ความคิดเห็นที่ 1 บาง ทีอาจจะดูเหมือนเป็นการฝืนกฎของธรรมชาติ ที่บัญญัติเอาไว้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องดำเนินครรลองไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำตัวเหนือธรรมชาติอย่างนี้ แน่นอนว่าธรรมชาตินั้นมีสิทธิ์ขาดในการดูแลจัดสรรปันส่วนทุกอย่างบนโลกนี้ ได้อย่างลงตัวและถูกต้องมากที่สุดแล้ว กระนั้นมนุษย์เราก็ยังอาจหาญที่จะฝืนธรรมชาติในกฎเกณฑ์หลายๆ อย่าง เช่น การตัดต่อพันธุกรรมซึ่งกระทำตนประดุจเป็นพระเจ้า และเริ่มจะสร้างเครื่องข้ามเวลาและการคิดค้นยาอายุวัฒนะ ซึ่งเป็นกฎเหล็กของธรรมชาติที่มนุษย์เราไม่ควรฝ่าฝืน การท่องเวลานั้นบางทีฟังดูเหมือนว่ามันจะเป็น สิ่งที่ขัดแย้งกันเอง (Paradoxes) อยู่ในหลายๆ ด้าน คุณลองจินตนาการดูว่าวันหนึ่งเรานั้นสามารถที่จะประดิษฐ์เครื่องไทม์ แมชชีนได้สำเร็จและเดินทางย้อนไปยังอดีต และเกิดนึกสนุกขึ้นมาทำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้พบกัน และทำให้เราไม่ได้เกิดขึ้นมา และพอเรากลับมายังอนาคต ซึ่งเราก็ยังเป็นตัวเราอยู่ ดูแล้วมันออกจะแปลกๆ ในเมื่อเราในอดีตไม่ได้เกิดมา แล้วตัวเราในอนาคตหรือในขณะนี้นั้นเป็นใคร ?? เป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจจะมีอนาคตของหลายๆ มิติอนาคต ซึ่งจะแยกย่อยออกไปตามเหตุการณ์ที่เจอหรือเกิดขึ้นตามแต่ละมิติเวลาในช่วงนั้น จากคุณ : แก็งสมุนไพร (BiewlovEZeeN) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 21:35:15

ความคิดเห็นที่ 2 จากความคิดตรงนี้เองที่ทำให้มันดูเหมือนว่า การย้อนเวลาขัดแย้งกันเองด้วยกฎของธรรมชาติ อย่างที่ว่าไป ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ อดีต เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว อาจจะคิดได้ในแง่ว่าช่วงเวลาของอดีตหรือของอนาคตที่มีนั้นมีอยู่เพียงมิติ เดียว แต่ถ้ามีอยู่หลายมิติเวลาล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง!!! ส่วนที่กล่าวไปก็คือ กลุ่มที่มีข้อโต้เถียงเรื่องที่ว่าการท่องเวลานั้นเป็นไปไม่ได้นั่นเอง สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎีของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิด ว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง หลังจากที่ค้น พบว่า มีหลุมดำอยู่ในแกแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา และในใจกลางของแกแล็คซี่อื่นๆ อีก ทำให้เริ่มมีการสนใจ ศึกษาและค้นคว้ากันอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น ต่อมาในปี 1980 Rip Thorne หัวหน้าของ CalTech ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพของโลก ได้ทำการพิสูจน์ และได้บทสรุปว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เรื่องท่องเวลาน่ะ ไม่น่าจะเป็นจริงได้" จากคุณ : แก็งสมุนไพร (BiewlovEZeeN) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 21:35:57

ความคิดเห็นที่ 3 แต่ ถ้ามีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่พอจะสามารถจับ หรือควบคุมหลุมดำเอาไว้แล้วศึกษาให้ดีก็ไม่แน่เหมือนกัน ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไปตรงกับข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution และอีกข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งของ Kerr Solution ก็กล่าวว่าบางทีหลุมดำอาจจะไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว หรือ ก็คืออาจจะมีหลุมดำที่เป็น "ประตู" อยู่ หรือที่เรียกประตูนี้ว่า หลุมหนอน (Wormhole) เจ้าหลุมดำชนิดนี้ที่ว่ามันเป็นประตูสู่กาลเวลา เป็นตัวเชื่อมระหว่างหลุมดำในมิติหรือจักรวาลอื่น หรือที่เรียกได้ว่าเป็น Multiverse โดยใช้หลักการที่เรียกว่าการ Warp ซึ่งต่อมาภายหลังจากหนัง Sci-Fi เราจะเห็นลักษณะของการ Warp เป็นไปในรูปของการเดินทางข้ามจักรวาลอย่างเร็วแบบเข้าสู่ Hyper Space ซึ่งก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผ่านกาลเวลา อย่างที่ทราบ กันว่าเรื่องของเวลา และเกี่ยวกับการท่องเวลานั้น เริ่มต้นมาจากความรู้ในด้านสาขาวิทยาศาสตร์ หรือถ้าจะเจาะจงลงลึกไปมากกว่านั้น ก็คือสาขาฟิสิกส์นั่นเอง โดยริเริ่มมาจาก อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์เอกของโลกและต่อมาก็ได้มีผู้สืบสานงานต่อจากเขาอีกมากมาย แตกแขนงออกมาเป็นอีกหลายทฤษฎี มีทั้งผู้ที่เชื่อว่าด้วยกฎฟิสิกส์นั้นเป็นไปได้กับการสร้าง ไทม์ แมชชีน ขึ้นมาแต่ ณ เวลานี้ยังทำไม่ได้ และ พวกที่เชื่อว่าไม่น่าทำได้ สรุปก็คือมีเชื่อกับไม่เชื่อนั่นเอง จากคุณ : แก็งสมุนไพร (BiewlovEZeeN) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 21:36:41

ความคิดเห็นที่ 4 ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามีสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนทฤษฎีการท่องเวลาให้เป็นจริงได้ ก็คือ หลุมหนอน (Wormhole) หรือ คือจุดเชี่อมระหว่างมิตินั่นเอง ว่ากันว่าโดยข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution ได้กล่าวเอาไว้ว่าเจ้าหลุมหนอนเนี่ยก็เป็นหลุมดำชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากหลุมดำอื่นๆ ซึ่งจะดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไปในตัว ด้วยแรงดึงดูดที่มหาศาล จนแม้กระทั่งแสงก็ไม่อาจหนีจากมันได้ จากนั้นก็จะโดนบดขยี้แหลกเหลวด้วยแรงกดอันมหาศาล แต่ว่าเจ้าหลุมดำหรือหลุมหนอนของนาย Kerr เนี่ย มันไม่ได้ดูดกลืนอย่างเดียว แต่มันจะ "พ่น" สิ่งที่ดูดกลืน จากฟากหนึ่งของตัวมันมาออกยังอีกจุดหนึ่งด้วย หรือทำหน้าที่คล้ายๆ "ปาก" นั่นเอง ได้มีการสันนิษฐานกันว่า มันน่าจะเป็นประตูเชื่อมกันระหว่างจักรวาลกับจักรวาล เวลากับเวลาและมิติกับมิติ ซึ่งตรงกลางภายในรอยต่อเชื่อมนี้ หรือโพรงนี้อาจจะมี การบิดเบี้ยวของบรรยากาศ เกิดซึ่งเกิดจากบางสิ่ง หรือก็คือ Singularity ที่ได้กล่าวไปนั่นเอง ซึ่งตรงนี้เองอาจจะทำให้เกิดรอยต่อของมิติขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของทางออก และอาจทำให้เกิดการ วาร์ป (Warp) ผ่านจักรวาล และเวลาได้ แต่ หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นประตูมิติเวลา และ หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นสุสานของจักรวาล ?? คำถามนี้ก็ต้องรอคำตอบกันไปก่อน ส่วนถ้าคิดต่อไปอีก ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า แล้วเราจะ "ควบคุม" หลุมหรือช่วงเวลาหรือการบิดเบี้ยวของช่องมิติได้ยังไง ?? หรือจะให้ไปโผล่ยังจุดที่ต้องการได้ยังไงล่ะ ?? คำตอบน่ะเหรอครับ ก็คงต้อง"รอ" กันไปก่อน จากคุณ : แก็งสมุนไพร (BiewlovEZeeN) เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 21:38:01

ความคิดเห็นที่ 5 เจิม ว่าที่กระทู้แนะนำ จากคุณ : ble_swu เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 22:23:10

ความคิดเห็นที่ 6 อยากให้มันทำได้จังมีความเป็นไปได้อยู่ จากคุณ : เหลือเชื่อ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 23:14:22 A:223.204.158.22 X: TicketID:347082

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วทฤษฎี butterfly effect เกี่ยวกันมั๊ย เปลี่ยนอะไรนิดเดียว อาจเปลี่ยนแปลงทั้งหมด... จากคุณ : Blue Baleen เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 23:27:32

ความคิดเห็นที่ 8 จากภาพยนตร์เรื่อง  Time Machine   "เราทุกคนต่างก็มีเครื่อง  Time Machine  เป็นของตัวเอง สิ่งที่นำเรากลับไปอดีต  คือ  ความทรงจำ  สิ่งที่นำเราไปอนาคตข้างหน้า  คือ  ความฝัน" จากคุณ : Dreammaker_Toon เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 23:36:06

ความคิดเห็นที่ 9 ผมเชื่อว่าเวลาเป็นมิติขนาดแบบไม่รู้จบ ซึ่งขนานกันไปกับปัจุบันและอนาคตนะ คือเราสามารถย้อนอดีตได้ ไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตได้ โดยที่เราจะไม่มีผลกระทบกับสิ่งที่เราเปลี่ยน เพรานั้นคืออีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับมิติของเรา. เราอาจขนปรมณูไประเบิดในอดีตจนตายกันทั้งโลกแต่ตัวเราและเวลาปัจจุบันเราจะไม่มีผลเปลี่ยนแปลง คล้ายๆกับคอนเซ็ปต์ ดราก้อนบอลที่ทรังมาจากอนาคต ในอีกมิติหนึ่ง ดังอดีต จึงเป็นอีกหนึ่งมิติที่เกิดขนานไปพร้อมกับมิติเวลาเราในปัจจุบัน และเราก็ดำเนินไปพร้อมอนาคตที่มีหลายมิติต่างกันไป ดังนั้นผมเชื่อว่าเราสามารถเข้าไปในเขตแดนของมิติกาลเวลาในอีกมิติหนึ่งได้ เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่าจะใช้อะไรหรือวิธีใดเดินทางไปได้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน อีกอย่าง. ผมสงสัยว่ามนุษย์ สิ่งมีชีวิตหรือตัวเรามีความรู้สึกสัมผัสได้กับมิติกาลเวลา เหมือนประสาทสัมผัสทั้ง5 ส่วนสัมผัสนี้คือสัมผัสถึงการไหลของมิติเวลา จริงๆแล้วในมุมมองของธรรมชาติที่แท้จริง อาจจะไม่มีกาลเวลาเลยก็ได้ ในจุดที่ไม่มีทั้งมวลสสาร ไม่มีมิติspace ไม่มีแรงดึงดูดจักรวาล ตรงจุดนั้นคือจุดที่ไม่มีกาลเวลาสัมบูรณ์ คือไม่มีอะไรเลย ตรงนั่นก็จะไม่มีมิติอะไรขนานหรือซ้อนกันอยู่เลย ไม่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นการรับรู้การเวลาในมิติกาลเวลาอาจจะเป็นเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่มีประสาทสัมผัส มิติการเวลาและตอบสนองเวลาก็ได้ครับ และมิติกาลเวลาต้องมีปัจจัยคือ มวลสสาร มิติspace มิติกาลเวลาจึงน่าจะเกิดขึ้น สรุปว่า ผมก็เชื่อว่าในอนาคตอันไกล คงทำได้ในรูปเปิดมิติกาลเวลา เข้าไปในมิติจักวาลที่ซ้อนทับกับเรา โดยที่มิติเรากับเค้าเป็นจักวาลขนาน แต่เราแค่ไม่รู้เท่านั้นว่าจะไปยังไง แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 00:38:06 จากคุณ : Depth In The Ocean เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 00:25:32

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่าการย้อนเวลามีจริง แต่ ย้อนไป ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เราทำได้ เพราะช่วงเวลามันมีไม่จำกัด แตกแขนงออกไปไม่มีที่สิ้นสุด จากคุณ : joyrisus เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 00:33:44

ความคิดเห็นที่ 11 ส่วนทฤษฎี butterfly effect นั้นหมายความว่า กาลเวลาเป็นเส้นตรง แต่มีอิสระที่จะเปลี่ยนแปลง การกระจัดของห้วงเวลามีสูง ซึ่งต่างกับทฤษฎี จักวาลคู่ขนาน แบบตรงข้าม ง่ายๆคือสมมุติเราย้อนเวลากลับไปตอนสมัยยุคหิน แล้วเราแค่โยนหินก้อนนึงลงไปบนอดีต หินก้อนน้ั้นจะทำให้กระแสเวลาเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จนสุดท้ายกลับมาในเวลาปัจจุบันที่ผู้สังเกตุการณ์อยู่ โลกตอนนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะ เพราะ หินก้อนนั้นอาจจะไปทับตัวตุนที่อยู่บนพื้นตาย และตัวตุ่นตัวนั้นอาจจะเป็นอาหารของคนป่าที่กำลังจะตายเพราะขาดอาหาร ทำให้เค้ารอดชีวิตจากอดีตที่ควรจะตาย คนป่าคนนี้ก็จะไปก่อเหตุการณ์ที่คาดไม่ได้ลามไปเรื่อยๆ เมื่อดูจากเวลาที่ยาวนาน เหตุการณ์่ี่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนไปจากที่ควรเป็นไปเรื่ิอยๆ สุดท้ายอาจจะกลายเป็นว่าญี่ปุีนชนะสงครามโลกทั้งที่2 เป็นจ้าวโลกก็ได้  คำว่าบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกคือ เพียงแค่กระแสลมใต้ปีกเบาๆของผีเสื้อในอดีตสามารถเบี่ยงเบนหรือเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตได้อย่างมากมายมหาศาล ส่วนทฤษฎี อีกอันที่นิยมเอามาใช้ สร้างหนัง หรือเขียนนิยายวิทยสศาสตร์ก็คือ กาลเวลาเป็นเส้นตรงและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ การกระจัดของห้วงเวลาจะถูกพลังงานลึกลับบางอย่างบังคับ ทำให้ถึงแม้เราย้อนอดีตกลับไปแล้ว เราจะไม่สามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตได้เลย เนื่องจากทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ตัวเราเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่จะไปทำให้ประวัตติศาสตร์สมบูรณ์โดยไม่รู้ตัว คอนเซ็ปนี้ก็ได้แก่หนังเรื่อง back to the future ที่ว่าสุดท้าย อดีตจะมาบรรจบพอดีกับปัจจุบันตามที่ควรจะเป็นแต่แรก เพียงแต่ตัวพระเอกไม่รู้เท่านั้นว่าตัวเองจะต้องกลับไปในอดีตเพื่อให้ประวัติศาสตร์ถูกต้อง จากคุณ : Depth In The Ocean เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 01:01:32

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าย้อนเวลาได้จริง เราคงเห็นคนจากอนาคตมาเยี่ยม มาสอน มาบอก อะไรต่ออะไรกับเรานานมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วหล่ะ จากคุณ : สไรินนื เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 08:07:49

ความคิดเห็นที่ 13 อือออ แบบ #12 ก็ตีความแบบนั้นได้ แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าไม่เคยมีคนจากอนาคตมาถึงฝั่งเราแล้ว เพราะถ้าเป็นกรณีนี้เราจะไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์ แต่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น ผมกำล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลไปขึ้นเงิน ในเวลาปัจจุบัน แต่มีคนย้อนไปอดีตเพื่อไปตัดหน้าซื้อล็อตเตอรี่ที่ผมถืออยู่นี้แทน แน่นอน ในอดีตผมย่อมไม่รู้่ว่าล็อตเตอรี่ที่ผมจะซื้อมันจะถูก ดังนั้นเพื่อมาถึงปัจจุบัน ผมก็ย่อมไม่รู้ว่ามีคนจากอนาคตไปตัดหน้าซื้อล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลแล้วได้เงินไป เพราะผมไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์ถึงจะได้รู้ว่ามีคนมาเปลี่ยนแปลงอดีตจนส่งผลกระทบถึงปัจจุบันของผมเอง ว่าแต่นี่มัน sci-fi ไปแล้วกระมัง แฮะ แฮะ จากคุณ : Alpha13th เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 09:48:12

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่า wrom hole อาจจะเกิดใน space อยู่บ่อยๆก็ได้ เพราะในเมื่อมีการบิดเบี้ยวของแรงโน้มถ่วงอยู่เยอะแยะ มันก็อาจเกิดจุดหนึ่งที่แรงโน้มถ่วงมีค่าสูงซะจนทำให้เกิดอนุภาคที่วิ่งเร็วกว่าแสงและมีพลังงานมหาศาล แต่อาจไม่เสถียรคืออยู่แค่พิโควินาทีแล้วก็หายไป จากคุณ : ต้นสนริมน้ำ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:17:59

ความคิดเห็นที่ 15 world line ที่เราอยู่ตอนนี้เป็นโลก beta คือโลกที่ไม่มีการสร้างไทม์แมชชีน(ในอนาคตก็จะไม่ีมี) เพราะถ้ามีไทมม์แมชชีนจริงป่านนี้ต้องมีแมวหุ่นยนต์จากอนาคตมาช่วยผมแล้ว จากคุณ : นายคล้าว เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:44:20

ความคิดเห็นที่ 16 ต้องไปดู Back to the future ทั้ง 3 ภาค 555 จากคุณ : josef_joestar เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:51:03

ความคิดเห็นที่ 17 ชัค นอริส สามารถข้ามเวลา ไปอนาคต และย้อนไปยังอดีตได้ แต่ไม่ว่าเขาจะย้อนเวลาไปกี่ครั้ง เขาก็ไม่สามารถเอาชนะ บรูซ ลี ได้ จากคุณ : เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการโผ เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 12:01:15

ความคิดเห็นที่ 18 อยากให้มีมากๆเลย จากคุณ : จักรกลข้ามเวลา เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:45:54

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้าไม่ใช้เครื่องเเต่เป็นการใช้วิปัสนากรรมฐาน นี้เป็นไปได้ไหม? เคยได้ยินมาว่าพระที่ฝึกมานานฯก็ทำได้ ??? จากคุณ : dokaki (dokaki) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 15:29:29

ความคิดเห็นที่ 20 TARDIS ไม่ใช่ไอ้นี่หรอกเหรอครับ Time And Relative Dimensions In Space จากคุณ : wsteven เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 16:04:25

ความคิดเห็นที่ 21 ผมไม่เชื่อว่าเราจะย้อนเงลากลับไปในอดีตได้งก็ เพราะมันเป็นสิ่งมาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทำได้อย่างเก่งก็แค่ดูภาพในอดีต ดังเช่นที่เรา มองดูดวงดาวบนท้องฟ้า นั่นคือภาพในอดีตทั้งนั้น แต่เชื่อว่าเราเดินทางไปดูโลกในอนาคตได้ แต่เป็นแบบไปแล้วไปกลับไม่กลับมาอีก จากคุณ : จอมยุทธตะเกียบคู่ เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 01:32:55