การทำร้ายร่างกายกัน เป็นความผิดทั้งนั้นแหละครับ(เว้นแต่เป็นการป้องกันตัวหรือกฏหมายให้อำนาจ เช่นประหารชีวิตตามกฏหมาย ถือว่าไม่มีความผิด) ไม่ว่าใครกระทำต่อใคร
กรณีที่ คุณจขกท.สงสัยตามกระทู้ ที่ข้อเท็จจริงประมาณว่า สามีหรือภรรยาจับได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีชู้จึงทำร้ายร่างกายเขา"ในขณะนั้น" เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายครับ
แต่อย่างไรก็ตาม กฏหมายถือว่า คนเราย่อมมีกิเลสมีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง การเห็นสามีหรือภรรยาคบชู้ เขาย่อมมีความโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงก่อเหตุทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย(รวมไปถึงชู้ด้วย) กฏหมายจึงบัญญัติว่า หากมีการทำร้ายร่างกายหรือกระทำความผิดอาญาในขณะที่มีอารมณ์โกรธเพราะมีเหตุไม่เป็นธรรมอย่างร้ายแรงต่อเขา (ภาษากฏหมายเรียกว่า บันดาลโทสะ) ให้ถือว่าเขามีความผิดแต่ศาลจะพิจารณาลงโทษเขาน้อยกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้ในความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ อันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะ ลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใด ก็ได้
//////
ประเด็นตามกระทู้ที่สงสัยว่า ผู้ชาย-ผู้หญิง รับผิดต่างกันไม่เท่ากัน กรณีบันดาลโทสะ จึงยังคลาดเคลื่อนไปอยู่ครับ
เพราะ หากทำร้ายร่างกายกันเพราะบันดาลโทสะเนื่องจากจับได้ว่า อีกฝ่ายมีชู้ ผู้ที่ทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายรวมถึงชู้ ผู้นั้นย่อมมีความผิดทางอาญาฐานทำร้ายร่างกาย(หรืออาจถึงฆ่าถ้าเขาตาย)ทั้งสิ้น เพียงแต่เขาผู้กระทำความผิดอาจยกข้ออ้าง "บันดานโทสะ" ตาม ปอ.ม.72 ข้างต้น เพื่อให้เขาได้รับโทษน้อยลงได้เท่านั้นเอง ทั้ง หญิงและชาย เสมอกันครับ
ตัวอย่างกรณีฝ่ายหญิงบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6558/2540 แจ้งแก้ไขข้อมูล
การที่ผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยมาก่อน แล้วต่อมา ได้หญิงอื่นเป็นภริยาและไปอยู่กับหญิงนั้น เมื่อจำเลยขอให้ไปพบ ผู้เสียหายไม่ยอมไป ในวันเกิดเหตุจำเลยพบผู้เสียหายอยู่กับหญิงอื่น โดยนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวออกมาบอกว่าจะเลิกกับจำเลย และไล่ให้กลับบ้านทั้งยังตบหน้าอีก ย่อมเป็นการข่มเหงน้ำใจ จำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้เสียหายไปในทันทีในระยะเวลาต่อเนื่องที่ยังมีโทสะอยู่ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยมีเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 แม้จำเลยจะมิได้ยกเหตุนี้ขึ้นต่อสู้ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง และเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดและความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายแล้วเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้รวมตลอดไปถึงความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯซึ่งจำเลยมิได้ฎีกาด้วย
ตัวอย่างฝ่ายชายบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2515 แจ้งแก้ไขข้อมูล
จำเลยกับนาง ก. ผู้ตายเป็นสามีภรรยากันประมาณ 16 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 3 คน อยู่กินร่วมเรือนเดียวกันจนถึงวันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุ 2 ปี ผู้ตายกับ ท. สนิทสนมกันชอบไปเล่นการพนันด้วยกันและเป็นชู้กัน เวลาจำเลยไม่อยู่บ้าน ท.มาหลับนอนในห้องเดียวกับผู้ตายที่บ้านจำเลย บุตรจำเลยก็เห็นคนอื่นก็เล่าลือกัน จำเลยเคยขอร้องทั้งผู้ตายและ ท. ไม่ให้เกี่ยวข้องกันก็ไม่มีใครเชื่อ ยังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กันไปมาเสมอเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจของจำเลยเป็นอย่างยิ่งจำเลยมิใช่คนดุร้าย วันเกิดเหตุ ท. ให้ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปส่งบ้านจำเลยแลเห็นจำเลยขณะจำเลยกำลังเดินไปตามซอยทางเข้าบ้านก็มิได้ส่งผู้ตายลงตรงนั้นกลับขับขี่รถผ่านจำเลยไปห่างเพียง 1 วา ด้วยความทระนงองอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยผู้เป็นสามีเป็นการเย้ยหยันสบประมาทอย่างร้ายแรง พฤติการณ์เช่นนี้นับได้ว่าเป็นการกระทำที่กดขี่ข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยพบเห็นภาพดังกล่าวโดยบังเอิญโดยมิได้คาดคิดไม่สามารถอดกลั้นโทสะไว้ได้จึงใช้ปืนยิงผู้ตายกับ ท. ไปในทันทีทันใด ดังนี้ กรณีต้องด้วยมาตรา 72 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 38/2515)
และบุคคลทั่วๆไปสามารถค้นคว้าหาคำพิพากษาศาลฎีกาได้ ตามนี้ครับ
http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/search.jsp
ขอร่วมแสดงความเห็นเพียงเท่านี้ครับ