าจะได้ห้องเมื่อไรเกรงว่าจะทำให้บริษัทคุณเสียหาย



    ผมได้ทำงานในปีใหม่ ปี 45 กับบริษัทคนไทย

    .......ไว้จะมาเล่าต่อนะครับ .......

    จากคุณ : เอก - [ 10 ม.ค. 48 12:26:47 A:203.156.69.254 X: TicketID:018188 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป