ความคิดเห็นที่ 1 เข้าใจนะคะ ว่ากำลังเครียด แต่อยากให้ตั้งสติสักนิด เพราะว่าเขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่องเลยจ้า 1) พวกทวงหนี้ ทวงจนทะเลาะ กับ หัวหน้าที่ทำงาน... - พวกทวงหนี้ ทะเลาะกับ หัวหน้าที่ทำงาน หรือ - พวกทวงหนี้ ทวงหนี้จนกระทั่ง จขกท ทะเลาะกับ หัวหน้าที่ทำงาน ถ้า จขกท ทะเลาะกับหัวหน้างาน เพราะเรื่องที่ถูกติดตามทวงหนี้ จนเสียสมาธิ ไม่มีจิตใจจดจ่อกับการทำงาน จนทำให้เสียงานเสียการ ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้บริษัทเกรงว่า คุณจะเครียดกับภาระหนี้สิน จนไม่สามารถทำงานให้เค้าเต็มที่ หรือทำงานผิดพลาด ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้ถูกออกหนังสือเตือนได้ - เขาให้เหตุผลอะไรในหนังสือเตือน พอจะบอกหน่อยได้ไหม 2) เรื่องค่าชดเชย 10 เดือน ต้องดูตามอายุงาน คุณ จขกท ทำงานมาเกิน 10 ปี หรือยัง 3) ...ขอร้องว่า เราจะ ขอให้ช่วยอายัดเงินเดือนให้หน่อย ว่าเราว่าจะอยู่ให้ถึงอายัดเงินเดือนหรือเปล่า... ไม่รู้เรื่องเลย ว่าจะสื่อว่าอะไร 4)  ตอนนี้ยังไม่มีเหตุเลิกจ้าง เขาพูดบีบบังคับ หรือให้เซ็นต์หนังสือลาออก อย่าเซ็นต์เด็ดขาด ถ้าลาออกเอง จะไม่ได้เงินชดเชย 10 เดือน ไม่แน่ใจว่าตอบได้ตามที่ต้องการหรือเปล่า เข้าใจยากมาก ตั้งแต่ หัวข้อกระทู้แล้ว ถ้าเขียนใหม่หมดได้ก็จะดีนะคะ ยกตัวอย่าง หัวข้อน่าจะเป็น "โดนบีบให้ออกจากงาน เพราะถูกทวงหนี้" ส่วนเนื้อเรื่อง เรียบเรียงใหม่ได้ก็ดี ถามเป็นข้อๆ ให้เข้าใจง่ายๆ อาจะได้รับคำตอบมากขึ้นตามไปด้วย จากคุณ : วัวดิน - [ 9 เม.ย. 50 23:22:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาแอบอ่าน.. จากคุณ : สินธร - [ 9 เม.ย. 50 23:24:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเค้าจะให้เราออกจากงานเพราะเหตุเพียงแค่นี้ ก็ช่างเขาเถอะ   เรารับเงินชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อยอีก 1 เดือน (ถ้าเค้าให้ออกทันที) แต่ไม่ต้องไปเซ็นต์เอกสารอะไรทั้งนั้น นอกจากเอกสารรับเงินชดเชยและสินจ้างกับเงินเดือนก้อนสุดท้าย และดูให้ดีว่าไม่มีข้อความที่มีผลเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอย่างอื่น  ถ้าเค้าให้หนังสือเลิกจ้างมาด้วย  ก็เก็บหนังสือนี้ให้ดีๆ อย่าทำหาย จากนั้นเอาเงินก้อนนี้เก็บไว้เลี้ยงประทังชีวิตก่อน อย่าเพิ่งไปจ่ายหนี้ก่อนล่ะ  เดี๋ยวจะลำบากซะก่อน   จากนั้นไปฟ้องนายจ้างต่อศาลแรงงานกลางว่าคุณถูกเลิกจ้างโดยเหตุอันไม่เป็นธรรมเพื่อให้เค้าจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม   และให้ศาลเป็นคนตัดสินว่าที่เลิกจ้างเพราะเหตุถูกทวงหนี้นี้เป็นธรรมหรือเปล่า  ถ้าศาลเห็นว่าไม่เป็นธรรม  คุณก็อาจจะได้รับค่าเสียหายเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายนับตั้งแต่วันที่ถูกออกจากงานจนกว่าจะหางานใหม่ได้  หรือทางเลือกอีกข้อหนึ่งก็คือให้ศาลบังคับให้นายจ้างรับคุณกลับเข้าทำงานซึ่งปกติไม่ค่อยมีลูกจ้างรายไหนที่ถุกไล่ออกแล้วอยากกลับเข้าไปทำงานกับนายจ้างรายเดิมซะเท่าไหร่ ตอนไปที่ศาลแรงงานก็ไม่ต้องกลัว  จะมีนิติกรของศาลช่วยเขียนคำฟ้องให้  และการดำเนินคดีในศาลแรงงานก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทนายความ  มีอะไรไม่เข้าใจก็ปรึกษาทางนิติกรศาลได้ครับ จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 9 เม.ย. 50 23:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 10 เม.ย. 50 00:31:48 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คห. 3. อธิบายได้เยี่ยมมากครับ ..ว่าแต่ว่าไอ้บริษัททวงหนี้มันโหดจริง ๆ นะ..5555 พี่ที่ทำงานมีคนนึงเป็นหนี้บัตรจากฟุตบอล พรีเมียรฯ   วันดี คืนดี บัตรอะไรน้า ที่โฆษณาว่ามีดารารูปหล่อไปไหนมาไหนด้วยหนะ อีโทรทวง แบบทุก ๆ 1 ชั่วโมง ครั้นคนอื่นรับ อีก็กล่าวหาว่าช่วยกัน....ทีนี้ผมก็ฉุนดิ บอกเธอว่าที่นี่ที่ทำงาน จะตามจิกอะไรกันนักหนา...พี่เขารู้แล้ว แบบว่าเธอกวนจริง ๆ ครับ ใครยังไม่เคยมีหนี้ประเภทนี้จำไว้เลย มันทวงโหดจริง ๆ จนคนใน Office รำคาญ บางคนยุส่งให้ชักดาบมันเลย ทวงดีนัก ไปให้ศาลตัดสินแทน 55555555 จากคุณ : สายลมรัก - [ 10 เม.ย. 50 07:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ทราบว่าจะเป็นความผิดพลาดของเราได้ไหมครับ ที่ไปสร้างหนี้สินไว้แล้วไม่สามารถใช้คืนเจ้าของเงินได้ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเขาจึงทวงมาครับ การทวงถาม เมื่อเราทำงานที่ไหนเขาก็ทวงไปที่นั่น แรกๆหัวหน้ารับสายก็นึกว่าลูกค้าโทรมาสั่งสินค้า แต่พอรับไปกลายเป็นเจ้าหนี้โทรมาตามหนี้พนักงาน โทรมาบ่อยจนหัวหน้ารำคาญจึงไม่ยอมตามลูกหนี้มาพูดสาย ก็ถูกฝ่ายโน้นด่าเอาจนทะเลาะกันโทรศัพท์ ร้อนถึงผู้จัดการต้องเรียกคุณไปพบและออกหนังสือเตือน เรื่องของเรื่องจะเป็นไปทำนองนี้ไหมครับ ถ้าเป็นอย่างนี้และเป็นบ่อยบริษัทก็อาจให้คุณออกงานได้  ส่วนการจ่ายค่าชดเชยคงอยู่ที่บริษัทครับ ว่าเขาเคยจ่ายให้ใครไปแล้วแต่เรื่องยังไม่ยอมแล้ว ยังถูกฟ้องร้องอีก  เขาก็อาจปล่อยให้คุณไปฟ้องแล้วค่อยทำตามคำสั่งศาล จะได้เสร็จในคราวเดียว จะเป็นอย่างนี้ได้ไหมครับ จากคุณ : บุญถิ่น - [ 10 เม.ย. 50 08:55:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เพื่อนๆทุกคน บอกว่าไม่ให่เซ็นอะไร ให้บอกขอเงินไปเลย แล้วถ้าเขาไม่ให้แล้วปฎิเสธ ละ จะทำอย่างไรดี เวลาคิดอีกแค่วันเดียวเอง จากคุณ : pupe 30 (pupe30) - [ 10 เม.ย. 50 10:43:23 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ประเด็นนี้มีสองกรณีคือการถูกทวงหนี้จนมีผลกระทบกับการทำงาน และการถูกบีบบังคับให้ออกจากงานเพราะการทวงหนี้ ประเด็นแรกให้แจ้งความกับตำรวจครับ ดำเนินคดีอาญาฐานกรรโชกทรัพย์ เพราะการเป็นหนี้ฟ้องได้แค่ทางแพ่งเพื่อให้ชดใช้หนี้เท่านั้น ดูประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่น ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือ โดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือ ทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอม เช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ประการที่สอง นายจ้างคุณสามารถให้หนังสือเตือนได้ครับ โดยส่วนใหญ่แล้วข้อบังคับของบริษัทจะเขียนห้ามไม่ให้ลูกจ้างมีหนี้สินล้นพ้นตัว จนมีผลกระทบต่อการทำงาน การที่นายจ้างคุณต้องวุ่นวายไปเรื่องนี้ก็เข้าข่ายผิดข้อบังคับของบริษัทแล้ว การออกหนังสือเตือนเป็นมาตรการแรกที่จะนำไปสู่การเลิกจ้างที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เพราะกฎหมายคุ้มครองแรงงานบัญญัติไว้ชัดเจนว่าผิดซ้ำคำเตือนเป็นครั้งที่สองในความผิดเดิมในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปีหลังจากวันที่ได้ลงในหนังสือเตือนฉบับแรก นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และหนังสือเตือนก็เป็นสิ่งที่นายจ้างทำได้โดยที่ไม่ต้องให้คุณลงชื่อยินยอมก็ได้ เพียงแค่อ่านให้คุณฟังและมีพยานลงชื่อรับรอง หรืออาจปิดประกาศหรือส่งทางไปรษณีย์ตอบรับให้คุณที่บ้านก็ถือว่ามีผลแล้ว เป็นหนี้ก็ต้องจ่ายครับเป็นเรื่องปกติ เมื่อไม่จ่ายก็ต้องยอมรับผลของมัน เสียหายไปหมดแหละครับ กรณีของเจ้าของกระทู้ผมเห็นว่า ควรไปขอให้นายจ้างคุณเลิกจ้างโดยได้รับค่าชดเชย และค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ขอความเห็นใจเล่าปัญหาทุกอย่างที่คุณมีให้เขาทราบ อธิบายให้เขาได้เห็นว่าลูกคุณตัวคุณจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเงินที่จะดำรงชีวิตเลย ความไว้วางใจจากนายจ้างที่มีต่อคุณนั้นผมเชื่อว่ามันหมดไปแล้ว อยู่ต่อไปแค่โดนหนังสือเตือนฉบับที่สองคุณก็ไม่รอดแล้ว จากคุณ : Stereophony - [ 10 เม.ย. 50 10:47:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ stereophony คุณอธิบาย ได้เห็นภาพและ เข้าใจขึ้นมากเลยคะ เราครวจะบอกเขาก่อนที่จะออกใบเตือน ใช่ไหมคะ   คิดว่าจะโทรศัพท์ ไปคุยกับเขาก่อนดีกว่านะคะ จากคุณ : pupe 30 (pupe30) - [ 10 เม.ย. 50 11:29:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ Sterophony ตอบได้ชัดเจนดีมากครับ จากคุณ : Knight - [ 10 เม.ย. 50 11:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 การที่เจ้าหนี้หรือตัวแทนของเจ้าหนี้ขู่ว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมาย เช่นจะส่งคนมาพบลูกหนี้ที่ทำงาน หรือว่าโทรมาทวงบ่อยๆ ตรงนี้ผมเห็นว่ายังไม่เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์นะครับ  เพราะเคยมีคำพิพากษาฎีกาตัดสินหลายครั้งแล้วว่าการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมายไม่เป็นกรรโชกทรัพย์   แต่อาจจะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทได้  เช่นการส่ง Fax มาประจานในที่ทำงานของลูกจ้างว่า "เตือนครั้งสุดท้ายให้ชำระหนี้" ส่วนเรื่องที่คุณ Stereophony บอกว่านายจ้างสามารถออกหนังสือเตือนได้  ผมว่าตรงนี้อาจจะด่วนสรุปไปนิดนึงเพราะข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนว่าบริษัทนายจ้างมีระเบียบหรือข้อบังคับในเรื่องนี้ไว้หรือเปล่า  ถ้าไม่มี  การออกหนังสือเตือนก็ไม่มีผลบังคับ    และถึงมี ก็ต้องดูอีกทีว่าการออกระเบียบหรือคำสั่งตรงที่ห้ามพนักงานเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมแก่ลูกหนี้หรือเปล่า  เพราะการออกระเบียบหรือข้อบังคับนั้น  ไม่ใช่ว่านายจ้างจะมีสิทธิออกได้ในทุกเรื่อง  ถ้าเรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนตัวของลูกจ้างที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน  ก็เป็นระเบียบหรือข้อบังคับที่ไม่มีผลบังคับต่อลูกจ้าง เคยมีคดีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างเพราะเจ้าหนี้ให้ตำรวจมาจับกุมตัวลูกจ้างไปจากที่ทำงานในข้อหาออกเช็คเด้ง (ก่อนจะโดนลากตัวไป  ลูกจ้างไปขอออนุญาตผู้จัดการฝ่ายบุคคลก่อน)    นายจ้างเลยเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุนี้  แต่ศาลตัดสินว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของลูกจ้างไม่เกี่ยวกับนายจ้าง  ย่อมไม่ทำให้นายจ้างเสียชื่อเสียงหรือได้รับความเสียหาย (คำพิพากษาฎีกาที่ 2187/2529) ฉะนั้น  ตรงนี้คงต้องมาดูข้อเท็จจริงให้ละเอียดก่อนว่าการที่ลูกจ้างเป็นหนี้นั้นและถูกทวงหนี้จากเจ้าหนี้นั้น  กระทบถึงประสิทธิภาพการทำงานของลูกหนี้หรือไม่ และกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัทจริงหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 50 12:50:58 จากคุณ : ทนายที่รัก - [ 10 เม.ย. 50 12:48:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ใช่ครับต้องดูข้อเท็จจริง แต่จากประสบการณ์ตรงคนที่ทวงหนี้จะเป็นพวกรับจ้างทวงหนี้ เมื่อทวงหนี้ในครั้งแรกๆ ไม่ได้ผลก็ใช้วิธีข่มขู่สารพัด ให้เอาเงินมาให้ เมื่อสอบกลับไปยังเจ้าหนี้ตัวจริงก็มักได้รับคำตอบว่าไม่รู้จัก กรณีนี้ก็เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ พวกรับจ้างทวงหนี้ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเข้าไปตกลงกับพนักงานในระดับจัดการหรือบริหารของผู้ที่ให้กู้หรือบัตรเครดิตต่างๆ ไม่มีสัญญามอบหมายให้ทวงหนี้แต่อย่างใด หากได้เงินมาก็ขอแบ่งเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนี่เป็นชีวิตจริงที่เกิดขึ้น หมิ่นประมาทก็ใช่ ทวงหนี้จนเลยเถิดก็เป็นกรรโชกทรัพย์ได้ยิ่งไม่มีนิติสัมพันธ์กับเจ้าของหนี้ที่แท้จริงก็ยิ่งเข้าข่าย ส่วนเรื่องตักเตือนเป็นหนังสือ ถึงไม่มีข้อบังคับก็ทำได้ครับแค่เป็นคำสั่งที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและเป็นธรรมก็ใช้ได้ คำสั่งที่ว่านี้เป็นได้ทั้งวาจาและหนังสือ กฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าต้องมีรูปแบบเป็นอย่างใด ก็เหมือนกับสัญญาจ้างงานนั่นแหละครับตกลงด้วยวาจาและมีการปฏิบัติตามนั้นก็มีผลสมบูรณ์ผูกมัดกันตามกฎหมายแล้ว ให้ดูกฎหมายคุ้มครองแรงงานมาตรา 119 (4) ครับ มาตรา 119 นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้ (1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง (2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย (3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง (4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือนหนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด (5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร (6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ แต่ถามว่าเลิกจ้างได้ไหม ได้ทุกกรณีแหละครับ หากนายจ้างไม่ชอบขี้หน้าขึ้นมา แต่เลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิดก็จ่ายค่าชดเชยตามหลักเกณฑ์ ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็เชิญลูกจ้างนั้นออกไปได้แล้ว ฎีกาที่คุณทนายที่รักอ้างถึง ให้ผมสรุปก็บอกได้ว่านายจ้างไม่รอบคอบไม่ดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าให้ทำได้แค่ไหนและอย่างไร แต่ให้ถามว่าเลิกจ้างได้ไหมผมก็ตอบว่าได้แต่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากรอบคอบหน่อยก็รอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเสียก่อนค่อยเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ฎีกานี้ก็แค่นายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยให้ เป็นความบกพร่องของผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่รับไปเต็มๆ ประเด็นของเจ้าของกระทู้ มันไม่ใช่เรื่องตัวบทกฎหมายเอามาใช้บังคับกันแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันมีเรื่องการควบคุมดูแลรักษาระเบียบวินัยในการทำงานขององค์กรมาเกี่ยวข้องด้วย คนอื่นเขาวุ่นวายไปทั้งสำนักงานเพราะการทวงหนี้ ยังจะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ทำให้นายจ้างเสียหายอีกหรือครับ แบบนี้ออกหนังสือเตือนได้ บริษัทฯ ห้างร้านเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจแสวงหากำไร ไม่ใช่องค์กรการกุศล เขาต้องการผู้ที่พร้อมที่สุดที่จะทำงานแลกค่าจ้าง เพื่อทำให้เขาบรรลุเป้าหมายได้ดังกล่าว ลูกจ้างคนไหนมีปัญหาสร้างความวุ่นวายก็มีวิธีจัดการดูแลตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับเจ้าของกระทู้ ผมก็ยังเห็นสมควรให้เข้าไปพูดคุยกับนายจ้างขอให้เขาเลิกจ้างโดยได้รับค่าชดเชยอยู่ดี เพราะฟังดูแล้วตัวเจ้าของกระทู้เองก็ไม่มีความสามารถจะชำระหนี้ได้ เพราะเป็นหนี้อยู่หลายเจ้า การทวงหนี้ก็คงมีอยู่ต่อไปจนกว่าจะถูกฟ้องร้องให้ศาลมีคำพิพากษา พอถึงชั้นบังคับคดีก็ต้องเดือดร้อนนายจ้างอีกที่คอยมานั่งหักเงินเดือนลูกจ้างที่เป็นหนี้ส่งสำนักงานบังคับคดีอีกทุกเดือนๆ ลำบากกันทั้งสองฝ่ายความไว้วางใจจากนายจ้างก็ไม่เหลือเพราะเป็นฝ่ายขายเกี่ยวข้องกับเงินทองของนายจ้างกลายๆ อ่านสิ่งที่ผมบอกไว้ในกระทู้แรกดีๆ ครับ สิ่งที่ผมบอกคือการเตือนอย่างหนึ่งว่าเจ้าของกระทู้เองอาจไม่ได้รับเงินค่าชดเชยแต่อย่างใดหากถูกเตือนเป็นหนังสือในความผิดเดียวกันสองครั้งภายในหนึ่งปีซึ่งอาจจะห่างกันแค่ไม่กี่วันหรือกี่สัปดาห์ก็ได้ ถึงเวลานั้นเจ้าของกระทู้อาจจะไม่เหลืออะไรที่จะดูแลตัวเองกับลูกได้เลย จริงอยู่อาจจะไปฟ้องร้องศาลแรงงานขอค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมก็มีสิทธิแต่จะชนะหรือไม่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ แต่ที่แน่ๆ นายจ้างไม่อยากได้ลูกจ้างคนนี้แล้ว แล้วขึ้นศาลหากนายจ้างยื้อสู้คดีกันจนครบทั้งสองศาลมันใช้เวลาเท่าไรครับปีสองปีกว่าจะจบแล้วลูกจ้างจะเอาเงินที่ไหนไปสู้คดีถึงแม้ว่าจะไม่ต้องใช้ทนายหรือเสียค่าธรรมเนียมในคดีเลยก็ตาม สู้แล้วแพ้คดีอีกจะทำอย่างไร ชีวิตจริงก็ต้องพิจารณากันหลายด้าน ทำอย่างไรจึงจะคุ้มค่าที่สุดเกิดประโยชน์กับตัวเรามากที่สุด ยึดหลักกฎหมายกันอย่างเดียวก็อาจไม่สมควรก็ได้ เรื่องนี้เจ้าของกระทู้ย่อมรู้อยู่แก่ใจและตัดสินใจได้เองว่าควรทำอย่างไรหลังจากได้รับคำแนะนำจากหลายๆ ท่านไปแล้ว แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 50 14:04:02 จากคุณ : นักกฎหมายธรรมดาๆ คนหนึ่ง (Stereophony) - [ 10 เม.ย. 50 14:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 13 งานนี้ ผมขอเห็นด้วยตาม คุณ Stereophony ครับ  เพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย  ในกรณีที่ลูกจ้างมีหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วยิ่งมีโทรศัพท์ทวงหนี้มาที่ทำงานตลอดเวลาเป็นการรบกวนเวลาทำงานของคนอื่นและเบียดบังเวลาของบริษัทครับ แม้กฎหมายจะไม่ได้ให้ตรงนี้เป็นข้ออ้างในการเลิกจ้างโดยการไม่จ่ายชดเชย  แต่คุณๆพนักงานควรระลึกเสมอว่า  การทำงานกับบริษัท ก็ต้องทำด้วยความทุ่มเทเต็มเวลา เต็มกำลังและความสามารถ  ผลตอบแทนคือค่าจ้างที่เราได้รับ  ไม่ใช่วันๆ มานั่งผัดผ่อนหนี้สิน  แล้วคุณจะเอาสติปัญญาที่ไหนมาทำงานให้บริษัทครับ   นอกจากนี้ ยังเห็นตาม คห 1 ครับ ว่า เจ้าของกระทู้ สื่อสารได้แย่มากครับ  ไม่รู้เรื่อง และแทบไม่ได้ความ คงเพราะเสียใจและตกใจ  หลังจากที่ได้แก้ไขเนื้อความแล้ว เข้าใจขึ้นเยอะครับ   แนะนำนะครับ  จะสื่อสารอะไรกับใคร ให้เรียบเรียงเนื้อความ คำพูดก่อนครับ  แล้วเขาจะช่วยคุณได้  คุณลองสังเกตครับ  คุณโพสต์อยู่นานไม่มีใครมาตอบคุณ  เพราะเขาอ่านแล้วไม่รู้เรื่องครับ ตอนแรกผมอ่านแล้วก็ต้องขอผ่านเพราะไม่รู้เรื่องครับ วันนี้ได้กลับมาอ่านอีกรอบหลังจากคุณแก้ไขแล้ว จึงได้ความ  และขอแสดงความเห็นใจกับคุณด้วยครับกับเรื่องที่เกิดขึ้น คุณต้องมองสองด้านครับ   ด้านบริษัท เหตุผลที่ผู้จัดการบุคคล หรือหัวหน้าคุณบอกว่า  คุณต้องทำงานเกี่ยวกับเงิน เนื่องจากเป็นพนักงานขาย  ไม่ทราบว่า คุณต้องรับ-ส่งเงินด้วยหรือไม่ครับ หรือว่าขายของอย่างเดียว  หากคุณต้องจับเงิน ส่งเงินด้วย  เหตุผลของบริษัทมันก็ฟังขึ้นครับ มันสุ่มเสี่ยงเป็นอันมากต่อการทุจริตในอนาคต   หากว่าคุณขายอย่างเดียว เรื่องเก็บเงิน ส่งเงิน เป็นอีกแผนก  อันนี้ เหตุผลของบริษัทก็ฟังไม่ขึ้นครับ อันนี้ ผมอยากให้คุณเข้าไปคุยกับเจ้าของครับ  ให้เห็นใจคุณบ้าง คุณทำงานอย่างทุ่มเทให้บริษัทมา 13 ปี  แต่ในเมื่อชีวิตมันผิดพลาด  คุณพร้อมจะรับผิดชอบต่อบริษัทโดยการลาออกแบบ แต่ขอเงินชดเชยเพื่อตั้งตัวสักก้อนจะได้หรือไม่  แนะนำให้ไปคุยกับเจ้าของเลยครับ  แค่ผู้จัดการบุคคลไม่พอ   ทั้งนี้ทั้งนั้น หมายถึงว่า ใน 13 ปีที่ผ่านมา  คุณทุ่มเทมาตลอด ไม่เคยมีประวัติเสียหาย   และที่สำคัญที่สุด  อย่าเพิ่งเขียนใบลาออกเป็นอันขาดครับ  ห้ามเด็ดขาดครับ เอาใจช่วยครับ  แนะนำให้คุยก่อนครับ กับเจ้าของบริษัท จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 10 เม.ย. 50 14:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ Stereophony และ คุณ ทนายที่รัก        ขอบพระคุณในคำแนะนำคะ ที่สามารถตอบได้ตรงใจในความรู้สึกตอนนี้จริงๆคะ นั่งน้ำตาคลออยู่หน้าคอมคะ ที่ช่วยให้คนไม่รู้เรื่องอะไรเลยที่อยู่ในความมืดมน ได้ สว่างขึ้นมา ได้พยายามไปแจ้งตำรวจเกี่ยวกับการทวงหนี้แล้วเขาไม่รับแจ้งความคะ ได้แต่เดินคอตก จากโรงพักลงมา โทรแจ้งกับ uob และได้ทำจดหมาย ไปแล้วก็ไม่ได้เรื่อง ส่วนเรื่องงาน โทรไปหาฝ่ายบุคคลแล้วคะ เข้าจะนัดวันคุยคะ ดูเหมือนจะไม่ได้เงินแน่นอนเลยคะ เข้าคงจะให้ออกเอง ชีวิตก็ต้องดิ้นกันไป ผิดพลาดเอาตอนแก่ ขอบคุณมากคะ จากคุณ : pupe30 - [ 10 เม.ย. 50 14:22:32 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณเจ้าของกระทู้ครับ ไม่ทราบว่า ความสัมพันธ์คุณกับเจ้าของบริษัทเป็นไงครับ  เจ้าของบริษัทมีเมตตาหรือเปล่าครับ   แนะนำให้คุยกับเจ้าของครับ  ฝ่ายบุคคลมันไม่ช่วยเราหรอกครับ มันก็แค่ลูกจ้าง ต้องรักษาผลประโยชน์ให้บริษัท จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 10 เม.ย. 50 14:27:22 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ ลูกแม่โดมคะ รับผิดชอบเรื่องเงินด้วยคะ เงินมีต่างประเทศ และ เงินไทย ต้องสรุปยอด และ เก็บให้ถูกต้องทุกวัน แต่ไม่ได้เอาไปเข้าแบงค์เองมีคนของบริษมารับไปคะ จากคุณ : pupe30 - [ 10 เม.ย. 50 14:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นั่นล่ะครับ ถือเป็นตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องการความซื่อสัตย์สุจริตสูงมากครับ ถ้ารับเงินเอง  ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัทพอฟังขึ้นครับ สำหรับการออกใบเตือน รอบแรก รอบสอง ก่อนที่จะให้ออก แต่อย่าลืมที่ผมบอกนะครับ ถ้าความสัมพันธ์เรากับเจ้าของดีมาตลอด เพราะทำงานรับใช้บริษัทมานาน และเจ้าของไม่เค็มจนเกินไป ส่วนใหญ่เจ้าของมีเมตตาครับ เชื่อผม  ผมเห็นมาเยอะแล้ว และหากหนี้สินไม่มาก  เจ้าของอาจจะทดรองจ่ายล่วงหน้าให้เรา แล้วให้เราผ่อนชำระคือให้กับบริษัทก็ได้ครับ หากว่าเราทำงานดีเข้าตามาตลอด   ที่ผ่านมา ผมเห็นเจ้าของบริษัทยื่นมือเข้าช่วยก็มาก โดยการออกเงินทดรองให้ก่อน หากเหตุผลพนักงานเพียงพอ และเป็นพนักงานที่ทำงานมานานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และมีผลงานที่ดี  สำหรับกรณีคุณ ผมมองว่า  เหตุผลนั้นฟังขึ้น และ น่าเห็นใจ เพราะเพียงแค่อยากตั้งตัวได้ เนื่องจากอายุมากขึ้นทุกวัน จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 10 เม.ย. 50 14:35:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ ลูกแม่โดมคะ เจ้าของจริงเป็น ชาวต่างชาติ เวลาพนักงานมีปํญหาที่จะต้องออกจากงาน หรือ กรณีจ้างออก ฝ่ายบุคคลจะมาคุยด้วยเท่านั้นคะ คล้ายคุยกันไว้แล้ว แล้วมาสรุปเมื่อเจอเราอีกทีคะ  เพื่อนที่ทำกันมานานมีทั้งออกแบบได้เงินและไม่ได้เงินไปหลายคนคะ ความสัมพันธ์ ไม่สนิทมากแต่ไม่มีปัญหาเรืองงาน ยอดขาย Top year ในสาขาที่อยู่แต่เป็นคนเรื่อยไม่ขี้ประจบคะ จากคุณ : pupe30 - [ 10 เม.ย. 50 14:37:38 ]

ความคิดเห็นที่ 19 หาคนที่ไม่ใช่ฝ่ายบุคคล ติดต่อเป็นตัวกลางกับเจ้าของได้หรือไม่ครับ  พนักงานที่ดี ทำยอดที่ดี หายากครับ ใครๆ ก็อยากได้ครับ  บริษัทไม่อยากเสียคุณไปหรอก มองในแง่ผู้บริหาร  แต่อยากให้เคลียร์หนี้สิน  แต่ไอ้ฝ่ายบุคคลมันไม่สนหรอก มันไม่ต้องรับผิดชอบยอดขาย  คุณคุยกับมันไป ก็ไม่มีประโยชน์  เท่าที่ฟังดู ก็แล้งน้ำใจพอควร จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 10 เม.ย. 50 14:41:05 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ ลูกแม่โดมคะ ฝ่ายบุคคลคุย กับ  ซุปเปอร์ไวเซอร์ ที่ร้านว่าที่ ออฟฟิตก็มีแบบนี้คนหนึ่งก็ช่วยไป แต่ของเราเยอะมากเลยไม่สามรถช่วยได้คะ จากคุณ : pupe30 - [ 10 เม.ย. 50 14:45:17 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ทำตามที่คุณลูกแม่โดมแนะนำก่อนเถอะครับ คุยกับเลขานายได้ไหม ขอให้เขาช่วยเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง รวมถึงเรื่องส่วนตัวที่คุณต้องดูแลลูกและตัวเองด้วย คุณยังไม่ถูกเตือน ยังมีเวลาที่จะแก้ไข อย่าเขียนใบลาออกเด็ดขาดตามที่คุณลูกแม่โดมบอก หากไม่มีทางเลือกก็ให้เขียนเหตุผลของการลาออกว่าถูกร้องขอให้ลาออก เก็บสำเนาไว้ แล้วค่อยไปร้องเรียนกับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในเขตที่บริษัทฯ คุณทำงานตั้งอยู่ จากคุณ : Stereophony - [ 10 เม.ย. 50 14:48:18 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณไปแจ้งตำรวจ เล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟัง แล้วก็ให้บันทึกเป็นหลักฐาน เสร็จแล้วก็โทรศัพท์กลับไปหามัน บอกว่าเรื่องที่มันทำมาทั้งหมดแจ้งความไว้แล้ว การพูดจาข่มขู่ถือเป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้ โทษถึงขั้นติดคุกครับ ถ้าเป็นบริษัทฯ ทนาย จะถูกถอนใบอนุญาต ถ้าเป็นทนายทำเองก็ถูกถอนใบอนุญาตเช่นกัน จากคุณ : mar รุ่นเก๋า - [ 10 เม.ย. 50 14:51:29 A:125.25.134.172 X: TicketID:122020 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เฮ้อ เห็นใจนะครับ  เอาเป็นว่า ถ้าคุณได้ลองเจรจากับบริษัทอย่างเต็มสามารถแล้ว บริษัทไม่ช่วย ก็ห้ามเขียนใบลาออกครับ  ไม่ว่าจะโดนกดดันแค่ไหน ก็ห้ามลาออกครับ  แล้วทำตามอย่างที่ คุณทนายที่รัก หรือ คุณ Stereophony แนะนำ  ไปร้องเรียนกับสำนักงานฯที่ว่านั่น เพื่อเรียกร้องในกรณีที่บริษัทไม่จ่ายเงินชดเชยครับ เอาครับ สู้ต่อไป  อย่าท้อครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 10 เม.ย. 50 14:52:14 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ แม่โดม และ คุณ Stereophony คะ จะจำและทำตามข้อแนะนำคะ มีสติ ท่าผลออกมาเป็นอย่างไรจะรายงานให้ทราบคะ จากคุณ : pupe30 - [ 10 เม.ย. 50 14:54:14 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ส่วนเรื่องบริษัทที่โทรมาตามหนี้  ลองขู่มันกลับเหมือนที่คุณ มาร์ แนะนำก็ดีเหมือนกันนะครับ  ลองทั้งสองทาง แต่ผมว่า ประเด็นที่บริษัทจะให้ออก มันไม่ได้อยู่ที่จะมีโทรศัพท์มาอีกหรือไม่แล้วล่ะ  มันกลายเป็นเรื่องหนี้สินที่คุณมีมากกว่า  ที่บริษัทไม่สบายใจ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 10 เม.ย. 50 15:03:08 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ถูกต้องคะ คุณ ลูกแม่โดม  ,  คุณ mar คะ ได้พยายามแล้วเขาไม่รับแจ้ง ตำรวจบอกให้ไปคุยกับมันอย่างเดียวเท่านั้น ดีที่สุด  ตำรวจ 2 คน ช่วยกันพูดใหญ่เลย ให้เราไป ยู โอ บี  บอกกับผู้จัดการเลย ดีที่สุด จากคุณ : pupe30 - [ 10 เม.ย. 50 15:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ผมหมายถึง บอกมันว่า ได้ไปแจ้งความไว้แล้วในข้อหากรรโชกทรัพย์  ถ้ามันโทรมาอีก   ส่วนเรือ่งตำรวจไม่รับแจ้งน่ะ ถูกต้องแล้วครับ เพราะมันเป็นความแพ่ง คุณไป ยู โอ บี  ก็ไม่มีประโยชน์ครับ เขายิ่งดีใจ ที่คนทวงหนี้ ทำให้ลูกหนี้ยอมเข้ามาคุยกับเจ้าหนี้ได้  เขายิ่งชอบระบบนี้ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 10 เม.ย. 50 15:16:34 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้าใจแล้วคะ จากคุณ : pupe30 - [ 10 เม.ย. 50 15:23:12 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เข้ามาชื่นชมเพื่อนๆ ที่มาให้คำแนะนำค่ะ ให้กำลังใจ จขกท.ด้วย และก็ย้ำเด็ดขาด อย่าไปก่อหนี้เพิ่มนะ จากคุณ : เอาชื่อไหนก็ซ้ำไปหมด - [ 10 เม.ย. 50 17:18:19 ]