 |
ยุทธการถล่มภูผาที โดย พล.อ.อ.วีระวุธ ลวะเปารยะ เขียนโดย โดย ท้าวโผผิน พล.อ.อ.วีระวุธ ลวะเปารยะ ยุทธการถล่มภูผาที
(LS-85)
พล.อ.อ.วีระวุธ ลวะเปารยะ
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ ได้เริ่มแผ่ขยายเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียในประเทศลาวตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 ผลกระทบสู่ประเทศไทยก็คือ จะต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ นั่นหมายถึง สถาบันอันเป็นที่เคารพของชาวไทยมานับพันปี คือ ชาติ พุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ จะต้องถูกล้มล้างเหมือนประเทศรัสเซีย ประเทศจีน ประเทศเวียตนาม และกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ระหว่างลาวแดง ผู้ฝักใฝ่ในลักทธิคอมมิวนิสต์ และลาวขาวผู้รักประชาธิปไตย นี่คือ ต้นกำเนิดของนักรบนิรนาม ทั้งภาคพื้นดินและภาคอากาศของชาติไทยที่อาสาเข้าร่วมรบเพื่อผลักดัน มิให้ลัทธิมหาภัยนั้นเข้ามาในแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของเราได้
ภูผาที เป็นยอดเขาสูงประมาณ 8,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ บ้านนาคับ ห่างจากแนวถนนยุทธศาสตร์สาย 13 เวียตนามเหนือ-เวียตนามใต้ ซึ่งเป็นถนนสายหลักในการลำเลียงยุทโธปกรณ์ของคอมมิวนิสต์ และมีถนนแยกเข้าสู่ลาวเพื่อลำเลียงยุทโธปกรณ์ ตั้งสถานีเรดาห์ ปืนต่อสู้อากาศยาน ปืนใหญ่ไว้บนยอดเขาภูผาทีนี้ ซึ่งรับการสนับสนุนจากรัสเซีย
พวกเราได้รับการบรรยายสรุปในห้องยุทธการ AOC (Air Operation Center) ที่ฐานบินเวียงจันทน์ ตั้งอยู่ปลายสนามบินวัดไตร คือ สนามบินเวียงจันทน์นั่นเอง หน่วยบินหิ่งห้อย Fire Fly ฟังดูน่ารัก แมลงตัวน้อยๆ เวลาบินกลางคืนจะมีแสงแว็บๆ แต่เวลากลางวันจะมีนามเรียกขานว่า พญาอินทรีย์ Eagle ซึ่งเหี้ยมโหดและดุร้าย สรุปว่าหน่วยบิน Fire Fly จะต้องทำลายสถานีเรดาห์และฐานปืนบนยอดเขาภูผาทีให้ราบเป็นหน้ากลองไม่ว่าจะกี่เที่ยวบิน
ณ เวลานั้น น.ต.วรนาถ อภิวารี (ท้าวเฉนียน) เป็นหัวหน้าหน่วยบินหิ่งห้อยผู้เขียนเป็นนักบินประจำหน่วยรุ่นที่ 9 ชุดที่ 1 ร.ท.วีระวุธ ลวะเปารยะ (ท้าวโผผิน) รับภารกิจโจมตีทางอากาศระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน ? 19 ธันวาคม พ.ศ.2511
ยุทธการถล่มภูผาทีจึงเปิดฉากตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2511 เป็นต้นไป หัวหน้าเฉนียน ได้กำหนดเส้นทางบิน ระยะสูง ยุทธวิธี จุดเช็คพอยท์ สนามบินสำรอง ฯลฯ ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ เป็นฤดูฝน สภาพอากาศเหนือเป้าหมายมีเมฆมาก บางแห่งก่อตัวสูงเป็นธันเดอร์สตอร์ม (Thunder Storm) หลายลูก ขวางเส้นทางบินบ้าง อยู่ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง บางวันเมฆปิดยอดเขาหมด กว่าจะยกตัวก็สายมากประมาณ 08.00-09.00 น. จึงจะวิ่งขึ้นไปทำงานได้ บางวันไปไม่ถึงที่หมาย เพราะเมฆปิดเส้นทางต้องกลับมาปลดระเบิดทิ้งทั้งหมด ที่พื้นที่ปลดอาวุธ เป็นป่าทึบมากอยู่หลังภูเขาควาย จึงต้องตกลงกับฝ่ายอเมริกาว่า สภาพอากาศเช่นไร จึงจะให้เครื่องบินไปทำงาน เพราะเกิดความสูญเสียมาแล้ว คือ ชนภูเขาทั้งหมู่บิน เป็น Vertigo หลงฟ้าบ้าง
แต่ความจำเป็นทางยุทธการที่ต้องรีบทำลายสถานีเรดาห์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นบางวันที่สภาพอากาศดี เราจึงต้องทำสองเที่ยวบิน เส้นทางบินไกลมาก จากสนามบินเวียงจันทน์ไปภูผาทีใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมงสิบนาที ทำการโจมตีสิบห้านาทีและบินกลับหนึ่งชั่วโมง รวมเวลาบินสองชั่วโมงยี่สิบห้านาที หมายถึงว่าเชื้อเพลิงในเครื่องบินจะหมดเกลี้ยงในเวลาบินสองชั่วโมงห้าสิบนาที พวกเราจึงต้องบินด้วยความระมัดระวังประหยัดเชื้อเพลิงอย่างยิ่ง และไม่ให้เสียเวลาในการรอการทำงานของหมู่บินข้างหน้า ดังนั้นการวิ่งขึ้นจึงทิ้งระยะห่างหมู่ละสิบห้านาที อาวุธที่บรรทุกไป ไม่ว่าจะเป็นระเบิดขนาด 250 ปอนด์ ระเบิดไว้ท์ฟอสฟอรัส น้ำหนักลูกละ 125 ปอนด์ จรวดขนาด 7 นัดต่อกระเปาะ ไว้ยิงเข้าไปในช่องปืนใหญ่ใต้บังเกอร์บนยอดเขา ซึ่งตั้งอยู่รอบสถานีเรดาห์
พวกเราต้องไต่หาระยะสูงขึ้นถึง 12,000 ฟิต เพื่อทำการทิ้งระเบิดมุมสูงที่แม่นยำต่อกาคารสถานีเรดาห์ มองดูคล้ายตู้คอนเทนเนอร์หลายตู้ตั้งอยู่ใกล้ๆ จานเรดาห์ แต่ละหมู่บิน Eagle Red Eagle White Eagle Blue และ Eagle Green จะบรรทุกอาวุธไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่าจะโจมตีเป้าหมายอะไร บางหมู่บินบรรทุกจรวด 7 นัด 4 กระเปาะ เพื่อยิงเข้าไปในช่องปืนใหญ่ใต้บังเกอร์ ซึ่งทำด้วยต้นซุงทั้งต้นเป็นหลังคาบังเกอร์ ภารกิจนี้จะสนุกและมันมาก เพราะท้าทายความแม่นยำของการยิงจรวด และต้องเสี่ยงกับปืนต่อสู้อากาศยาน ซึ่งยิงสวนมาแลกหมัดกัน ?ต่างคนต่างหยิบยื่นความตายให้แก่กันและกัน แล้วแต่ใครจะได้รับก่อนกัน? มีเที่ยวบินหนึ่งของผม หลังจากโจมตีสถานีเรดาห์บนยอดเขาภูผาทีแล้ว ก็บินกลับเวียงจันทน์ เที่ยวบินนี้เสียเวลาในการเดินทาง เพราะต้องหลบเมฆใหญ่ๆ เมื่อออกจากเป้าหมาย ผมบินเป็นหมายเลข 3 ตรวจดูน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วเหลือไม่ถึงครึ่งถัง แสดงว่าผมคงน้ำมันหมดก่อนถึงเวียงจันทน์แน่ จึงรายงานหัวหน้าหมู่บิน Eagle White ว่า เชื้อเพลิงเหลือน้อย หัวหน้าหมู่บินตอบว่า เช็คพอยท์สุดท้ายที่จุดโล่งแจ้ง ถ้าไม่พอแน่ ก็ให้ลงเติมเชื้อเพลิงที่สนามบินโล่งแจ้ง ผมก็ตอบว่าตกลง เมื่อบินมาถึงสนามบินโล่งแจ้งที่ปลายปีกซ้าย ไฟเหลืองแสดงว่าน้ำมันเหลือน้อย ก็กระพริบแว็บๆ ห่างๆ ผมก็รายงานหัวหน้าหมู่ว่าไฟเตือน Low fuel แสดงแล้ว หัวหน้าหมู่ก็ให้ผมแยกตัวไปลงที่สนามบินโล่งแจ้งได้ เพื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิง แล้วให้บินกลับไปเวียงจันทน์ ผมตอบตกลง หัวหน้าหมู่เปลี่ยนวิทยุไปติดต่อหอบังคับการบินโล่งแจ้งว่า จะมี T-28 ลงฉุกเฉิน ผมแยกหมู่เลี้ยงซ้ายเข้าหาสนามบินโล่งแจ้ง ซึ่งห่างประมาณ 20 น๊อตติคอลไมล์ เปลี่ยนคลื่นวิทยุ ติดต่อกลับหอบังคับการบินขอลงฉุกเฉิน เพราะเชื้อเพลิงน้อย ผมรายงานตำแหน่งที่อยู่ทั้งทิศทาง ระยะทาง และเวลาโดยประมาณจะถึงสนามบินโล่งแจ้ง หอบังคับการบินรับทราบและประกาศฉุกเฉิน ให้ทางภาคพื้นเตรียมรถดับเพลิง รถพยาบาลมารอพร้อมข้างสนามคอยชั่วเหลือ พวกนักบินทุกคนศึกษาสนามบินแล้วว่า เป็นอย่างไร ทางวิ่งสนามบินโล่งแจ้งมีหน้าผาอยู่ปลายทางวิ่ง ถ้าเบรกไม่อยู่ เพราะลงด้วยความเร็วสูงก็จะชนหน้าผา ดังนั้นต้องอาศัยฝีมือพอสมควร ผมไม่เคยมาลงที่นี่เลย แต่ต้องลงเพราะถูกบังคับด้วยไฟเหลืองกระพริบถี่ขึ้นๆ นั่นเอง เมื่อตรวจครั้งสุดท้ายก่อนลงสนาม เช่น การล้อแล้ว เปิดแฟลบแล้ว ความเร็วพอดี ลำบากนิดหนึ่ง ต้องหิ้วตัวให้ข้ามเนินเล็กๆ ปลายสนามก่อนถึงจุดแปะ จะมีลมกรรโชกแรงบ้าง มองเห็นซากเครื่องบิน 0-1 พังอยู่ 1 ลำ ที่ผมร่อนผ่านไป เข้าสู้สุดแปะ ผมบังคับ T-28 คู่ใจลงได้เรียบร้อยสุดสนามเป็นหน้าผาสูง ด้านขวามือเป็นลานจอด เจ้าหน้าที่ภาคพื้นเรียกเข้าจอด บนลานด้านขวามือ ซึ่งมีเครื่องบินหลายแบบจอดอยู่ เช่น T-28, 0-1, C-46 เฮลิคอปเตอร์ของแอร์อเมริกา เจ้าหน้าที่ทหารไทยและลาวขับรถจี๊บมารับผมไปทานข้าวกลางวันบนกองบังคับการของนายพลวังเปา ทหารแม้ว ลาว ไทย ทำงานร่วมกัน ตั้งอยู่บนเนิน มองลงไปจะเห็นสนามบินโล่งแจ้งชัดเจน บรรยากาศเย็นสบาย มีลมพัดผ่าน มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ริมชาน มีอาหารเตรียมรอไว้รับประทานร่วมกันกับทหารลาว แม้ว ไทย ผมจำชื่อไม่ได้เพราะมีเวลาคุยกันสั้น ทั้งภาษาไทยและภาษาลาว นายพลวังเปาออกมาจากห้องยุทธการแวะเข้ามาทักทายผม ได้จับมือกัน และขอให้ผมโชคดีแล้วพาคณะออกไปตรวจพื้นที่ ผมโชคดีที่ได้พบผู้นำเผ่าม้งซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ทางภาคพื้นดินของลาว วิทยุมาจากลานจอดว่า เติมเชื้อเพลิงให้เรียบร้อยแล้ว
เวลานั้นประมาณบ่ายโมง ผมเดินลงมาจาก บก.พร้อมกับทหารไทย และลาว ไปขึ้นรถจี๊ปไปลานจอดเครื่องบิน ระหว่างทางข้างๆ มีคนนั่งขายของซึ่งเป็นตลาดรวม ผมเห็นลาวม้งนั่งขายฝิ่นใส่กระป๋องบุหรี่การิคเต็มกระป๋อง เป็นสีเหนียวๆ เหมือนยางมะตอย กระป๋องละ 500 บาท ปืนพกออร์โตเมติกขนาด 11 มม. (US ARMY) วางขายกับพื้นดินหลายกระบอก ราคากระบอกละ 1,000 บาท บางแผงมีบุหรี่ เหล้ายี่ห้อดีๆ มากมาย ราคาถูกมาก เด็กหนุ่มลาว หรือม้งไม่ทราบ อายุราว 14-15 ปี แต่งชุดทหารสีเขียว ขาขาดหนึ่งข้างต้องเดินใช้ไม้ค้ำรักแร้หลายคน แต่ยังสะพายปืนกลคาร์บินพร้อมรบเสมอ รถจี๊บพาผมผ่านตลาดรวมเข้าสู่สนามบิน ข้างๆ ถนนเข้าทางวิ่ง (RUNWAY) มีหลุมใหญ่หลายหลุม ขุดเรียงกัน ลึกประมาณ 3 เมตรเศษ กว้างยาว 3 x 4 เมตรเศษ ปากหลุมมีไม้ไผ่บาดเอาสังกะสีวาง และทับด้วยก้อนหินใหญ่พอประมาณ ไว้ป้องกันสังกะสีปลิว ทหารไทยที่ขับรถจี๊บบอกว่า นี่เขาเรียกว่า ?ขุม? ไว้ขังนักโทษ ผมอยากดูและขอให้จอดรถลงไปเปิดสังกะสีดุ มองลงไปในหลุม มีนักโทษอยู่ 1 คน ยืนพิงข้างผนังขุม พื้นดินเปียกแฉะเป็นโคลน มองดูลื่นมาก นักโทษนุ่งผ้าเตี่ยว เสื้อผาขาดวิ่น ต้อง นั่ง นอน กิน ถ่าย อยู่ในขุมนี้ จนกว่าจะได้รับคำตัดสิน ปล่อยหรือประหาร เพราะเป็นเวียตกง หรือลาวแดงที่จับได้ในสนามรบ ผมกลับขึ้นรถด้วยใจหดหู่ นึกถึงตัวเองว่าถ้าเครื่องบินผมถูกยิงต้องโดดร่มและถูกจับได้ ?ขุม? คงรออยู่เช่นกัน ซึ่งผมตั้งใจไว้แล้วว่า ก่อนจะถูกจับ ผมจะเหลือกระสุนปืนพกรีวอลเวอร์ประจำกายไว้ยิงตัวตาย 1 นัดแน่นอน
พอถึงลานจอดซึ่งเครื่องบิน T-28 ของผมได้รับการบริการเชื้อเพลิงหล่อลื่นอย่างดี มีเจ้าหน้าที่รอบริการพร้อม ผมหันไปดูเครื่อง C-46 คล้ายเครื่อง DAKOTA ของไทย จอดอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร กำลังทำหน้าที่ส่งกำลังบำรุงไปยัง Site ต่างๆ บนยอดเขาที่ตั้งของฝ่ายเราเอง (ลาวขาว) มีคนจูงควาย 3-4 ตัวไปที่เครื่องบิน ซึ่งเปิดประตูข้างแบบกว้างรอไว้ พอควายเข้ามาถึงก็เอาปืนยิงหัวล้มลงตรงนั้นเลย เอารถยกโฟลคลิฟต์ (Folk Lift) แซะและยกใส่เครื่องบินช่วยกันดันตามรอลเลอร์ (Roller) เข้าไปด้านในควายตัวถัดมาก็ถูกลากเข้าที่ประหารและส่งขึ้นไปบน C-46 จนหมดทั้ง 4 ตัว นี่เป็นการส่งกำลังบำรุงทางอากาศ เมื่อถึงที่หมายเครื่องบินก็จะเอียง และปล่อยความทั้งตัวลงไปให้ทหารข้างล่างชำแหละกันเอง บางเที่ยวก็ส่งข้าวสารใส่กระสอบแบบหลวมๆ กันแตกทิ้งลงไปให้ บางแห่งขาดน้ำดื่มก็ส่งน้ำแข็งเป็นก้อนใหญ่ๆ ลงไปให้รอดตายไปก่อนเช่นเดียวกัน
ผมหันกลับมา ล่ำลาผู้มาส่ง ขอบคุณผู้ให้บริการเครื่องบินคู่ใจของผม แล้วก็ก้าวขึ้นเครื่องแต่งตัว ติดเครื่องยนต์ ติดต่อหอบังคับการบิน โบกมืออำลาอีกครั้ง เคลื่อนตัวไปตั้งลำที่ปลายสนามด้านหน้าผา ตรวจดูความพร้อมของเครื่องบิน แล้วบอกหอบังคับการบินโล่งแจ้งว่า Eagle White 3 พร้อม วิ่งขึ้นแล้ว ผมดูนาฬิกาบ่ายสองโมงสิงห้านาที ผมจากโล่งแจ้งมาด้วยหัวใจที่มืดตื้อ ไม่สมชื่อโล่งแจ้งเลย นี่แหละสงครามที่โหดร้าย สังเวยด้วยชีวิตมนุษย์และสรรพสัตว์ ผมบิดสวิตซ์วิทยุไปฟัง Eagle อื่น ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ได้ยินเสียงการติดต่อว่าจบภารกิจเที่ยวที่ 2 ในการโจมตีถล่มภูผาที กำลังตามหลังผมมาลงที่เวียงจันทน์ เป็นอันว่าวันนี้ผมไปทำงานเพียงเที่ยวเดียว แต่ได้พบ ได้เห็น ได้คิดว่า ถ้าประเทศไทยต้องตกในสภาพนั้น สถาบันทั้งสาม อันเป็นที่รักของเราจะเป็นอย่างไร ผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ถูกต้องแล้ว ผมมีกำลังใจในการรบขึ้นมาอีกมาก Eagle ทั้งหลายปฏิบัติการถล่มภูผาทีต่อจนตลอดเดือนกรกฎาคม รวมทั้งสิ้นกว่า 20 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 12 เครื่อง (T-28) รวม 240 เที่ยวบิน น้ำหนักอาวุธที่ใช้ไปประมาณ 200 ตัน ผลของการโจมตีภูผาที ก็มียอดเขาที่เรียบเหมือนหน้ากลองจริงๆ
ปัจจุบันนี้ ผมภูมิใจที่ประเทศไทยรอดพ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ รักษาพระพุทธศาสนาคู่ไทยต่อไปได้มาถึงปัจจุบันนี้ และจะไม่ยอมให้ลัทธิ หรือศาสนาใดมาล่วงเกินประเทศชาติของผมอีก ขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันเช่นกันกับอดีตที่ผ่านมา
ท้าวโผผิน
พล.อ.อ.วีระวุธ ลวะเปารยะ
เอามาจาก http://www.uwa333.com สมาคมนักรบนิรนาม333
จากคุณ |
:
พัด
|
เขียนเมื่อ |
:
วันฉัตรมงคล 55 10:41:16
A:124.121.152.184 X: TicketID:343763
|
|
|
|
 |