ความคิดเห็นที่ 1 นิยามวิทยาศาสตร์ทางจิต ตัววิทยาศาสตร์ทางจิตนั้นเป็นหลุมที่รวบรวมสารพัดสิ่งที่วิทยาศาสตร์บ้างก็ยังไปไม่ถึง และบ้างก็ยังจับโกหกไม่ได้ อย่างตีลัญจกร, ดนตรีบำบัด, อัญมณีบำบัด, ฮวงจุ้ยเพื่อสุขภาพ, ชี่กง, การดูแลสุขภาพด้วยพลังคอสมิก ล้วนจัดเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ทางจิต [1] ตรงนี้ยังไม่รวมถึงการอ้างการรู้เห็นด้วยญาณวิเศษ ในด้านพุทธศาสนา ก็ยังมีการอ้างถึงการศึกษาเข้าใจในอารมณ์และความรู้สึกตัวเอง การตัดอคติส่วนตนให้เกิดปัญญา “วิทยาศาสตร์ทางจิต” คือ การศึกษาทั้งปวงที่ทำให้คนเราสามารถค้นหา และเข้าใจจิตของตัวเองได้ เมื่อใดก็ตาม คนรู้จัก “ฝืนจิต” ของตัวเองได้ วิทยาศาสตร์ทางจิตก็จะเกิดขึ้นโดยทันที [2] นิยามโดย พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) แห่งวัดอัมพวัน นิยามข้างต้นฟังแล้วก็อาจดูระรื่นหูว่า มันก็เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดี เพราะมันมีการใช้ความคิด พิจารณา เทียบเคียง ป้องกันการใช้อคติ ถ้าดูตามนิยามของราชบัณฑิตยสถานที่ว่า วิทยาศาสตร์ น. ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้วจัดเข้าเป็น  ระเบียบ, วิชาที่ค้นคว้าได้ หลักฐานและเหตุผลแล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ [3] มันก็คล้ายจะเข้าที่ ทว่า ตรงนี้ก็ยังมีจุดที่ขาดความเป็น “วิทยาศาสตร์” ไปได้อย่างง่ายดายอยู่ โดยเฉพาะ ในส่วนการใช้ผลลัพธ์ในขอบเขตของข้อสรุปที่ได้ ซึ่งขอบเขตข้อสรุปนั้นเป็นหัวใจสำคัญของความเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะโดยที่วิทยาศาสตร์ตามแบบไทยนั้น มันหมายถึง การใช้ความรู้เชิงประจักษ์ [4] ขอบเขตข้อสรุปก็จะขึ้นอยู่กับระดับและขอบเขตของความชัดแจ้งนั้นเอง ความรู้ที่เรียกว่าประจักษ์นั้นคือชัดแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัย ซึ่งมักมีผู้ที่ขาดความเข้าใจในวิทยาศาสตร์บิดเบือนโดยเปรียบเทียบว่าวิทยาศาสตร์สมัยหนึ่งเชื่อว่าโลกแบนแต่ภายหลักก็เปลี่ยนมาว่าโลกกลม แล้วดังนี้ วิทยาศาสตร์ก็ไม่มีอะไรที่แน่นอนเป็นที่ประจักษ์ รูปที่ 1: โลกแบบตามแนวคิดของอริสโตเติ้ล แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 16:02:58 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:02:11

ความคิดเห็นที่ 2 อย่างไรถึงเรียกว่าประจักษ์ ตรงนี้ มีข้อความที่น่าสนใจต่อข้อแย้งจากบทความของ Donald E. Simanek [6] Are the laws and theories of physics sacred? Of course not; they represent part of the logical structure called "established physics" that is the culmination of our accumulated scientific knowledge. ตัววิทยาศาสตร์นั้นเป็นการสั่งสมและทฤษฏีมีการต่อเนื่องต่อไป การค้นคว้าก้าวหน้าไปนั้น สิ่งที่พวก Pseudoscience มักอ้างคือทฤษฏีถูกล้มล้าง แต่นั่นก็เป็นแค่การพาดหัวข่าวเอามัน หลังจากยุควิทยาศาสตร์คลุมเครือแบบอริสโตเติ้ลที่ใช้แค่จินตนาการเป็นหลักฐานการค้นคว้า อย่างเรื่องโลกแบนก็มาจากอริสโตเติ้ล สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะเป็นการพบข้อจำกัดของทฤษฏีเดิม และมีส่วนขยายเพิ่มขึ้นด้วยทฤษฏีใหม่ แม้ว่า Ek = mc2 จะถูกแสดงโดยไอน์สไตน์ที่ความเร็วแสง แต่ในสภาพปรกติ เราก็ยังใช้ Ek = 0.5mv2 สำหรับการคำนวณทางวิศวกรรม ซึ่ง พลังงานจลน์ตามแบบนิวตั้นก็มิได้ถูกล้มล้างด้วยไอน์สไตน์ แต่ไอน์สไตน์ค้นพบในสิ่งที่กว้างกว่า ซึ่งทำให้เห็นขอบเขตของทฤษฏีของนิวตั้น ก็แค่นั้น คำว่าเป็นที่ประจักษ์นั้น จำเป็นต้องมีคำว่าขอบเขตอยู่ด้วยเช่นกัน และสิ่งที่อยู่เลยขอบเขตนั้นก็คือไม่เป็นที่ประจักษ์ อธิบายอีกอย่างก็คือสภาพการสรุปเกินหลักฐานข้อเท็จจริงที่ปรากฎ รูปที่ 2: แนวคิดของกาลอวกาศที่ต่างกันของนิวตันและไอน์สไตน์ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 16:04:00 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:03:39

ความคิดเห็นที่ 3 การสรุปเกินหลักฐาน และการใช้การเหมารวม ตัวอย่างการสรุปเกินตัวอย่างก็เหมือนที่ผู้เขียนเคยชำแหละการกินอาหารตามหมู่เลือดของ Peter D’Adamo ที่เอาทฤษฏีที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของเลคตินต่อหมู่เลือดไปสรุปถึงว่าหมู่เลือดใดควรกินอาหารชนิดใด ทั้งที่หลักฐานมีแค่ความสัมพันธ์การเกาะติด ไม่ได้พิสูจน์ไปถึงสมบัติของอาหารเลย อย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และก็จัดว่าเป็น Pseudoscience   ตัวสิ่งที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ทางจิตนั้น ประกอบขึ้นจาก Pseudoscience ในหลายส่วน แต่หลายส่วนก็เป็นภูมิปัญญาโบราณ ซึ่งไม่ได้จัดเป็น Pseudoscience เช่นการฝังเข็ม หรือตำรับยาโบราณ แต่เอามารวมไว้เพื่อยก และหวังจะพลอยฟ้าพลอยฝนเนียนไปด้วยว่า การฝังเข็มใช้ได้ สมุนไพรโบราณใช้ได้ ดังนั้น วิทยาศาสตร์ทางจิตเป็นวิทยาศาสตร์ชะละล่า อ่านการชำแหละ กินอาหารตามหมู่เลือดได้ ที่นี่ครับ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=whatsoevermization&month=12-2010&date=08&group=2&gblog=6 รูปที่ 3:หนังสือการกินอาหารตามหมู่เลือดของ Peter D'Adamo จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:04:44

ความคิดเห็นที่ 4 อย่างที่อธิบายในตัวอย่างกรณีการกินอาหารตามหมู่เลือด ถ้ามันไม่ได้สรุปเกินมันก็ยังไม่ละเมิดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ Paul Feyerabend ได้เขียนไว้ในบทความ “Against Method Outline of an anarchistic theory of knowledge” [7] ว่า “If we want to understand nature, if we want to master our physical surroundings, then we must use all ideas, all methods, and not 'just a small selection of them. The assertion, however, that there is no knowledge outside science - extra scientiam nulla salus - is nothing but another and most convenient fairy-tale” “ถ้าจะเข้าใจธรรมชาติ เราต้องใช้ทุกสิ่งทุกวิธีโดยไม่เลือก แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด“ ขยายความสักนิด คำว่าไม่มีความรู้ใดเหนือวิทยาศาสตร์คือไม่มีความรู้อันใดที่อยู่นอกขอบข่ายแต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่อยู่นอกขอบข่ายก็ยังมีอยู่มากมาย แนวความคิดของ Feyerabend อาจเรียกว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญของวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่มาของความรู้จากการสั่งสมของประสบการณ์ หรือการจัดอนุกรมวิธานแบบพื้นบ้านก็ล้วนเป็นส่วนของวิทยาศาสตร์ได้ ความรู้บางอย่างมันแค่ยังไม่ใช่ Well Establish Science แต่ไม่ใช่ Pseudoscience ข้ออ้างการเรียกการฝังเข็ม หรือการใช้ยาตำรับโบราณเป็น Pseudoscience เกิดจากช่วงเวลาที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ยังอยู่ระหว่างการตั้งไข่ และมีการใช้ อคติละเลยองค์ความรู้เนื่องด้วยที่มา ผลของอคติที่วิทยาศาสตร์เคยมี จึงเป็นเชื้อหล่อเลี้ยง ให้เหล่านักวิทย์กำมะลอใช้ประโยชน์ในการอ้างเหมารวม เพิ่มเติม: Quote มาไม่ครบ รูปความเปลี่ยน แก้ไขยก Quote ให้เต็มครับ ขอบคุณ คุณ Ikkyu รูปที่ 4:หนังสือ Against the method ของ Feyerabend แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 54 01:39:14 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:05:26

ความคิดเห็นที่ 5 รูปที่ 5:การฝังเข็มที่ถูกใช้ชูเป็นโล่ปกป้องวิทยาศาสตร์ทางจิต จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:05:45

ความคิดเห็นที่ 6 การเหมารวม การเหมารวมเป็นเหตุผลวิบัติในตัวมันเองอยู่แล้ว การบอกว่า เพราะการฝังเข็มใช้ได้ผล ดังนั้นการนั่งทางในติดต่อมนุษย์ต่างดาวก็ต้องได้ผลเช่นกัน มันจะเกี่ยวกันไหม คุณ Cryptomnesia เคยเขียนบทความเรื่อง “[fallacy] คุณใช้เหตุผลอย่างเหมาะสมหรือไม่”[8] เอาไว้ และได้ยกตัวอย่างการสรุปแบบเหมารวมทุเรศๆที่มีการใช้กันบ่อยๆไว้เช่น - “ที่ทำงานผมมีแต่คนจบจากมหาวิทยาลัย A ซึ่งเก่งๆกันทุกคนเลย ดังนั้นคนที่จบจากมหาวิทยาลัย A เก่งทุกคน” - “เปิดเข้าไปดูกระทู้ห้องเฉลิมไทยทีไรก็เจอแต่หน้าม้าทุกที ห้องเฉลิมไทยเป็นห้องของพวกหน้าม้า อย่าไปเข้าไปเสียเวลาอ่าน” - “คนไม่มีศาสนาที่ฉันเจอมีแต่พวกหัวรุนแรงทั้งนั้น ดังนั้นคนไม่มีศาสนาเป็นพวกหัวรุนแรง” ซึ่งวิธีการเหมารวม ก็คือพื้นฐานการสร้างความน่าเชื่อถือของวิทยาศาสตร์ทางจิตนี้เอง รูปที่ 6:รูปประกอบการใช้ Fallacy of Accident ของคุณ Cryptomnesia จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:06:53

ความคิดเห็นที่ 7 การใช้ความกลัวเข้าข่ม ของพวกวิทยาศาสตร์ทางจิต ข้อการแถของเหล่านักวิทยาศาสตร์ทางจิต และความเข้าใจผิดของเหล่าผู้ที่นึกว่าตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้การถกเถียงเรื่องศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ผมสรุปให้ง่ายๆว่า เพราะทั้งพวกงมงายศาสนา และ งมงายในวิทยาศาสตร์ เห็นว่า “การใช้ญาณวิเศษหยั่งรู้ ละเมิดความเป็นวิทยาศาสตร์ หรือไม่ใช่วิทยาศาสตร์” ข้ออ้างญาณวิเศษ ในไทยจะมีน้ำหนักมากจนฝ่ายศาสนาหลายๆครั้งตีความ รธน มาตรา 37 สิทธิในการนับถือศาสนา ไปไกลถึงขั้นบังคับใช้ความเชื่อด้วยการอ้าง ความน่าสะพรึงกลัว ต่างๆ นาๆโดยสะดวก โดยเฉพาะประโยคเด็ดที่จะตามมาเมื่อมีข้อสงสัยต่อคุณวิเศษต่างๆที่กล่าวอ้างเช่น “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” “ระวังนรกจะกินกบาล” ทั้งๆที่ตามบริบทความคุ้มครองของรัฐธรรมนูญเราว่าไว้ถึงระดับสิทธิ์ที่จะเชื่อแต่ไม่ใช่สิทธิ์ที่จะครอบ ก็เป็นเหตุผลวิบัติในลักษณะ Appeal to Fear ซึ่งในสมัยหนึ่งเรียกกันว่าเป็น Divine Fallacy ที่เป็นลักษณะของการใช้ความกลัวเละอำนาจทางศาสนาเข้ากดขี่ข่มเหงฝั่งตรงข้าม แต่ตัดประเด็นการใช้เหตุผลวิบัติออกไปแล้ว มันก็ยังเป็นที่น่าสงสัยว่า การใช้ญาณวิเศษหยั่งรู้ เป็นการละเมิดวิทยาศาสตร์ จริงหรือไม่ รูปที่ 7:นรก สีของไฟถูกใช้บีบคั้นความกลัวที่จะละเมิดศาสนา แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 16:07:56 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:07:34

ความคิดเห็นที่ 8 วิทยาศาสตร์ กับ ญาณวิเศษ ผมได้ Quote ไปแล้วว่า “การค้นหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องใช้ทุกอย่าง” การใช้ญาณวิเศษก็ ”ไม่ใช่วิธีการที่ละเมิดความเป็นวิทยาศาสตร์” มันเพียงแค่ ไม่มี Validity ของการใช้ญาณวิเศษ และ ไม่สามารถที่จะขจัดตัวแปรอคติและสภาวะทางจิตได้ สภาพของญาณวิเศษ จนถึงปัจจุบัน มีการกล่าวอ้างว่า การพิสูจน์ทำได้ด้วยการปฏิบัติรู้เอง ซึ่งก็คือการยืนยันด้วยตัวมันเอง และไม่มีวิธีการพิสูจน์ถึงความผิดพลาดที่จะเกิดจากเทคนิค มีเพียงข้อกล่าวความผิดพลาดจากผู้ใช้ การเข้า ฌาณ และปฏิบัติธรรมอันใด จึงสามารถนำใช้ได้ถึงแค่การหาไอเดีย และดึงความสามารถในการวิเคราะห์ แต่ไม่ไปถึงการได้มาซึ่งหลักฐาน ตัว การปฏิบัติฌาณ เพื่อ ญาณวิเศษ จึงไม่ใช่ Pseudo Science ในตัวมันเอง แต่ การกล่าวอ้างเกินไปถึงการได้มาซึ่งหลักฐานจาก ญาณวิเศษ จึงจะเป็นส่วนที่เป็น Pseudo Science จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:08:32

ความคิดเห็นที่ 9 โดยสรุป ผมยก Quote ของ พระราชสุทธิญาณมงคล มาในตอนต้นนั้น ก็ต้องบอกไว้เลยว่าที่ท่านกล่าวไม่นับว่าผิดและไม่นับเป็นการบ่งชี้ถึงการเป็น Pseudo Science ญาณวิเศษ หรือสารพัดวิธีการหรืออุปกรณ์อะไรมันจะไม่ใช่ Pseudo Science จนกว่าจะมีการกล่าวอ้างเกินหลักฐาน เช่น “วิทย์เป็น Sub set ของพุทธศาสนา” [9a] “วิทยาศาสตร์เป็นอะไรที่ล้าสมัยด้วยซ้ำ หากเทียบกับพุทธศาสนา” [9b] และอีกหลายรูปแบบข้ออ้างที่สรุปไปว่า “วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง” เหรียญควอนตั้ม หรือ เหรียญสเกลาร์ ถ้าโฆษณาขายในลักษณะของซุบสเลดนกตราแบรนด์ที่อ้าง “ชาวจีนเชื่อกันว่า” ตรงนี้ เหรียญควอนตั้ม หรือเหรียญสเกลาร์ก็ยังจะไม่ใช่สินค้า Pseudo Science ด้วยซ้ำ มันจะมีสภาพเหมือนเครื่องรางของขลังที่เป็น Non Science หรือ Non-Well Establish Science แต่เพราะมันอ้างผลที่เกินหลักฐาน (การมีรังสี IR หรือสารกัมมันตรังสี โยงไปถึงว่ามันต้องรักษาได้) มันจึงเป็นสินค้า Pseudo Science แม้แต่วิทยาศาสตร์ทางจิตแบบเข้าฌาณ ก็จะยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์เทียม ตราบใดที่มันยังไม่สับสนจากระดับ “ฉันเชื่อว่า” กลายเป็น “เพราะ” วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง รูปที่ 8:ภาพถ่ายออร่า ที่เคยถูกคุณ Puff ชำแหละไปแล้ว จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:09:20

ความคิดเห็นที่ 10 กรณีของประเทศไทย วิทยาศาสตร์ทางจิตเป็นดงที่รวมรวมเหล่า Pseudo Science ไว้โดยพวกคนเหล่านี้จะคอยซ่อนอยู่หลัง Non-Well Establish Science แล้วก็โผล่หน้ามาเห่าหอนเป็นระยะๆ ออกหน้ามาสร้างเสริมความงมงาย พอพลาดทีก็หลุบหางร้องงี้ดๆไปซุกหลังอีกครั้ง จะด่าวิทยาศาสตร์ทางจิตว่าเป็น Pseudo Science ก็ไม่เต็มร้อย เพราะส่วนของ Non-Well Establish Science ก็ถูกเหมารวมไปอยู่ในนั้น เหมือนกาฝากที่บ่อนทำลายทั้งวิทยาศาสตร์ และ Non-Well Establish Science ที่มันไปเป็นกาฝากอยู่ อ้างอิง [1] http://www.expert2you.com/view_article.php?art_id=2994 [2] http://palipage.com/watam/piyapan2/LOK/P10010.htm [3] http://rirs3.royin.go.th [4] http://th.wikipedia.org/wiki/วิทยาศาสตร์ [5] http://www.nakusol.com/พลังจิต-เทคนิค-พลังจิต-psi-64.html [6] http://www.lhup.edu/~dsimanek/pseudo/scipseud.htm [7] http://www.marxists.org/reference/subject/philosophy/works/ge/feyerabe.htm [8] http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/06/X7930761/X7930761.html [9] http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/08/Y9637818/Y9637818.html #28 #42 รูป http://www.redicecreations.com/specialreports/2005/10oct/spiritualscience.jpg http://www.mattepainting.org/vb/showthread.php?t=5236 http://www.onlineinvestingai.com/blog/tag/system/ http://www.audiobooksonline.com/media/The-GenoType-Diet-Peter-D'Adamo-Catherine-Whitney-unabridged-Tantor-Media.jpg http://www.bibliovault.org/BV.book.epl?ISBN=9780226467757 http://www.tcmcentral.com/tag/acupuncture/ http://unitedchristianbikers.com/Hell.html http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=166.0 ของตา Puff จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:10:01

ความคิดเห็นที่ 12 ยอดเยี่ยม ครับ จากคุณ : Timshel เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:34:22

ความคิดเห็นที่ 13 นาซ่าไม่ใช่พ่อ (อุ๊บส์) พิมพ์อะไรออกไปฟะเนี่ย จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:40:38

ความคิดเห็นที่ 14 มาเจิม ว่าที่กระทู้แนะนำค่ะ จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:45:51

ความคิดเห็นที่ 15 ลงชื่ออ่าน สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ จขกท. จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:48:59

ความคิดเห็นที่ 16 ลงชื่อครับ ขอไปเที่ยวก่อน เที่ยวเสร็จค่อยมาอ่านจ้า จากคุณ : อนุภาคกลูออน เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:53:00

ความคิดเห็นที่ 17 พวกญาณต่าง ๆ แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ ก็ยังมีสิทธิ์เห็นพลาดได้เหมือนกันครับ หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านว่า ต้องระดับพระอรหันต์ถึงจะถือว่าได้ญาณจริง ๆ โหวตด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 17:06:35 จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 17:06:06

ความคิดเห็นที่ 18 เยอะเหลือเกิน เลยไม่มีความเห็นซักเรื่อง   เอาเป็นว่าทุกๆเรื่องนั้นเป็นข้อมูลให้ได้พิจารณา ส่วนจะเป็นข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใดค่อยร่วมชำแหละเป็นเรื่องๆในโอกาสต่อๆไปครับผม จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 17:14:20

ความคิดเห็นที่ 19 มายืนยันด้วยคน “วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง” การปฏิบัติสมาธิ ฌานวิสัยทั้งหลาย เป็นปัจจัตตัง ทำเอง รู้เอง พิสูจน์เอง หมดข้อสงสัยเอง คือสัจธรรม ที่เป็นจริงเสมอ เพียงแต่วิทยาศาสตร์ยังล้าหลังเกินกว่าจะอธิบาย ปรากฏการณ์เหล่านี้ ด้วยภาษาตรรกะ science เช่นการรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า รู้อดีตของตนเอง ของบุคคลอื่นๆ สิ่งเหล่านี้มีให้พบเห็นมากมายในหมู่นักปฏิบัติ เป็นเรื่องเด็กๆ แต่คนวงนอกจะตื่นเต้น และปฏิเสธไว้ก่อนครับ เพียงแต่ไม่มีคำอธิบายในเชิงศัพท์วิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาการยังไม่ก้าวหน้ามากพอ ยิ่งคิดก็ยิ่งบ้า ท่านจึงห้ามคิด จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 17:37:28

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ นั่นความเห็น จขกท. จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 17:52:25

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ต้องห่วงหรือไปเถียงกับตา Venture นะครับ ตา Venture นี่เป็นเกรียนศาสนาขาประจำ บางทีก็ถูก บางทีก็ผิด แต่แกมักตาถั่วอ่านผิดๆเป็นประจำ ก็ปล่อยๆแกฟาดหัวฟาดหางไป กระทู้นี้จะได้สมบูรณ์ เหอๆ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 17:54:15

ความคิดเห็นที่ 23 คุณควรเป็นตัวอย่างให้แก่คนรุ่นใหม่ แสดงความเห็นแบบมีตรรกะ มีเหตุมีเหตุผลครับ เรื่องในความเห็น #13 ความคิดเห็นที่ 13     นาซ่าไม่ใช่พ่อ (อุ๊บส์) พิมพ์อะไรออกไปฟะเนี่ย จากคุณ : Darth Prin   เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 16:40:38   ความเห็นแบบนี้ไม่ได้บ่งบอกว่าคุณมีการศึกษาอะไรเลยครับ มันเป็นการตอบที่นำไปสู่การวิวาทะ ชวนทะเลาะมากกว่า สมควรประนาณ และลบทิ้ง หรือขอโทษนะครับ ผมมาท้วงคุณด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง ไม่ใช่กลับมาตำหนิกลับ คุณแสดงตัวอย่างที่ คนรุ่นใหม่ ควรศึกษาเอาไว้ว่า พฤติิกรรมกุ๊ยแบบนี้ ไม่ควรมีนะครับ อิสระเสรีในการแสดงควมเห็นก็จริงนะครับ ใครจะมีเหตุผลถูกหรือผิด คุณไม่ควรไปตัดสินคนอื่นครับ เพราะการแสดงความเห็น มันอยู่ที่สังคมนั้นๆ ที่มีความเห็นร่วมกัน หรือจะให้ผมโหวตข้อความที่คุณโพสมามันสมควรไหม จะได้ประจานพฤติกรรม  เอาไหมครับ คุณไปด่าคนอื่นว่าเกรียนเพราะความเห็นไม่ตรงกับคุณ พฤติกรรมแบบนี้ คุณเคยเลิกก่อนปลายปีดีไหมครับ ผมสอนหนังสือระดับอุดมศึกษา ย่อมมีความรู้ประสบการณ์ ชั่วโมงบินต่างกัน เราเห็นต่างกันได้ แต่ควรอยู่ในขอบเขต มารยาทของสังคมออนไลน์ คุณแสดงความเห็นที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง ก็ควรยอมรับแล้วขอโทษครับ ถ้าทุกคนเอาคุณเป็นแบบอย่าง เมื่อมีคนแสดงข้อเท็จจริง แล้วจบลงคำว่า ไม่ใช่พ่อ มันก็ไม่ต่างอะไรกับกุ๊ย ไร้การศึกษา ที่ใช้ตรรกะไม่เป็น นำไปสู่การทะเลาะกัน ที่ไม่มีเหตุผลอะไรมาหักล้างอีกฝ่ายเลยครับ ผมถือว่าคำนี้ไม่ใหเกียรติคนที่ใช้เว็บบอร์ดสาธารณะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 18:22:03

ความคิดเห็นที่ 24 ชิดขวามาต้มน้ำรอเงียบ ๆ เจียมเนื้อเจียมตัว จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 18:29:40

ความคิดเห็นที่ 26 ชิดขวารอดูมาม่าเกรียนแอ๊คอาร์ต เอ๊ะ แต่นี่มันกระทู้ตูนี่หว่า ไม่ๆ ไม่อ๊าววววววว ตา Venture มีกระทู้ดราม่าของตัวเองแล้วก็ ไม่ต้องมาเผื่อแผ่เลย เราขอต่อต้านการก่อเกรียน เราไม่เอาคนใช้เหตุผลแบบ Argumentum ad Hominem เราไม่เอาการถกเถียงแบบ Debate for Debate ชิ้วๆ http://ดราม่า-addict.com/?p=23318 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 18:47:01

ความคิดเห็นที่ 27 คำนี้แปลงมาจากคำว่า "ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ" น่ะครับ (ตอนนั้นใครกันนะพูดออกทีวี) มันเป็นการเล่นมุกกันในหมู่คนรู้จัก อย่าไปคิดอะไรมากเลย หยวนน่า หยวนน่า จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 18:54:23

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาแจกกีบสุดท้ายของปี.. รอภาค 2 นะขอรับ อ่านแล้ว เหมือนยังมีกั๊กๆ ไว้นิ จากคุณ : bbiggy เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 19:21:31

ความคิดเห็นที่ 29 เห็นคำว่าชำแหละเลยเข้ามาดู เอาใจช่วยนะครับ    คุณ Darth Prin  นั่นเอง (สวัสดีปีเก่าครับ)  ว่าแต่ภาษาที่มันแรงไป ก็ลดบ้างได้นะครับ คุยกันเบาๆ ใจเย็นๆกันนะครับ   อันที่จริง นักวิทย์ ก็แบ่งเป็น สองฝักสองฝ่าย กันมานานแล้ว ส่วนคำว่า Pseudo Science  มันก็เป็นแค่คำจำกัดความ คำหนึ่ง ที่หาเหตุผล หรือ คำตอบมาอธิบายไม่ได้ในทาง วิทยาศาสตร์  ก็เลยโยนให้เป็น Pseudo Science  ไว้ก่อน  ต้องทำความเข้าใจกันให้ดีนะครับ แล้วสามารถอธิบายอย่างชัดเจนได้ไหมว่า วิทย์ ลวงนั้นลวงแบบไหน   (ต้องอธิบายได้ด้วยนะครับ) ส่วนสิ่งที่มันสรุปไม่ได้ แล้วโยนให้เป็น Pseudo Science   ไว้ก่อนผมก็เห็นด้วยนะ และก็ไม่เห็นด้วยอย่างมาก กับ นักวิทย์ ที่ใช้ผลประโยชน์ จาก สิ่งที่ยังสรุปไม่ได้ หรือ Pseudo Science  ที่ว่ามาหากินกับประชาชน ยกตัวอย่างเช่นเหรียญควันตัม  หรือ น้ำ  เครื่องดื่ม อะไรสารพัด บรรยายสรรพคุณเกินจริง เห็นคุณ Darth Prin  สนใจ  Pseudo Science ลองเข้าเวบนักวิทย์ฯ(ค่อนข้างมีชื่อเสียง)คนนี้ดูครับ  http://www.levashov.info/English/index-eng.html เขามีการทดลอง และ สืบค้นข้อมูลเทียบเคียง  ทางด้านประวัติศาสตร์โลก   แต่กระนั้นก็ข้อมูลต้องรอบด้านเหมือนกัน   จะว่าไปแล้ว ถ้ามีนักวิทย์แบบ Pseudo Science  หรือที่คุณเรียก งมงายก็ มีค่อนโลกหล่ะครับ   มีอีกคน Nassim Haramein   หรือแม้แต่ Michio Kaku  ก็มีบางเรื่องที่เขาพูด  เช่น เรื่องเกี่ยวกับ MK ULTRA ปล.สินามิ ไม่มีก็ดีแล้วนี่ครับ   HAARP  ถ้าเขาใช้เมื่อไหร่  มันก็ไม่มีฤดูกาล หรือ ใครหน้าไหนจะมา ทำนายได้หรอกครับ   ส่วนตัวแล้ว ผมอยากรู้จริงๆ ว่า ดร  สมิทร  พูดไว้จริงๆเหรอครับว่าวันที่ 30 ที่ผ่านมา  (ใครพอมีข้อมูลที่เจ้าตัวพูดบ้างครับ   ไม่เอาแบบโหรทำนายนะครับ)  อย่างนี้ก็น่าเห็นใจคนทำธุรกิจ จริงๆ   แต่ว่าชีวิตก็สำคัญกว่าอื่นใด นะผมว่าระวังแต่ไม่ระแวง ดีที่สุด แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 19:51:40 จากคุณ : perune เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 19:31:43

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่ใช่นะคุณ perune มันคนละเรื่องเลยนะบทสรุปของคุณน่ะ Pseudo-Science ไม่ใช่สิ่งที่สรุปไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่สรุปเกินกว่าที่รู้ ประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจดีๆ อย่างตะกรุดอาคม มันเป็นความเชื่อ เป็น Non-Science ก็ไม่ใช่ Pseudo-Science ตราบที่ไม่อ้างความเป็นวิทยาศาสตร์ครับ การจะเรียกอะไรที่ไม่เข้าใจว่าเป็น Pseudo-Science นั่น เป็นสิ่งที่ผิด และเป็นส่วนหนึ่งของการงมงายวิทยาศาสตร์ครับ มันต้องมีการอ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์ และอ้างเกินกว่าข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ออกมาครับ ส่วนตาบิ๊ก: เขียนเท่าที่จำเป็นน่ะแหละ มากไปกว่านั้นมันต้องเป็นการแกะลงแต่ละประเด็น การชำแหละสิ่งที่ว่ากันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ มันเหมารวมไม่ได้ เพราะแต่ละอย่างก็จะมีการซ่อนความวิบัติที่ต่างๆกัน ในคำว่าวิทยาศาสตร์ทางจิต แกะลงไปก็จะเห็นว่า มันไม่ใช่แค่ ด๊อก ก้องภพ นั่งเทียน แต่มันมีการรวมการฝังเข็ม วารีบำบัด สารพัดแพทย์ทางเลือก ฯลฯ ไว้ด้วย เรื่องวันที่ 30 ธันวาคม มันก็คงไม่ใช่ประเด็นหว้ากอด้วยซ้ำ ถ้ามันไม่ใช่เพราะนักวิดกระยาสาร์ทกำมะลอเอาคำว่าวิทยาศาสตร์ ไปใช้ขาย จนข่าวลือออกมา เป็นการทำนายทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์เลย การชำแหละตรงนี้ แค่แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ตาก้องภพเอามาอ้างมันจริงๆแล้วไม่ใช่วิทยาศาสตร์ นั่นก็ืถือว่าเพียงพอละครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาอธิบายเรื่องการหมุนของแกนโลกที่มากกว่า 1 แนว การเคลื่อนไหวของแผ่นดิน การสะสมความเครียดจนพังทลายเป็นแผ่นดินไหว การเกิดแกนแม่เหล็กโลกเปลี่ยน ฯลฯ แล้วพวกนี้ก็ไปมั่วดำน้ำต่อเรื่องอื่นกันอีก เราไม่สามารถแบ่งแยกระหว่างผู้ป่วยโรคโกหกตัวเองที่ Delusion กับคนที่นั่นทางในและเห็นจริงได้ครับ กระบวนการดังกล่าวจึงไม่อยู่ในข่ายกระบวนการได้มาซึ่งหลักฐาน ถ้าอ้างหลักฐานจากกระบวนการนั่งทางในนี้ แล้วบอกว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็เป็น Pseudo Science โดยสภาพทันที แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 19:56:08 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 19:42:01

ความคิดเห็นที่ 31 สุดยอดเลยคับ แปะกิ๊ฟไว้ก่อนนะ พอดีหมดแล้ว จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 20:01:51

ความคิดเห็นที่ 32 ตระกรุด  ใช่ครับ Non-Science   แต่  อาคม   ผมไม่เข้าใจ  เป็น Mantra  หรือเปล่าครับ   ถ้าเดา น่าจะเป็นไสยศาสตร์  หรือ ศาสตร์มืด   Mantra มีทั้งด้านมืดและสว่าง มันเป็นเรื่องของ  sound vibration ซึ่งก็แล้วแต่  Frequency  ที่แตกต่างกัน ซึ่งก็มีผล ต่อสิ่งมีชีวิต ไม่ว่ารูปแบบไหน ส่วนเรื่อง ดร ก้องภพ  เป็นข้อมูลที่มาจากเขาจริงๆเหรอครับ  หรือมีคนเอาไปต่อเติม  อย่างนี้ไม่เป็นการดิสเครดิต  หรือครับ ข้อมูลต้องแน่ใจ  หรือมีการบันทึกไว้เป็น เสียง หรือคลิป  ส่วนในเวป  นั้น ใช่ของ ดร ก้องภพ  เหรอครับ   เรื่องเกี่ยวกับ Solar storm   ก็ไม่ได้ มี ดร ก้องภพ  พูดไว้คนเดียวนะครับ ข้อมูลมีเยอะมาก  ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนไทยถึงไม่ติดตามข่าวสารจากต่างประเทศ  ทำไมต้องอิงแต่นักวิทย์ ในไทย ปี 2012   ผมเองไม่เชื่อเลยว่าโลกมัน สิ้นสุดแค่นั้น  เพราะพลังงานเขามีเหลือเฟือ   ต่อให้ มีการทดลองอะไร  หรือ  Solar storm  หรือ  สงคราม  โลกก็ยังอยู่ไปอีกนาน   สิ่งมีชีวิตบนโลกต่างหาก ที่มันจะอยู่ไม่ได้  หรืออาจลดไปบ้าง   บางทีตามข่าวสารแล้วก็ต้องมีสติด้วย ปล.อีกที ผมขอหลักฐานอ้างอิง ทั้ง ดร สมิทร  และ ดร ก้องภพ  เป็นคลิปเสียงหรือแบบ แน่ใจ ว่าเป็นเจ้าตัวพููดไว้จริงๆ   แบบนี้เขาจะเสียหายนะครับ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 20:37:39 แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 20:32:51 แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 20:31:33 แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 20:26:27 จากคุณ : perune เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 20:06:41

ความคิดเห็นที่ 33 ลงชื่อรอว่าที่กระทู้แนะนำ จากคุณ : Pu121 เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 20:15:28

ความคิดเห็นที่ 34 เข้าสารที่จะสื่อครับ...ถ้ามีหลักฐาน แต่มันเอาออกมาแสดงให้ดูไม่ได้ หลักฐานมันก็เหมือนกับไม่มีนั่นแหล่ะ ภาษาสร้างขึ้นจากประสบการณ์ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณค้นพบบางอย่างที่เหนือประสบการณ์ คุณจะพบว่า คุณไม่มีภาษาที่จะใช้อธิบายมัน...นอกจากเงียบแล้วยังจะทำอะไรได้อีก จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 20:29:17

ความคิดเห็นที่ 35 เข้ามาอ่านครับ แหมถ้าเป็นตอนที่ห้องศาสนากับวิทย์รวมกัน กระทู้นี้น่าจะสนุกกว่านี้ จากคุณ : xnone เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 21:08:45

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาตั้งใจอ่านค่ะ  ^^ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 21:17:31

ความคิดเห็นที่ 37 ของดร.ก้องภพ เคยมีกระแสว่าท่านทำนายแผ่นดินไหวอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากที่เกิดที่เฮติไม่นาน ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวกี่ครั้ง ประมาณวันไหนบ้าง ส่วนของ ดร.สมิทธ ผมเคยได้ยินแค่ท่านบอกว่ามีโอกาสจะเกิด แต่ว่าสื่อจับยำมั่วกับคำทำนายของหมอดูที่ไหนไม่รู้ ทำให้คนเสพสื่อเข้าใจสับสนว่าท่านพยากรณ์ว่าจะเกิดซะอย่างนั้น จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 21:26:39

ความคิดเห็นที่ 38 เรื่องของ ตาก้องภพ เรื่องแผ่นดินไหวนี่ มันจบไปแล้วครับ มีชำแหละในหว้ากอกระทู้ตั้งเพียบ เป็นประเด็น Pseudo Science ภาพกว้างครับ เรื่องของ ซึนามิ เป็นการพูดแบบเผื่อผสมโรงของ ดร สมิทธิ์ ครับ ดังนั้นผมกระทบแบบไม่ออกชื่อเหมือนที่แกทำอย่างข่าวนี้ครับ http://weareallhuman2.info/index.php?showtopic=50108 ส่วนคนที่ออกชื่อแกในกระทู้นี้คนแรกคือ perune ครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 21:32:33

ความคิดเห็นที่ 39 ป่านนี้  ดร ก้องภพ จะจามไปกี่ที แล้วเนี่ย อ้างถึงกันหลาย คห เลย การจาม เนื่องจากการถูกพูดถึง หรือ นินทา เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต หรือไม่ จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 21:32:47

ความคิดเห็นที่ 40 คุณไม่มีภาษาที่จะใช้อธิบายมัน. #34 มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ศึกษาจนเจอสิ่งใหม่ที่ไม่มีคนรู้เห็นมาก่อน แต่พิสูจน์ให้เห็นเป็นจริงได้ สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ นิยามความหมายขึ้นมาใหม่ มีคำศัพท์ใหม่ และอุปมาเปรียบเทียบกับสิ่งเดิมครับ #32 เห็นด้วยกับ 32 ครับ คือเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้กันหมดครับ ก่อนการวิจารณ์ไม่เคยอ้างอิงแหล่งที่มา แค่ฟังตามๆกันมา เขาเล่าว่า ก็มาสรุปเป็นตุเป็นตะ ขอหลักฐานอ้างอิง ทั้ง ดร สมิทร  และ ดร ก้องภพ  เป็นคลิปเสียงหรือแบบ แน่ใจ ว่าเป็นเจ้าตัวพููดไว้จริงๆ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ จากประโยคนี้ เรื่องญาณ เรื่องฌาน กับวิทยาศาสตร์ จริงๆแล้วควรใช้คำว่า  เรื่องญาณ เรื่องฌาน กับคำอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ เรื่องญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า อดีตชาติ หรือรู้จิตใจผู้อื่น สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงๆในหมู่นักปฏิบัติที่ละกิเลสได้มากแล้ว มีพบเห็นมากมายในสังคมนักปฏิบัติครับ เพียงแต่วิทยาศาสตร์ไม่ก้าวหน้ามากพอจะไปอธิบายว่า  ปรากฏการณ์เหล่านี้มีลักษณะการทำงานของพลังงานในร่างกายอย่างไร ทำไมประสาทการรับรู้ของร่างกายสมอง จึงเปลี่ยนแปลงไปจากปุถุชนทั่วไป วิทยาการยังล้าหลังมากที่จะอธิบายสิ่งที่ปรากฏครับ อาจจะอีก 100 ปี ก็ไม่แน่ครับ และนี่คือนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ยังหาคำอธิบายไม่ได้ ส่วนเรื่องวิทยาศาสตร์เทียปิดม น่าจะหมายถึง คำที่ใช้อธิบายเป็นศัพท์วิทยาศาสตร์ แต่พิสูจน์แล้ว หลักการนั้นผิดไปจากสิ่งที่เป็นของจริง เช่น สมองส่วนกลาง ของสำนักมายากล ที่นำเอามาอ้าง แต่แท้ที่จริงคือการเล่นกลชนิดหนึ่ง การที่จะสรุปว่าคำอธิบายใดเป็น วิทยาศาสตร์เทียมได้ ต้องมีคำอธิบยของจริงแสดงออกมาด้วยครับ แต่จะไม่สามารถสรุปว่าการที่เด็กเล่นรูบิคขณะปิดตาเป็นวิทยาศาสตร์เทียม ต้องแยกออกเป็นข้อเท็จจริงสองอย่าง คือหนึ่ง เด็กเล่นรูบิคปิดตา มีการแสดงให้เห็นชัดเจน สอง คำอธิบายปรากกการณ์นั้น ดังนั้น จึงควรสรุปว่า คำอธิบายเรื่อง การเชื่อมโยงสมองส่วนกลางกับการปิดตาเล่นรูบิค เป็นตรรกะที่ผิดพลาด เป็นวิทยาศาสตรืเทียม แต่เราควรพิสูจน์ด้วยคำอธิบาย หลักการวิทยาศาสตร์ ว่าเด็กปิดตาเล่นรูบิค ได้อย่างไร ด้วยคำอธิบายเรื่อง แสง เรื่องการหักเหของแสง โดยการทดลองเรื่องกล้องรูเข็ม การฝึกฝน และการทดลองด้วยเด็กทั่วไปก็สามารถทำได้ โดยไม่ใช่สมองส่วนกลางนั้น แต่ผมเห็นแย้งกับ จขกท ใช้ตรรกะที่ผิดพลาดเยอะหลายอย่าง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 21:38:32

ความคิดเห็นที่ 41 เท่าที่ตามข่าว ดร.ก้องภพ  ไม่ได้อ้างอิงจากหลักการตัวเลขทางการทดลองทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แบบเพียวๆ แต่อ้างจากหลักวิชาการจากบันทึกโบราณ เ็ป็นศาสตร์ที่ยังต้องรอการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ไม่แปลกหรอกครับที่จะอ้างอิงข้อเท็จจริง เมื่อไหร่ที่การติดตามผลเป็นจริง ศาสตร์นั้นก็จะได้รับการพิสูจน์ได้ การพิสูจน์ว่าคำอธิบายนั้นเป็นวิทยาศาสตร์เทียม ไม่ได้แปลว่า มันไม่เป็นจริง แต่ถ้าดูศึกษากันดีๆ ดร เขาอ้างอิงแหล่งที่มา และไม่เคยบอกว่ามันเป้นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นะครับ เพราะเขาบอกที่มาแหล่งอ้างอิงแล้ว เพียงแต่พวกที่เขายึดวิทยาศาสตร์เป็นสรณะ เขาไม่รับ ก้เท่านั้นเอง มันอาจจะเป็นจริงก็ได้ครับ จนกว่าวิทยาการสมัยใหม่เจริญมากพอที่จะอธิบาย สิ่งที่หลวงพ่อจรัญอธิบายก็ชัดเจนมากครับ เพียงแต่วิทยาศาสตร์ทางจิตมันเพิ่งจะตั้งไข่ ทฤษฏีไหนที่มั่วมา ก็จะตกไป อันไหนพิสูจน์ได้จริง ก็อธิบายได้ถูกต้อง การจะอธิบายวิทยาศาสตร์ทางจิตได้ชัดเจน จึงต้องอุปมาเทียบกับวิทยาศาสตร์กายภาพ ซึ่งคนที่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติทางจิตจริงๆแล้ว พบว่า ในทางปฏิบัติแล้วไม่ได้ยุ่งเกี่ยวทางกายภาพเลยสักนิด แต่ถ้าจะวัดผลเป็นตัวเลข ต้องสามารถวัดคลื่นหัวใจ คลื่นสมอง สารสื่อประสาทที่ทำงานเปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่การบันทึกจดจำลงในไขสมอง คลื่นไฟฟ้า ก็ยังทำไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์แขนงนี้ยังอนุบาล   จึงยังห่างไกลที่จะอธิบายสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบเมื่อ 2554 ปีที่ผ่านมาครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:04:30

ความคิดเห็นที่ 42 คำว่า วิทยาศาสตร์ทางจิต น่าจะมีความหมาย เฉพาะเจาะจง เพียง การศึกษา เกี่ยวกับ พลังทางจิต (ถ้าศึกษาเกี่ยวกับจิต หรือ จิตใจ  ก็มีคำเฉพาะ คือ จิตวิทยา) แต่เรื่อง ที่ จขกท ครอบคลุมถึง เราว่า น่าจะเรียกว่า  ศาสตร์บนความเชื่อ Dowsing rod  เป็น ศาสตร์บนความเชื่อ โลกแบน ก็เป็นศาสตร์บนความเชื่อเช่นกัน  คือคิดไปเองว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ เหรียญควอนตัม   NP Faster   ไม่ใช่ศาสตร์บนความเชื่อ   แต่เป็นเรื่องหลอกลวง มันไม่ได้อิงความเชื่ออะไร   แต่ผู้ผลิตมันขึ้น สรรหาสรรพคุณมาหลอกขายของเท่านั้นเอง (หรือเขาสร้างความเชื่อขึ้นใหม่ได้ ก็ต้องยกให้) ส่วน วิทยาศาสตร์ทางจิต  ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ท่านคงหมายถึง การศึกษาจิต(แบบพุทธ)  เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวลีที่เหมือนกัน แต่เนื่องจากความหมายของคำว่า"จิต"ต่างกัน ก็เป็นเรื่องเฉพาะ คงไม่ต้องเอามาปนกันให้สับสน จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:04:50

ความคิดเห็นที่ 43 ผมว่าเด็กรุ่นใหม่ใช้คำ่ว่า วิทยาศาสตร์เทียมแบบพร่ำเพื่อมากกว่านะ บางอย่างที่เขาหวังผลทางการค้ามักจะอ้างว่ามีหลักการทางวิทยาศาสตร์ แบบนั้นสรุปว่าเป็นวิทยาศาสาตร์เทียมได้ แต่ถ้าเอาวิทยาศาสตร์จริงไปอธิบายหักล้างไม่ได้ ก็ควรจะบอกว่า คำอธิบายนั้นไม่ถูกหลักการก็พอ เช่นเหรียญควอมตัน สิ่งที่เขาอธิบายอ้างอิงก็เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งมันอันตรายมากกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจ แบบนี้ไปสรุปว่าเขาเป็นวิทยาศาสตร์เทียมไม่ได้ เพราะเอาหลักวิทยาศาสตร์จริงไปจับ มันสามารถอธิบายของจริงในเชิง ฟิสิกส์นิวเคลียร์ได้ ที่เห็นวิทยาศาสตร์เทียม ก็มี สมองส่วนกลางนี่แหละครับ ที่มันอธิบายฟังแล้วเป็นวิทย์ แต่มันอธิบายมั่วเพื่อหวังผลการค้าเท่านั้น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:10:47

ความคิดเห็นที่ 44 ปัญหาคือ ณ ปัจจุบันมันปนกันครับ คุณ sb*star ถ้าไปเยี่ยมงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ก็จะเห็นว่านิยามมันกว้างถั่วแตกไปจากนิยามแบบหลวงพ่อจรัญไปแล้ว บทความที่ตอนแรกผมแกะแค่เรื่องมั่วถั่วอ้างการใช้ญาณรู้เห็น ซึ่งเป็นส่วนที่แกเรียกว่าวิทยาศาสตร์ทางจิต ก็ต้องยาวไปถึงส่วนที่คนพวกนี้เอามาเป็นเกราะด้วยครับ เรื่องจาม เป็นความเชื่อ ไม่ได้อ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์นี่ครับ เป็นส่วนโลกของพวกไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:24:35

ความคิดเห็นที่ 45 สรุปแล้วก็ไม่มีหลักฐานอะไร ชัดเจน เกี่ยวกับ ดร ก้องภพ  และ ดร สมิทร  เพียงแต่ไหลตามกระแสข่าว หรือ  fw mail  ใช่ไหมครับคุณ Darth Prin อย่างนี้ก็แย่  ก่อนที่จะชำแหละอะไร ต้องทราบข้อมูล ที่แท้จริง   ถึงหลักฐานว่าเขาได้พูดไว้จริงหรือไม่ ไม่ใช่กล่าวลอยๆ  แบบนี้นะครับ Quote Pseudo-Science ไม่ใช่สิ่งที่สรุปไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่สรุปเกินกว่าที่รู้ Quote ไม่มีนักวิทย์คนไหนไม่ศึกษา หรือ ทำการทดลองครับ   เพียงแต่  รู้ว่าบทสรุปเป็นเช่นไร  แต่  ไม่สรุป  เพราะมันจะไปตรงกับความรู้ทางที่มันมีอยู่แล้วเช่น ความรู้ทางศาสนา  ดังนั้นวิทย์ จะกลายเป็นงมงายไป พูดง่ายๆ คือจุดจบของวิทยาศาสตร์   ยกตัวอย่างเช่น  Yogi experiment  ของ NASA และ philadelphia experiment   และ   Vortex Energy เคยรู้กันบ้างไหมว่าคนในสมัยโบราณมีไฟฟ้า เครื่องบิน ใช้กันแล้ว จากคุณ : perune เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:27:07

ความคิดเห็นที่ 46 เหรียญควอนตั้ม  อ้างอิง "คำพูด"  ไม่ใช่ "หลักการ" ทางวิทยาศาสตร์ อ้างอิงคำวิทยาศาสตร์ แล้ว หลอกบรรยายสรรพคุณต่างๆ เพื่อให้คนที่ อ่าน หรือ ฟัง คล้อยตามว่ามันเป็นจริงได้ สมองส่วนกลาง ก็ทำนองเดียวกัน อ้างอิง คำว่า สมองส่วนกลาง แล้วหลอกบรรยายสรรพคุณ  ว่าการฝึกอบรมจะทำให้มีผลดีอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเรื่องหลอกลวง อย่าคิดซับซ้อน แล้วงง เรื่องหลอกลวง ก็คือ แค่หลอกลวง  ไม่ต้องแยกแยะ ว่าเป็นหลอกแบเทียมไม่เทียม แยก เพื่ออะไร แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 22:32:44 จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:28:37

ความคิดเห็นที่ 47 pmc  เห็นเป็นกระแสกัน เนี่ยผมจะลองไปหาข้อมูลที่เกี่ยวกับวิทย์ดู ส่วน  gt 200  ผมมาช้าไป   แต่ราคามันเกินไปจริงๆๆ  มากๆ   คนสมัยโบราณแค่หักกิ่ง hazel nut   หาแหล่งน้ำ  แร่ธาตุ ได้แล้ว  (ไม่ใช่ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่นะครับ ลบหลู่ได้ หาข้อมูลมาคุยกัน  อย่าห้ำหั่น) แต่ไม่แน่ใจว่ามันเอามาใช้หา วัตถุ อื่นได้หรือไม่ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 22:46:15 จากคุณ : perune เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:44:55

ความคิดเห็นที่ 48 คห 45 คุณ perune ทำไม ไม่ลอง search หาสักนิด แค่ใส่ชื่อ ดร ก้องภพ   ก็มีให้อ่านได้มากมาย นี่เป็นตัวอย่าง http://www.truth4thai.org/ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 23:52:56 แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 22:53:10 จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:52:26

ความคิดเห็นที่ 49 เรียบเรียงใหม่ดีๆครับ ประเด็นตาสมิทธิ์ ตอบเคลียร์แล้วนะครับว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไร ของตาก้องภพ ประเด็นอยู่ในหว้ากอนี้ครับ แต่ทั้งกระทู้ทวงถามหลักๆก็หายไปแล้วเท่าที่หาได้ ของตาก้องภพหาได้คือเล่าจากรายการสรย้วยครับ http://www.youtube.com/watch?v=f4jW4zm3y5A ปรากฏการณ์เรียงตัวที่ว่าเป็นการสรุปเกินครับ มันถูกจัดเป็นส่วนของวิทยาศาสตร์ทางจิตเพราะฝั่งวิทยาศาสตร์ทางจิตอ้าแขนรับเข้าไปเนื่องจากมันเป็นประเด็นที่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์กระแสหลักครับ เข้าใจนะครับ ลองหาเวบที่แปลว่าความจริง4ไทย ครับ ไม่ทราบว่า Perune เป็นเกรียนแบบเดียวกับ Venture รึเปล่าครับ เห็นการเขียนมารยาทเหมือนร่างแยกเลยครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:06:53

ความคิดเห็นที่ 50 คุณ sb*star   ผมบอกไปตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเวปนี้แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นของ ดร ก้องภพ ชื่อใครจะใส่ไปก็ได้  แต่คลิปที่เขาพูดนะมีไหม แค่นั้นเอง  ไม่ควร ดิสเครดิต  ใครง่ายๆ แบบนี้ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 23:12:06 จากคุณ : perune เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:06:59

ความคิดเห็นที่ 51 #43 "แต่ถ้าเอาวิทยาศาสตร์จริงไปอธิบายหักล้างไม่ได้ ก็ควรจะบอกว่า คำอธิบายนั้นไม่ถูกหลักการก็พอ" ประโยคที่ว่า "แต่ถ้าเอาวิทยาศาสตร์จริงไปอธิบายหักล้างไม่ได้" นั่นแหละนิยามของ Pseudoscience ถ้าอ้างว่าอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ หรือออกมาพูดโดยใช้ฐานะนักวิทยาศาสตร์ แล้วสิ่งนั้นอธิบาย ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือเปิดโอกาสให้พิสูจน์แบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เช่นบอกให้ใครทำซ้ำไม่ได้ ตั้งสมมติฐานให้ พิสูจน์ว่าผิดไม่ได้ นั่นเข้าข่ายวิทยาศาสตร์จอมปลอมทันที แต่ถ้าบอกว่า GT200 เป็นไสยศาสตร์ ดร. ก. จากนาซ่าบอกว่าตัวเองออกมาในฐานะหมอดู หรือเหรียญควอนคัม เป็นวัตถุปลุกเสก อย่างนี้ไม่เข้าข่าย Pseudoscience ครับ ดังนั้นอย่าเอาอะไรที่(เปิดโอกาสให้วิทยาศาสตร์)พิสูจน์ไม่ได้มาเป็นกาฝากวิทย์ครับ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:10:38

ความคิดเห็นที่ 52 โอ้...ตายหล่ะ  เหมือนมีใครตบหน้าผมแรงๆ   (เกรียน)   ผมไม่ใช่คนอายุน้อยๆแล้วครับ   คงไม่เกรียน  หรือ มีหลาย ล็อคอิน  เล่นแบบเด็กๆ มีล็อคอินเดียวนี่หล่ะครับ   ว่างจริงถึงเข้ามา ก็ไม่ได้เปิดทุกกระทู้   เพียงแต่เห็นกระทู้คุณ  Darth Prin  น่าสนใจแค่นั้นเอง   เอาเป็นว่า ผมขอโทษละกัน ถ้าคำพูดผม ทำให้คุณขุ่นเคือง  เพียงแต่ ผมแค่ไม่อยากเห็นใคร เอาใครมาดิสเครดิต โดยไม่สอบทานก่อนเท่านั้น แต่เอาเป็นว่าผมไม่ตามต่อละกัน  ผมไม่เข้ามาตอบแล้วนะครับ  รอติดตามข้อมูลอย่างเดียวละกัน เราไม่เคยเห็นหน้ากัน  หรือ  รู้จักกันเลย  เพราะฉนั้น คุณ  Darth Prin  อย่าเอามาเป็นอารมณ์เลยนะครับ สวัสดีปีไหม่  ล่วงหน้ากันทุกๆคนนะครับ ปล.คุณ Darth Prin  ผมไม่ใช่พุทธครับ    แต่คุณ Venture  น่าจะพุทธ นะ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 53 23:35:24 จากคุณ : perune เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:19:43

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้าติดในประเด็นสงสัยงั้นไม่เป็นไรครับ เพราะคุณมีสิทธิ์แม้แต่จะบอกว่า ดร พรดริฟท์ไม่เคยยืนยัน GT200 เป็นวิทยาศาสตร์ เขาบอกไว้ชัดเจน อะไรใช้ได้ก็จะใช้ เพราะคลิปที่พรดริฟท์พูดตรงๆนั้นไม่มี มีเหลือแต่คลิปที่พูดหลังเสร็จแล้ว แต่ประเด็นหลักของสภาพกาฝากวิทย์หรือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ทางจิต ยังต้องถกกันต่อนะครับ นอกจากนี้ ทำไมเรานับ จี้กง เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ถ้าจี้กงเป็น อย่างนั้นคาราเต้ก็ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตเพราะเป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้ลมปราณในรูปคิไอ ฮวงจุ้ย ควรเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตหรือไม่ เมื่อมันมีพื้นฐานหลักเป็นการอ้างอิงตำราหลักปฏิบัติ??? อะไรในฮวงจุ้ยที่เป็นจิต จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:22:53

ความคิดเห็นที่ 54 ไม่กว่ากระทู้ไหนของท่าน Darth Prin ผมชอบหมดเลยละครับ :) พูดถึงประโยคฮิตที่ว่า ไม่เชื่อย่าลบหลู่นี่ปวดหัวจะพูดด้วยจริงๆครับ ผมสนใจเรื่องสักยันนะครับไอ้ที่ว่าของขึ้นสักตัวนั่นตัวนี้ เพื่อนผมชอบไปนั่งปลุกของผมเองไม่เชื่อแบบสนิทใจเลยละแต่ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง แบบว่าจนปัญญาจริงๆ แต่ก็อยากรู้่ว่าตอนที่เขาอ้างว่าไม่รู้สึกตัวนั้นมันจริงไหม หรือว่า ... เเกล้งทำ? ผมว่าเขารู้ตัวนะ ผมอยากรู้ว่าในสมองเขาตอนนั้นกำลังคิดอะไร บางคนปีนต้นไม้ซะเฉยๆแ้ล้วพอของลงบอกลงต้นไม้ไม่ได้? บางคนบอกว่าวิ่งไวมากๆ พละกำลังมากมายสารพัดที่จะกล่าวอ้างได้ อยากรู้จริงๆมันเกิดอะไรขึ้นในสมองเขากันแน่?? จากคุณ : หลบเวลา เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:27:52

ความคิดเห็นที่ 55 สักยันต์นี่เป็น Non Science น่ะครับ แต่ก็พวกวิทยาศาสตร์ทางจิตนี่ละที่รวมเข้ามาด้วย แต่โดยศาสตร์ของมัน มันเป็น Non Science เหมือนศาสนา ถ้ามันรู้ว่ามันควรอยู่ตรงไหน ไม่ล่วงข้ามเข้ามาในเขตของวิทยาศาสตร์มันก็ไม่มีปัญหา จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:34:30

ความคิดเห็นที่ 56 เอ ถ้า ดร. สองคนนั้นไม่ได้พูด ก็น่าจะออกมาปฏิเสธการพูดตั้งนานแล้วมั้ง ในเมื่อมีคนมาอ้างว่าตัวเองทำนาย ออกสื่อก็หลายอย่าง ในเวบก็พูถึงกันตลอด หรือว่า ดร. สองคนนั้นจะไม่ได้ติดต่อโลกภายนอก ??? กิฟท์สุดท้ายหมดที่กระทู้นี้ดีใจจังที่เหลือไว้ 1 กิฟท์ จากคุณ : Hephaestuz เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 23:46:39

ความคิดเห็นที่ 57 ลองหาอ่านเองก็แล้วกันครับเป็นอันล่าสุดที่ผมหาเจอ Space Weather and Potential Impact on Earth’s Climate and Seismic activities Kongpop U-yen December 19, 2010 จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 07:43:45

ความคิดเห็นที่ 58 คุณ venture คุณบอกว่า สิ่งเหล่านี้มีให้พบเห็นมากมายในหมู่นักปฏิบัติ เป็นเรื่องเด็กๆ คุณก็แค่ถ่ายคลิปตอนเขาปฏิบัติกันมาให้ดู  แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วครับ วิทยาศาสตร์ทางจิตไม่ใช่ว่าพิสูจน์ไม่ได้ แต่ที่ผมเห็นนะ ไม่ยอมให้พิสูจน์มากกว่า ค่านายหน้าเป็นหมื่นมั่งล่ะ ให้นั่งเครื่องบินไปมั่งล่ะ ทำนายไว้ว่าอย่างไรเป็นจริงไหม คุณเคยเห็นกับตาหรือเปล่า หรือว่าแค่เชื่อๆกันมาเหมือนกัน  ความคิดเห็นที่ 45   ไม่มีนักวิทย์คนไหนไม่ศึกษา หรือ ทำการทดลองครับ   เพียงแต่  รู้ว่าบทสรุปเป็นเช่นไร  แต่  ไม่สรุป  เพราะมันจะไปตรงกับความรู้ทางที่มันมีอยู่แล้วเช่น ความรู้ทางศาสนา  ดังนั้นวิทย์ จะกลายเป็นงมงายไป พูดง่ายๆ คือจุดจบของวิทยาศาสตร์   ยกตัวอย่างเช่น  Yogi experiment  ของ NASA และ philadelphia experiment    และ   Vortex Energy  เคยรู้กันบ้างไหมว่าคนในสมัยโบราณมีไฟฟ้า เครื่องบิน ใช้กันแล้ว จากคุณ : perune   เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 53 22:27:07  ขอโทษครับ ในโลกแห่งความเป็นจริง การที่เราทำงานวิจัยใหญ่ๆสักเรื่องขึ้นมา เขาคิดถึงเรื่องผลกำไรไว้ก่อน ไม่ว่าจะประเทศคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะประเทศทุนนิยมอย่างอเมริกา เม็ดเงินมหาศาลที่ลงทุนไปมีความหมายมาก และมีคนพร้อมที่จะแย่งคุณตลอดเวลา แล้วก็มีคนตรวจสอบซึ่งไม่ขึ้นกับฝ่ายใด มันไม่มีหรอกครับ การทดลองประสบความสำเร็จแล้วกั๊กเอาไว้ (แอบใช้ก็ว่าไปอย่าง) แล้วก็เพราะเขาคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจไว้ก่อนนี่แหละ ทำให้วิทยาศาสตร์หลายๆด้านไม่เจริญ เพราะมันยังไม่คุ้มทุนที่จะลงทุนทุกวันนี้ ไม่งั้นเราก็ได้เห็นคนไปนอกอวกาศกันแล้ว ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง จะบอกว่า เขาจงใจบิดเบือนให้ล้มเหลว เพราะมันไปตรงกับคำสอนในศาสนา มันเป็นอะไรที่ฟังไม่ขึ้นและไม่มีความหมายสุดๆ อ่านนิยายของแดนบราวน์ มากไปหรือเปล่า จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 08:28:05

ความคิดเห็นที่ 59 ไม่ควรไปตำหนิรุนแรงถึงขนาดนั้น สิ่งที่เขาพูดเขาก็มีเหตุผลรองรับของเขา แต่เมื่อคุณไม่เชื่อคุณต้องหาเหตุผลมาหักล้าง ไม่ใช่มาบอกว่า "...พวกคนเหล่านี้จะคอยซ่อนอยู่หลัง Non-Well Establish Science แล้วก็โผล่หน้ามาเห่าหอนเป็นระยะๆ ออกหน้ามาสร้างเสริมความงมงาย พอพลาดทีก็หลุบหางร้องงี้ดๆไปซุกหลังอีกครั้ง" จากคุณ : panpost เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 11:25:36 A:125.25.8.84 X: TicketID:139030

ความคิดเห็นที่ 60 ไม่ว่าจะอธิบายคำว่างมงายกี่ครั้ง พวกคลั่งศาสนาก็จะนำใช้แนวคิดวิทยาศาสตร์แบบเปี่ยมอคติเป็นร่ำไป เอาเป็นว่าใครเข้ามาอ่านก็ดูวิธีการใช้ตรรกะของพวกที่เข้ามาแจมๆแล้วพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ตรง เป็นตัวแทนของข้อมูลข้อเท็จจริง แต่ประสบการณ์ตรงก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงเสมอไป  การรับฟังเฉพาะประสบการณ์ตัวเองมีโอกาสหลุดไปสู่สภาพ Delusion ได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อความทรงจำของเราเอง อาจเป็นสิ่งที่ถูกใส่ขึ้นมา หรือกระตุ้นให้เกิดได้ มีคลิป Youtube ที่ โอ้ละหนอ ทิ้งไว้ให้ในบทความ  {Neurotheology} ... เรื่องของสมอง และเทวดา .. หวังว่าคงพอกระตุ้นให้รู้ตัวขึ้นบ้างว่า ทำไม ญาณวิสัย จึงไม่อาจนำใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 12:49:31

ความคิดเห็นที่ 61 โอชาๆ  จากคุณ : briarrose เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 14:38:00

ความคิดเห็นที่ 62 #60 คิดว่าคลิปนี้พอจะเปรียบเทียบคนกลุ่มนี้ได้ไหมครับ ประมาณว่า นับถืออาจารย์จนเชื่อไปหมดทุกอย่าง (บางทีอาจารย์ไม่ได้บอก แต่ดันเอาไปคิดเองเป็นตุเป็นตะ) เชื่ออาจารย์จนตัวเองหลอน คิดว่าอาจารย์เป็นของจริง แต่ห้ามอาจารย์ออกไปให้คนนอกพิสูจน์ คนที่จะพิสูจน์ได้ต้องเข้าสำนักเสียก่อน แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 54 15:47:33 จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 15:45:24

ความคิดเห็นที่ 63 ใจเย็นๆนะครับเนาะ ชอบความรู้และความคิดเห็นจากกระทู้นี้มากเลยครับ แต่ดูรุนแรงไปนิดนึง ยิ้มรับปีใหม่กันครับ^^ จากคุณ : เคนโด้ (kendointania) เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 16:29:41

ความคิดเห็นที่ 64 เอาวิทยาศาสตร์มาหักล้างไม่ได้ จะเป็นวิทยาศาสตร์ได้ยังไง คิดเท่าไรก็ยังงง จากคุณ : mootomoosun เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 16:44:06

ความคิดเห็นที่ 65 เพราะหมอเดา กับสื่อ เล่นข่าวนี้ ทำให้ หาดหยงหลิง ปากเมง เจ้าไหม ที่บ้านผม ไม่มีคนเท่าไหร่เลยปีนี้ ผมชอบมากเลย คนน้อยไม่ต้องแย่งที่กับใคร ขอบคุณครับ จากคุณ : รอมาสิบปีแล้วสินะ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 17:23:07

ความคิดเห็นที่ 66 วิทยาศาสตร์มันกลายเป็นแฟชั่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อะไรก็ต้องมาอ้างคำยาก ๆ อย่างแกนโลกทำมุมอะซิมุทจะเกิดซึนามิ เหรียญพลังสเกล่านะไม่ใช่เวคเตอร์ น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมเจ็ดเหลี่ยม  คุณสมบัติพาราแมกเนติกตรวจระเิบิด ..... ฯลฯ แล้วคนไทย(จำนวนมาก)ก็เชื่อเป็นตุเป็นตะ พอมีคำยาก ๆ หน่อยก็เป็นวิทยาศาตร์ เชื่อถือได้ โอ้ว แล้วก็เลยพาลไปเชื่อว่า ศัพท์เทคนิคยากๆ อย่าง อภิญญา ฌานวิสัย ฯลฯ มันก็ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ไปด้วย โอ๊ย ปวดตับ อนาคตวิทยาศาสตร์ไทยจะไปทางไหนเนี่ย จากคุณ : Black-White&Gray เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 19:05:27

ความคิดเห็นที่ 67 กรณีของประเทศไทย วิทยาศาสตร์ทางจิตเป็นดงที่รวมรวมเหล่า Pseudo Science ไว้โดยพวกคนเหล่านี้จะคอยซ่อนอยู่หลัง Non-Well Establish Science แล้วก็โผล่หน้ามาเห่าหอนเป็นระยะๆ ออกหน้ามาสร้างเสริมความงมงาย พอพลาดทีก็หลุบหางร้องงี้ดๆไปซุกหลังอีกครั้ง จะด่าวิทยาศาสตร์ทางจิตว่าเป็น Pseudo Science ก็ไม่เต็มร้อย เพราะส่วนของ Non-Well Establish Science ก็ถูกเหมารวมไปอยู่ในนั้น เหมือนกาฝากที่บ่อนทำลายทั้งวิทยาศาสตร์ และ Non-Well Establish Science ที่มันไปเป็นกาฝากอยู่ โดนใจหลายๆ จากคุณ : เด็กวัดสะพานใหม่ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 19:54:13

ความคิดเห็นที่ 68 เจิมๆ พูดถึงสึนามิ ไอ้เราร.ร.ติดทะเล ลุ้นกันแทบตาย -*- จากคุณ : sAilOvEnOk เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 20:59:32

ความคิดเห็นที่ 69 "เห่าหอนเป็นระยะๆ ออกหน้ามาสร้างเสริมความงมงาย พอพลาดทีก็หลุบหางร้องงี้ดๆไปซุกหลังอีกครั้ง จะด่าวิทยาศาสตร์ทางจิตว่าเป็น Pseudo Science ก็ไม่เต็มร้อย เพราะส่วนของ Non-Well Establish Science ก็ถูกเหมารวมไปอยู่ในนั้น เหมือนกาฝากที่บ่อนทำลายทั้งวิทยาศาสตร์ และ Non-Well Establish Science" ถึงจะดูแรงไปหน่อย แต่เราเห็นด้วยมากๆค่ะ  เพราะเราต้องสู้รบปรบมือกับพวกนี้บ่อยมาก แต่ดิฉันเข้าใจค่ะว่ามีหลายคนที่เชื่อในศาสตร์พวกนี้ แต่ไม่เคยทำตัวไม่ดีอย่างที่กล่าว ดิฉันก็ต้องขอโทษด้วย หากประโยคนี้จะทำให้คุณไม่สบายใจ  พวกเราไม่ได้หมายถึงคุณหรอกค่ะ   ดิฉันชื่นชมคนที่คิดค้นหาความรู้ใหม่ และมีจุดยืนของตัวเอง คุณสมบัติข้อแรกของนักวิทยาศาสตร์ คือ การเปิดกว้างต่อองค์ความรู้ และความคิดใหม่ๆค่ะ แต่คุณเองก็รู้ดีว่ามีคนที่หากินกับเรื่องพวกนี้ แล้วมันสร้างความเดือดร้อนให้สังคมขนาดไหน คนป่วยต้องเอาเงินที่ควรจะรักษาตัวมาทุ่มกับสินค้าพวกนั้น  ขายที่ขายนา ขายทรัพย์สมบัติด้วยความหวังว่ามันจะดีมันจะหาย ใช่ค่ะบางโรคแพทย์แผนปัจจุบันก็รักษาไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนไข้ควรจะนำเงินทุ่มเทกับสินค้าที่ได้ผลมาเพียงความสบายใจ  วินาทีนี้เข้าวัดทำบุญสร้างอุโบสถจะสบายใจกว่าไหมคะ  เงินที่ควรจะเป็นประโยชน์กับตัวคนไข้เอง ญาติพี่น้อง หรือ สังคม กลับตกไปอยู่มือคนที่ตั้งใจมา "หลอก"   และคนพวกนี้แฝงตัวอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า psuedoscience. จากคุณ : fm@co เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 21:34:47

ความคิดเห็นที่ 70 เหรียญควอนตั้ม ผมมองยังไงมันก็เทียม เรื่องมันมีรังสีไม่ต้องอธิบาย แต่เรื่องห้อยแล้วมีพลังเพิ่ม สุขภาพดี หายป่วย แก้มะเร็ง นี่ยังไงฟิสิกสืนิวเคลียร์สาขาไหน ๆ ก้ไม่มี - - แบบนี้ยังไม่เทียมอีกเหรอ จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 54 23:00:57

ความคิดเห็นที่ 71 ความจริงน่าจะโพสตั้งแต่วันที่ 29 นะครับวันที่ 30 จะได้ได้ลุ้นกัน จากคุณ : caznov เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 00:09:19

ความคิดเห็นที่ 72 ถ้ามันไม่บอกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ไงตาฟักทอง มันก็จะเหมือนห้อยตะกรุด หรือพวกอัญมณีบำบัด แต่เพราะมันบอกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ และกล่าวอ้างเกินข้อเท็จจริงที่มี มันจึงเป็น Pseudo Science คำกล่าวอ้างของเหรียญควอนตั้ม เป็นทำนองเดียวกับอัญมณีบำบัด อย่างที่พวก Witchery (แม่มด) แบบตะวันตกใช้ เพียงแค่พวก Witchery มีการอธิบายแต่ไม่ได้อ้างความเป็นวิทยาศาสตร์ เขาพูดถึงพลังของแสงอาทิตย์ที่ถูกปรับสภาพผ่านคริสตัลรูปแบบต่างๆ ส่วนเหรียญควอนตั้ม เขาไปไกลกว่า เขาพยายามจะโยงการมีกัมมันตรังสีเข้ากับการรักษา และอ้างว่าเป็นวิทยาศาสตร์ อันนี้ให้ลองอ่านดู http://www.earthwitchery.com/stones-lesson.html อัญมณีบำบัด จึงเป็น Non-Science และ เหรียญควอนตั้ม จึงเป็น Pseudo Science เรื่องยุ่งๆ ณ ปัจจุบัน คือ พวกวิทย์กำมะลอ เขาได้กว้านเอาอัญมณีบำบัดเข้าไปแล้วอ้างชื่อเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตไปด้วย ซึ่ง ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะให้พวกที่เคยเป็น Non-Science หรือ Non-Well Established Science ถอนตัวออกมา มากกว่าจะถลุงให้ยับลงไปด้วยกันทั้งหมด เพราะโลกนี้ก็ควรมีที่เหลือให้กับความเชื่อเขาบ้างครับ เฉพาะที่ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมนะครับ ตา caznov: วันที่ 29 นี่เพิ่งร่างบทความเสร็จ ลง FB วันที่ 30 รอ Comment ติติงจะได้ปรับแก้ ตอนแรกก็ว่าจะโพสรับปีใหม่ด้วยซ้ำ เพราะปรกติจะรอไว้สักอาทิตย์นึงก่อนมาลงหว้ากอ แต่งวดนี้เห็นว่ามันเข้าแก๊บพอดีเลยถึอโอกาสลงก่อนกำหนดเดิมครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 00:20:55

ความคิดเห็นที่ 73 น่าเสียดายที่คนบางคน ปกป้องสิ่งที่ตนเองเชื่อ จนหลับหูหลับตาตัวเอง ผมเชื่อว่าคุณ Darth Prin ก็ยังไหว้พระอยู่ใช่มั้ยครับ ทั้งๆที่บางทีวิทยาศาสตร์บางกลุ่มบอกว่า พระพุทธเจ้า ไม่มีจริงก็ตาม คุณ venture ก็เกินไป จะไม่ยอมรับวิทยาศาสตร์เลยหรือ ผมสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไรครับ ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์ทำให้มีคอมใช้ ทำให้มีไฟฟ้า และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งที่คุณใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน มาจากวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น ถ้าคุณจะปฏิเสธ คุณจะอยู่ร่วมสังคมนี้ได้ยังไงครับ แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 08:46:21 จากคุณ : foxaon1 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 08:45:21

ความคิดเห็นที่ 74 ช่วงปีใหม่ แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะคำพูดไร้สาระ หาจุดอ้างอิงไม่ได้ ของคนบางคน.....(น่าโดนฟ้องศาลเนอะ) ผมว่าน่าจะมีมาตรการลงโทษทางสังคมซะดีไม๊ อย่างทำ FW-Mail กระจายข่าว หรือ Print รูปตีดเสาไฟ ทำใบปลิวไปวางไว้ตู้โทรศัพท์....... ตอนนี้พอไม่มีซึนามิ ก็เริ่มทำเนียน เงียบๆเหมือนเดิม......ผมจะรอดูปี 2012 ว่าโลกจะแตกไม๊..... จากคุณ : Sakurachan (Tomoeda) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:21:51

ความคิดเห็นที่ 75 คุณ foxaon1 ประเด็นเรื่องพระพุทธเจ้าไม่มีจริงอันนี้ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ครับ เป็นแนวคิดสุดโต่งของพวกงมงายวิทยาศาสตร์ที่ผมพยายามจะแก้เหมือนกัน ประเภทไม่เห็น ไม่รู้แปลว่าไม่มี คนพวกนี้เป็นจุดอ่อนที่พวก Pseudo Science ให้เป็นข้ออ้างโจมตี ซึ่งการจะกำจัดวิทย์กำมะลอซึ่งมักเป็นพวกงมงายศาสนา ก็ต้องกำจัดพวกงมงายวิทยาศาตร์ไปด้วย การแก้ปัญหาที่ข้อเท็จจริงอยู่ตรงกลางมันไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะชินกับโลกที่ถ้าไม่ใช่ขาว ก็ต้อง ดำ ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทั้งๆที่มันอาจแค่ ค่อนไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ปัญหาตรงนี้ถ้ามันมีแค่การเมืองก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาการมองปัญหาสุดโต่งนี้ก็กำลังมีอยู่ในวิทยาศาสตร์้ด้วย คิดว่าข้อเท็จจริงของปัญหาภาวะโลกร้อนอยู่ตรงไหน มันมี หรือ ไม่มี ในขณะที่ฝั่งที่งมงายเชื่อก็อ้างทุกอย่างเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน และฝั่งที่ต้านก็ไม่เชื่อมันทุกอย่าง ข้อเท็จจริงระหว่างสองอย่างนี้บางทีมันอาจค่อนไปทางฝั่งที่ไม่เชื่อ แต่มันก็น่าจะจะต้องมีหลายๆอย่างที่มีผลจากภาวะโลกร้อนจริงครับ เอาแค่เรื่อง ญาณวิเศษ ที่ผมไม่สรุปด้วยซ้ำว่ามีหรือไม่มี คนพวกนี้เขาก็ต้องสรุปว่าแค่เพราะเป็นฝั่งวิทยาศาสตร์มันต้องเป็นพวกชั่วช้าไร้ศาสนาและเชื่อว่าญาณวิเศษไม่มีจริง ผมอธิบายอยู่ว่าต่อให้มันมีมันก็ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้เพราะมันไม่สามารถ Validate ได้ ไม่สามารถกำจัด Bias ได้ และในกรณีทดสอบกับสิ่งที่จะไม่มีผลลัพธ์ตรวจวัดได้ทางอื่น จะไม่สามารถแยกแยะระหว่างญาณทัศนะที่เห็น กับ การเกิด Delusion ได้ครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 09:31:10

ความคิดเห็นที่ 76 พิสูจน์ไม่ได้ ทำซ้ำไม่ได้ พิสูจน์ให้เห็นโดยทั่วไม่ได้ เก็บสถิติไม่ได้  หักล้างโดยกระบวนการวิทยาศาสตร์ไม่ได้ รู้เองคนเดียว คิดเองคนเดียว เป็น Delusion รึเปล่าก็ไม่รู้  Placebo Effect รึเปล่าก็ไม่รู้ มันหาความคิดแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลยครับ จากคุณ : SignPost เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 13:02:00

ความคิดเห็นที่ 77 สิ่งที่ล่วงแล้ว ให้แล้วกันปายยย อย่าได้ผูกใจอาวรณ์ คิกคิก มาม่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 16:07:41

ความคิดเห็นที่ 78 ถ้าไปกันคนละครึ่งทางได้ก็ไม่น่ามีปัญหา โลกเรามี2ด้านเสมอ แค่ให้ให้เกียรติความคิดของคนอื่น แค่ฟังไว้ แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกอย่าง จากคุณ : . (iChi-z) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 16:17:58

ความคิดเห็นที่ 79 สงสัยปีกระต่ายนีี้จะมีมาม่าให้กินอีกหลายถ้วย อิอิ จากคุณ : workbench เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 23:56:41

ความคิดเห็นที่ 80 ไม่รุ้เกี่ยวกับหัวข้อหรือเปล่านะครับ ขอแชร์หน่อย อะไรใช้ได้ก็ใช้ เจออะไรที่ดีกว่า ก็เปลี่ยน อะไรที่ยังไม่รู้ ก็อย่าไปด่วนสรุปว่า มีหรือ ไม่มี เรื่องบางเรื่องต้องยอมรับ ว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไปไม่ถึง  สิ่งที่ไปถึงได้ คือ ศรัทธาของแต่ละบุคคลกันไป ถ้าศรัทธาแล้วชีวิตเราดีขึ้น ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ ถ้าชีวิตต้องรอให้เห็นด้วยตาไปซะทุกเรื่องผมว่ามันขาดอะไรบางอย่างนะ กว่าจะรอวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หมด คงต้องตายกันอีกหลายรอบ  ขนาดแค่ ประโยชน์หรือ โทษของไข่ฟองเดียว ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ความรู้ทั้งจักรวาล มันมาก ก็เลือกเอาของที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตเป็นหลักก่อนก็พอ แล้วค่อยขยายไป จะวิทยาศาสตร์จะศาสนา มันก็แค่คำ  ที่ทำให้เราเห็นสัจธรรมรอบตัว แล้วเอามาใช้กับชีวิตนั่นสำคัญกว่า ถ้าไม่โลภ อยากมีอยากได้อะไรที่ พิศดาร ก็คงไม่ได้โดนใครเค้าหลอก อ่อ ผมว่าวิทยาศาสตร์บางทีเค้าก็เอามาใช้ประโยชน์เกินจริงได้นะ อย่าง คาราบาวแดงบำรุงสมอง มันก็ไม่ต่างกัน จะวิทยาศาสตร์หรือไม่วิทยาศาสตร์ สุดท้ายสำคัญอยู่ที่เจตนา มันก็หยิบยกมาทำร้ายคน ทำร้ายสังคม หาประโยชน์เข้าตัวได้เหมือนๆกันหมด แค่อย่าเอาสิ่งที่เราศรัทธา ไปทำร้ายชีวิตใครก็พอ แต่ถ้าเราเจตนาดี และคิดว่าจะทำให้ชีวิตเค้าดีขึ้นก็ไม่เสียหายอะไรที่เราจะแบ่งศรัทธานั้นให้กับคนอื่น  คุณไม่เชื่อก็หลบให้ เค้าไป  ส่วนคนที่เรียกร้องศรัทธา ก็อย่าเอาคำอ้างเกินจริง จะวิทยาศาสตร์ทางจิต ไม่ทางจิต วิทย์แท้ วิทย์เทียม วิทย์กำมะลอ   สุดท้ายก็ เป็นแค่คำ      สำคัญที่เจตนาต่างหาก จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 04:33:32

ความคิดเห็นที่ 81 ถูกตามนั้นครับ ถ้าพวกทางฝั่งศาสนาเข้าใจทั้งสองด้านอย่างนั้นมันก็จะไม่มีคำว่างมงายในศาสนา ถ้าทางวิทยาศาสตร์เข้าใจทั้งสองด้านอย่างนั้น มันก็จะไม่มีคำว่างมงายในวิทยาศาสตร์ ปัญหาหลักๆมันมาจากการเชื่อฝังหัว หลอกลวงตัวเอง แล้วบอกว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น นักวิทยาศาสตร์ต้องยอมรับว่าตัวเองก็ยังรู้ไม่หมด ผู้ศรัทธาในศาสนาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองก็อาจไม่ถูก มันมีพื้นที่ๆไม่ควรเอามาคาบเกี่ยวกัน ถ้าไม่จำเป็นครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 11:15:13

ความคิดเห็นที่ 82 หลายๆคห. ตอบกท.แบบ กรู ต้องถูกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไรที่กรู คิดว่าถูก มันต้องถูกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เป็นการแบกอัตตาวิ่งไล่กัดคนอื่น เหมือนหมา้บ้าเลย(โง่ด้วย) จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 12:50:09

ความคิดเห็นที่ 83 เรื่อง เดจาวู ถือว่าเข้าข่ายด้วยหรือเปล่าครับ จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 18:54:48

ความคิดเห็นที่ 84 เดจาวูเป็นชื่อเรียกปรากฏการณ์ครับ ไม่ใช่วิธีการหรือวิธีปฏิบัติด้วยซ้ำครับ มันสามารถเอาไปใช้ในความหมายของวิทยาศาสตร์ทางจิตก็ได้ ใช้ในความหมายทางจิตวิทยาก็ได้ เหมือนคำว่ามองเห็น หรือคำว่ากินข้าวหรือ ตกท่อ และก็เหมือนคำว่านิมิต ขยายความเรื่อง ขอบเขตของข้อเท็จจริง ถ้าคุณได้นิมิตเห็นว่าจะมีญาติมาหาในวันนี้ ในตอนเช้าวันนั้น ข้อเท็จจริงคือคุณเห็น ส่วนที่เกินข้อเท็จจริงได้แก่ เขาจะมาจริงๆ ในตอนเย็น ถ้าเขามาจริงๆ ข้อเท็จจริงคือคุณเห็น และเขามาจริงๆ ส่วนที่เกินข้อเท็จจริงคือคุณสรุปไปว่าภพภูมิโลกหน้าต้องมีจริง แต่ข้อเท็จจริง ณ ขณะนั้น สำหรับตัวคุณ นิมิต อาจเป็นสิ่งที่บอกเหตุในอนาคตที่เกิดขึ้นได้จริง และเพราะมันมีกล่าวในศาสนา คำว่าโลกนี้โลกหน้าเป็นสิ่งที่อาจมีจริงได้ และขอบเขตที่คุณกล่าวกับคนอื่น ก็จะไม่สามารถเกินข้อเท็จจริงประสบการณ์ของคุณ เพราะคุณไปทำซ้ำกับคนอื่นไม่ได้ ในที่นี้ นิมิตเป็นปรากฏการณ์ ที่อาจทำให้คุณสรุปเกินจริง แต่มันไม่ใช่ตัว Pseudo Science อะไร มันเป็นตัวคนที่เป็นตัวปัญหา เรื่องขอบเขตที่ประจักษ์ เป็นสิ่งสำคัญมากของวิทยาศาสตร์ จึงให้ไว้อีกตัวอย่างหนึ่ง ในสมัยของอริสโตเติ้ล แม้ว่าคุณอาจคิดว่าโลกกลมแล้วเอาไปป่าวประกาศว่าโลกจริงๆแล้วมันกลม นั่นก็เป็นการสรุปเกินข้อเท็จจริง เพราะมันเป็นแค่ข้อสันนิฐาน เฉพาะของคุณเองที่ไม่มีหลักฐานหรือทฤษฎีรองรับ จนเมื่อเราวัดมุมองศาของเงาที่่ต่างกัน ณ เวลาเดียวกันหาได้ค่ารัศมีของโลก นั่นก็ยังไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่ ณ ขณะนั้น ความเชื่อเรื่องโลกกลมมีหลักฐานรองรับเป็นบางส่วน จนกระทั่งเมื่อมีความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วง ดาราศาสตร์ในภายหลังหนักแน่นไม่เป็นอื่น นั่น จึงเปลี่ยนจาก ทฤษฏี เป็นสิ่งที่เรียกว่าข้อเท็จจริงที่เป็นสากล ไม่แน่ อนาคตเราอาจมีวิธีพิสูจน์ให้ญาณวิเศษใดๆเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นสากลก็ได้ แต่ ณ ขณะนี้ มันเป็นเครื่องมือชั้นดีของพวกวิทยาศาสตร์กำมะลอ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 22:44:56

ความคิดเห็นที่ 85 ปัญหาก็คือ.... คนที่ไม่เข้าใจจริงๆ ไม่รู้ว่าเรื่องไหนอยู่ในหมวดอะไร,ยังไง หรือวิเคราะห์ว่าเรื่องใดควรอยู่ในหมวดไหน... เราน่าจะมาช่วยกันทำให้คนส่วนใหญ่จำแนกได้ว่า ข้อมูลที่ได้มานั้น เราควรจัดให้มันอยู่ในส่วนของ Non Sciene หรือ Pseudosciene (พิมพ์ผิดขอโทษด้วยครับ)... แต่ต้องสั้นและกระชับ ไม่จำเป็นต้องมาอ่านทบทวนรอบสอง..... แต่โดยสรุปนะครับ ในตัวของ Non Science หรือ Pseudosciene มันมีส่วนผสมในตัวของมันเป็น อัตราส่วนอยู่แล้ว เวลาเรารับสื่อเหล่านี้ไป มันก็ขึ้นอยู่ว่ามันจะไปจับตัวในความคิดของคนนั้นได้ในส่วนใด(ส่วนวิทยาศาสตร์,หรือส่วนความเชื่อ) ซึ่งตัวกำหนดมันก็คือคุณสมบัติในตัวของคนรับสื่อนั่นเองไม่ใช่หรอครับ... พูดให้ตายว่า มันมีข้อเท็จจริงแค่ 1 เปอร์เซนต์ มันก็ยังคิดว่าจริงอยู่ดี โดยเอา 99 เปอร์เซนต์ที่เหลือมาเกทับไงครับ...ด้วยวลีเด็ดๆ "เทคโนโลยีใหม่จาก อเมริกา,สวิส,เยอรมัน,คูเวต,ตุรกี,ญี่ปุ่น ฯลฯ" ผมเผชิญกับพวกนี้มาเยอะมาก เพราะทำงานสื่อ.... ถ้าไม่แยกแยะให้ขาด ผมจะโดนกลืนไปในกระแสอันเชี่ยวกรากของวิทยาศาสตร์เทียมพวกนี้ และค่าเสียหายคือทรัพย์สินและเวลาที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ... ที่บอกมานี้ไม่อยากรำคาญมาเถียงกับใคร แต่แค่อยากให้รู้ว่า อย่างน้อยๆ เราควรรู้ว่าอะไรคือ วิทยาศาสตร์ อะไรไม่ใช่ หรืออะไรที่เอาวิทยาศาสตร์ไปเคลือบผิว เหมือนหมาป่าห่มหนังแกะ...... แล้วแกะโง่ๆก็โดนกินเรื่อยไป...... จากคุณ : BuggyBall เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 22:57:59

ความคิดเห็นที่ 86 เยี่ยมครับ อยากรู้ว่าพวกนักวิทยาศาสตรฺปลวกและเปลือก มันหายหัวกันไปไหนหมดแล้ว ไม่มาเลีย หรือเก็บเศษเสลดที่ถ่มไว้ จากคุณ : angel of music เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 00:13:42

ความคิดเห็นที่ 87 ที่น่าตลก ไม่ใช่ระดับปัญญาของคนไทย ที่มองไม่ออกว่าอันไหน จริงหรือหลอก... แต่ไม่มีใคร(ที่มีหน้าที่) เอาตัวพวกหลอกลวง ตีข่าว และที่สำคัญ ทำความเสียหายแก่ส่วนรวมในแง่เศรษฐกิจท่องเที่ยว มาลงโทษ เพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่าง คนมีอำนาจกลับวางเฉย .... พวกชีปะขาวพวกนี้เลยกล้าออกมาพ่นๆ แล้วก็หลบไปหลังฉาก... พอมีกระแสใหม่ๆ ก็ออกมาพ่นอยากดังอีก.... (เพราะไม่กลัวมีความผิด) สังคมไทยเลยกลายเป็นวัวโดนจูงจมูก คนที่มีสติและปัญญาก็รอดไป แต่โดยสังคมโดยรวมก็โอนเอน ไม่มั่นคง..... แล้วสังคมมันจะดีได้ยังไง ในเมื่อ แกนมันยังโยกคลอนไปตามกระแสข้อมูลแบบนี้.. หรือเป็นแบบนี้ดีแล้ว เพราะอยากจะใส่อะไรก็ใส่ลงไป ไม่ต้องตามล้างตามเช็ด เหมือนสังคมที่เรียกคนมาดูพลุไฟสีนั้นสีนี้ แตกแล้วพลุอันอื่นโผล่มาอีกเสี้ยววินาที ในงานมีคนขายประทัดดอกไม้ไฟ...... และเจ้าของพลุดอกไม้ไฟ ก็ได้เงินไป จากยอดขายในงาน.... ที่ยกตัวอย่างมา พอเข้าใจบ้างหรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 54 00:46:26 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 54 00:45:14 จากคุณ : BuggyBall เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 00:42:34

ความคิดเห็นที่ 88 เข้ามาอ่านและเรียนรู้จากบทความของคุณ Darth Prin ครับ จากคุณ : ศล เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 08:11:09

ความคิดเห็นที่ 89 ที่โต้กันมานี้  อยากให้เป็นเวลาก่อนหน้าที่ ซึนามิเกิดที่ภาคใต้คนตายเป็นแสนและมีใครในที่นี้สูญเสียญาติ รับรองว่า จะไม่โต้กันแบบนี้ ..........ฮา จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 10:33:31

ความคิดเห็นที่ 90 . . สรุปเกินหลักฐาน และใช้การเหมารวม โดยใช้เครดิตนำหน้าตัวเองว่าเป็น นักวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเท่านั้นเองหรือเปล่าคะ.. มีคำพูดหนึ่งจากพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งเคยบอกไว้ว่า.."ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่มาเวียนว่ายตายเกิดอีก ช่วยเหลืออะไรใครคงไม่ได้ และถ้ามีญานวิเศษหยั่งรู้จริงก็อวดใครไม่ได้อีกเหมือนกัน.." จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 10:45:45

ความคิดเห็นที่ 91 ที่คุณ จขกท เขียนไว้ก็น่าฟังน่าอ่านอยู่ ผมไม่ตอบกระทู้นี้ตรงๆ นะ แต่ผมอยากชี้แจงนิสหนึ่งครับ คำว่า "ญาณ" นะครับ อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93 คนที่ได้ญาณหรือศัพท์นักปฏิบัติคือ ได้ปัญญาอัตโนมัติ หรือได้ภาวนามยปัญญา น่าจะหมายถึงคนที่เข้าสู่กระแสพระนิพพานหรือบรรลุโสดาบัน หรือถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ทีนี้ไอ้พวก อาจารย์นั่น หมอนี่ มันมาอ้างว่ามีญาณวิเศษ มันน่าเชื่อถือแค่ไหน? คนบรรลุโสดาบัน ละสีลัพพตปรามาส ได้แล้ว ไม่หากินกับการเป็นหมอเดาแน่นอน จับสองประเด็นนี้มารวมกัน ก็สรุปได้แล้วว่า ไอ้พวกกเฬวรากที่ชอบออกทีวี ดูดวง ดูอนาคตด้วยญาณ บลา บลา บลา มันแหกตาชัดๆ ก็หลอกเอาเงินชาวบ้านนั่นแหละ คนที่จะบรรลุธรรมที่ไหนจะมาทำแบบนี้ลองตรองดู นี่คือปัญหาของสังคมไทย อ่านน้อย ศึกษาน้อย รู้ไม่จริง เลยโดนหลอกประจำ เจ็บจนชิน ส่วนเรื่องศาสนาพุทธกับวิทย์ นั้น ผมเบื่อที่จะพูดแล้ว พูด (เขียนในเว็บบอร์ด) นับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันก็ได้ คนจบป. เอก ทำงานวิจัยทางวิทย์แบบเข้มข้น ก็ปฏิบัติธรรมได้ ไม่ตายหรอก และที่สำคัญ ศาสนาพุทธมีมานานแล้ว เจ๋งมานานแล้ว ไม่ต้องเอาสีวิทยาศาสตร์ไปทาให้แปลกปลอมอะไรอีก บางคนถึงขั้นเอาไปเขียนหนังสือขายเลยก็มี (ไม่อยากจะดราม่า ) โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว คนที่ qualified พอที่จะพูดเรื่องทั้งสองนี้เชิงเปรียบเทียบได้ ต้อง 1. รู้จริงทางวิทยาศาสตร์ อย่างน้อยต้องปริญญาเอก (ที่ได้มาตรฐาน) หรือพัฒนาองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง ต่ำกว่านี้ไม่ผ่าน เพราะไม่แน่ใจว่ารู้จริงหรือเปล่า และมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้งมงายในวิทย์สูงมาก 2. เมื่อผ่านข้อหนึ่งแล้ว ต้องมีข้อสองคือ ต้องปฏิบัติธรรมภาวนา อย่างน้อยต้องแยกรูป-นามได้ หรือมีภาวนามยปัญญาแล้ว ถึงจะตัดประเด็นเรื่องการงมงายในศาสนาออกได้ คิดว่า คนที่ qulaified ก็น่าจะมีหลายคนอยู่ แต่ที่ well-known ก็ ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ นอกจากนั้น พูดไปก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะรู้ไม่จริงครบทั้งสองศาสตร์ ย่อมมีการด้นเดาเกาดาก เป็นช่วงๆ แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 54 11:46:32 จากคุณ : AnotherPractitioner เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 11:36:30

ความคิดเห็นที่ 92 คุณ จขกท. รู้เรื่องศาสนาพุทธ น้อยเกินไปนะครับ คุณยกตัวอย่างอื่นๆผมเห็นด้วย แต่ในเรื่องศาสนาพุทธ คุณเข้าใจผิดมาก ถ้าอยากรู้ให้แน่ชัดกว่าตอนนี้ แนะนำให้ศึกษามากๆ เริ่มจากพระไตรปิฎกฉบับย่อก่อนก็ได้ เมื่อศึกษาดีแล้ว กลับมาดูกระทู้นี้อีกครั้ง จะเข้าใจ จากคุณ : Capt Aod เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 11:49:30

ความคิดเห็นที่ 93 พอเดาถูกก็จะโผล่ เราดังแล้ว พอเดาผิดก็จะเงียบ แล้วก็เอาสีข้างถูแทน แบบนี้ก็เนียนได้ตลอดสินะครับ แต่ก็เชื่อได้ว่า ในอนาคตอีกสัก 300 ปี คนน่าจะเปลี่ยนไปเป็นแนววิทยาศาสตร์กับการพิสูจน์สิ่งต่างๆ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนเรื่องความเชื่อก็จะลดน้อยถอยลงไปละครับ ... .. . จากคุณ : แง่มๆ น้องหมา 2 ปี เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 12:29:24

ความคิดเห็นที่ 94 ผมก็เจอบ่อยนะ พวกที่เชื่อแบบงมงาย แต่ผมชอบนะ ชอบที่จะมาคอยอธิบายให้เค้าเข้าใจเหตุและผล มันทำให้ผมไม่เบื่อเลยนะ บางคนอธิบายแล้วเข้าใจหลักการของมันเค้าก็สบายใจ แต่บางคนอธิบายเท่าใหร่ก็ไม่เข้าใจ งั๋นก็เรื่องของ...ล่ะกัน เหอะ ๆ แต่ผมไม่กล้าไปอธิบายพวกคลั่งศาสนากับพวกสักยันต์นะ ผมกลัวโดนทรีน เหอ ๆ จากคุณ : วิงเวียนศีรษะ เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 12:42:59

ความคิดเห็นที่ 95 ผมว่า คห.92 ลองอ่าน ความเห็นของ จขกท. ใหม่ดูอีกครั้งครับ เพราะเท่าทีผมอ่าน จขกท. ไม่ได้สรุปความใดๆ ที่ขัดกับแนวคิดทางศาสนาพุทธเลย เรียกว่า จขกท. ใช้คำได้รัดกุมมากๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 54 12:50:42 จากคุณ : Lambert K. เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 12:49:03

ความคิดเห็นที่ 96 มีคนกำลังเอาความเชื่อ มารวมกับความจริง(ในปัจจุบันครับ) เพื่อหักล้างกัน แต่ละคน ความเชื่อกับความจริง แตกต่างกัน แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 54 13:25:52 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 54 13:23:22 จากคุณ : NeoTokyo เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 13:22:32

ความคิดเห็นที่ 97 ผมไม่เข้าใจคุณ venture ครับไม่รู้ว่าจะดิ้นรนโต้เถียงเพื่อให้เรื่องที่คุณเชื่อเป็นวิทยาศาสตร์ไปทำไมในเมื่อคุณมองมันว่าวิทยาศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่ล้าหลังและไม่เปิดกว้างขนาดนั้น ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ <> ไม่เป็นจริงนะครับ เพียงแต่ว่าบางอย่างก็ควรจะต้องมีแปะป้ายไว้ว่า ผลที่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลที่ปฏิบััติ แนวทางการปฏิบัติ และผลกระทบจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ใช้ด้วยความเสี่ยงของตัวคุณเอง จากคุณ : Zkizzik เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 13:33:24

ความคิดเห็นที่ 98 มันก็ไม่ได้ทำนายผิดซะทีเดียวนะครับ http://www.weather.gov/ptwc/text.php?id จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 14:25:16 A:124.122.163.204 X: TicketID:250855

ความคิดเห็นที่ 99 ถ้าไม่ลบหลู่ ก็อย่าเชื่อ จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 14:34:20

ความคิดเห็นที่ 100 ชื่นชม คุณYaoharee^^ จากคุณ : busajula เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 14:37:10

ความคิดเห็นที่ 101 จําได้นักวิทยาศาสตร์ท่านที่จขกท.โยงมา บอกว่ามีโอกาสเกิด แค่นั้น ส่วนวันที่ สถานที่แน่ชัดมันลือมาจากไหนไม่รู้ไม่ใช่หรือครับ แต่ชัวร์ๆคือโหรวารินทร์จอมมั่ว บอกวันเวลาชัดเจนแล้วก็เงียบไปเลย จากคุณ : ..... เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 15:02:38 A:183.89.172.99 X: TicketID:296951

ความคิดเห็นที่ 102 โหร อันนี้ไม่อยากว่ามาก เพราะนั่นเป็นลักษณะของอาชีพเขา เขาเป็น Non-Science อยู่แล้ว แม้บางคนจะอ้างจนพาตัวเองเข้าไปอยู่กับ Pseudo Science ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวิดกระยาสาร์ทที่ ฉวยโอกาสผสมโรง ใช้ปากสื่อโหมประโคมเพื่อความดังของตน อันนี้ละต้องตำหนิให้นัก ตัวเองอยู่ในวงวิทยาศาสตร์แท้ๆ หลักความน่าจะเป็น ตัวเองก็ต้องรู้ เอาสิ่งที่มีความน่าจะเป็นสัก 1:100 มาประโคมว่ามันจะต้องเกิดแน่ๆ อ้างว่าอันนี้เพื่อเตือนสติตังหาก หลังคนโกลาหลไปแล้ว อันนี้ เลวครับ มีสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับหลักการทำนายแผ่นดินไหว ความน่าจะเป็นของการเกิดแผ่นดินไหวระดับ 5 ริกเตอร์ ถ้าไม่กำหนดสถานที่ละก็ มีได้ทุกวันครับ http://neic.usgs.gov/neis/qed/ ด้วยสถิติที่มากขนาดนี้ ที่ทำนายการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ แล้วบอกว่าเบี่ยงเบนได้ วันสองวัน จริงๆแล้ว ให้ใครทำนายก็ได้ผลแม่นยำอย่างจับวางเลยนะนั่น (ว้า น่าจะทำซะก่อน ไม่งั้นตาดาร์ธนี่ดังไม่รู้เรื่องไปแล้วนะครับนะ) จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 16:42:35

ความคิดเห็นที่ 103 ขอแยก เป็นสามหัวข้อ อ่านแล้วเริ่มตีกันงง   หัวข้อแรก  พวก Pesudo Scicence  เหมือนกับพวกที่ชอบแอบอ้างว่า ตัวเองนั้นมีพลังเหนือกว่าคนทั่วไป และคนธรรมดา หรือว่าสามารถแปรธาตุต่างๆให้เป็นทองได้ โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง ซึ่งในอดีตและปัจจุบันมีเยอะมาก เท่าที่เห็นนะครับ  ซึ่งในเหรียญควอนตัม หรือว่า ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ ในเรื่องปิดตาหยิบของ นี้เข้าข่ายเลยก็ว่าได้ หัวข้อสอง นั้นศาสนากับวิทยาศาสตร์ จริงๆแล้วมันคือเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกันตรงความศรัทธา มากกว่า ซึ่งจริงๆแล้ว การมีศาสนานั้นคือ การเอาแผนที่มาให้เราดูว่า สมควรทำอะไรและไม่สมควรทำอะไร ถ้าเราเลยจากนี้ไป ทำไมถึงผิดและผิดเพราะว่าอะไร ทุกอย่างมีเหตุและผลของมันอยู่ ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำดูสิ หัวข้อสาม พวกเอาวิทยาศาสตร์และศาสนาหากิน น่ากลัวสุด   ผมเขียนในความเข้าใจของผม ตัวเล็กๆคนหนึ่งไม่ได้เก่งอะไร หวังว่าอ่านแล้วมาแชร์กันครับ จากคุณ : GTNEWSTHAILAND เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 17:19:56

ความคิดเห็นที่ 104 ความคิดเห็นที่ 89 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน ที่โต้กันมานี้  อยากให้เป็นเวลาก่อนหน้าที่ ซึนามิเกิดที่ภาคใต้คนตายเป็นแสนและมีใครในที่นี้สูญเสียญาติ รับรองว่า จะไม่โต้กันแบบนี้ ..........ฮา จากคุณ : ไม่คิดมาก ---------------------------------------------------------------------------------------------- ^ ^ คนละสถานะการณ์กันเลยครับ สมัยก่อนสึนามิถล่ม ยังไม่มีการให้ความรู้เรื่องสึนามีในประเทศไทยเลย ที่คนตายเยอะก็เพราะไม่รู้ เห็นน้ำแห้งก็ไม่รู้ว่าอีกไม่นานจะเกิดสึนามิ ก็ออกไปออดูกันที่ชายหาดเห็นว่าแปลกดี พอมันมาก็หนีไม่ทันแล้ว แต่สมัยนี้ความรู้เรื่องสึนามิของคนไทยเพิ่มขึ้นมากครับ รับรองว่าถ้าน้ำทะเลลดลงอีกคราวนี้จะวิ่งหนีกันเองก่อนประกาศแจ้งเตือนด้วยซ้ำ อีกประการก่อนเหตสึนามิครั้งนั้นเรายังไม่มีหอเตือนภัยครับ  ดังนั้นครั้งนี้เรามีหอเตือนภัยแล้วจึงรับรองได้ว่าจะสามารถแจ้งเตือนให้อพยพได้ทัน ไม่เหมือนสึนามิครั้งก่อนที่มาแบบไม่มีการเตือน จึงสูญเสียเยอะครับ ดังนั้นชาวหว้ากอจึงออกมาต่อต้านคนที่บอกว่าสึนามิจะมาวันนั้นวันนี้ เพราะเหมือนการหลอกลวง และทำลายการท่องเที่ยวภาคใต้ครับ ... แนวทางที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้คือให้พวกด็อกเตอร์ทั้งหลายมาออกรายการในวันครบรอบสึนามิของทุกปี แล้วให้ความรู้กับประชาชน มากกว่าจะออกมาประกาศให้เกิดความวุ่นวายหวาดกลัว หลายคนหวาดระแวงจากที่ตั้งใจฉลองปีใหม่ที่ภูเก็ตก็ยกเลิกทัวร์ไปเที่ยวเชียงใหม่แทน ธุรกิจภาคใต้เสียหายแต่คนพวกนี้ถ้าทายผิดก็เสมอตัวครับ จากคุณ : sanchai0045 เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 18:22:40

ความคิดเห็นที่ 105 แล้วพวกเขียนหนังสือมั่วๆหาเงินนี่เข้าข่ายหรือเปล่า เทือกๆพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ พิมพ์ขายตั้งหลายครั้งแล้วนะ งมงายกันไปเท่าไร จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 18:26:22

ความคิดเห็นที่ 106 วิทย์ ยังไปไม่ถึง ผมว่า ใช้ประโยคนี้ได้นะ วิทย์ยังคงต้องไปอยู่ และต้องลงลึกในการศึกษาเรื่องจิตด้วย ไม่อย่างนั้น เราจะใช้วิทย์มาคำนวณ สังคมไม่ได้เลย ไปศึกษา เล็กลงไปเรื่อยๆ วันหนึ่งอาจจะเจอหนทาง ให้เราเหาะเหินเดินอากาศ ทะลุกำแพง หรือย่นระยะทางได้ แต่ก็คงจะไม่ใช่หนทางที่จะทำให้สังคม สงบสุขได้ ถ้าไม่มาศึกษาเรื่องจิต วิทย์ ยังไม่สามารถ จัดการเรื่อง จิตเดี่ยวๆ หรือการรวมเป็นสังคมมนุษย์ได้ เป็นสิ่งที่ วิทย์ ยังไปไม่ถึง แต่ก็จำเป็นต้องไป หรือคุณว่าไม่ ส่วนที่ทางด้านศาสนา ว่าด้วยเรื่องสังคม จิต ... ว่าถึงแล้วซึ่ง ความจริง อันนี้ ชัวร์ หรือมั่วนิ่ม อันนี้ อีกเรื่องนึง ปล. ผมมีความนับถือวิทย์อย่างสูง แต่ส่วนที่ติเล็กๆนี่ ก็หวังจะให้สร้างจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ได้ อีกนิด จุดที่ผมว่า พุทธ ประจักษ์กว่าวิทย์ คือ บอกแค่ว่า มีผัสสะ จิต เกิดขึ้นพร้อมๆกัน กับตัวตนวัตถุ ไม่ได้บอกว่า มีลูกบอลเกิดขึ้นก่อน แล้ว จึงมี สัมผัสมารับรู้ เข้าใจว่า ในระดับลึกๆ จะถูกต้องมากกว่า จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 54 19:04:58