ก้อนหินวิเศษ
|
|
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีภูเขาสูงลูกหนึ่งตั้งอยู่กลางที่ราบกว้างใหญ่ ภูเขาลูกนี้ไม่มีชื่อ มันทั้งสูงชันและรกทึบไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ มีหมู่บ้านสองแห่งตั้งอยู่ตีนเขา หมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของภูเขา ชื่อว่าหมู่บ้านยับเยิน ส่วนอีกหมู่บ้านตั้งอยู่ฝั่งทิศตะวันตก ชื่อว่าหมู่บ้านย่ำแย่ ชาวบ้านของทั้งสองหมู่บ้านไม่มีใครกล้าย่างกรายขึ้นไปถึงยอดเขาสูงแห่งนี้เลย เพราะมีเรื่องเล่าโบร่ำโบราณว่าบนยอดเขาแห่งนี้เป็นที่สถิตของผีป่า หมู่บ้านทั้งสองต่างทำนา ปลูกผักปลูกหญ้า และเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านจากสองหมู่บ้านมีข้าวปลาอาหารมาแลกเปลี่ยนกันให้ทุกคนได้อิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า สองหมู่บ้านจึงอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกตลอดมา
วันหนึ่งฝูงวัวของตายุ่ง หัวหน้าหมู่บ้านย่ำแย่ เกิดพลัดหลงขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น มันอาจจะติดใจรสหญ้าบนภูเขาที่แตกต่างจากรสหญ้าตามทุ่งที่มันเคยกินอยู่ทุกวัน จึงเดินเล็มหญ้าจนเพลินและหลงหายเข้าไปในป่าอันรกทึบของภูเขา ความลึกลับของภูเขาลูกนี้ทำให้ตายุ่งไม่กล้าออกตามหาฝูงวัวโดยลำพัง จึงได้ชักชวนเพื่อนบ้านชื่อนายยังไปด้วย ทั้งคู่ออกตามหาฝูงวัวตั้งแต่เย็นจนพลบค่ำก็ยังไม่พบ จึงตัดสินใจพักค้างแรมบนภูเขาแม้ว่าจะกลัวผีป่าก็ตาม
คืนนั้นตายุ่งนอนหลับฝันเห็นฤๅษีตนหนึ่ง ฤๅษีกำลังนั่งสมาธิอยู่ในปราสาทเรือนแก้วที่สวยงาม รุ่งเช้าตายุ่งกับนายยังก็ออกตามหาฝูงวัวของตายุ่งกันต่อ และพบวัวฝูงนั้นกำลังเล็มหญ้าอยู่บนยอดเขานั่นเอง ตายุ่งกับนายยังจึงช่วยกันต้อนวัวเพื่อพาพวกมันกลับลงมาจากภูเขา แต่ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังมองหาทางลงจากภูเขาอยู่นั่นเอง พวกเขาก็พบก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูงฝั่งตะวันออกของภูเขา ใต้ก้อนหินนั้นมีโพรงใหญ่อยู่โพรงหนึ่งที่เจาะลึกเข้าไปในก้อนหินจนหากมองจากภายนอกก็จะเห็นแต่ความมืดมิด ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตายุ่งจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจดูภายในโพรง ส่วนนายยังกลัวว่าจะเป็นที่อยู่ของผีป่าตามเรื่องเล่า จึงได้แต่รออยู่ภายนอกด้วยความกังวลเท่านั้น
ตายุ่งเดินเข้าไปในโพรงหินลึกขึ้นเรื่อยๆ จนแสงแดดส่องไม่ถึงก็ยังไม่พบอะไร แต่ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับนั่นเอง ก็มีแสงสว่างเรืองรองปรากฏขึ้นที่ด้านในสุดของโพรง ตายุ่งจึงเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย แสงนั้นทอประกายเป็นสีทองออกมาจากร่างของฤๅษีตนหนึ่ง ตายุ่งเห็นเข้าก็จำได้ทันทีว่าเป็นฤๅษีตนเดียวกับที่ตัวเองเห็นในฝันเมื่อคืน จึงก้มลงกราบคาราวะ ฤๅษีตนนี้พูดกับตายุ่งว่า ตนเป็นฤๅษีผู้เดินทางจาริกชี้นำผู้คนไปทั่วโลก และได้มานั่งสมาธิในโพรงใต้ก้อนหินใหญ่แห่งนี้นานหลายสิบปีแล้ว ก้อนหินก้อนนี้เมื่อก่อนเคยเป็นปราสาทเรือนแก้ว ที่ประทับของเทพสวรรค์ชั้นฟ้า ซึ่งก็คือปราสาทที่ตายุ่งเห็นในฝันเมื่อคืนเช่นกัน กษัตริย์โบราณที่เคยปกครองดินแดนแถบนี้ได้สร้างปราสาทเรือนแก้วขึ้นแล้วอัญเชิญเทพสวรรค์ลงมาประทับ ด้วยอำนาจแห่งเทพจึงบันดาลให้อาณาจักรของกษัตริย์พระองค์นั้นมีอำนาจและทรัพย์สินเหนือกว่าอาณาจักรอื่นๆ เวลาผ่านไปนานหลายร้อยปี อาณาจักรโบราณที่รุ่งเรืองก็เสื่อมอำนาจลง ปราสาทเรือนแก้วที่เคยสวยงามก็ทรุดโทรมลงจนกลายสภาพเป็นก้อนหินใหญ่อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ เช่นนี้แล้ว ดินแดนใดได้ก้อนหินใหญ่นี้ไว้ในครอบครอง ก็จะเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกับอาณาจักรโบราณนั้น พูดจบแล้วฤๅษีผู้วิเศษก็อันตรธานหายไปในความมืด
ตายุ่งกลับออกมาพบกับนายยัง และเล่าเรื่องของฤๅษีในโพรงหินกับอำนาจวิเศษของปราสาทเรือนแก้วให้นายยังฟัง ทั้งคู่ต่างลิงโลดใจ รีบรุดลงจากภูเขาพร้อมฝูงวัว ทันทีที่กลับมาถึงหมู่บ้านย่ำแย่ ตายุ่งก็เรียกประชุมลูกบ้านทุกคน เล่าเรื่องที่ตนไปประสบพบเจอบนยอดเขาให้ฟังกันอย่างทั่วถึง ทุกคนต่างออกความเห็นตรงกันว่า ในเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเราเป็นผู้ค้นพบ ก้อนหินวิเศษก้อนนี้ก็ควรจะเป็นของหมู่บ้านย่ำแย่และตกลงวางแผนกันว่า ในวันรุ่งขึ้นชาวบ้านย่ำแย่ทุกคนจะเข้าร่วมขบวนเพื่อขึ้นไปทำพิธีล้อมรั้วประกาศอาณาเขตให้ก้อนหินนั้นอยู่ในเขตหมู่บ้านย่ำแย่ ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของผู้ที่ได้ครอบครองก้อนหินวิเศษตามคำบอกเล่าของฤๅษี นายยังฝันว่าจะได้ครอบครองที่นามากกว่าที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษที่มีอยู่แค่สิบไร่ เขาจะได้แจกจ่ายแก่ลูกหลานให้กลายเป็นเศรษฐีที่ดินกันทุกคน นางย้อย เมียของนายยัง บอกกับสามีว่าตนจะอธิษฐานขอให้รูปร่างกลับมาเต่งตึงเป็นสาว ขาวและสวยเหมือนเมื่อแรกรักกันใหม่ๆ ส่วนตายุ่งนั้นแอบฝันอยู่ในใจว่าตนจะได้เถลิงราชย์ขึ้นเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนแถบนี้เหมือนกษัตริย์โบราณตามตำนานพระองค์นั้น
ข่าวการค้นพบก้อนหินใหญ่บนยอดเขาและคำทำนายทายทักของฤๅษีแพร่สะพัดออกไปรวดเร็วประหนึ่งลมพายุ เย็นวันเดียวกันนั้นเอง ตายาก หัวหน้าหมู่บ้านยับเยินที่อยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขาก็รีบรุดเดินทางมายังหมู่บ้านย่ำแย่พร้อมกับชาวบ้านยับเยินทั้งชายหญิงอีกหลายสิบคน พวกเขารู้ข่าวว่าในวันพรุ่งนี้ชาวบ้านย่ำแย่จะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทำการประกาศความเป็นเจ้าของของก้อนหินวิเศษ พวกเขามาเพื่อคัดค้าน ทั้งยังกล่าวอีกว่าก้อนหินนั้นสมควรตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบ้านยับเยินมากกว่า เพราะมีตำนานปรัมปราเล่าขานกันมาในหมู่พวกเขาว่า กษัตริย์โบราณผู้เป็นโคตรเหง้าบรรพบุรุษของชาวบ้านยับเยินเป็นผู้สร้างปราสาทเรือนแก้วเอาไว้บนยอดเขา อีกทั้งก้อนหินใหญ่ยังอยู่บนยอดเขาฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นฝั่งของหมู่บ้านยับเยินอีกด้วย หินก้อนนี้จึงสมควรเป็นของหมู่บ้านยับเยินด้วยประการทั้งปวง
ตายุ่งได้ฟังก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วโต้กลับไปว่า ตนและนายยังเป็นผู้ค้นพบก้อนหินก้อนนี้ นอกจากนี้หมู่บ้านยับเยินก็ยังไม่มีทางขึ้นไปถึงก้อนหินวิเศษได้เพราะมีหน้าผาสูงชันเป็นอุปสรรค มีแต่ฝั่งหมู่บ้านย่ำแย่เท่านั้นที่มีทางขึ้นไปสู่ยอดเขา โคตรเหง้าใครจะเป็นผู้สร้างปราสาทเรือนแก้วนั้นจึงเป็นเรื่องของอดีต เพราะฉะนั้นหมู่บ้านย่ำแย่จึงสมควรเป็นผู้ครอบครองก้อนหินวิเศษ ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันรุนแรงจนเกือบจะลงไม้ลงมือกัน ก่อนที่ตายากจะพาชาวบ้านยับเยินกลับหมู่บ้านไปด้วยความอาฆาตแค้น
วันต่อมาตายุ่งพร้อมกับชาวบ้านย่ำแย่ทุกคนต่างแต่งตัวกันอย่างวิจิตรสวยงาม ทุกคนพร้อมใจกันมุ่งหน้าไปสู่ยอดเขาเพื่อทำการประกาศการรอบครองก้อนหินวิเศษ แต่เมื่อมาถึงกลางทางก็พบกับตายากและชาวบ้านยับเยินมาขวางทางเอาไว้ ไม่ให้ชาวบ้านย่ำแย่ขึ้นไปถึงยอดเขาได้ ทั้งสองโต้เถียงกันอยู่นาน ในที่สุดตายากก็พาชาวบ้านยับเยินเข้ามาทำร้ายชาวบ้านย่ำแย่ ทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันอยู่พักใหญ่จนเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไปทั้งคู่ ก่อนที่จะอ่อนแรงและเลิกรากันไปเอง
วันรุ่งขึ้น ขณะที่ชาวบ้านย่ำแย่พยายามขึ้นไปให้ถึงก้อนหินวิเศษเป็นครั้งที่สองก็พบว่า ชาวบ้านยับเยินได้เข้ามาตั้งเพิงและกำลังก่อสร้างบ้านเรือนรายรอบก้อนหินเอาไว้ ตายากออกมาพูดจาท้าทายยั่วยุจนชาวบ้านย่ำแย่โมโห กรูกันเข้าไปขับไล่ชาวบ้านยับเยิน ทั้งทุบทำลายข้าวของและต่อตีฝ่ายศัตรูอย่างแข็งขันจนชาวบ้านยับเยินแตกพ่ายถอยร่นกลับหมู่บ้านไป ชาวบ้านย่ำแย่จึงตัดสินใจสร้างเพิงและที่อยู่ชั่วคราวขึ้นรอบๆ ก้อนหินวิเศษเพื่อประกาศการครอบครอง
เฮ้ย! ไอ้หยิบ ไปกันได้แล้ว ร่ำลากันอยู่นั่น ชายฉกรรจ์ตะโกนเรียกเขาอยู่หน้าบ้านที่สร้างขึ้นง่ายๆ จากไม้ไผ่และมุงด้วยหญ้าคา
เออ กูรู้แล้วละน่า! หยิบตะโกนตอบออกมาจากในบ้าน เขาหันไปมองชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมาสบตาเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า
พี่จะไปจริงๆ น่ะเหรอ หญิงสาวผู้อุ้มเด็กชายคนนั้นนั่งอยู่บนตักร้องถามหยิบด้วยเสียงสั่นเครือ
เอ็งจะให้พี่นั่งนอนอยู่บ้านสบายใจอย่างนั้นเหรอ! สายตาอ่อนโยนของหยิบเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นลุกโชนราวกองเพลิงขึ้นมาในทันทีที่เขาสบตากับนาง เอ็งก็รู้อยู่แกใจว่าก้อนหินวิเศษเป็นของพวกเรา ไอ้พวกยับเยินจะมาชิงไปเป็นของพวกมัน เอ็งจะให้พี่ยอมงั้นหรือ! คนบ้านเราต่อสู้ปกป้องก้อนหินนี้มาตั้งแต่รุ่นปู่ยังแล้ว ข้าในฐานะหลานปู่ก็ต้องแบกรับภาระปกป้องของๆ เราที่บรรพบุรุษอุตส่าห์สละเลือดเนื้อแลกมา เมื่อไหร่ที่ก้อนหินนั่นตกเป็นของบ้านย่ำแย่แล้ว พรวิเศษจะบันดาลให้เรามีทรัพย์สมบัติมากขึ้น ไม่ต้องจมอยู่กับที่นาแค่ห้าไร่สิบไร่เท่านี้ ทั้งหมดนี่ข้าทำเพื่อเอ็ง เพื่อลูกทั้งนั้น เอ็งจะเอาอะไรอีก!
ข้าแค่อยากอยู่กับพี่ เสียงนางสั่นเป็นระลอกคลื่น น้ำตาที่กลั้นเอาไว้เมื่อครู่ไหลพรูลงอาบแก้ม
ชายฉกรรจ์อีกคนวิ่งหน้าตาตื่นมาสมทบกับชายคนแรกที่หน้าบ้าน เขาร้องเสียงหลง ไอ้หยิบ! เร็วเข้า พวกมันมากันใหญ่แล้ว
หยิบขบฟันจนกรามปูดโปน ดวงตาของเขาถลึงโตราวกับตาของปีศาจ เขาจ้องไปที่ดวงตาของเด็กชายอีกครั้ง และยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองแก้มของเด็กน้อย
เอ็งจำเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟังเมื่อครู่นี้ได้ไหม เขาถาม
เด็กชายพยักหน้าตอบ ไร้ซึ่งคำพูด มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ก้อนน้ำที่กลิ้งอยู่ในดวงตาไร้เดียงสาร่วงหล่นใส่มือของเขา
จำไว้นะ ลูกพ่อ ก้อนหินวิเศษเป็นของเรา
มันเป็นของเรา เขาย้ำที่ประโยคท้ายด้วยเสียงหนักแน่น สายตาของหยิบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมดำของเด็กน้อย เขาจ้องอยู่อย่างนั้นชั่วอึดใจ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังไปคว้าดาบเล่มใหญ่แล้วกระโจนลงจากเรือน ชายฉกรรจ์ทั้งสองที่รอเข้าอยู่หน้าเรือนออกวิ่งไปพร้อมกับเขา ทั้งสามมุ่งหน้าสู่สมรภูมิรบบนยอดเขา
พ่อ เด็กน้อยเรียกเสียงแผ่วปนสะอื้น แต่หยิบจากไปไกลเกินกว่าจะได้ยิน
แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 11:30:28
แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 53 11:28:47
จากคุณ |
:
จร หมอนหมิ่น
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ค. 53 11:26:44
|
|
|
|