"นางเป็นสตรีพรหมจารี มาถึงเกาะนี้ก็ตั้งชื่อว่าเกาะมังกรขาว ทั้งยังเป็นแม่มด" ทูตอธิบายต่อไป "ข้าคิดว่า...ควรจับตาดูนางไว้ สิ่งวิเศษนั้นอาจจะยังหลับใหลอยู่ในป่าทวารมังกร"
ทัคทวามองภาพในมืออีกครั้ง เขาชอบหญิงอายุน้อย สนมคนใดพ้นยี่สิบสองปีไปแล้ว จ้าวเกาะมักเลิกสนใจ แต่หญิงในภาพนี้เป็นของแปลกใหม่สำหรับเขา ...ดูราวไม่มีอายุเลยแม้แต่น้อย แววตาถือดีจริงอย่างที่ทูตว่า ทั้งยังเป็นสิ่งแปลกประหลาดน่าสนใจ
"ได้ยินว่ามีพิธีจันทร์เพ็ญที่เกาะชื่อสิปาข้าง ๆ นั่นไม่ใช่หรือ อนุญาตให้พวกโคนแรนนิอิดไปร่วมที่เกาะนั้นได้" เขาว่า พิธีจันทร์เพ็ญเป็นวันที่หนุ่มสาวจะมาพบกันเพื่อเลือกคู่ครอง บางคนก็พบรักกันก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงมาจับมือกันในพิธีนี้ตามธรรมเนียม แต่บางคนก็ได้คู่ในพิธีจริง ๆ
"เช่นนั้น..." ทูตไม่ใคร่แน่ใจ
"เช่นนั้นข้าจะไปร่วมพิธีด้วย" ทัคทวาม้วนภาพ โยนคืนให้เขา "แจ้งไปทางเผ่าโคแรนนิอิดว่าขอให้ราชินีคนนั้นมาร่วมด้วย หากนางไม่มา ก็ไม่ต้องพูดจากันเรื่องขอหญิงสาวอีกต่อไป ข้าอยากไปดูหน้าสตรีพรหมจารีผิวขาวนั่น ดูทีหรือว่าตัวจริงจะเหมือนหรือแตกต่างจากรูปอย่างไรบ้าง"
...
เมราลได้รับสาสน์เป็นทางการหลังจากนั้นห้าวัน ส่งมาโดยคนส่งสาสน์ของลาตา ซึ่งเชิญหนังสือลงเรือหลวงมาอย่างหรูหรามาก ยามเขาอ่านข้อความ เธอก็ไม่พูดไม่แสดงปฏิกิริยาใด เพียงบอกให้เลี้ยงดูต้อนรับเขาอย่างดี แต่พอกลับเข้ามาภายในแล้ว คนอื่น ๆ ในเผ่าต่างแสดงความไม่พอใจ เมราลเองก็ครุ่นคิดอะไรมากมายเช่นกัน
"ถึงอย่างไรเราก็ต้องอยู่ที่เกาะนี้ เราลงแรงไปมากแล้ว หากโยกย้ายอีกจะลำบากมาก" เธอบอกในที่สุด "เขาขอมาก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ข้าจึงคิดว่าควรไป"
"แต่เขาขอดูตัวท่านเมราลหรือไม่ใช่ บังอาจมาก" หัวหน้านายทหารชื่อเคลท้วง "ทัคทวามีเมียสิบกว่าคนแล้ว ลูกอีกก็ไม่น้อย ผู้ใดจะยอมให้มันคิดจ้วงจาบหยาบคาย"
"ผู้ใดคิดจ้วงจาบหยาบคายข้า ผู้นั้นต้องตาย" เมราลเอ่ยช้า ๆ
เธอหลุบตาอยู่ ไม่ได้มองใครเป็นพิเศษ แต่ยามเอ่ยคำนั้น มากาที่อยู่กับเธอเสมอก็เลื้อยขึ้นมา แลบลิ้นแปลบอยู่ข้างคอของเมราล งูเกล็ดเงินตัวนั้นยังคงเป็นงูเล็ก ไม่ใหญ่ไปกว่าเชือกพันเอวสักเท่าไร แต่ผู้คนทั้งปวงต่างทราบว่ามันมีพิษร้ายแรงมาก และมันเตือนให้พวกเขาทราบว่า แม้ร่างกายจะอ่อนแอ ราชินีเกล็ดเงินก็ยังคงเป็นคนน่ากลัว
"ข้าจะสวมรัดเกล้าดาวเหนือ" หญิงสีขาวบอกในที่สุด "ขอให้เรียกชายหนุ่มในเผ่าอายุระหว่างสิบหกถึงสามสิบห้าปีที่ยังไม่ได้แต่งงานมาพบข้า จะต้องเลือกคนไปด้วยกัน นอกจากนั้นขอให้ท่านเคลกับทหารไปกับข้าด้วย เราจะพูดกันเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกที"
ผู้คนรับคำเธอพร้อมเพรียงแล้วก็จากไป นางกำนัลจึงพยุงเธอเข้าห้อง เมราลออกไปรับสาสน์ ตากแดดลมและยังนั่งประชุมเป็นเวลานาน จึงจำเป็นต้องพัก เธอนอนลงแล้วก็ขอให้นางกำนัลออกไป บอกว่าตนไม่เป็นอะไร หากตื่นแล้วจะเรียกเอง
แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสีขาวก็ไม่ได้หลับ เธอมองไปยังหลังคาเตียง เกาะแถบนี้ไม่เหมือนอันเซลมา แม้อากาศอบอุ่นกว่า แต่ยามกลางคืนมีแมลงมาก คนพื้นเมืองสอนให้คนโคแรนนิอิดทำเตียงมีหลังคา ติดผ้าบาง ๆ ไว้ ยามนอนให้ดึงผ้าลงมาคลุมเตียง ถ่วงที่ชายจะได้ไม่เผยอขึ้น เช่นนี้แมลงก็จะเข้าไม่ได้ ทั้งไม่ร้อนเกินไป
มากาเลื้อยมาข้าง ๆ พันมือเธอไว้ หนูขายาวตัวนั้นที่ลอร์คานเคยให้ก็อยู่บนเตียงเช่นกัน เธอเรียกมันว่าเจ้าทราย เพราะมันเป็นหนูเมืองทราย มันอายุยืนกว่าสัตว์ภูตกลายพันธุ์ประเภทเดียวกันมาก เพราะเมราลให้พลังมันตลอดเวลา
เจ้าหนูทรายมองมากา แม้อยู่กันมาหลายปีก็ยังไม่ใคร่ไว้ใจอยู่ดี มันจึงอยู่เพียงที่หมอน เช็ดหนวดขยุกขยิกพลางมองนายหญิง เมราลก็ตะแคงมองมันเช่นกัน มันทำให้เธอนึกถึงลอร์คาน
เธอย่อมทราบดีว่าทัคทวาเป็นคนอย่างไร คนทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญเช่นนั้น แม้ทีแรกจะไม่สนใจเกาะมังกรขาวด้วยเหตุผลอะไร เวลานี้ก็อาจสนใจขึ้นมาแล้วก็ได้ เมราลคิดว่าตนสู้เขาได้ แต่ไม่อยากให้เกิดเรื่องบานปลายใหญ่โต คนโคแรนนิอิดไม่ควรต้องเร่ร่อนอีกแล้ว พวกเขาควรได้มีชีวิตที่ดี ทว่าถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น เมราลก็ไม่รู้ว่าตนจะปกป้องคนได้สุดกำลังปัญญาเพียงไร เธอกลัวการตัดสินใจพลาด ทั้งยังกลัวว่าตนจะมีความสามารถไม่พอ ชั่วเวลานั้น หญิงสาวนึกว่าควรเขียนจดหมายถึงลอร์คาน หรือเซรี สองคนนั้นมักให้คำแนะนำเรื่องอย่างนี้ได้ดี
แต่ในที่สุด เธอก็ไม่ได้เขียนอยู่นั่นเอง เธอทราบว่าหากเขียนเรื่องทัคทวา บอกว่าเขาอาจคิดดูตัวเธอด้วยเหตุผลอื่นนอกเหนือจากการเมือง ลอร์คานต้องไม่พอใจ เซรีเองหากทราบเรื่องนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องบอกให้สิงโตทรายทราบเช่นกัน
มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ เธออาจจะเพียงคิดไปเอง
..................................................................................................................................................................
เทรมิสกับลอร์คานข้ามภูเขายาเรฟมาแล้ว ทางด่านกองเกวียนแบบเมืองทรายจึงกลายเป็นถนนใหญ่ อันเซลมาสร้างถนนแข็งแรงเชื่อมต่อกันทั้งประเทศ ซึ่งมีผลดีอย่างยิ่งกับการคมนาคมและการค้า ด้วยเหตุนี้แม้ระยะทางจะไม่ต่างกันเท่าไร จากชายแดนมาถึงบัลซอร์จึงใช้เวลาน้อยกว่าจากรูฮาห์ถึงชายแดนเป็นอันมาก
"พี่ลอร์ค ท่านคิดอะไรอยู่หรือ" เทรมิสเอ่ยถามขึ้น
"คิดถึงเมราล"
พี่สิงโตของเขาก็ยังคงเป็นคนตรงอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง
ตลอดทางมานี้ ลอร์คานไม่พูดเรื่องเดินทางไปเกาะมังกรขาวอีกแม้แต่คำเดียว เทรมิสเองก็ไม่เซ้าซี้เช่นกัน เขาคิดว่าพี่ชายคงคิดเรื่องนี้ไปมาในใจ ลอร์คานมีเรื่องต้องคิดมาก ไปเร่งเอาคำตอบก็ไม่เกิดอะไร พ่อมดจึงหันไปคิดเรื่องท่านเซรีแทน
"ตลอดหลายปีนี้ ข้าคิดถึงเธอมาก"
เทรมิสสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงนั้น เสียงของลอร์คานแทบพ้นเขตความคิดถึง...กลายเป็นความทรมานจนเกือบคลั่ง ปรกติเขาไม่แสดงออกถึงเพียงนี้ พ่อมดจึงเพิ่งทราบว่าพี่ชายอาการหนักขนาดไหน เขาได้ยินเสียงนั้นก็เสียใจ รู้สึกว่าไม่น่าไปยั่วแหย่ลอร์คานเรื่องเมราล
"แต่ข้าคิดว่า...คงไม่ไป" สิงโตทรายเอ่ยต่อช้า ๆ "หากข้าไป หากได้เห็นหน้าอีกครั้ง คิดว่าคงไม่มีสติเหลือ อาจจะทำอะไรที่ไม่ควรทำก็ได้ เมราลยังไม่ได้บอกว่าถึงเวลา..."
เทรมิสนิ่งเงียบชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงได้พูดทีเล่นทีจริง...เขาไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้ มันออกจะหนักหน่วงเกินไป
"พี่ชายข้าเท่ยิ่งนัก ราวกับอัศวินผู้อุทิศตัวในเทพนิยาย"
"ข้ารักเมราล" อีกฝ่ายตอบง่าย ๆ
...สิงโตบางตัวก็ไม่ค่อยเหมือนสิงโตเท่าไร ออกจะเหมือนเสือมากกว่า...เทรมิสนึกในใจ...อย่างน้อยก็เรื่องมีคู่ตัวเดียว...
"ข้าขอโทษที่ชวนท่าน คงทำให้ลำบากใจมากจริง ๆ" เขาบอกในที่สุด
ลอร์คานโบกมือไปมา ไม่ได้เห็นว่าเป็นความผิดของน้องชาย ไม่ช้าหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนดูทางหน้าขบวนร้องตะโกนต่อ ๆ กันมา...เห็นกำแพงเมืองบัลซอร์แล้ว
"เร่งเข้าไปแจ้งนายประตู บอกว่าเรานำม้ามาให้เจ้าหญิงเซรี" สิงโตทรายร้องตอบไป
"ไม่รู้ว่าท่านเซรีจะว่าอย่างไร เห็นม้าดีทีเดียวยี่สิบตัวเช่นนี้อาจจะดีใจจนเป็นลมก็ได้" เทรมิสหัวเราะหึ ๆ
แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับแจ้งว่าเจ้าหญิงเซรีไม่ได้อยู่ที่วัง เธอขอให้พ่อมดกับลอร์คานไปพบที่ท่าเรือ
"เจ้าหญิงขอให้ท่านเบรุคคอลีฟห์และท่านพ่อมดเทรมิสไปพบที่ท่าเรือ" นายประตูบอก "คนอื่น ๆ เมื่อนำม้าไปยังคอกแล้วก็ให้พักผ่อนได้ เจ้าหญิงจะชำระค่าม้ากับท่านเบรุคคอลีฟห์เอง"
"หือ" ลอร์คานแปลกใจ "เหตุใดต้องไปจ่ายค่าม้าที่ท่าเรือ"
อีกฝ่ายแจ้งว่าเขาไม่ทราบ แต่ถ้าหากพร้อมเมื่อไร เขาจะเป็นผู้นำทั้งสองไปยังท่าเรือเอง เมื่อได้ยินดังนั้น เทรมิสกับลอร์คานก็มองหน้ากัน พ่อมดยักไหล่ ออกตัวว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไร
"ท่านเซรีไม่ได้บอกมาในจดหมาย" ชายหนุ่มว่า "แต่พี่ลอร์ค ท่านเคยไปท่าเรือไหม"
"เคยสองครั้ง" สิงโตทรายบอก "แต่หากเซรีต้องการอย่างนั้น ก็เชิญนำทางเถิด"
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสองครั้งนั้นคือไปรอรับเมราลเมื่อเรือมังกรขาวเข้าเทียบท่าหลังแชลลัมตาย และไปส่งเมราลตอนที่เธอจากไป เพราะหลังจากสองเรื่องนี้แล้ว ลอร์คานก็ไม่มีความสนใจเรื่องเรืออีกด้วยประการทั้งปวง เขาเติบโตมาในเมืองทราย บริเวณที่ติดทะเลของเมืองทรายเป็นผาสูงชัน สิงโตทรายไม่มีความรู้เรื่องทะเลเลยแม้แต่นิดเดียว เขารับทราบเพียงว่าท่าบัลซอร์ได้รับการซ่อมแซมแล้ว และกลับคึกคักเหมือนสมัยก่อนอีกครั้งเท่านั้นเอง
ยามขี่ม้าผ่านเมืองบัลซอร์ ลอร์คานก็อดนึกเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ไม่ได้ ...บัลซอร์อุดมสมบูรณ์ร่ำรวย คึกคักยิ่งนัก มีประชาชนหลากหลาย ซึ่งไม่ได้มีเพียงคนอันเซลมาแท้เท่านั้น หากแต่ยังมีคนต่างชาตินอกเกาะที่หลั่งไหลเข้ามาหางานทำและค้าขายเช่นเดียวกัน ความเข้มแข็งนี้เองที่ทำให้บัลซอร์ฟื้นตัวจากคราวถูกแชลลัมทำลายได้อย่างรวดเร็ว...ตลาดเต็มไปด้วยสินค้า ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ ของฟุ่มเฟือย และอาหาร ลอร์คานเห็นสินค้าเช่นนั้นยังอดคิดไม่ได้ว่าอาหารมากมายขนาดนี้อาจพอเลี้ยงคนทรายทั้งเผ่าได้หลายสัปดาห์ หากว่าสามารถทำให้เมืองทรายคึกคักได้เพียงครึ่งของบัลซอร์ ก็อาจจะมีคนอดตายในยามแล้งน้อยลงมากทีเดียว
ทางไปยังท่าเรือบัลซอร์เป็นถนนใหญ่ ลาดลงไปเพราะเมืองหลวงแห่งอันเซลมาตั้งอยู่บนเนิน มีวังหลวงและวิหารอยู่สูงสุด ส่วนท่าเรือนั้นเป็นจุดที่ต่ำสุดของเมือง จึงมีปัญหามากคราวน้ำท่วม เมื่อแรกสองข้างถนนเป็นตึกรามบ้านช่อง แต่ไม่ช้าบ้านช่องก็เริ่มกลายเป็นตลาดและโรงเก็บสินค้า ถนนหนทางยิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ยามใกล้ถึงท่าเรือก็จะเริ่มได้กลิ่นเค็ม กลิ่นปลา เสียงผู้คน เสียงรถขนของ ตลอดจนเสียงสัตว์ต่าง ๆ เช่นนกทะเล สุนัข ม้าและลาปะปนกันอึ้งอึง ยิ่งเวลานี้หมดหน้ามรสุมแล้ว เรือทั้งหลายเริ่มเดินทางอีกครั้ง บริเวณท่าเรือจึงยิ่งอลหม่านจนคนไม่เคยเห็นถึงกับหูตาลาย มองไปทางไหนก็มีแต่การขนถ่ายสิ่งของไปกลับโรงสินค้า หีบห่อ ถุง ลัง รถเข็นผ่านวูบวาบจนลายตา ท่าเรือที่รายไปตลอดอ่าวทรงครึ่งวงกลมเต็มไปด้วยเสากระโดงแน่นขนัดราวกับป่า แม้เรือลำที่เข้ามาเทียบฝั่งไม่ได้ก็ยังมีคนขนของใส่เรือเล็กไปส่งให้ ลอร์คานมัวแต่สนใจมองคนปีนป่ายเสากระโดง ชักรอกนำสินค้าขึ้นมา เทรมิสเรียกให้ลงม้าแต่เมื่อไรยังแทบไม่รู้ตัว
"ลงม้ากันเถอะ ต้องเดินเข้าไปแล้ว" พ่อมดบอกเขา
แต่ว่าตอนนั้นเอง นายทหารผู้นำทางมาก็ชี้มือ
"นั่นอย่างไรขอรับ เจ้าหญิงเซรี
เทรมิสลืมพี่ชายของตนทันที เร่งหันตามนิ้วไป ไม่สนใจใครคนอื่นอีกเลย
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ม.ค. 54 13:00:30
|
|
|
|