Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภาษีทรัพย์สินแก้ไขอีกนิด เศรษฐกิจจะอุดมโภคา  

(ทั้งสนับสนุนและคัดค้านท่านกรณ์ตามข่าวใน http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/property/property/20100115/95529/กรณ์-สั่งลุยภาษีทรัพย์สิน.html )

ภาษีที่ดินควรเป็นภาษีที่เก็บแทนภาษีเงินได้และภาษีจากการผลิตสินค้าและบริการ รวมทั้งการค้าขาย เพราะมูลค่าหรือค่าเช่าที่ดินนั้นไม่ได้เกิดจากการกระทำของเจ้าของที่ดิน แต่เกิดจากการมีชุมชน กิจกรรมของส่วนรวม รวมทั้งการเสียภาษีต่างๆ ที่รัฐเรียกเก็บ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้การประกอบอาชีพและการกินอยู่ทำได้สะดวกรวดเร็วปลอดภัย ฝรั่งจึงเรียกมูลค่าหรือค่าเช่าที่ดินว่า unearned income หรือ unearned increment

การเก็บภาษีที่ดินแทนภาษีจากการลงแรงลงทุนเช่นนี้ ที่จริง โดยหลักของสำนักจอร์จ ก็คือเมื่อเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นแล้ว สมมุติว่าค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย ใช้เวลา 30 ปี ภาษีที่ดินจึงเท่าหรือเกือบเท่ากับค่าเช่าศักย์หรือค่าเช่าที่ควรจะเป็นของที่ดินนั้นๆ ทางปฏิบัติก็คือ รัฐเป็นเจ้าของที่ดิน ส่วนจ้าของที่ดินแต่ละรายกลายเป็นผู้เช่านั่นเอง นี่เป็นข้อเดียวที่จะกล่าว (หา) ได้ว่าเฮนรี จอร์จเป็นสังคมนิยม (แต่พยายามอย่ายุ่งเกี่ยวกับการจัดคนให้ไปอยู่ในที่ดินตามพื้นที่ต่างๆ ให้เขามีสิทธิเลือกที่ดินของเขาเองดีที่สุด)

มีภาษีเกี่ยวกับที่ดิน (ทรัพยากรธรรมชาติ) ที่ควรเก็บอีก 2 อย่าง คือ ค่านำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้หมดเปลืองไป และ ค่าชดเชยก่อมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม

ส่วนกิจการอื่นๆ เอกชนทำได้โดยเสรี ไม่มีภาษีอะไรที่จะต้องจ่าย ทำมาหาได้เท่าไรเป็นของตนเองทั้งหมด ไม่ต้องยื่นแบบเพื่อชำระภาษี แม้กระทั่งภาษีที่ดิน (ภาษีสิ่งปลูกสร้างก็ไม่เก็บ) โดยภาษีที่ดินนั้นรัฐมีโฉนดหรือใบสำคัญอื่นๆ เป็นหลักฐานอยู่แล้วหรือสามารถตรวจสอบเองได้และต้องตั้งแผนที่แสดงราคาประเมินให้เห็นกันทั่วเพื่อความโปร่งใส เช่น ตั้งแสดงไว้ที่แต่ละอำเภอ

เมื่อเก็บภาษีที่ดินเท่ากับค่าเช่าที่ควรเป็น ก็เกิดความยุติธรรม เพราะความได้เปรียบเสียเปรียบกันเนื่องจากการครองที่ดินมากน้อยดีเลวผิดกันจะหมดไป ไม่ต้องจัดสรรที่ดินให้ใคร เพราะตามระบบใหม่นี้ ผู้คนจะไม่ถือครองเก็บกักที่ดินไว้ จนกว่าจะเห็นว่าสามารถทำประโยชน์หรือใช้ที่ดินได้คุ้มกับภาษีที่ดินที่จะต้องจ่าย ที่ดินจะกลายเป็นของหาง่ายและราคาถูก
(เมื่อภาษีเท่ากับค่าเช่าที่ควรเป็น ตามทฤษฎีราคาที่ดินจะเท่ากับศูนย์ เพราะการมีที่ดินเกินกว่าที่ตนจะใช้ประโยชน์ได้คุ้ม จะไม่ก่อประโยชน์อันใดให้แก่เจ้าของที่ดินอีกค่อไป มีแต่จะขาดทุนเพราะต้องจ่ายภาษีที่ดิน)

เมื่อที่ดินกลายเป็นของหาง่ายและราคาถูกแสนถูก ก็ไม่มีเหตุผลที่รัฐจะต้องลงโทษเจ้าของที่ดินให้มากขึ้นไปอีกโดยเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าสำหรับผู้มีที่ดินมากหรือไม่ใช้ประโยชน์เป็นเวลานาน (ถึงไม่กำหนดไว้ก็ไม่มีใครเขาจะเก็บที่ดินไว้มากๆ หรือนานๆ ให้เสียภาษีที่ดินไปเปล่าๆ หรอก)
อีกประการหนึ่ง ครอบครัวที่เขาตั้งบริษัทกันเป็นว่าเล่น แล้วแต่ละบริษัทก็มีที่ดินกันมากบ้างน้อยบ้างนั้น (แบ่งที่ดินให้มีขนาดเล็กลง) รัฐมีหนทางแก้เกมแล้วหรือยังครับ ?
เชอร์ชิลล์บอกไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะทำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังชนชั้นหนึ่งชั้นใดขึ้น ข้าพเจ้ามิได้คิดว่าผู้ที่หาเงินจากส่วนเพิ่มจากที่ดินอันมิใช่เกิดจากการลงแรงลงทุนนั้นเลวกว่าบุคคลอื่นที่หากำไรเท่าที่อาจจะหาได้ในโลกที่มีความลำบากนี้โดยไม่เป็นการผิดกฎหมายและเป็นไปตามที่ปฏิบัติกันทั่วไป ที่ข้าพเจ้าโจมตีนั้นไม่ใช่บุคคล แต่เป็นระบบ” (วาทะของนักคิดเรื่องที่ดินและการกระจายรายได้ http://bbznet.com/scripts2/view.php?user=tangnamo&board=1&id=182&c=1)

และรัฐก็ไม่ต้องเสียเงินตั้งธนาคารที่ดินเพื่อช่วยคนจน โดยเฉพาะเมื่อปรากฏชัดแจ้งตลอดเวลามาว่า เจ้าหน้าที่รัฐนั่นแหละหาโอกาสฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่ตลอดเวลา

ความคิดที่ว่าจะมีการยกเว้นสำหรับที่ดินขนาดเล็กมูลค่าต่ำนั้น ก็ไม่ควรยกเว้น เพราะจะเสียความยุติธรรมไปเหมือนกันกับการเก็บภาษีก้าวหน้าสำหรับคนหรือบริษัทที่มีที่ดินมาก ขอให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับธุรกิจทั่วไป อย่าใช้วิธีพิจารณาฐานะลูกค้า ธุรกิจคือธุรกิจ อีกประการหนึ่งคือ เราต้องการเงินสำหรับงบประมาณแผ่นดิน ถ้ามีการลดหย่อน ยกเว้น ก็จะต้องเก็บภาษีจากการลงแรงลงทุนผลิตและค้าต่อไป เป็นอันเสียความมุ่งหมาย

เรื่องภาษีมรดกที่ท่านกรณ์ขอรอไว้ก่อนนั้นดีแล้วครับ เพราะมรดกส่วนใหญ่คือที่ดินนั่นเอง เครื่องจักร โรงงาน บ้านเรือนซึ่งเป็นของที่ลงแรงลงทุนสร้างถือว่าเป็นของเอกชนที่เขาควรมีสิทธิเต็มที่ และต้องอาศัยตั้งอยู่บนที่ดิน ซึ่งจะต้องเสียภาษีตามระบบใหม่อยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งคือของเล็กๆ ที่มีมูลค่าสูงก็เลี่ยงภาษีง่ายและก็ไม่ควรต้องถูกเก็บภาษี เพราะมันไม่ได้ไปขัดขวางการทำมาหาเลี้ยงชีวิตของใคร (ตรงข้ามกับการเก็บกักที่ดิน)

ซ้ำคนจนทั้งหลายก็จะไม่ต้องเสียภาษีอื่นๆ ทำให้สินค้าของกินของใช้ราคาถูกลง ผู้ลงทุนไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ภาษีกำไร และที่ดินก็หาง่ายราคาถูก ก็จะมีกำลังใจลงทุนมากขึ้น กลายเป็นว่านายทุนต้องแข่งขันกันหาคนมาทำงาน แทนที่แรงงานจะต้องง้อนายทุนและถูกกดค่าแรงอย่างระบบปัจจุบัน ค่าแรงก็จะสูงขึ้น ผลผลิตเพิ่ม กลายเป็น Economy of Abundance ขึ้นแทน Economy of Scarcity นั่นคือ ประเทศของเราจะเป็นอุดมรัฐหรือยูโทเพีย หรือประมาณนั้น อาชญากรรมจากความยากจนและการกลัวความยากจนที่ระบาดเป็นภัยคุกคามคนรวยอยู่มากมายก็จะลดลงอย่างมาก

และเมื่อสินค้าเราราคาต่ำ ก็จะแข่งขันได้สบายกับต่างประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยว

เรื่องที่ดินที่เป็นปัญหาสางกันไม่ค่อยจะออก เพราะเจ้าหน้าที่คอร์รัปชัน เกิดปัญหากรรมสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างชาวบ้านกับคนรวยที่โลภมาก ปัญหาชาวบ้านบุกรุกที่หลวง ที่รกร้าง ฯลฯ จะแก้ได้โดบง่ายหรือหายไปเองด้วยซ้ำ

ปัญหาใหญ่ก็คือ ท่าน รมว.คลัง กรณ์ จะทำได้หรือ ? บุคคลชั้นนำอื่นๆ เขาจะได้ดวงตาเห็นธรรมเหมือนท่านหรือ ?

ผมได้แต่เอาใจช่วย และถือโอกาสบอกกล่าวให้รู้กันทั่วไปว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป ขอให้พวกเราประชาชนช่วยกันเลือกผู้แทนที่สัญญาว่าจะมุ่งเก็บภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น และลด-เลิกภาษีจากการลงแรงลงทุน นะครับ.

จากเว็บ http://utopiathai.webs.com

จากคุณ : สุธน หิญ
เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 19:41:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com