 |
ความคิดเห็นที่ 19 |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4854/2537 พนักงานอัยการ สำนักงาน อัยการ สูงสุด โจทก์ นาย ปรีชา ใหญ่ไล้ บาง กับพวก จำเลย ป.พ.พ. มาตรา 150 ป.อ. มาตรา 59, 362
โจทก์ ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,364, 365(2)(3), 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2)(3) ประกอบมาตรา 362, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาล ฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายบัญญัติเช่าห้องพิพาทซึ่งเป็นห้องพักเลขที่ 406ชามาอพาร์ตเมนต์ ถนนรามคำแหง แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร จากจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่1 กรกฎาคม 2533 นายบัญญัติและผู้เสียหายได้เข้าอยู่อาศัยในห้องพิพาทมาจนกระทั่งครบกำหนดตาม สัญญา และยังคงอาศัยอยู่ในห้องพิพาทตลอดมาจนถึงวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 เข้าไปในห้องพิพาทแล้วตัดไฟฟ้า(ถอดสะพานไฟฟ้า) ถอดเครื่องรับโทรศัพท์และกุญแจลูกบิดประตูออกไปคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัย ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์นายบัญญัติและผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความสรุปได้ว่า นายบัญญัติและผู้เสียหายเข้าอยู่อาศัยในห้องพิพาทตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2533 ครบกำหนดตามสัญญาเช่าวันที่ 9 มกราคม 2534เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว นายบัญญัติและผู้เสียหายยังคงอาศัยอยู่ในห้องพิพาทต่อมาโดยชำระค่าเช่าห้อง พิพาทประจำเดือนมกราคม2534 แล้ว สำหรับค่าเช่าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ได้ตกลงกับจำเลยทั้งสองให้นำเงินประกันการเช่าที่นายบัญญัติวางไว้มาหักชำระ ทำให้นายบัญญัติและผู้เสียหายมีสิทธิอยู่ในห้องพิพาทได้จนถึงวันที่ 9 มีนาคม 2534 ส่วนจำเลยทั้งสองมีจำเลยทั้งสองและนายอรพล สมุห์เงิน เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อสัญญาเช่าห้องพิพาทครบกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกสัญญาแก่นายบัญญัติแล้วแต่นายบัญญัติและผู้เสียหายไม่ยอมออกไปจาก ห้องพิพาท และไม่ยอมชำระค่าเช่า จนกระทั่งวันเกิดเหตุนายบัญญัติและผู้เสียหายก็ยังไม่ยอมออกไปทั้งได้เปิด น้ำประปาและไฟฟ้าทิ้งไว้ด้วย จำเลยทั้งสองเข้าไปพูดเรื่องที่มีการเปิดน้ำประปาและไฟฟ้าทิ้งไว้กับเรื่อง การออกไปจากห้องพิพาท นายบัญญัติบอกว่าตนจะออกไปจากฟ้องพิพาทดังกล่าวแล้ว ให้จำเลยทั้งสองเอาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองออกไปได้ จำเลยทั้งสองเข้าใจโดยสุจริตว่ามีสิทธิทำได้ตามที่นายบัญญัติให้ความยินยอม และตามหนังสือสัญญาเช่าห้องพักเอกสารหมาย ล.1
ที่ โจทก์ฎีกาว่า หนังสือสัญญาเช่าห้องพักเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 3และข้อ 9 กำหนดให้ผู้ให้เช่าขนย้ายทรัพย์สินออกจากห้องเช่าและเข้ายึดครอบครองสถานที่ และสิ่งที่เช่าได้โดยพลัน หากผู้เช่าผิดสัญญาเป็นเพียงข้อกำหนดให้ผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิดในทางแพ่ง มิใช่เป็นการยินยอมที่จะทำให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดทางอาญานั้น เห็นว่าตามหนังสือสัญญาเช่าห้องพักเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 3 ระบุว่า"ผู้เช่ายอมชำระค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าภายในวันที่ 30 ของเดือนทุก ๆ เดือนถ้าไม่ชำระตามกำหนดนี้ ผู้เช่ายอมให้ผู้ให้เช่ายึดเงินประกันของผู้เช่าได้ และใส่กุญแจห้องผู้เช่าก็ได้ หรือผู้เช่ายินยอมอนุญาตให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องเช่าได้โดยไม่ต้อง แจ้งให้ทราบ"ข้อ 9 ระบุว่า "ถ้าผู้เช่าประพฤติผิดล่วงละเมิดสัญญาแม้แต่ข้อหนึ่งข้อใด หรือกระทำผิดวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้ให้เช่าทรงไว้ซึ่งสิทธิที่ จะเข้ายึดครอบครองสถานที่และสิ่งที่เช่าได้โดยพลันและมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ทันที" และข้อ 10 ระบุว่า "เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าก็ดี หรือผู้เช่าผิดสัญญาเช่าก็ดี ผู้เช่ายอมให้ถือว่าผู้เช่ายอมออกจากที่เช่า" ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้ นายบัญญัติและจำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตามสัญญานี้ เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดเวลาและจำเลยที่ 1 ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่นายบัญญัติด้วยแล้วนายบัญญัติและผู้เสียหายไม่มี สิทธิอยู่ในห้องพิพาทต่อไป เมื่อนายบัญญัติไม่ยอมออกไปจากห้องพิพาท จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของห้องพิพาทผู้ให้เช่าจึงใช้สิทธิตามหนังสือสัญญาเช่าห้องพัก เอกสารหมาย ล.1 ดังกล่าวได้ การกระทำตามฟ้องที่จำเลยทั้งสองเข้าไปในห้องพิพาทแล้วใช้คีมหนีบกุญแจลูกบิด ประตู บานพับหน้าต่างถอดเอาสะพานไฟฟ้าและเครื่องรับโทรศัพท์ในห้องพิพาทออกไปจึง ไม่มีมูลความผิดทางอาญา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ ขึ้น"
พิพากษายืน
( สมพงษ์ สนธิเณร - สมศักดิ์ วิธุรัติ - อัครวิทย์ สุมาวงศ์ )
หมายเหตุ
(1) นอกจากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่าข้อสัญญาที่ให้ผู้ให้เช่าซื้อไปยึดรถ ที่เช่าซื้อคืนมาได้ย่อมใช้บังคับกันได้ จึงควรพิจารณาว่าข้อสัญญาดังกล่าวจะเป็นโมฆะหรือใช้บังคับกันได้หรือไม่ เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้วินิจฉัยว่าข้อสัญญาต่าง ๆ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(2) โดยหลักที่ว่าข้อสัญญาหรือสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาย่อมเป็นกฎหมายระหว่างคู่ สัญญา (conventionallaw) ซึ่งมีที่มาจากการตกลงกัน(Salmond,Jurisprudence.1966,pp.114,124) จะตกลงยกเว้นกฎหมายเสียก็ยังได้ ถ้ามิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 151) แต่ถ้าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ก็เป็นโมฆะ (มาตรา 150)
(3) ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ ข้อสัญญาเช่าข้อ 3 ที่ตกลงกันว่า ถ้าไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด ผู้เช่ายอมให้ผู้ให้เช่ายึดเงินประกันของผู้เช่าได้นั้น การยึดเงินในที่นี้ก็หมายถึงให้ริบเป็นของผู้ให้เช่านั่นเอง เห็นว่าเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันได้ถึงขนาดตกลงให้ริบกันก็ยังได้ มิใช่เป็นการตกลงที่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบ ฯลฯ ไม่ตกเป็นโมฆะ จะเห็นได้จากบทบัญญัติต่าง ๆใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ดูมาตรา 378(2),574 ฯลฯ เป็นต้น)
ข้อสัญญาข้อ 9 ที่ว่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันที ข้อ 10 ที่ว่าเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าก็ดี หรือผู้เช่าผิดสัญญาก็ดี ผู้เช่ายอมให้ถือว่าผู้เช่ายอมออกจากที่เช่าซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าไม่ขัดต่อ ความสงบฯนั้น ผู้บันทึกก็เห็นด้วยอีก เพราะเมื่อผิดสัญญาผู้ให้เช่าซื้อก็ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้อยู่แล้ว หรือเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าผู้เช่าก็ต้องมีหน้าที่ออกจากที่เช่าอยู่แล้ว จะอยู่ต่อไปไม่ได้
(4) แต่ข้อตกลงข้อ 3 ที่ว่า "และใส่กุญแจห้องผู้เช่าก็ได้ หรือผู้เช่ายินยอมอนุญาตให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องเช่าได้โดยไม่ต้อง แจ้งให้ทราบ" ก็ดี ข้อ 9 ที่ว่า "ถ้าผู้เช่าประพฤติผิดล่วงละเมิดสัญญา แม้แต่ข้อหนึ่งข้อใด หรือกระทำผิดวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งข้อใด ยอมให้ผู้ให้เช่าทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะเข้ายึดครอบครองสถานที่และสิ่งที่เช่า ได้โดยพลัน"
ผู้บันทึกเห็นว่า เป็นข้อตกลงที่เป็นการขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบฯ เพราะเป็นการทำลายสิทธิตามสัญญาโดยให้คู่สัญญาใช้กำลังป้องกันคุ้มครองสิทธิ ของตนเองโดยไม่มีกฎหมายสนับสนุน กรณีไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 451เป็นการขัดต่อมาตรา 451 อย่างเห็นได้ชัด จะถือว่าตามพฤติการณ์จะขอให้ศาลหรือเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือให้ทันท่วงทีไม่ได้ หาได้ไม่ กรณีเช่นขับไล่ผู้เช่าผู้อาศัยออกจากสถานที่เช่าที่อาศัย จะใช้กำลังเองโดยพลการไม่ได้ ต้องฟ้องร้องให้ศาลบังคับมิฉะนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (ดูฎีกาที่ 910/2477,1353/2482,116/2513,768/2521 ฯลฯ) ถ้าหากให้ใช้กำลังบังคับกันได้เอง บ้านเมืองย่อมจะเกิดความวุ่นวาย
(5) อาจมีข้อแย้งขึ้นมาทันทีว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นความยินยอมของผู้เสียหายต่างหาก ความยินยอมย่อมไม่เป็นละเมิด(olentinonfitinjuria) ตามหลักกฎหมายทั่วไป
เราต้องเข้าใจว่า ความยินยอมเป็นพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงไม่ใช่นิติกรรมสัญญา เป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวของบุคคล ถ้าเกิดจากนิติกรรมสัญญาแล้วย่อมตกเป็นโมฆะ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 373) การที่ตกลงกันให้ผู้ให้เช่าทำได้ตามข้อ 3(ใส่กุญแจห้องและให้ผู้ให้เช่าขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่า) ตามข้อ 9(เข้าครอบครองสถานที่) ย่อมเป็นการตกลงกันล่วงหน้าเป็นข้อความยกเว้นมิให้ลูกหนี้ต้องรับผิดเพื่อกล ฉ้อฉลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 373 จึงตกเป็นโมฆะเฉพาะข้อตกลงในส่วนดังกล่าว
(6) อย่างไรก็ดี คดีนี้เป็นคดีอาญาโดยโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาฐานบุกรุก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62,364,365(2)(3)เมื่อพิจารณาถึงเจตนาในการกระทำความผิด ด้วยเหตุข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จำเลยมีความสำคัญผิดว่าตนมีอำนาจเข้าไปได้ แม้จะเป็นการรบกวนการครอบครองก็ตาม ย่อมถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิด ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง ศาลควรยกฟ้องโจทก์เสียด้วยเหตุนี้
ไพจิตรปุญญพันธุ์
ในแง่วิชาการตามหมายเหตุท้ายฎีกานี้ ต่อมา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตาม (๔) คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4207/2551 บริษัทโอกิ - ไทย จำกัด โจทก์ บริษัท ซี.บี.กรุ๊ป เมทัลเวิร์ค จำกัด กับพวก จำเลย มาตรา 420, 564 มาตรา 55
เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดและผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้เช่าจำต้องออกไปจากที่เช่า เมื่อสัญญาเช่าเลิกต่อกันแล้วผู้เช่าไม่ยอมออกไปจากที่เช่า ผู้ให้เช่าชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องร้องทางศาลเนื่องจากผู้เช่ากระทำการอันเป็น การโต้แย้งสิทธิผู้ให้เช่าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 สิทธิของผู้ให้เช่าที่จะขับไล่ให้ผู้เช่าออกจากที่เช่าต้องกระทำโดยทางศาล ให้ศาลเป็นผู้บังคับ ผู้ให้เช่าหามีสิทธิที่จะทำการบุกรุกเข้าไปปิดประตูใส่กุญแจห้ามมิให้ กรรมการผู้จัดการของผู้เช่าเข้า ไปภายในอาคารไม่ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปในอาคารของโจทก์แล้วทำการปิดประตูใส่กุญแจห้ามมิ ให้กรรมการผู้จัดการของโจทก์เข้าไปภายในอาคารจึงเป็นการทำละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
และตาม (๖) คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5396/2549 นายสุนทร เกตุบุญลือ โจทก์ นาย อรรคเดช ศุภกุล หรือศุภกูล กับพวก จำเลย มาตรา 364, 59
โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 ไปล็อกกุญแจปิดร้านอาหารเพื่อมิให้โจทก์เช่าต่อไป โดยจำเลยที่ 1 คิดว่าตนเองมีอำนาจกระทำการได้ตามสัญญาเช่าที่ระบุว่าถ้าผู้เช่าผิดสัญญาไม่ ชำระค่าเช่าภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ ผู้ให้เช่าย่อมทรงสิทธิในการกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่าตาม สัญญานี้โดยพลัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการขาดเจตนาที่จะกระทำผิดฐานบุกรุก ทั้งข้อสัญญาดังกล่าวมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและมิได้เป็น สัญญาที่ไม่เป็นธรรมจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก
ตามกระทู้กว่าจะต่อสู้คดีชนะก็ต้องลำบาก พลาดพลั้งไป อาจเสียหาย
จากคุณ |
:
boxxcatt
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มิ.ย. 53 21:20:43
|
|
|
|
 |