ความคิดเห็นที่ 1 บริษัทคือนิติบุคคลที่แยกออกมาต่างหากหากจากเจ้าของ ถึงแม้เจ้าของจะถือหุ้น 99.99999999% ก็ตาม ทุนจดทะเบียนอธิบายง่ายๆก็คือเงินที่ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของใส่เข้าไปเพื่อเป็นเงินที่ใช้ในการดำเนินกิจการของบริษัท เพราะฉนั้นเงินของบริษัทจึงไม่ใช่เงินของเจ้าของ (ถ้ายังไม่ได้จ่ายเป็นปันผลออกมา) และภาระหนี้สินของบริษัทก็ไม่ใช่ภาระหนี้สินของเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น (ถ้าไม่ได้เป็นกรรมการ) ตามกฎหมายแล้ว ภาระความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นจำกัดที่จำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังใช้ไม่ครบเท่านั้น ถ้าจ่ายครบแล้วก็ไม่ต้องรับภาระความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เจ๊งอย่างมากสุดก็คือเงินค่าหุ้นที่ลงไปทั้งหมด ซึ่งต่างจากกิจการเจ้าของคนเดียว ถ้ามีปัญหาหนี้สิน เจ้าหนี้สามารถฟ้องบังคับเอาทรัพยสินอื่นของเจ้าของที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการได้ ทุนจดทะเบียนมากน้อยมีผลอย่างไร ผมสมมติว่าบริษัทของคุณมีคุณเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เกือบ 100 % (ที่เหลือถือโดยญาติมิตรของคุณคนละ 1 หุ้น เพื่อให้ครบ 7 คนตามกฎหมายกำหนด) ถ้าคุณใส่ทุนจดทะเบียนสูงๆ เพื่อให้ดูเหมือนว่าบริษัทคุณดูน่าเชื่อถือ แต่คุณชำระ(ก็คือเอาเงินคุณใส่ให้เป็นเงินบริษัท)ลงไปเพียงบางส่วนก่อน (กฎหมายกำหนดให้ชำระขั้นต่ำ 25% ของทุนจดทะเบียน) จริงอยู่คุณสามารถสร้างบริษัทให้มีทุนจดทะเบียนเยอะๆได้เพราะเงินแค่ 2 เเสน 5 สามารถจดบริษัทที่ทุนจดทะเบียน 1 ล้านได้ แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ คุณมีภาระที่เป็นหนี้บริษัทกลายๆอีก 7แสน 5 แล้วถ้าเกิดเคราะห็หามยามร้าย บริษัทประสบปัญหา เจ้าหนี้บริษัทก็สามารถฟ้องร้องเรียกเงินจากคุณในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นที่จ่ายเงินยังไม่ครบได้อีก 7 แสน 5 เช่นกัน แต่ถ้าเงิน 2 แสน 5 ของคุณ ใช้จดบริษัทที่ทุนจดทะเบียน 2แสน 5 (ชำระเต็ม 100%) ถ้าเกิดปัญหาเช่นเดียวกัน เจ้าหนี้ไม่สามาถเรียกร้องจากคุณในฐานะผู้ถือหุ้นได้อีก เพราะคุณชำระเต็ม 100% เเล้ว จะทำธุรกิจผมว่าพิจารณาที่ตัวธุรกิจดีกว่าว่าต้องการกระเเสเงินสดเเค่ไหน แล้วเราจัดหาเงินลงทุนมาได้สอดคล้องกันหรือไม่ อย่าไปบ้าจี้เชื่อคนที่ไม่เคยทำธุรกิจ ที่ให้จดสูงๆไว้เพื่อให้ดูเท่ห์เชียวนะครับ นรกจะมาเยือนคุณในไม่ช้า วันที่คุณมีปัญหาไม่มีใครเค้ายื่นมือมาช่วยคุณหรอกครับ โดยเฉพาะเรื่องเงิน จากคุณ : TanChaiJo - [ 22 ธ.ค. 48 10:06:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอถามคุณ TanChaiJo เป็นความรู้ด้วยคนครับว่า  แล้วทุนจดทะเบียนที่ผู้ถือหุ้นใส่ลงไปในบริษัทมันไปอยู่ตรงไหนของบริษัทครับ มันเป็นเงินจริงๆ ที่ต้องเปิดบัญชีกับธนาคารหรือแค่ตัวเลขเฉยๆ ครับ จากคุณ : รถร่วม - [ 22 ธ.ค. 48 10:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณคุณท่านชายโจ้ด้วยคนครับ และกำลังสงสัยประเด็นเดียวกับคุณรถร่วมพอดีครับ จากคุณ : เจ้าของกระทู้ - [ 22 ธ.ค. 48 12:20:12 A:221.128.89.106 X: TicketID:064373 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อืม.... ในตอนเริ่มต้นจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ เค้าต้องให้เรา(กรรมการ)ยื่นเอกสารการได้รับชำระค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้น ซึ่งจะมีเงินหรือไม่มีเงินชำระเข้ามาจริงตอนนั้น เค้าไม่ได้สนใจมาก ขอให้มีผู้ลงนามรับผิดชอบว่ามีการรับชำระเข้ามาแล้ว เท่านั้นพอ แต่... ตามกฎหมาย บริษัทต้องจัดทำงบการเงิน ให้ทางราชการและผู้ถือหุ้นรับทราบโดยมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตช่วยสอบทานยืนยันความถูกต้อง ซึ่งถึงเวลาผู้สอบบัญชีก็ต้องขอดูหลักฐานทางการเงินว่า เงินค่าหุ้นที่ชำระเข้ามามันอยู่ตรงไหนในงบการเงิน (อย่าลืมเงินบริษัท ไม่ใช่เงินผู้ถือหุ้น บัญชีเงินฝากที่เป็นชื่อคุณ ก็ไม่ใช่เงินของบริษัท ) ถึงตอนนั้น ถ้ามันอยู่ในบัญชีที่ไม่ใช่ชื่อบริษัท หรือไม่ใช่เงินสด ผมว่าผู้สอบบัญชีเค้าก็คงอนุมัติงบการเงินยากเหมือนกันนะครับ ส่วนทางฝ่ายราชการนี่โดยเฉพาะสรรพากร เค้าก็จะมาดูแลเป็นอย่างดี(โดยเฉพาะที่เป็นนิติบุคคล) อยากให้เราทำธุรกิจแล้วมีกำไร (ไม่กำไรก็จะถามว่าคุณทำธุรกิจยังไงไม่มีกำไร... สงสัยคงเป็นห่วงผู้ถือหุ้นจะไม่มีปันผล) ถ้าเค้าดูงบแล้วมีข้อข้องใจอยู่ก็คงคุยกันยาวละครับ.....ไม่อยากจะคิดเลยครับ ไม่รู้ว่าตอบคำถามคุณรถร่วมรึยังครับ แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 48 12:29:48 จากคุณ : TanChaiJo - [ 22 ธ.ค. 48 12:28:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 22 ธ.ค. 48 18:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณTanChaiJo ครับ ถ้าจดทะเบียน 1 ล้าน ชำระครบ 1 ล้าน แต่กิจการยังไม่สามารถดำเนินไปได้  เลยลงไปอีก 5 แสน(หามาเองโดยไม่จดเพิ่มทุน) อย่างนี้จะมีผลกับทุนจดทะเบียนไหมครับ  หรือมีผลทางด้านกฏหมายไหมครับ จากคุณ : ทีทีเจเจ - [ 22 ธ.ค. 48 19:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณTanChaiJoมากครับ จากคุณ : รถร่วม - [ 22 ธ.ค. 48 19:55:02 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณทีทีเจเจครับ ถ้าคุณใส่เงินลงไปเพิ่มโดยไม่เพิ่มทุนจดทะเบียน มันก็คือบริษัทกู้เงินกรรมการ (เพราะเงินบริษัทไม่ใช่เงินคุณ) ถามว่าทำได้มั้ยมันก็ทำได้ครับ เพราะโดยไอเดียก็คล้ายๆไปกู้แบงค์นะครับ เพราะในการจัดหาเงินทุนเข้าบริษัททางง่ายๆที่ใช้กันทั่วๆไป ก็คือ 1. เงินทุนจากผู้ถือหุ้น 2. เงินกู้ ถ้าเพิ่มเงินทุนจากเจ้าของมันก็ต้องกระทบทุนจดทะเบียน แต่ถ้าใช้เงินกู้ก็ไม่กระทบ แต่มันก็มีภาระดอกเบี้ยตามมาไม่ว่าคุณจะกำไรหรือขาดทุน แต่ถ้าจากผู้ถือหุ้นตรงนี้มันก็ไม่มี ซึ่งถ้าปัญหาสภาพคล่องในธุรกิจของคุณมันเป็นช่วงสั้นๆ ไม่ยาวมาก การใช้เงินกู้กรรมการก็คงเป็นหนทางนึงที่สะดวก เพราะขั้นตอนอาจจะไม่ยุ่งยากเท่า และยิ่งที่ถ้าเราเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนเดียวด้วยแล้ว กระบวนการตัดสินใจคงง่าย แต่ถ้าเงินกู้ก้อนนี้อยู่นานๆ ผมว่ามันก็ไม่ค่อยดีนะครับ เพราะคุณสรรพากรก็จะเพ่งเล็งเหมือนกัน ว่ามันมีกระบวนการขายของแล้วได้เงินสดเข้ามาโดยไม่ผ่านระบบบัญชีอะไรหรือเปล่า จึงต้องจัดการเงินให้อยู่ในรูปเงินกู้ยืมจากกรรมการครับ ถ้ามันเป็นเงินลงทุนระยะยาวก็จัดการให้มันถูกต้องดีกว่าครับ (แต่ก่อนจะทำอะไร อยากให้ปรึกษากับนักบัญชีหรือนักกฎหมายที่คุณไว้ใจให้ดูในรายละเอียดเฉพาะกรณีของคุณก่อนด้วยนะครับ เพราะผมให้ความเห็นสำหรับกรณีทั่วๆไปเท่านั้นนะครับ) จากคุณ : TanChaiJo - [ 23 ธ.ค. 48 09:06:00 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอรบกวนถามคุณ TanChaiJo หน่อยค่ะ ว่าภาระหนี้ของบริษัทกับห้างหุ้นส่วนจำกัด จะต่างกันอย่างไรคะ จากคุณ : outstanding - [ 23 ธ.ค. 48 10:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เข้ามาดู... จากคุณ : Blue Hunter - [ 23 ธ.ค. 48 10:39:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ จากคุณ : ทีทีเจเจ - [ 23 ธ.ค. 48 10:49:19 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในส่วนของห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) จะมีหุ้นส่วนอยู่ 2 ประเภท คือ 1. หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด กับอีกประเภทนึงคือ 2. หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ประเภทแรกจะจำกัดความรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนรับจะลงในห้างหุ้นส่วนนั้น ซึ่งหุ้นส่วนประเภทนี้ก็จะคล้ายๆกับผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดครับ ส่วนประเภท 2 จะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนไม่มีจำกัดครับ ไม่แน่ใจว่านี่ใช่ที่คุณ outstanding สงสัยหรือเปล่าครับ จากคุณ : TanChaiJo - [ 23 ธ.ค. 48 14:12:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ TanChaiJo คะ รบกวนหน่อยนะคะ คืออยากทราบถึงข้อดี ข้อเสีย ระหว่างบริษัท กับ หจก.น่ะค่ะ อีกอย่างคือ เราจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าธุรกิจเราเหมาะจะจดทะเบียนในรูปแบบไหนอ่ะค่ะ คือกำลังจะจดทะเบียนกิจการน่ะค่ะ  แต่กำลังงง ๆ อยู่ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : a_CatDevil - [ 23 ธ.ค. 48 23:18:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อืม... ผมคงไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าธุรกิจไหน เหมาะกับการจดทะเบียนรูปแบบไหนนะครับ แต่คงให้มุมมองในเรื่องประเด็นจุดที่เหมือน และจุดที่แตกต่างกัน ให้คุณลองเอาไปพิจารณาตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันนะครับ ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ 1. หจก.ต้องมีหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบ(ต่อหนี้สิน)อยู่เสมอ แต่บริษัท จำกัด ผู้ถือหุ้นทุกคนจะถูกจำกัดความรับผิดชอบต่อภาระหนี้ของบริษัท แต่อาจจะมีกรรมการรับผิดชอบภาระหนี้สินถ้าทำผิดระเบียบของบริษัท หรือถูกเจ้าหนี้บังคับให้เป็นผู้รับผิดชอบร่วม 2. อายุของกิจการ (อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ ลองหาข้อมูลเพิ่มอีกที) ถ้าบริษัทจำกัด อายุไม่ขึ้นกับผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมเสียชีวิตหมด กิจการก็คงอยู่ต่อไปได้ แต่ ถ้าหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบเสียชีวิตไปอาจจะมีปัญหาได้ (ลองไปเช็คตรงนี้อีกทีครับ) แต่ถ้าเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดชอบไม่เป็นไร 3. ต้องบัญชีส่งทางราชการเช่นกัน แต่ความเข้มงวดอาจจะเเตกต่างจากบริษัท (รายละเอียดผมไม่แน่ใจนะครับ) เพราะฉนั้นค่าใช้จ่ายในเรื่องบัญชี หจก.น่าจะน้อยกว่า บจ. รู้สึกว่าไม่ได้กำหนดว่าต้องมีผู้สอบบัญชีด้วยมั้งครับ ถ้าโดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าบจ. จะน่าสนใจและมีความคล่องตัวมากกว่า ในเรื่องการระดมทุน การเปลี่ยนสิทธิการครอบครอง ความโปร่งใส กระบวนการตรวจสอบที่มีมากกว่า ฯลฯ แต่ท้ายที่สุดแล้วคงต้องเหลือให้สอดคล้องกับเห็นผล และแผนกลยุทธ์ในระยะยาวของธุรกิจคุณว่าจะเป็นยังไงนะครับ ลองปรึกษาผู้ชำนาญการในด้านนี้ (บัญชี และกฎหมาย)เพิ่มเติมดูนะครับ ถ้าพอมีคนรู้จักที่ให้คำแนะนำได้ก็จะดีกว่า การใช้บริการจากสำนักงานบัญชีและ/หรือกฎหมายทั่วๆไปที่เราไม่รู้จัก เพราะเค้าอาจจะไม่เข้าใจความต้องการของคุณ หรือ อาจจะเจอบางคนที่มักง่ายทำแบบส่งๆ ไม่ได้ปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของคุณ ซึ่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี่อาจจะส่งผลต่อกิจการคุณพอสมควรเลยที่เดียว จากคุณ : TanChaiJo - [ 24 ธ.ค. 48 08:43:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณคุณ TanChaiJo มากเลยค่ะ ที่มาให้คำตอบ จากคุณ : เหมียวอันธพาล (a_CatDevil) - [ 24 ธ.ค. 48 11:44:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ใช่ที่สงสัยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ จากคุณ : outstanding - [ 24 ธ.ค. 48 13:50:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาเสริมคุณ TanChaiJo ค่ะ ว่า ถึงหจก.ไม่ต้องมีผู้สอบเซ็น แต่ต้องมี Tax Auditor เซ็นค่ะ เมื่อไหร่จะเก่งเหมือนคุณ TanChaiJo มั่งน้า จากคุณ : หัวใจสีดำ รองเท้าสีชมพู - [ 27 ธ.ค. 48 09:53:12 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ใช่อย่างที่คุณ หัวใจสีดำ รองเท้าสีชมพูบอก ครับเรื่อง Tax Auditor พอดีเพิ่งไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมานะครับ ผมไม่ได้เก่งหรอกครับ มันเป็นเรื่องที่ผมต้องรู้ในฐานะคนที่ทำธุรกิจ (บางคนอาจจะบอกว่ารู้แค่สินค้าที่จะขายก็พอเเล้ว แต่ผมว่าพวกนี้เป็นพื้นฐานที่ต้องทราบ แต่รายละเอียดลึกๆก็ให้นักกฎหมาย และนักบัญชีไปดูแลดีกว่าครับ) ผมก็เลยต้องหาข้อมูลจากที่ปรึกษานะครับ บางเรื่องไม่ทราบ ผมก็บอกว่าไม่แน่ใจ ก็ต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมครับ จากคุณ : TanChaiJo - [ 27 ธ.ค. 48 23:04:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณ Tanchaijo..ครับ..ย้ายจาก richdadthai.com มาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดตั้งบริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย..แต่ก็ดีนะ ผมเองก็ได้ความรู้ไปด้วย และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนต่อไป.. จากคุณ : อานนท์ - [ วันปีใหม่ 09:51:43 A:87.232.109.85 X:87.232.1.49 ]