ความคิดเห็นที่ 1 สวัสดีครับพี่ๆน้องๆเสี่ยๆซ้อๆทุกๆท่านครับ จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 07:54:55

ความคิดเห็นที่ 2   ขอบคุณครับ คุณ Eiji สวัสดีพี่ yai-cho ด้วยครับ .......................................................................................... ขอต่อจากจุดที่พี่ป๋าห่าน พูดไว้เมื่อวานนะครับ เมื่อวานเราพูดถึง หลักการข้อแรกไปแล้ว หลักการ 2 % คือ เราจะยอมขาดทุนจากการเปิดโพสิชั่น หรือการเข้าซื้อหุ้นแต่ละครั้ง ไม่เกิน 2 % ของเงินทุนคงเหลือ ณ วันต้นเดือน ............................................................................................. หลักการ 6 % ที่จะใช้ร่วมกับหลัก 2 % ก็คือ เราจะยอมให้ยอดขาดทุนรวมที่เกิดขึ้น ภายในแต่ละเดือน ไม่เกิน 6 % ของเงินลงทุนคงเหลือต้นเดือน เมื่อไหร่ก็ตามภายในเดือนนั้น ๆ ถ้ายอดขาดทุนรวมของเราถึง 6 % เราจะหยุดเทรดสำหรับเดือนนั้น พอขึ้นเดือนใหม่ เราจึงจะเริ่มเทรดใหม่ โดยทำการคำนวณหายอด 2 % และ 6 % จากยอดเงินคงเหลือต้นเดือน ลองมาดูจากตัวเลขกันนะครับ อาจจะง่ายกว่า พอเป็นคำพูดแล้วผมก็งง ๆ ตัวเองเหมือนกัน จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 11:58:33 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 3   สมมติเงินลงทุนต้นเดือนของเรา 100,000 บาท 2% เท่ากับ 2,000 บาท เป็นยอดขาดทุนจำกัด สำหรับแต่ละโพสิชั่นที่เปิดในเดือนนั้น 6% เท่ากับ 6,000 บาท เป็นยอดขาดทุนรวม ของทุก ๆ โพสิชั่นที่เปิดในเดือนนั้น ....................................................................................... ถ้าเราเข้าซื้อหุ้น A กำหนดให้ ยอมขาดทุนสำหรับหุ้น A ไม่เกิน 2 % คือ 2,000 บาท จะเห็นว่า ตามหลัก 6% เรายอมให้ผลขาดทุนโดยรวมของแต่ละเดือน ไม่เกิน 6 % หรือ 6,000 บาท เมื่อเราเข้าซื้อหุ้น A และจำกัดผลขาดทุนถ้าเกิดขึ้นไว้ ไม่ให้เกิน 2,000 บาท ดังนั้นเรายังมียอดขาดทุนที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามกฎ 6 % เหลืออยู่อีก 4,000 บาท ยอดขาดทุนรวมทั้งเดือนที่ยอมรับได้ - ยอดขาดทุนของโพสิชั่น A 6,000 - 2,000 = 4,000 เราจึงสามารถเปิดโพสิชั่น หรือเข้าซื้อหุ้นเพิ่มได้อีก อย่างน้อยจนยอดขาดทุนรวมของทุก ๆ โพสิชั่น เท่ากับ 6,000 บาท ............................................................................................ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 12:17:55 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 4   มารออ่าน จากคุณ : ptt เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 12:18:59 A:58.9.6.154 X: TicketID:158578

ความคิดเห็นที่ 5   สมมติเงินลงทุนต้นเดือนของเรา 100,000 บาท 2% เท่ากับ 2,000 บาท 6% เท่ากับ 6,000 บาท .................................................................................. โพสิชั่น 1 ซื้อหุ้น A จำกัดผลขาดทุนไว้ไม่เกิน 2,000 บาท โพสิชั่น 2 ซื้อหุ้น B จำกัดผลขาดทุนไว้ไม่เกิน 2,000 บาท โพสิชั่น 3 ซื้อหุ้น C จำกัดผลขาดทุนไว้ไม่เกิน 2,000 บาท ........................................................................................... ยอดรวมผลขาดทุนที่ยอมได้สำหรับเดือนนี้ = 6,000 บาท ............................................................................................ ดังนั้นภายในเดือนนี้ เกิดเราไปเจอหุ้นตัวที่ 4 ที่คิดว่าน่าจะสามารถทำกำไรได้ เราก็ไม่สามารถเข้าซื้อหุ้นตัวที่ 4 ได้ เนื่องจากในการทำตามกฎ 2 % และ 6 % นั้น วงเงินขาดทุนที่ยอมรับได้ของหุ้นแต่ละตัวที่ซื้อไว้แล้วนั้น (A, B, C) มียอดรวมถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ 6,000 บาทแล้ว เราจึงซื้อหุ้นเพิ่มไม่ได้อีก ......................................................................................... หมายเหตุ จะมีข้อยกเว้นสำหรับกรณีขายหุ้นบางตัวออกไปในเดือนนั้น หรือกรณีหุ้นที่ถืออยู่มีกำไร ซึ่งจะขอพูดต่อไปนะครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 12:27:32 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับพี่ดอกไม้ จากคุณ : yai-cho เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 12:49:22

ความคิดเห็นที่ 7 มาติดตามอ่านต่อคร้าบ โหลดหนังสือของ Texas Holdem มาแล้ว แต่หาใน facebook เจอแต่เกมส์โป๊กเกอร์ เล่นซะเลย... แฮ่ม.. จากคุณ : namit เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 12:50:19

ความคิดเห็นที่ 8   สวัสดีครับ คุณ ptt ก่อนจะลองยกตัวอย่างตัวหุ้นจริง ๆ ผมขอวกกลับไปที่พี่ป๋าห่านเล่าไว้เมื่อวาน นะครับ ......................................................................................... พี่ป๋าห่านจะลงทุน TDEX ... 100,000 บาท มีคำถามนิดนึงก่อนว่า พี่ป๋าห่านตั้งใจจะลงทุนเฉพาะ TDEX อย่างเดียว สำหรับวงเงิน 100,000 นี้ หรือสามารถนำเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นได้ด้วย .......................................................................................... ถ้าเป็นกรณีที่สามารถจัดสรรเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นได้ด้วย ก็จะเป็นไปตามตัวอย่างที่ผมยกมาข้างบนนะครับ คือสมมติเข้าซื้อ TDEX แล้ว และจำกัดผลขาดทุนไว้ไม่เกิน 2 % พี่ป๋าห่านก็สามารถใช้เงินที่เหลือ เข้าซื้อหุ้นอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ จนกว่าผลขาดทุนที่ยอมรับได้ของหุ้นทุกตัว รวมกันถึงเกณฑ์ 6 % ภายในเดือนนั้น ๆ เช่น ซื้อ TDEX จำกัดผลขาดทุน 2 % (ของ 100,000 บาท) ซื้อ PTTAR จำกัดผลขาดทุน 2 % ซื้อ IRPC จำกัดผลขาดทุน 1 % ซื้อ ENGY จำกัดผลขาดทุน 1 % เมื่อผลรวมของหุ้นที่ซื้อทั้งหมดถึงเกณฑ์ 6 % แล้ว พี่ป๋าห่านก็จะต้องหยุดซื้อหุ้นเพิ่มสำหรับเดือนนั้น จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของหุ้นที่ซื้อไว้ เกิดขึ้นครับ ........................................................................................ สำหรับกรณีที่เงิน 100,000 บาทนี้ พี่ป๋าห่าน ซึ่งเป็นคนรักเดียวใจเดียว ตั้งใจจะซื้อ TDEX อย่างเดียว ผมเข้าใจว่า พี่ป๋าห่านสามารถซื้อ TDEX ได้ โดยสามารถใช้ตัวเลข 6 % มาเป็นเกณฑ์ (หรือเปรียบเสมือนเข้าซื้อ TDEX หลายครั้ง และการขาดทุนแต่ละครั้งไม่เกิน 2 % รวมทุกครั้งภายในเดือนไม่เกิน 6 % นั่นเอง) เงินลงทุน 100,000 บาท สมมติราคา TDEX ตอนนี้อยู่ที่ 5.07 บาท ตั้งจุด Stop loss ไว้ที่ 4.90 บาท ผลขาดทุนต่อหุ้น 0.17 บาท จำนวนหุ้นที่สามารถซื้อได้ ตามเกณฑ์ผลขาดทุนรวมภายในเดือน ไม่เกิน 6 % หรือ 6,000 บาท = 6,000 / 0.17 = 35,000 หุ้น โดยประมาณ ลองคิดตัวเลขจริง ๆ ซื้อ 5.07 * 31,300 = 159,030.60 ขาย 4.90 * 31,300 = 153,041.79 ผลขาดทุนที่ยอมรับได้ = 5,988.81 ................................................................................... ดังนั้นพี่ป๋าห่านจะซื้อ TDEX สำหรับเดือนนี้ได้ไม่เกิน 31,000 หุ้น เพื่อให้ผลขาดทุนรวมไม่เกิน 6,000 บาท จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่น หุ้นราคาสูงขึ้นจนมีกำไร หรือมีการขายหุ้นเกิดขึ้นครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 12:51:52 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 9   สวัสดีครับ คุณ namit เด๋วไปจะเอ๋ คุณ NuRun แน่เลย ขอแก้ความเห็นที่ 8 ข้างบนนิดนึงนะครับ ........................................................................................... ดังนั้นพี่ป๋าห่านจะซื้อ TDEX สำหรับเดือนนี้ได้ไม่เกิน 31,300 หุ้น จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 12:57:00 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 10   ข้างบนนี้ผมคิดว่าเป็นกรอบคร่าว ๆ ของวิธีการ 2 % & 6 % ตามหนังสือของคุณครู Dr. Alexander Dlder นะครับ ฉบับเต็ม คุณครูนู๋ดา ได้กรุณาทำ link ให้แล้ว พอดีตอนบ่ายผมต้องไปต่างจังหวัดอีก ค่อยมาต่อกันถึง กรณีหุ้นที่เราซื้อไว้มีการเคลื่อนไหวในระหว่างเดือนนะครับ ....................................................................................... ขอต่ออีกนิดนึง สมมติโพสิชั่นของเราที่ซื้อไว้ ได้ปิดหรือได้ขายไปทั้งหมด ณ วันสิ้นเดือน (สมมติตัวเลขง่าย ๆ นะครับ) เดือนกันยายน เงินทุนเริ่มต้น 100,000 บาท วงเงินขาดทุนต่อโพสิชั่น (2 %) 2,000 บาท วงเงินขาดทุนรวมต่อเดือน (6 %) 6,000 บาท ในเดือนนี้ เราซื้อหุ้น 3 ตัว และเมื่อสิ้นเดือนได้ขายออกไปทั้งหมด สมมติหุ้น A เราขายได้กำไร 1000 บาท หุ้น B เราขายขาดทุนตรงจุด Stop loss 2,000 บาท หุ้น C เราขายขาดทุนตรงจุด Stop loss 2,000 บาท ณ วันสิ้นเดือน พอร์ตเราจะมีเงินทุนเหลืออยู่ทั้งหมด = 100,000 + 1,000 - 2,000 - 2,000 = 97,000 บาท ........................................................................................ ต้นเดือนตุลาคม เมื่อเราวางแผนการเทรดใหม่ เราก็จะคิด % จากยอดเงินทุนต้นเดือน คือ 97,000 บาท วงเงินขาดทุนต่อโพสิชั่น (2 %) 1,940 บาท วงเงินขาดทุนรวมต่อเดือน (6 %) 5,820 บาท เป็นวงเงินในการบริหารเงิน สำหรับการเปิดโพสิชั่นของเดือนตุลาคมครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 13:16:42 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 11   อีกจุดนึง ผมเองมองว่า จากส่วนประกอบหลักทั้ง 3 คือ Discipline, System, Money Management ในขณะที่เราปฏิบัติตามหลักการบริหารเงิน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นการยืดเวลาและรักษาเงินทุน ให้มีมากพอ และนานพอ ที่จะประสบความสำเร็จได้ เราก็จำเป็นต้องพัฒนาตัว System ซึ่งเป็นตัวที่จะสร้างกำไรให้กับเราด้วย ตามหลักของ คุณครู Dr.Elder และคุณครูบางท่าน การที่เราเกิดขาดทุนติดต่อกัน จนต้องหยุดเทรดภายในเดือนนั้น เช่น ผลขาดทุนรวมถึง 6 % การที่ให้หยุดเทรด นอกจากเป็นการรักษาเงินทุนแล้ว ก็เป็นโอกาสที่จะให้เราทบทวนได้ system ของเรา ว่ามีปัญหาที่จุดไหน หรือเป็นเรื่องของวินัย มีอะไรที่เราสามารถปรับปรุงแก้ไข หรือทำให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นองค์ประกอบสำคัญทั้งสามอย่าง คงเป็นสิ่งที่ก้าวไปด้วยกันนะครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 13:25:01 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 12   เจอจุดคลาดเคลื่อนอีกจุดนึงครับ ผมรีบไปหน่อย ขออภัยด้วยครับ //whitrose ......................................................................................... ความเห็นที่ 8 จากการคำนวณ เราทราบว่า พี่ป๋าห่าน สามารถซื้อ TDEX ได้ไม่เกิน 31,300 หุ้น สำหรับเดือนนี้ เพื่อไม่ให้ผลขาดทุนเกิน 6,000 บาท แต่จริง ๆ แล้ว เนื่องจากเรามีเงินทุนเริ่มต้นอยู่เพียง 100,000 บาท ดังนั้นพี่ป๋าห่านคงจะซื้อ TDEX ได้เต็มวงเงิน ประมาณสัก 19,600 หุ้นครับ 19,600 * 5.07 = 99,584.66 ซึ่งถ้าขายขาดทุนตรงจุด Stop loss ก็จะขาดทุนประมาณ เกือบ 4 % ครับ ซื้อ 19,600 * 5.07 = 99,584.66 ขาย 19,600 * 4.90 = 95,834.47 ผลขาดทุน = 3,750.19 จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 13:51:23 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 13   อีกจุดนึง ถ้าให้เป็นตามกฎอย่างเข้มงวด ถึงแม้เราจะซื้อหุ้นได้ถึง 19,600 หุ้น ก็น่าจะแบ่งการเข้าเป็นชุด ๆ โดยให้แต่ละชุดมีการขาดทุนได้ไม่เกิน 2 % น่ะจะดีไหมครับ เช่น สมมติเข้าราคา 5.07 อาจเข้า 10,000 หุ้นนะครับ แล้วที่เหลือจึงเข้าเพิ่มอีกที่ราคาอื่น จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 14:00:24 A:118.173.137.253 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 14 มาตามอ่านครับ จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 16:20:44

ความคิดเห็นที่ 15   จากคุณ : linuxnoy (Pisshy) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 18:00:18

ความคิดเห็นที่ 16 หวัดดีครับคุณดอกไม้ ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับ money management ครับ ขอยกบางประโยค ที่คุณลุงโฉลก แห่ง www.chaloke.com ได้เขียนบทความให้สมาชิกอ่านกันทุกอาทิตย์ มาเสริมคุณดอกไม้นะครับ จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:08:21

ความคิดเห็นที่ 17 The 10 Commandments ของการลงทุน   วันนี้ลุงโฉลกจะนำเสนอ The 10 Commandments ของการลงทุน ที่นักลงทุนทั่วๆไปให้ความเห็นชอบ และถือเป็นหลักในการลงทุนในขณะนี้ จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:09:55

ความคิดเห็นที่ 18 1. อย่าลงทุนในตลาดที่ตัวเองไม่มีความรู้ แต่ละตลาด แต่ละหุ้น แต่ละ Commodity แต่ละสัญญา ฯลฯ มีลักษณะต่างกัน บางตลาดมี Wave 3 เป็น Wave ที่ใหญ่ที่สุด บางตลาดมี Wave 5 เป็น Wave ที่ใหญ่กว่า Wave 3 บางตลาดมี Seasonal pattern และบางตลาดมี financial pattern นักลงทุนควรมีความรู้ทางด้าน Fundamental ในเรื่องเหล่านี้ด้วย แต่ไม่ใช่ Fundamental จนถึงขนาดที่จะต้องเข้าไปเรียนรู้สภาพทางการเงิน ฯลฯ นักลงทุนที่ลงทุนอยู่ในตลาดยางพารา ไม่ควรกระโดดเข้าตลาด Forex ทันที เพราะแต่ละตลาดมีลักษณะไม่เหมือนกัน กฏเกณฑ์ไม่เหมือนกัน Margins ไม่เท่ากัน ฯลฯ การลงทุน ควรลงทุนอย่างมีความสุข ไม่ใช่เสี่ยงไปเรื่อยๆในตลาดที่ตัวเองไม่มีความชำนาญ ถ้าไม่มีความรู้ความชำนาญเพียงพอ อาจจะดีกว่าที่จะให้ Fund managers เป็นผู้ลงทุนให้ จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:10:11

ความคิดเห็นที่ 19 2. อย่าลงทุนตามคำแนะนำว่าเป็นข้อมูลลับ รู้เฉพาะกลุ่ม นักลงทุนที่ลงทุนมาทั้งชีวิต เป็นเวลาหลายสิบปี ต่างก็มีประสบการณ์เดียวกัน คือไม่เคยรู้ Inside information จริงๆสักครั้งหนึ่ง ที่เพียงพอที่จะทำกำไรได้มากมาย เหตุผลก็คือ ข้อมูลอย่างนั้นไม่มีในโลก ถ้ามี ก็เป็นสิ่งผิดกฏหมาย และถ้ามีจริง ก็ไม่มีใครบอกคนอื่น ข้อมูลบางประการที่อาจจะรู้ได้ก่อนตลาดเล็กน้อย ก็แสดงออกในรูปของการเปลี่ยนแปลงใน Chart pattern แล้ว ดังนั้น อย่าเชื่อ เมื่อมีใครบอกว่ามีข้อมูลทีเด็ด ให้ซื้อหุ้นตัวนั้น ตัวนี้ ฯลฯ หลอกกันทั้งนั้นครับ แต่ถ้าไม่ใช่ข้อมูลลับ แต่เป็น ข่าวลือ ที่ลือกัน หึ่ง ในตลาด ข้อนี้เอามาใช้ได้ครับ ตลาดมักจะขึ้นเมื่อมีข่าวลือ และเมื่อข่าวลือ Confirm แล้ว ตลาดก็จะตก โดยทั่วๆไป ข่าวลือ มักไม่มีประโยชน์จริงจังในการตัดสินใจ จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:10:54

ความคิดเห็นที่ 20 3. ใช้คำสั่งที่ ธรรมดา ที่สุด คำสั่งซื้อขายที่ธรรมดาที่สุดคือ Market order อย่าเสียเวลาพยายามซื้อที่ราคาถูกกว่าราคาตลาดเล็กน้อย หรือขายที่ราคาสูงกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ถ้าสามารถซื้อได้ที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ก็แปลว่าตลาดกำลังลง ซื้อไปก็ขาดทุน หรือเมื่อขายได้ที่ราคาสูงกว่าตลาดเล็กน้อย ก็แปลว่าตลาดกำลังขึ้น กำลัง ขายหมู ดังนั้น คำสั่ง Limit จึงมีแต่ความผิดหวัง ถ้าซื้อตามคำสั่งไม่ได้ก็ผิดหวัง ถ้าซื้อได้ตลาดก็กำลังลง ฯลฯ พยายามใช้คำสั่งที่ง่ายที่สุด คือ at market แล้วเอาเวลา (ที่จะลุ้นเพื่อผิดหวัง) ไปพิจารณาเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์ดีกว่า จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:11:21

ความคิดเห็นที่ 21 4. อย่าเปลี่ยนสูตรกลางการลงทุน อย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก เมื่อลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง โดยวางแผนจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ให้พิจารณาให้ดีก่อนเริ่มลงทุน เมื่อมี Position แล้ว อย่าเปลี่ยนวิธีการลงทุน อย่าเปลี่ยนสูตร ใช้วิธีที่พิจารณาแล้วนั้น ทำต่อไปจนจบการลงทุนในครั้งนั้นๆ ถ้าจะเปลี่ยนสูตร หรือเปลี่ยนวิธี ฯลฯ ก็พิจารณาแล้วใช้ในการลงทุนครั้งต่อไป เมื่อนักลงทุนอยู่ไกล้ตลาดเกินไป คือดูราคาบ่อยๆระหว่างวัน การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของราคา ก็อาจจะทำให้จิตหวั่นไหว และเปลี่ยนแผนการลงทุนในท่ามกลางอย่างไม่มีเหตุผล ผลก็คือการขาดทุน จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:11:46

ความคิดเห็นที่ 22 5. อย่าคันมือ ถ้ายังไม่สามารถหาจุดเข้า ซื้อ/ขาย ตามทฤษฎีได้ เป็นเวลาที่ต้องอยู่เฉยๆ ไม่ลงทุน เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่สุดของนักลงทุน คือซื้อเป็น ขายเป็น แต่อยู่เฉยๆไม่เป็น นักลงทุนต้องฝึกฝนให้ตัวเองเป็นผู้มี ระเบียบ ในการลงทุนตาม ระบบ ถ้ามีเหตุอันใดก็ตามที่ทำให้ ตกรถ ก็ต้องยอมรับการ ตกรถ อย่าฝืนกฏกระโดดขึ้นรถที่ออกวิ่งแล้ว จะตกลงมาบาดเจ็บเปล่าๆ อย่ากังวลว่าจะไม่ได้ Trade โอกาสจะย้อนมาใหม่อีกเสมอ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเข้า ซื้อ/ขาย มี Positions แล้ว ถ้าผิดทาง หรือถ้าตลาดไม่ Move ในทิศทางที่เราคาดหมาย ก็อย่าทนดื้อด้านอยู่ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ กำหนด Stop loss ให้ Sensitive ถ้าตลาดไม่เคลื่อไปในทิศทางที่เราคาดหมายภายใน 2-3 วัน ออกไปหาตลาดอื่นดีกว่า จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:12:21

ความคิดเห็นที่ 23 6. พิจารณาตลาดอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่มีตลาดใดตลาดหนึ่งที่เป็นเอกเทศ ทุกตลาดจะมีความสัมพันธ์กับบางตลาดเสมอ เช่น TFEX จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ SET Index และมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ยางพาราที่ AFET มีความสัมพันธ์โดยตรงกับตลาดยางพาราที่ TOCOM และตลาดการผลิตรถยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่ ฯลฯ บ่อยครั้งที่มีสัญญาณจากตลาดอื่น เกิดขึ้นก่อนสัญญาณ ซื้อ/ขาย ในตลาดที่เรากำลังลงทุนอยู่ สภาพดินฟ้าอากาศและการทำนายสภาวะอากาศล่วงหน้า มีผลอย่างมากต่อราคาของตลาด Corn ใน Futures market นักลงทุนไม่ควรพิจารณา Technical aspect ของสินค้าตัวใดตัวหนึ่งโดยลำพัง ควรพิจารณาตลาดอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:12:52

ความคิดเห็นที่ 24 7. ให้ความสำคัญต่อ Open Interest ในการ Trade Options ถ้านักลงทุนจะลงทุนในตลาด Options ที่กำลังจะเปิดในประเทศของเราเร็วๆนี้ สิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาคือ จำนวน Open Interest ใน Option นั้นๆ ที่ Strike price นั้นๆ ที่ Expiry date นั้นๆ เพราะถ้าตลาดมี Open Interest น้อย ราคา Bid และ Offer ก็จะต่างกันมาก และเมื่อเปิดหลายๆ Positions แล้ว ก็อาจจะ Close positions ก่อนถึง Expiry date ไม่ได้ ใน Complex option trading เช่นการใช้ Surrogate Covered Call Write โดยใช้ Option ชนิด LEAPS (Long-Term Equity AnticiPation Securities) แทนการถือ Long positions ฯลฯ เทคนิคเหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นการลดความเสี่ยง แต่ก็ต้องเปิดหลาย Positions ในตลาดที่มี Open interest น้อย จะทำให้เกิด Slippage คือ ซื้อ/ขาย ที่ราคา Market ไม่ได้ และอาจจะทำให้ระบบเหล่านั้นไม่ทำงานตามที่วางแผนการลงทุนเอาไว้ จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:13:26

ความคิดเห็นที่ 25 8. รู้จักขอบเขตุความสามารถของตัวเอง นักลงทุนสามารถเลือกตลาดที่จะลงทุนได้ สามารถเลือกชนิดของคำสั่งในตลาดได้ สามารถเลือกเวลาที่จะเข้า ซื้อ/ขาย ได้ สามารถกำหนดจำนวนสัญญาที่จะลงทุนได้ และสามารถกำหนดการ Stop loss หรือ Liquidate หรือ Cover หรือ Take profit ได้ แต่นักลงทุนไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาดได้ ตลาดมักจะสร้าง Pattern แปลกๆ ที่เราไม่คาดคิดเสมอ การรู้ขอบเขตุความสามารถของตัวเอง ว่าเราไม่สามารถควบคุมตลาดได้ ไม่มีใครรู้อนาคต เป็นความจริงที่นักลงทุนจะต้องระลึกไว้เสมอ 9. รอสัญญาณก่อนเข้าตลาด บ่อยครั้งที่นักลงทุนสามารถมองเห็น Pattern ได้ก่อน และสามารถรู้ล่วงหน้าว่าตลาดจะไปทางไหน นักลงทุนมักจะเข้า ซื้อ/ขาย ทันที ซึ่งเป็นข้อผิดพลาด เพราะตลาดมักจะแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่เราไม่คาดหวังได้ง่ายๆ การลงทุนที่ดีกว่า คือการรอให้เกิด สัญญาณ ซื้อหรือขายเสียก่อน คือให้ตลาด Confirm การคาดหวังของเราเสียก่อน แล้วค่อยเข้าไป ซื้อ/ขาย ตามสัญญาณนั้นๆ เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อได้ที่ Low หรือขายได้ที่ High แต่เราจำเป็นที่จะต้องเห็นราคาสูงขึ้นหลังจากซื้อ และต่ำลงหลังจากขาย จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:14:00

ความคิดเห็นที่ 26 10. อย่าลงทุนเกินจำนวนเงินที่สามารถเสี่ยงได้ ในตลาด Futures เมื่อราคาเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการคาดหมายของเรา ตลาดจะมี Margin Call ที่นักลงทุนจะต้องจ่ายทันที หรือโดน Force liquidation ดังนั้น การลงทุนจึงต้องเผื่อเงินเอาไว้ให้เพียงพอต่อ Margin call และเพียงพอต่อการลงทุนรอบต่อไป ถ้ารอบแรกๆขาดทุน โดยปรกติ ลุงโฉลกจะตั้งกฏเอาไว้ให้ใช้เงิน 6 เท่าของ Total margin requirement สำหรับการลงทุนในปีแรก และลดลงเหลือ 4 เท่าในปีต่อๆไป จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:14:36

ความคิดเห็นที่ 27 ขออนุญาตคุณลุง เผยแพร่ บทความ และขอบคุณมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 52 21:23:18

ความคิดเห็นที่ 28   ขอบคุณครับ คุณ Eiji เพื่อน ๆ ท่านใดมีข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับ M & M ช่วยเสริมมาได้เลยนะครับ .............................................................................................. ขออนุญาตยกบางจุดที่คุณครูใหญ่ (คุณ MudleyGroup) พูดไว้ใน blog เมื่อวันก่อนนะครับ “การใช้ money management นั้นเราต้องใช้เพื่อที่เราจะได้อยู่ในตลาด ได้นาน พอที่จะสั่งสมประสบการณ์ หลายคนมุ่งเน้นผลตอบแทนจนลืมสั่งสมประสบการณ์” “หลายคนไม่เข้าใจ ทำไม ถึงต้อง Money management ซะมากมาย แบบนี้ผลตอบแทนเราก็ลดลง เป้าหมายแรกของการเป็นเทรดเดอร์ คือเข้าใจหัวใจของ Money management ที่แท้จริงก่อน เป้าหมายที่แท้จริงของ Money management คือ สั่งสมประสบการณ์ และ ฝึกเป็นคนที่สามารถยอมรับข้อผิดพลาดได้นั่นเอง ถ้าเทรดเดอร์คนไหนไม่ยอมผ่านช่วงเวลาฝึกเหล่านี้หลายปี โอกาส สำเร็จก็ย่อมยากไปด้วย เปรียบเสมือนพื้นฐานที่ไม่แน่นนั่นเอง” จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 52 09:19:37 A:118.173.81.196 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 29   ส่วนต่อไปคือตามหมายเหตุที่ได้พูดถึงข้างบน ตามหลักการทั่วไป เราจะยอมขาดทุนสำหรับแต่ละโพสิชั่นไม่เกิน 2 % ของเงินลงทุนต้นงวด และในแต่ละเดือนผลขาดทุนของทุก ๆ โพสิชั่นรวมกัน จะต้องไม่เกิน 6 % ของเงินลงทุนต้นงวด ตัวอย่าง เงินลงทุน 100,000 บาท ยอดขาดทุนจำกัด สำหรับแต่ละโพสิชั่นที่เปิด 2% เท่ากับ 2,000 บาท ยอดขาดทุนรวม ของทุก ๆ โพสิชั่นในเดือนนั้น 6% เท่ากับ 6,000 บาท ต้นเดือนมีรายการลงทุนดังต่อไปนี้ โพสิชั่นที่ 1 เข้าซื้อหุ้น A จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 2 เข้าซื้อหุ้น B จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 3 เข้าซื้อหุ้น C จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท . หมายเหตุ กรณีที่ 1 มีการปิดโพสิชั่นในระหว่างเดือน และได้กำไร สมมติอาทิตย์แรก หุ้น A ที่ซื้อไว้ ราคาขึ้นสูงถึงจุดที่เราพอใจ และเราตัดสินใจขายหุ้น A ออกไป มีกำไร 1,000 บาท ปลายอาทิตย์แรก พอร์ตของเรามีสถานะคือ โพสิชั่นที่ 1 หุ้น A ปิดไปแล้ว (มีกำไร) โพสิชั่นที่ 2 หุ้น B จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 3 หุ้น C จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท ............................................................................................. จะเห็นว่าตอนนี้พอร์ตของเรายังมีโอกาสขาดทุน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ คือจากหุ้น B และ C เนื่องจากหุ้น A เราปิดไปแล้ว สมมติต่อไปเราเกิดขาดทุน ทั้งหุ้น B และ C ที่เหลือในพอร์ต ผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น คือ 2,000 + 2,000 = 4,000 บาท ( เท่ากับ 4 % ซึ่งยังไม่ถึง 6 % ) ดังนั้นในอาทิตย์ที่สองนี้ เราสามารถเปิดโพสิชั่นใหม่ได้เพิ่มอีก โดยผลขาดทุนรวมที่ยอมรับได้ ก็ยังไม่เกิน 6 % ดังนั้นเราถ้าเราเจอหุ้นที่ดี ก็สามารถจะเปิดโพสิชั่นใหม่อีก สมมติคือหุ้น D ต้นอาทิตย์ที่สอง สถานะของพอร์ตคือ โพสิชั่นที่ 2 หุ้น B จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 3 หุ้น C จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 4 เข้าซื้อหุ้น D จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท (ถ้าหากภายในอาทิตย์ที่สองนี้ เราเกิดขายหุ้น B ออกไปอีกและมีกำไร เราก็สามารถเปิดโพสิชั่นใหม่เพิ่มขึ้นอีกได้ โดยจำกัดผลขาดทุนของโพสิชั่นใหม่นั้นไม่เกิน 2 % ในขณะเดียวกันผลขาดทุนรวมก็จะยังไม่เกิน 6 % ลักษณะคล้ายกับกรณีที่เราขายหุ้น A ออกไป และซื้อหุ้น D เข้ามา) จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 52 09:24:50 A:118.173.81.196 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 30   หมายเหตุ กรณีที่ 2 หุ้นที่ถืออยู่ราคาสูงขึ้นจนมีกำไร เราเลื่อนจุด Stop loss ขึ้นไป แต่ยังไม่ได้ปิดโพสิชั่น หรือขายหุ้นตัวนั้นออกไป ........................................................................................... สมมติอาทิตย์ที่สอง หุ้น B ที่เราถืออยู่นั้นมีราคาสูงขึ้นไปจนมีกำไร เช่น เราเข้าซื้อหุ้น B ที่ราคา 5 บาท จุด Stop loss ตั้งไว้ที่ 4.90 บาท ในอาทิตย์นี้ หุ้น B ราคาสูงขึ้นไปถึง 5.25 บาท เราเลื่อนจุด Stop loss ตามขึ้นไป สมมติว่ากำหนดจุด Stop loss ใหม่เป็น 5.10 บาท นั่นคือ ถ้าหากวันนี้ราคาหุ้นอยู่ที่ 5.25 บาท เราตั้งใจไว้ว่าถ้าราคาหุ้นเกิดถอยลงมาถึง 5.10 เราก็จะขายออกล่ะ จุด 5.10 อาจเรียกได้ว่าไม่ได้เป็นจุด Stop loss แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นจุด Protect profit หรือล็อคกำไรไว้ เมื่อเราเลื่อนจุด Stop loss ของหุ้น B ใหม่แล้ว จะเห็นว่าตอนนี้หุ้น B ยังไงก็มีกำไร ถึงแม้เราจะยังไม่ได้ขายออกไป กรณีนี้ ทำให้เราสามารถเปิดโพสิชั่นใหม่เพิ่มขึ้นอีกได้ โดยที่ผลขาดทุนรวมยังไม่เกิน 6 % ............................................................................................. อาทิตย์ที่ 2 โพสิชั่นที่ 2 หุ้น B มีราคาสูงขึ้น และยังถือไว้ โดยได้เลื่อนจุด Stop loss ขึ้นไปแล้ว โพสิชั่นที่ 3 หุ้น C จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 4 หุ้น D จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 5 เข้าซื้อหุ้น E จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 52 09:30:29 A:118.173.81.196 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 31   มารออ่านตอนต่อไป จากคุณ : ptt เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 09:22:46 A:58.9.6.14 X: TicketID:158578

ความคิดเห็นที่ 32   หมายเหตุ กรณีที่ 3 มีการขายหุ้นออกไปในระหว่างเดือน และมีผลขาดทุน ในอาทิตย์ที่ 3 หุ้น C ราคาตกลงมาจนถึงจุด Stop loss เราได้ขายหุ้น C ออกไป มีผลขาดทุน 2,000 บาท (2 %) ในกรณีนี้เมื่อขายหุ้น C ออกไปแล้ว เราไม่สามารถจะซื้อหุ้นตัวใหม่เพิ่มเข้ามาได้ เพราะขณะนี้พอร์ตของเรามีผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงแล้ว จากหุ้น C 2 % และยังมีผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากหุ้น D และ E (2 % + 2 % = 4 %) การซื้อหุ้นตัวใหม่เข้ามา จะทำให้ผลขาดทุนรวมที่อาจเกิดขึ้น เกินเกณฑ์ 6 % ที่ตั้งไว้สำหรับแต่ละเดือน อาทิตย์ที่ 3 โพสิชั่นที่ 2 หุ้น B มีราคาสูงขึ้น และได้เลื่อนจุด Stop loss ขึ้นไปแล้ว โพสิชั่นที่ 4 หุ้น D จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 5 หุ้น E จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท ............................................................................................ อาทิตย์ที่ 4 จนถึงสิ้นเดือน เราขายหุ้น B ออกไปโดยได้กำไร สถานะของหุ้นคงเหลือในพอร์ตก็จะเป็น โพสิชั่นที่ 4 หุ้น D จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 5 หุ้น E จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท ............................................................................................ ณ วันสิ้นเดือน เราจะคำนวณมูลค่าของพอร์ตทั้งหมด คือ มูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ในมือ คิดตามราคาตลาด ณ วันสิ้นเดือน บวกด้วยเงินสดที่มีในพอร์ต มุลค่าพอร์ต ณ วันสิ้นเดือนนี้ เป็นตัวเลขที่เราจะใช้ในการคำนวณหา อัตรา 2 % และ 6 % ของเดือนถัดไป สมมติว่ามูลค่าพอร์ตสิ้นเดือนของเรา ลดเหลือ 95,000 บาท ยอดขาดทุนจำกัด สำหรับแต่ละโพสิชั่นที่เปิดของเดือนใหม่ก็จะเป็น 2% เท่ากับ 1,900 บาท ยอดขาดทุนรวมของทุก ๆ โพสิชั่น สำหรับเดือนใหม่ คือ 6% เท่ากับ 5,700 บาท ถ้าหากว่า ณ วันสิ้นเดือน มูลค่าพอร์ตของเรา เพิ่มขึ้นเป็น 105,000 บาท ยอดขาดทุนจำกัด สำหรับแต่ละโพสิชั่นที่เปิดของเดือนใหม่ก็จะเป็น 2% เท่ากับ 2,100 บาท ยอดขาดทุนรวมของทุก ๆ โพสิชั่น สำหรับเดือนใหม่ คือ 6% เท่ากับ 6,300 บาท จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 15:45:01 A:118.173.75.203 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 33   จากตัวอย่างข้างบน ณ วันสิ้นเดือน โพสิชั่นที่ยังคงเปิดค้างอยู่ คือ โพสิชั่นที่ 4 หุ้น D จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 5 หุ้น E จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท ............................................................................................. สมมติว่าเดือนที่แล้ว มูลค่าพอร์ตของเราลดเหลือ 95,000 บาท ตัวเลขสำหรับเดือนใหม่คือ 2% เท่ากับ 1,900 บาท 6% เท่ากับ 5,700 บาท ........................................................................................... หมายเหตุ คำอธิบายข้างล่างต่อไปนี้ เป็นการตีความของผมเองนะครับ โดยอ้างอิงจากเนื้อหาในหน้า 232 อาจจะคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดไป ขอให้เพื่อน ๆ ทบทวนด้วยตัวเองอีกสักครั้งนะครับ .............................................................................................. If your stops are not yet at breakeven, find the percentage of your equity you have exposed to risk and count it against the 6%. Once you deduct that number from 6%, the result will let you know whether you may put on new trades. ............................................................................................ ย้อนไปดูโพสิชั่นที่เปิดค้างอยู่ หุ้น D และ E มีผลขาดทุนรวมที่อาจเกิดขึ้นได้ เท่ากับ 4,000 บาท ขณะที่สำหรับเดือนใหม่นี้ ยอดขาดทุนรวมของทุกโพสิชั่นที่ยอมให้ ตามอัตรา 6 % เท่ากับ 5,700 บาท ผลขาดทุนของหุ้น D และ E คิดเป็น % เมื่อเทียบกับมูลค่าพอร์ต 95,000 บาท เท่ากับ 4.2 % ดังนั้นยอดผลขาดทุนรวมที่ยอมรับได้ ยังเหลืออยู่คือ 5,700 - 4,000 = 1,700 บาท หรือ 6 % - 4.2 % = 1.8 % เราจึงสามารถเปิดโพสิชั่นเพิ่มสำหรับเดือนใหม่ได้ โดยโพสิชั่นใหม่นั้น จะต้องมีผลขาดทุนจำกัดไม่เกิน 1,700 บาท .......................................................................................... เดือนใหม่ โพสิชั่นที่ 4 หุ้น D จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 5 หุ้น E จำกัดผลขาดทุนไว้ 2,000 บาท โพสิชั่นที่ 6 หุ้น F จำกัดผลขาดทุนไว้ 1,700 บาท ............................................................................................. จุดที่ทำให้ผมคิดว่าตัวเองอาจตีความผิดพลาด คือในเดือนใหม่นี้ จะเห็นว่า หุ้น D และ E กลายเป็น มียอดขาดทุนจำกัดต่อโพสิชั่น ประมาณ 2 % กว่า เมื่อเทียบกับมูลค่าพอร์ตต้นเดือน คือ 2,000 / 95,000 = 2.11 % ขณะที่ถ้ามองในภาพรวม 6 % ของแต่ละเดือน ยอดรวมก็จะยังคงอยู่ในเกณฑ์ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 16:11:10 A:118.173.75.203 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 34   จะเห็นได้ว่าสำหรับวิธีการนี้ของคุณครู Dr. Elder ผลกำไรที่เกิดขึ้นทุกสิ้นเดือน จะนำไปคิดรวมเป็นมูลค่าพอร์ต และคิดอัตรา 2 % และ 6 % จากมูลค่าพอร์ตนั้น ทำให้ในกรณีที่พอร์ตของเราโตขึ้นเรื่อย ๆ ความเสี่ยงที่ยอมให้สำหรับการเปิดโพสิชั่นแต่ละครั้ง (2 %) จะมากขึ้น เช่นเดียวกับความเสี่ยงรวมทุกโพสิชั่นที่ยอมให้สำหรับแต่ละเดือน ก็จะมากขึ้นเช่นกัน ตรงนี้ผมขอมองว่าเป็นข้อสังเกตนึงนะครับ เนื่องจากผมไม่ทราบว่าในวิธี Money Management แบบอื่น ๆ จะใช้การทบกำไรเข้าไปตรง ๆ เลยหรือไม่ คงจะต้องศึกษากันต่อไปครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 16:12:17 A:118.173.75.203 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 35   คำศัพท์คำนึงที่เจอบ่อย ๆ เวลาอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือคำว่า risk ถ้าว่ากันง่าย ๆ แบบ Rookie ในวันนี้ ผมเข้าใจว่า risk ก็คงหมายถึงโอกาสขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นกับพอร์ต หรือโพสิชั่นของเรา risk คงมองได้ทั้งในแง่ % ของโอกาสที่อาจเกิดขึ้น หรือมองในแง่ของตัวเลขจำนวนเงิน ว่ามีโอกาสขาดทุนกี่บาท มี risk อยู่หลาย ๆ อย่างเท่าที่ได้อ่านเจอ ผมขอยกมาบางอย่าง ที่ตัวผมเองคุ้นเคย และใกล้เคียงกับเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่นะครับ เนื่องจากผมเองก็เพิ่งเริ่มอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ และภาษาอังกฤษอ่อนแอมาก ความหมายต่าง ๆ คงพูดง่าย ๆ แบบที่ตัวเองคิด หวังเพียงว่าเป็นข้อมูลที่หากเพื่อน ๆ สนใจ จะได้นำไปศึกษาต่อไปนะครับ ........................................................................................... 1. Trade risk เป็นความเสี่ยงที่เราคำนวณขึ้นมา ในการเทรดแต่ละครั้ง หรือในการเปิดโพสิชั่น ความเสี่ยงตัวนี้ สามารถปรับได้ตาม ขนาดของโพสิชั่น หรือจำนวนหุ้นที่เราเข้าซื้อแต่ละครั้ง ลักษณะก็จะคล้ายกับ เกณฑ์ 2 % และการคำนวณหาจำนวนหุ้นที่จะเข้าซื้อ ตามที่ได้คุยกันมา 2. Market risk เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากสภาพของตลาด หรือจากสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบ เช่น นโยบายของรัฐบาล สถานการณ์โลก ว่ากันว่าความเสี่ยงตัวนี้ เราควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างในบ้านเราที่ชัดเจนคงจะเป็น ภาวะตลาดในช่วงนโยบายของ มรว. ปรีดิยาธร หรือช่วงที่มีการปฏิวัติ 3. Liquidity risk เป็นความเสี่ยงจากสภาพคล่องของตลาด ในวันที่หุ้นตกมาก ๆ สำหรับหุ้นที่มีผู้ซื้อขายน้อยราย ถึงแม้เราจะอยากขาย ก็ขายไม่ได้ เพราะมีคนซื้อน้อย 4. Overnight risk เป็นความเสี่ยงจากการปรับตัวของตลาดในวันถัดไป ที่เราคุ้นเคย คงที่เรียกกันว่า มี gap เช่น อยู่ดี ๆ พรุ่งนี้เปิดตลาด ราคากระโดดตกลงไป 10 ช่อง เป็นต้น 5. Volatility risk ความเสี่ยงจากการแกว่งตัวขึ้นลงของราคา ตัวอย่างนึงของความเสี่ยงนี้ เช่น ราคาหุ้นแกว่งตัวขึ้นลง ในช่วงที่กว้าง จนราคาไปโดนจุด Stop loss ของเรา ทำให้เราต้องขายหุ้นออกไปตามวินัย ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ราคาหุ้นยังไม่ได้เป็นการตกลงไปจริง ๆ เพียงแค่ลงไปไม่มากนัก ก็กลับตัวขึ้นมาอีก จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 16:43:39 A:118.173.75.203 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 36   จากความหมายของ risk ต่าง ๆ ข้างบน ทำให้ผมคิดว่ามีความเสี่ยงหลาย ๆ อย่าง ที่อาจทำให้เราไม่สามารถรักษาวินัย ของการบริหารเงินตามกฎ 2 % และ 6 % ได้โดยง่าย ยกตัวอย่าง เช่น ในวันที่หุ้นเปิดตกลงมาแรงและเร็ว ผมจะบริหารความเสี่ยงอย่างไร จะใช้การ hedge port หรือยังมีการบริหารความเสี่ยงแบบอื่น ๆ ที่สามารถช่วยป้องกันหรือลดความเสียหาย จากความเสี่ยงทุกอย่างข้างต้นได้ สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจ เราคงได้ศึกษากันต่อไปอีกนะครับ ............................................................................................ ผมคงขอจบประเด็นเกี่ยวกับ Money Management เท่าที่คัดลอกจากหนังสือของ Dr. Alexander Elder ไว้เพียงเท่านี้ หากมีเรื่องอะไรน่าสนใจ ก็จะมาเล่าสู่กันฟังอีกครับ ................................................................................................ ขอขอบคุณคุณครูใหญ่ MudleyGroup, คุณครู Dr.Elder, คุณครูผู้เขียนหนังสือให้อ่านทุกท่าน และเพื่อน ๆ ทุกคนที่แวะมาทักทายกันนะครับ สวัสดีครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 17:03:14 A:118.173.75.203 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 37   ปล. ผมคิดว่ากระทู้ที่คุณครูนู๋ดาทำ link ไว้ ของคุณ seun http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8258000/I8258000.html เทียบเชิญพลพรรคแมงเม่า มารู้จักกับ Mechanical Trading System ............................................................................................ เป็นกระทู้ที่น่าตามไปอ่านนะครับ นอกจากการฝึกฝนที่เราสามารถทำได้อย่างมากใน KZM แล้ว การฝึกสร้างและใช้ Trading System บวกกับ Money Management คงเป็นการฝึกฝนตัวเองที่ดีอีกอย่างหนึ่งนะครับ ท่าทางจะน่าสนุกด้วยครับ จากคุณ : ดอกไม้ DSM เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 17:11:34 A:118.173.75.203 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 38 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8258000/I8258000.html มาทำ link ให้พี่ดอกไม้ค่ะ ขอบคุณพี่ดอกไม้มากค่ะ ที่อ่านและตีความให้พวกเราได้ฟังกันค่ะ เดี๋ยวดาขอไปอ่านหนังสือคุณครู Elder ให้จบก่อนนะ แล้วจะมีคำถามมาถามพี่ดอกไม้แหะๆๆ แต่จะอ่านจบเมื่อไรหละนี่ แหะๆๆ จากคุณ : daandart เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 19:20:56

ความคิดเห็นที่ 39   หนังสือเรื่อง Come into my trading room เนี่ย เป็นหนังสือคลาสสิคเล่มแรกๆที่ผมอ่านจบ แล้วยังใช้วางเป็นรากฐานมาจนถึงบัดนี้เลยครับ จากคุณ : ส.บ.ล. เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 52 09:28:50 A:203.160.6.2 X: TicketID:215934

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณคุณพี่ดอกไม้ฯ ครับ... (เพิ่งได้เข้ามาอ่านเพิ่มเติม...) จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 52 20:25:36

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าคุณพี่ สมบูรณ์ลาภ มีเวลาช่วยสรุปให้ฟังด้วยจิครับ... ผมพยายามอ่านแระ แต่ค่อนข้างตะกุกตะกัก แบบว่าภาษาไม่แข็งแรงเอามากๆ ครับ... จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 52 20:26:51

ความคิดเห็นที่ 42   พี่ห่าน เอาเป็นว่า ผมจะลองระลึกชาติดูนะ ว่าพอจะจำอะไรได้มั้ย แต่ว่า อาจจะได้อรรถรสไม่สมบูรณ์เหมือนอ่านเองนะ เพราะว่าผมก็จะจำได้แต่เรื่องที่ผมอยากจะจำ ฮิฮิฮิ เขาว่า หลักการเทรดใหญ่ๆ มีแค่ สามเอ็ม เอ็มแรก คือ เมนทัล คือจะต้องตั้งไมน์เซ๊ตหรือว่าทัศนคติให้ถูกก่อน ที่จะเข้าสู่วังวนของการเทรด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะต้องเทรดด้วยระเบียบวินัย เทรดตามแผนที่ตั้งเอาไว้ และสิ่งที่ควรทำคือ จดบันทึกการเทรด และมูลค่าของสินทรัพย์ตลอด ผมว่า เอ็มนี้สำคัญที่สุดในการเริ่มต้น เอ็มที่สองคือ เมธอด อันนี้ก็คือ Technical Analysis ธรรมด๊า ธรรมดา ที่เราใช้กันแหละครับ คือผมสังเกตหนังสือหลายเล่มแล้ว ส่วนใหญ่เขาจะใช้เทคนิคที่บ้านๆ ไม่ต้องซับซ้อนขนาดเข้าสูตรหลายๆชั้นเลยแม้แต่น้อย อันนี้ผมจะไม่ได้เน้นเลย เพราะว่าตัวนี้สูตรใครสูตรมัน เอ็มสุดท้ายคือ มันนี่ เขาจะพูดถึงเรื่อง Money Management ซึ่งก็คือเรื่องของการจัดการความเสี่ยงนั่นเอง โดยมีหลักใหญ่ๆว่า การเทรดตลอดเวลาจะต้องตั้งอยู่บนความเสี่ยงที่เรารับได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่า ผมได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้มากที่สุด เทคนิคง่ายๆที่เขานำมาใช้ ก็คือ หลัก สองเปอร์เซ็นต์ กับ หกเปอร์เซ็นต์ สองเปอร์เซ็นต์ นี่เขาเปรียบเทียบเหมือนกับการถูกฉลามกัด เพราะว่าเป็นการกัดครั้งเดียวที่รุนแรง วิธีการใช้ก็คือ เราจะกำหนดจุดคัทลอสของ หุ้นแต่ละตัวเอาไว้ ที่ไม่เกิน สองเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าพอร์ตรวมทั้งหมด ถ้าถึงก็ออกทันที ส่วนหกเปอร์เซ็นต์ ก็จะเปรียบเทียบเหมือนกับการถูกพิรันยากิน ค่อยๆกัดกินเซาะไปเรื่อยๆ โดยที่เราอาจจะไม่ได้ระวัง วิธีการก็คือ กำหนดเอาไว้ว่าในแต่ละเดือนเนี่ย เราจะยอมรับผลขาดทุนที่เกิดจากทุกๆเทรดแค่ไม่เกิน 6% ของมูลค่าพอร์ตรวมทั้งหมด ถ้าเกินเมื่อไร ให้หยุดเทรดในเดือนนั้น แล้วรอเดือนใหม่ทันที สรุปหลักใหญ่ๆเท่าที่จำได้ มีแค่นี้แหละครับ จากคุณ : ส.บ.ล. เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 52 08:36:40 A:203.160.6.2 X: TicketID:215934

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณคุณพี่ ส.บ.ล. มากๆ ครับ จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 52 09:00:23