ออร่า...มหัศจรรย์แห่งกายแสงมนุษย์


    ความหมายของสีออร่า


    ในโลกาใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเองเป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …หากท่านได้เห็นสิ่งมีชีวิตเรืองแสงเหล่านี้ ท่านคงจะไม่นึกตระหนกตกใจอะไรมาก นอกจากบางทีอาจจะทึ่งในความพิศดารที่ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นขึ้นมา…แต่ถ้าท่านบังเอิญเดินไปในที่เปลี่ยวยามรำคืนและท่านไปพบกับคนที่มีแสงเรืองในตัวเองเข้าบ้างล่ะ…ท่านจะนึกอย่างไร?……….สำหรับผมน่ะรึครับ….แฮะ ๆ ……นึกได้แค่ 4 คำ เท่านั้น คือ “ตัวใครตัวมัน” ……..

    ก็นี่ซิครับ เรื่องที่กระผมขอนำมาเล่าแบ่งกันฟัง เขาว่ามันมีอยู่จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเบิกเนตร ถ้าเราฟังและรับรู้เอาไว้ เผื่อวันดีคืนดีบังเอิญไปเจอเข้ากับตัวเองจะได้ไม่เนตรเบิกวิ่งป่าราบ เพราะ “มนุษย์เรืองแสง” นั้นไม่ใช่ผีปีศาจ แต่เป็นปรากฎการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งเท่านั้น ……ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ปาฏิหาริย์ หรือเรื่องโม้ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายคนได้เคยพบเห็นและยอมรับว่ามีจริง ต่างบันทึกบอกเล่ากันเอาไว้แล้วทั้งนั้น มีอยู่หลายสิบราย และเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่หายากเสียด้วย………..

    จากหนังสือสารานุกรมการแพทย์ชื่อ Anomalies and Curiosities of Medicine มีบันทึกอยู่หลายสิบหน้ากล่าวถึงเรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเองซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่า …..ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้ แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง ต่อมาปรากฎการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ ……..

    บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์ ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและปรากฎการณือัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า ….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาลที่กำลังพยายามให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงินออกมารอบตัววูบวาบไปหมด เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย…….

    บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า ….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวมของโรงพยาบาลแห่งนั้นบริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฎแสงเรืองออกมาเป็นแสงสีน้ำเงิน เล่นเอาคนไข้อื่น ๆ บนเตียงข้าง ๆ ที่เห็นเข้าพอดีต่างเผ่นลงจากเตียนแทบไม่ทัน ร้องแรกแหกกระเชอวุ่นวายไปหมดบรรดาแพทย์เวรและพยาบาลต่างวิ่งมาดู และต่างก็ยืนตะลึงมองกันตาปริบ ๆ แพทย์ใหญ่สั่งให้ถ่ายรูปเอาไว้และเข้าไปตรวจสอบร่างกายด้วยตนเอง แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่นแสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป…แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย…..บันทึกได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถันอยู่ในเลือดสูงผิดปกติ…..แสงเรืองประหลาดจะปรากฎขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษาตรวจดูปรากฎการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับสารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้…..บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถัในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นในอะตอมกำมะถันและสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง…….แต่ำคอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้นไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมแสงเรืองจึงเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโรนอนหลับเท่านั้น?……..

    บาทาเรืองแสง

    เป็นเรื่องของมนุษย์เรืองแสงที่ไม่ใช่คนป่วย คนเจ็บ คนไข้ หรือใกล้จะตายแต่เกิดขึ้นกับคนธรรมดา ๆ ปกติที่ร่างกายแข็งแรงก็มีเช่นกัน จากบันทึกในประวัติศาสตร์รายแรกเห็นจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เดือนกันยายน พ.ศ. 2412 มีรายงานปรากฏอยู่ในหนังสือแม็คคานิคของอังกฤษชื่อ English Mechanic ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. 2412 ปรากฏเรื่องราวประหลาดกล่าวไว้ว่า …..หญิงอเมริกันคนหนึ่งขณะเตรียมตัวเข้านอนในคืนวันที่ 24 เดือนกันยายน ปีพ.ศ. 2412 พอปิดไฟล้มตัวลงนอนสายตาก็มองไปที่ปลายเท้าพบกับความประหลาดใจ เพราะนิ้วนางข้างขวาของเธอปรากฏมีแสงเรืองสว่างขาวอมน้ำเงินฟ้าชอบกล….ตอนแรกคิดว่าตัวเองตาผาดแต่พอก้มลงพิจารณาดูอย่างใกล้ชิดก็พบว่าตามิได้ผาด นิ้วเท้านั้นมันเรืองแสงได้จริง…..เธอมิได้ตกใจแต่ประการใด เพราะคิดว่าคงไปเหยียบหรือเปื้อนอะไรมาเลยเอามือถูที่นิ้วนั้นเพื่อจะเช็ดออก แต่กลับพบว่ายิ่งถูเท่าไร แสงเรืองก็ยิ่งเพิ่มความสว่างเรืองมากยิ่งขึ้น และกลับมีการเรืองแสงแผ่กระจายออกไปเป็นบริเวณกว้างกว่าเดิม…เธอเริ่มรู้สึกประหลาดใจในเวลาต่อมาเมื่อพบว่าแสงเรืองแผ่ขยายขึ้นมาตามหลังเท้าและเรืองเป็นจ้ำ ๆ คล้ายรองฟกช้ำ แต่เรืองแสงได้…คราวนี้ชักจะตกใจนิดหน่อย เพราะเข้าใจแล้วว่าตัวเองมิได้ไปเหยียบหรือเปื้อนอะไรมาหากแต่ว่ามันเป็นแสงเรืองที่เกิดขึ้นภายในเนื้อจากใต้ผิวหนังนั่นเอง…..แต่ก็ยังไม่เชื่อในความคิดของตัวเธอจึงไปล้างเท้าด้วยน้ำและฟอกสบู่ ถูเท้าบริเวณที่เรืองแสง และแช่น้ำอยู่อีกนาน แล้วเอาแอลกอฮอล์เช็ด…..ทว่าแสงเรืองนั้นก็มิได้หมดไปยิ่งถูกบีบเค้นเท่าไรกลับยิ่งทำให้มันแผ่ขยายและเรืองแสงเพิ่มมากขึ้นไปอีก…สุดท้ายเธอพบว่าที่ข้างขวางไล่มาจนถึงข้อเท้าเกิดเรืองแสงสว่างอย่างน่ากลัวไปทั้งเท้า….สามีและลูกของนางต่างพากันช่วยคิดแก้ปัญหา ด้วยความแปลกประหลาดใจและงุนงงไปตามกันไม่รู้จะทำประการใด….แต่ต่อมาอีกหลายชั่วโมงหลังจากที่ตัดสินใจโทรศัพท์พบหมอ แสงเรืองประหลาดก็ค่อย ๆ หายไป เมื่อไปพบหมอก็เกือบจะจางหายมองไม่เห็นอยู่แล้ว……หมอตรวจดูด้วยความประหลาดใจและงุนงงพอ ๆ กันคนอื่นไม่มีอาการปวด เจ็บ หรือผิดปกติใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่มาให้ดูว่า “บาทาเรืองแสง” ได้ก็เท่านั้น ……….

    การเรืองแสงทางชีวะ

    ก็นี่แหละครับ ถ้ามนุษย์เกิดมีแสงขึ้นมาได้มันก็ปรากฏการณ์อัศจรรย์แปลกประหลาดอักโขอยู่ แต่สำหรับสัตว์บางชนิดหรือพวกเห็ดราแล้วละก็ นักชีวะเขารู้แน่ว่าสาเหตุมันเนื่องมาจากอะไร พวกหนอนกระสือหรือเจ้าตัวที่เด็ก ๆ เรียกว่า “ทิ้งถ่วง” หรือหิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีแสงเรืองได้โดยธรรมชาติ และก็เป็นของธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ คงเคยเห็นกันมาแล้ว แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น ……….แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาดและถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้ ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ……ปฏิกริยาทางชีวเคมี หรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่…..หรืออีกทีหนึ่งคงต้องมองกันในแง่จิตในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางกายภาพเลยก็ได้

     
     

    จากคุณ : Runar_run - [ 12 ต.ค. 46 17:34:07 ]