 |
จาก http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv05140153§ionid=0203&day=2010-01-14
วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4175 ประชาชาติธุรกิจ
ทดลองตลาดปลาหยกได้ผล "CP"เปิดเมนูสุขภาพจานใหม่
ซีพีเอฟเตรียมเปิดตัว "ปลาหยก" เมนูอาหารสุขภาพจานใหม่ พร้อมปลุกกระแสเลี้ยงกุ้งกุลาดำรอบใหม่ทั่วไทยหลังประสบความสำเร็จเพาะพันธุ์กุ้งกุลาดำปลอดโรคถึงระดับ F5 แล้ว
น.สพ.สุจินต์ ธรรมศาสตร์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สายงานวิจัย และพัฒนาพันธุ์สัตว์และเทคโนโลยีการ เลี้ยงสัตว์น้ำ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ภายหลังจากที่ CPF ได้ทดลองตลาด "ปลาหยก" ซึ่งเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจตัวใหม่มาได้ระยะหนึ่ง ปรากฏว่าปลาหยกกลายเป็น เมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในภัตตาคารอาหารจีนทั่วไป
เนื่องจากปลาหยกมีลักษณะเด่น เป็นปลาน้ำจืด เนื้อขาวนุ่มละเอียด หนังบาง มีปริมาณเนื้อมาก มีชั้นไขมันแทรกพอประมาณ ที่สำคัญมีปริมาณโอเมก้า 3 สูงมากกว่าปลา salmon ทำให้ปลาหยกมีคุณประโยชน์ทางโภชนาการสูง สามารถผลิตเป็นอาหารนึ่งและทอด เพื่อบำรุงสุขภาพสำหรับผู้บริโภคทุกวัยที่ห่วงใยสุขภาพได้หลากหลายเมนู
ความจริงปลาหยกเป็นปลาน้ำจืดตามธรรมชาติที่มีต้นกำเนิดจากทวีปแอฟริกาที่ CPF เห็นว่ามีรสชาติคล้ายเนื้อปลาเก๋า จึงได้นำเข้าพ่อแม่พันธุ์ปลาหยกเข้ามาเพาะเลี้ยงในไทยตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน ปัจจุบันมีฟาร์มทดลองเพาะเลี้ยงปลาหยกอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากปลาหยกต้องอาศัยระยะเวลาเพาะเลี้ยงนานถึง 1 ปีก่อนจะจับปลาขึ้นจำหน่ายในน้ำหนักเฉลี่ย 650-1,000 กรัม/ตัว จึงมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดในปริมาณจำกัดเพียงเดือนละ 1,000-2,000 ตัว โดยมีราคาจำหน่ายค่อนข้างสูงเฉลี่ย ก.ก.ละ 500 บาท
น.สพ.สุจินต์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2553 ทาง CPF จะเร่งขยายปริมาณพ่อแม่พันธุ์ปลาหยกเพิ่มขึ้นเป็น 50,000-80,000 ตัว หากเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้คาดว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะมีปริมาณพ่อแม่พันธุ์ปลาเพียงพอสำหรับจำหน่ายให้แก่เกษตรกรเพาะเลี้ยงในบ่อดินได้ทั่วประเทศ เมื่อมีผลผลิตเข้าสู่ตลาดแมสมากขึ้นในอนาคตปลาหยกจะมีราคาจำหน่าย ถูกลงในอัตราเฉลี่ยร้อยกว่าบาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
ปัจจุบันสินค้าปลาน้ำจืดโดยเฉพาะปลาเนื้อขาวกำลังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคทั่วโลก ดังนั้นปลาหยกจึงเป็นสินค้าเศรษฐกิจตัวใหม่ที่มีอนาคตสดใสมาก เพราะปลาหยกเป็นสินค้าคุณภาพดีและมีรูปแบบมาตรฐานการเลี้ยงที่ควบคุมป้องกันโรคทุกขั้นตอน ปราศจากยาปฏิชีวนะ
จึงไม่มีปัญหาสารเคมีตกค้างที่สำคัญประเทศไทยยังมีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับขยายการเลี้ยงได้อีกมาก นอกจากนี้ น.สพ.สุจินต์ยอมรับว่า ขณะนี้ CPF ได้หยุดการผลิตปลามรกตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากพบว่าไม่สามารถแข่งขันราคา กับสินค้าปลาเนื้อขาวของเวียดนามที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าได้
น.สพ.สุจินต์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ภายหลังจากวงการเลี้ยงกุ้งของไทยประสบปัญหาขาดแคลนพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำจนเลิกเลี้ยงกุ้งกุลาดำทั่วประเทศแล้ว ล่าสุด CPF ประสบความสำเร็จในการพัฒนาพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำปลอดโรคจนถึงระดับ F5 ได้แล้ว
โดย CPF วางแผนแนะนำพันธุ์กุ้งกุลาดำปลอดโรคเข้าสู่ตลาดภายในปี 2553 นี้ คาดว่าจะเป็นที่ยอมรับของวงการเลี้ยงกุ้ง ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะกุ้งกุลาดำปลอดโรคของ CPF มีลักษณะเด่นในเรื่องปลอดโรค เลี้ยงง่าย โตไว กุ้งน้ำหนัก 40 กรัม ขนาด 25 ตัว/ก.ก. ใช้ระยะเวลาเลี้ยงสั้นลงเพียง 120 วัน/รอบ เมื่อเทียบกับกุ้งกุลาดำทั่วไปที่มีขนาดเดียวกันต้องใช้ระยะเวลานานถึง 170 วัน/รอบ
จากคุณ |
:
JD300
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.ย. 55 09:31:38
|
|
|
|
 |