สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ บทที่ 2 สามร้อยปีให้หลัง พลันพานพบอีกครั้ง
|
|
บทที่ 2
สามร้อยปีให้หลัง พลันพานพบอีกครั้ง
กระต๊อบหลังน้อยที่พี่สี่ช่วยสร้างยืนโยกเยกไปมาอยู่ริมสระมรกต
เวลามาขลุกที่บ้านของเจ๋อเหยียน ข้ามักจะพักอยู่ที่นี่เพียงลำพังเสมอ
ตอนที่ไปจากป่าท้อเมื่อครั้งก่อน กระต๊อบหลังนี้ก็ทรุดโทรมใกล้จะพังเต็มที มาบัดนี้หลังจากที่ตากแดดตากลมตากฝนมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี มันกลับยังคงสามารถตั้งตระหง่านอยู่ได้ ทำให้ข้านึกปลาบปลื้มชื่นชมเป็นที่ยิ่ง
ล้วงไข่มุกประกายราตรีออกมาลูกหนึ่งส่องดูไปรอบๆ เจ๋อเหยียนรอบคอบนัก ในกระต๊อบน้อยมีครบหมดทั้งที่นอนหมอนผ้าห่ม ข้าพอใจอย่างมาก
ข้างประตูมีเหล่ยหิน(๑) ตั้งยืนอยู่เล่มหนึ่ง ก็คือเหล่ยที่เมื่อก่อนข้าเคยใช้ขุดดินปลูกกล้าต้นท้อนั่นเอง ตอนนี้ได้เอามันมาใช้ขุดสุราดอกท้อเมาสองกานั่นพอดีเทียว
<>::<>::<>
ยากนักที่คืนนี้ดวงจันทร์บนสวรรค์ชั้นเก้าบังเอิญเต็มดวง ต้นตู้เหิงที่เจ๋อเหยียนบอกต้นนั้นหาได้ง่ายมาก
ข้าเล็งเหล่ยหินไปที่พื้นดินตรงโคนต้นตู้เหิง แล้วสับลงไปเต็มแรง โชคดีเอาการ เพียงแวบเดียวก็เห็นกาสุราหยกตงหลิ่ง(๒) โผล่ผ่านดินที่ร่วนอ่อนตัวขึ้นมา สาดสะท้อนสู่ใบตู้เหิงไม่กี่ใบ แผ่เป็นรัศมีสีเขียวเรืองรอง
ข้ารีบตะกุยดินเอามันออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความดีอกดีใจ แล้วอุ้มมันกระโดดลอยตัวขึ้นไปบนหลังคา กระต๊อบน้อยโยกไหวไปมาอยู่ 2-3 ครั้ง ในที่สุดก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่ล้มลง
บนหลังคาลมราตรีเย็นยะเยือก ข้าตัวสั่นสะท้าน มะงุมมะงาหราแกะที่อุดปิดตายพวยกา และตบดินที่ปิดด้านบนของกาออก ชั่วพริบตานั้น กลิ่นหอมของสุราได้ฟุ้งตลบไปทั่วทั้งป่าท้อสิบหลี่ทันที
ข้าหลับตาสูดหายใจลึกๆ ยิ่งนึกนับถือฝีมือบ่มเหล้าอันสุดเลิศล้ำของเจ๋อเหยียนมากขึ้นไปอีก
<>::<>::<>
ในชีวิตข้าไม่ได้ทำเรื่องเจ้าสำราญมาสักกี่เรื่อง การดื่มเหล้าถือเป็นหนึ่งในนั้น และเรื่องดื่มเหล้านี่ มันต้องพิถีพิถันเรื่องกาละฟ้า ชัยภูมิ มนุษย์ประสาน
คืนนี้จันทร์กระจ่างทางช้างเผือก ก็คือ กาละฟ้า ป่าท้อสิบหลี่แห่งทะเลบูรพา ก็คือ ชัยภูมิ บนหลังคากระต๊อบมุงหญ้านอกจากข้าคนเดียวแล้ว ยังมีอีกาเกาะอยู่อีก 2-3 ตัว พอจะฝืนใจนับว่าเป็น มนุษย์ประสาน ได้
ข้าจ่อปากกับพวยกา ดูดเต็มแรงไปหลายอึก หลังจากทำปากจั๊บๆ ดูดลิ้นจนทั่ว ก็รู้สึกอยู่เล็กน้อยว่า สุราดอกท้อเมาในกาหยกตงหลิ่งใบนี้ รสชาติออกจะแปลกไปจากที่ข้าเคยดื่มมาเมื่อก่อนอยู่เล็กน้อย แต่คิดอีกทีอาจจะเป็นเพราะข้าไม่ได้ดื่มเหล้าที่เจ๋อเหยียนบ่มมานานมากแล้ว ทำให้จำรสชาติได้ไม่ค่อยแน่ชัดก็เป็นได้ จึงตัดสินใจช่างมัน
ดื่มลงไปติดต่อกันคำแล้วคำเล่า แม้จะไม่มีกับแกล้ม แต่มีจันทร์เย็นเยียบสระมรกตให้ทอดทัศนา มันก็ค่าเท่ากันนั่นแหละ
เพียงไม่นาน ก็ดื่มลงไปได้ครึ่งกา ครั้นลมพัดมา อาการเมากรึ่มแผ่ซ่าน จึงออกจะเกิดอาการมึนงงตาลายอยู่เล็กน้อย
ม่านราตรีสีดำโปร่งใสเหมือนดั่งปกคลุมด้วยผืนม่านสีชมพูอยู่หนึ่งชั้น ข้างในกายเองก็เหมือนกับมีเปลวไฟขุมหนึ่งลุกฮือโหม เผาผลาญจนเลือดเดือดระอุดังเปรี๊ยะปร๊ะ
ข้าสะบัดหัว คลายตัวเสื้อเปิดอ้าออกด้วยมือที่สั่นสะท้าน อาการร้อนรุ่มเหมือนจะขับให้เหงื่อออกชุ่มไปทั้งกายกลับเกาะติดแน่นเหมือนหนอนเกาะกระดูก สติพร่าเลือนเสียจนหาความกระจ่างไม่ได้แม้เศษเสี้ยว เพียงรู้สึกได้อยู่เลือนรางว่านี่ดูไม่เหมือนกับอาการเมาเหล้าล้วนๆ
อาการร้อนรุ่มนี้บีบบังคับข้าจนไม่อาจถอยหนี นึกไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าต้องใช้คาถาใดจึงจะสะกดข่มมันลงได้ หรือว่าคาถาใดต่างไม่อาจสะกดข่มมันลงได้ทั้งสิ้น
ข้าโงนเงนลุกขึ้นยืน คิดจะกระโดดลงไปในสระมรกตเพื่อให้เย็นสบายขึ้น แต่กลับเซถลาเหยียบใส่อากาศ ร่วงละลิ่วตกลงไปจากหลังคากระต๊อบ
ที่น่าอัศจรรย์คือ ร่างกายกลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดจากการกระแทกพื้น และรู้สึกเพียงว่าตัวถูกอะไรบางอย่างที่เย็นสบายโอบล้อมเอาไว้ ส่งผลให้ไฟที่เผาผลาญอยู่ลดทอนลงไปไม่น้อย
ข้าพยายามถ่างตาขึ้นอย่างยากเย็น พอจะแยกออกได้อย่างพร่าเลือนว่า ของบางอย่าง ตรงหน้าคือเงาร่างคนผู้หนึ่งซึ่งสวมเสื้อตัวยาวสีดำตลอดทั้งตัว...ไม่ใช่เจ๋อเหยียน
ฟ้าดินพลิกตลบ แสงจันทร์สีเหลืองนวลสาดส่องไปทั่วทั้งป่าท้อสิบหลี่ ทุกกิ่งก้านคือดอกไม้สะพรั่งบานและใบไม้ดกหนา สระมรกตซึ่งอยู่ห่างออกไปสองก้าวเองก็มีไอหมอกลอยอบอวลเป็นชั้นๆ ซึ่งพลันแปรเป็นอัคคีสวรรค์อันร้อนแรงในบัดล
ข้ารีบหลับตาลง ร่างกายร้อนจัดจนเจ็บปวด ได้แต่พยายามเบียดเข้าหาเงาร่างคนตรงหน้าซึ่งเป็นความเย็นสบายเพียงใยเดียวอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าที่เงยขึ้นสัมผัสถูกผิวเปลือยนอกร่มผ้าตรงปลายคางและลำคอของอีกฝ่าย เย็นสบายยิ่งกว่าหินหยกเย็นเสียอีก ส่วนนิ้วมือที่สั่นระริกก็ยื่นออกไปปลดคลายสายรัดเอวของชายตรงหน้าอย่างชักจะบังคับไม่ค่อยอยู่ ชายตรงหน้าจึงเริ่มจะผลักไสข้า
ข้ารีบเบียดเข้าหาพลางพูดปลอบว่า
อย่ากลัวไปเลย ข้าแค่จะทำให้มือเย็นลงเท่านั้น
แต่ชายตรงหน้ากลับผลักไสดุเดือดกว่าเดิม
แสนกว่าปีมานี้ ข้าไม่เคยใช้มนต์สะกดวิญญาณสะกดจิตใครมาก่อน แต่คืนนี้กลับช่วยไม่ได้
เมื่อพยายามรวบรวมสมาธิอย่างพร่าเลือนและลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย ในใจข้ายังตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าไม่เคยใช้วิชานี้มาก่อนตั้งเนิ่นนานปานนี้ มาบัดนี้ยังจะใช้ได้ผลอยู่หรือไม่
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีอาการงุนงงเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เข้มจัดไหวระริก แต่แล้วกลับค่อยๆ โอบกอดข้าเอาไว้...
<>::<>::<>
ไก่ฟ้าร้องขันไปสามรอบ ข้าค่อยๆ ตื่นขึ้นอย่างแช่มช้า รู้สึกอยู่รางๆ ว่าดูเหมือนเมื่อคืนนี้ข้าจะฝันน่าสนุกเป็นอย่างมาก ในฝันข้าได้ลวนลามกระทำชำเราหนุ่มน้อยชาติตระกูลดีอย่างเจ้าชู้เหิมเกริม
แต่ครั้นคิดจะย้อนนึกถึงใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้นั้นให้ชัดๆ ก็กลับจำได้เพียงเสื้อตัวยาวสีดำตลอดทั้งตัวกับป่าท้อสิบหลี่เท่านั้น
<>::<>::<>
ป่าดอกท้อของเจ๋อเหยียนกับทะเลบูรพาอยู่ใกล้กันมาก ข้าจึงไม่รีบร้อนอะไร ไปที่คลังเก็บเหล้าตรงหลังเขาขนเหล้าเก่าเก็บมาต่างหากสามไห ใส่รวมเข้าไปในแขนเสื้อด้วยกันกับสุราดอกท้อเมาหนึ่งกาครึ่งนั้น แล้วค่อยบอกลาเจ๋อเหยียนออกเดินทางจากไป
เจ๋อเหยียนงึมงำวานข้าว่าหลังจากกลับไปแล้ว อย่าลืมไปบอกพี่สี่ด้วยละว่าให้มาช่วยเขาไถดินในที่นากระจิริดสองไร่(๓) ด้านหน้าภูเขานั่นด้วย
<>::<>::<>
จากคุณ |
:
Linmou
|
เขียนเมื่อ |
:
25 มี.ค. 53 04:15:07
|
|
|
|