"หากไม่ยึดถือตามคำทำนายเก่าแก่ จ้าวเกาะลาตาคงมาที่เกาะแห่งนี้และพากันตายหมดสิ้น" จ้าวเกาะบอก "นี่เป็นหลักฐานเกี่ยวกับเกาะปีศาจที่ข้ามี คิดว่าพวกท่านคงสนใจ"
ที่จริงแล้ว นอกจากเรื่องคำทำนาย ทัคทวายังรู้สึกอย่างมากต่อความฝันของตน...หญิงสีขาว ดวงตาสีแดง คนที่หลอกหลอนเขาเสมอมา ด้วยเหตุผลบางอย่างซึ่งไม่อาจหยั่งวัดได้ นางทำให้เขาปรารถนาจะพบทั้งที่รู้สึกไม่มั่นคง รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ความคิดนี้ฝังใจเขามาแต่แรกคล้ายกับเป็นชะตากรรมบางอย่าง ด้วยเหตุนี้ แม้ทัคทวาจะมีชีวิตภายนอกอย่างไร ปกครองใครหรือเอาชนะใครบ้าง ลึก ๆ แล้วเขาก็ยังคิดว่าสักวันตนจะต้องไปที่นั่น จะต้องพบหญิงคนนั้น และจะต้องได้สิ่งที่ตนต้องการ
ในหีบมีม้วนผ้าปัก ดูเก่าโบราณ ยามทัคทวาคลี่ออกบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ก็เห็นเป็นรูปหญิงสาว นางใส่ชุดขาว ผิวเนื้อและเส้นผมก็สีขาวเช่นกัน ขาวเสียจนตัดกับสีของผ้าที่เก่าเหลือง คล้ายกับใช้ด้ายที่ชุบย้อมเป็นพิเศษปักขึ้นมา
ดวงตาของหญิงนั้นสีแดง นางยืนเคียงกับชายซึ่งแต่งกายเป็นนักรบเกาะลาตา ใส่เกราะหนัง นุ่งผ้าหยักรั้งใส่สนับขา มีแถบโลหะคาดเอว เมราลดูแล้วยังไม่ถึงกับแปลกใจอะไร แต่ซัคคากับเคลต่างห้ามตัวเองไม่ให้มีปฏิกิริยาเล็กน้อยไม่ได้ พวกเขาไม่ทราบเรื่องหญิงพรหมจารีแห่งเกาะมังกรขาวเป็นคนไม่มีสี ที่จริง...ภาพตรงหน้าก็เหมือนเมราล...และเหมือนทัคทวามากเกินไป
จ้าวเกาะลาตาปล่อยให้คนทั้งสามพิจารณาลวดลายชั่วขณะ ก่อนจะช้อนผ้าขึ้นพลิกไปด้านหลัง ทุกคนจึงได้เห็นว่าด้านนี้ต่างจากด้านหน้า...คงใช้ฝีเข็มละเอียดอ่อนซับซ้อนมากทีเดียว แทนที่จะเป็นลวดลายคล้ายกัน กลับดูคล้ายแผนที่ สีขาวเป็นน้ำ สีน้ำตาลเป็นแผ่นดิน สีสันอื่น ๆ ก็ผสมผสานกันดูคล้ายที่สูงต่ำและป่าไม้
"ข้าคิดว่าเป็นแผนที่เกาะนี้" ทัคทวาบอกเรียบ ๆ "เห็นหรือไม่...มีจุดสีแดงอยู่กลางป่า ข้าคิดว่าที่นั่นคือประตูมังกรตามตำนาน เข้าใจว่าทางเราเองก็เคยสำรวจบ้าง แต่ไม่พบอะไร ไม่ทราบว่าพวกท่านเคยสำรวจหรือยัง"
เคลกับซัคคาไม่ตอบ เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ ทั้งสองย่อมต้องยกให้เมราลตัดสินใจ แต่แม้หญิงสีขาวยังนิ่งไปชั่วขณะเช่นกัน ก่อนจะรับว่าหากเป็นจุดนั้นก็เคยสำรวจอยู่บ้าง
ที่จริงเธอยังสงวนถ้อยคำไว้ เพราะพวกโคแรนนิอิดไม่เพียงสำรวจป่าบริเวณดังกล่าว เมราลเองยังเป็นคนใช้พลังของรัดเกล้าดาวเหนือชี้จุดว่าตรงนั้นน่าจะมีประตูมิติ หลายปีที่ผ่านมามีการสร้างถนน ซุ้มหินขนาดใหญ่แกะสลักเป็นเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์โคแรนนิอิด ตลอดจนแท่นพิธี และอารามนักบวชในพื้นที่ดังกล่าว ทุกสองสัปดาห์ หรือเมื่อไรที่สามารถปลีกตัวได้ หญิงสีขาวจะนั่งรถม้าจากวังไปที่นั่นเพื่อพยายามใช้พลังของตนเปิดประตูมิติ บางครั้งก็อยู่ข้ามวันข้ามคืนจนทหารกับนางกำนัลพากันเป็นห่วง แต่หลายปีแล้ว แม้เทรมิสพยายามช่วยเหลือกลับยังเปิดประตูดังกล่าวไม่ได้ ไม่มีใครทราบว่าควรทำอย่างไร
เธอไม่นึกเลยว่าทางเกาะลาตาก็มีข้อมูลนี้อยู่แล้วเช่นกัน
ทัคทวาไม่พูด แต่เขามอง และเมราลก็ทราบว่าเขาย่อมต้องคิด ท่ามกลางความเงียบ ความคิดโลดเร็วแทบเผาไหม้ จะดำเนินการต่อไปอย่างไร จะบอกอะไรเท่าไร จะทำอย่างไรให้ตนได้กำไร ให้ปลอดภัย
"นอกจากนั้นยังมีอีกจุดหนึ่ง" จ้าวเกาะลาตาเอ่ยในที่สุด ลากนิ้วจากจุดกลางเกาะ ตัดผ่านป่าและที่ราบ ข้ามภูเขา สู่ชายฝั่ง ออกไปกลางทะเล "อยู่นอกชายฝั่ง ข้าเข้าใจว่าตรงนี้เคยมีวิหารโบราณเช่นกัน ตั้งอยู่ปลายแหลมยื่นไปในทะเล แต่เพราะหญิงนักบวชในตำนานคนนั้นอาละวาดมาก แผ่นดินไหวสะเทือน ภูเขาไฟปะทุ ทั้งวิหารและแหลมจึงถล่มลงไป หลายปีผ่านมาน้ำซัดท่วมจนสูญหาย ไม่มีใครพบเห็นอีก"
"เรื่องนี้ข้าไม่ทราบมาก่อนเลย"
เมราลจำเป็นต้องยอมรับเรื่องนั้น ตั้งแต่มาอยู่เกาะแห่งนี้ โคแรนนิอิดมีการสำรวจพื้นที่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การสำรวจส่วนใหญ่ยังคงเป็นภาคพื้นดิน ให้ความสำคัญว่ามีแหล่งอาหารหรือไม่ น้ำท่าเป็นอย่างไร ควรปราบถางที่ใดก่อสร้างหมู่บ้าน ทำไร่ทำนา บ้านเมืองโคแรนนิอิดยังอยู่ในขั้นเริ่มก่อร่าง จึงแทบไม่มีใครคิดเรื่องชายฝั่งห่างไกล อีกอย่างหนึ่ง ทั้งคนโคแรนและชาวประมงจากลาตาก็ไม่ได้จับปลาที่นั่น ส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ในบริเวณกระแสน้ำไหลมาปะทะกันซึ่งมีปลามากกว่า จึงควรว่าฝั่งแถบนั้นเป็นที่ร้าง เป็นแดนลับแลของเกาะทีเดียว
"เช่นนั้นเชิญท่านเมราลไปสำรวจด้วยกัน ดีหรือไม่ อาจจำเป็นต้องใช้พลังของท่านจึงจะพบอะไร" ทัคทวาถามลอย ๆ "มีเวลาอีกสักพักกว่าจะมีพิธีที่สิปา"
เมราลไม่ได้ตอบทันที แต่ที่จริงเธอแทบปรารถนาจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยก็ว่าได้ บางทีมันอาจตอบปริศนาว่าทำไมจึงไม่อาจเปิดประตูมิติ และเธอจะช่วยเผ่าของตนได้อย่างไร โคแรนเป็นเผ่าเวทมนตร์ หากอยู่โดยไม่มีเวทมนตร์นานไป ไม่ช้าจะมีบางอย่างที่สูญหาย เลือดเนื้อเจือจาง กำลังถดถอย คล้ายต้นไม้ที่ออกลูกไม่ได้ คนโคแรนก็จะไม่ใช่คนโคแรนอีกต่อไป
"เราควรไปด้วยกัน ข้าคิดว่าฝ่ายข้าก็ทราบความลับของประตูอยู่บ้าง ที่นั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเกาะ ข้าควรไปได้" ทัคทวาเอ่ยต่อ
"ท่านต้องการอะไร" เคลถามขึ้น...เขาอดถามไม่ได้ เสียงต่ำ ๆ ในคอ ยามฟังเช่นนั้นทัคทวาก็ยิ้มในหน้า เขารู้ว่าคนแบบเคลเป็นอย่างไร พวกจงรักภักดี
"ข้าย่อมอยากได้ผลประโยชน์" จ้าวเกาะตอบ "หากมีสิ่งใดแบ่งปันกันได้ก็ควรแบ่งปันหรือไม่ใช่ ตำนานของลาตาเล่าสืบกันมาว่าใครได้ของวิเศษของเกาะปีศาจ จะปกครองทั้งโลกได้ มันก็น่าสนใจ ไม่ว่าจริงหรือไม่ก็ตาม"
เขาแย้มริมฝีปากขึ้นอีกเล็กน้อย เกือบคล้ายแสยะเขี้ยว
"ท่านเมราลจะว่าอะไรหรือไม่ หากข้าขอเจรจาเรื่องต่อไปนี้ตามลำพัง"
...
เมราลขอให้ซัคคากับเคลออกไปแล้ว เธอเจ็บจนมีเม็ดเหงื่อผุดพรายที่หน้าผาก เริ่มเจ็บแปลบตั้งแต่ตอนที่ทัคทวาขอให้เธอขับคนของตนออกไป แต่ตอนนั้นหญิงสีขาวไม่กล้าให้ทั้งสองเห็น ก็ไม่ได้แสดงสีหน้า ยามพวกเขาจากไปอย่างไม่ค่อยสบายใจ เธอจึงหลับตา มีพลังออกมาจากกำไลสีดำ ร้อนราวกับเปลวไฟ มันเผาไปตลอดร่างกาย แม้เวลานี้ยังไม่หาย เมราลไม่แข็งแรง เจ็บปวดจนใกล้จะสิ้นสติอยู่แล้ว
"ปราบม้าพยศต้องข่มขู่ให้มากไว้" ทัคทวาเอ่ยลอย ๆ
ครั้นแล้วความเจ็บปวดจึงซาลง แม้ไม่ได้สูญหายเสียทีเดียว
"เจ้าคงตกลงหรือไม่ใช่" จ้าวเกาะลาตาถาม "เรื่องที่ไปสำรวจกัน"
"ท่านใช้วิธีเช่นนี้ คิดดีแล้วหรือ ทัคทวา"
เธอถามเขาเรียบ ๆ ไม่มีความกลัว และบางทีอาจมีความโกรธกระมัง แต่นอกจากนั้นจ้าวเกาะกลับไม่เห็นอะไร เธอราวประกอบขึ้นจากน้ำแข็ง ไม่กลัวอะไร ไม่กลัวแส้ ไม่กลัวแอกไถ เป็นม้าป่าเถื่อนดุร้ายที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะทำให้เชื่องได้
"ร้องเพลงให้ข้าฟัง" ทัคทวาบอก
เมราลไม่คาดหมายว่าจะได้ยินอะไรอย่างนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นฉงนอยู่บ้าง
"ร้องเพลงให้ข้าฟัง ข้ารู้ว่าเจ้าร้องได้ เสียงของเจ้าดีทีเดียว ที่บนแท่นพิธีนั่น" อีกฝ่ายบอก "ร้องเสีย แล้วข้าจะไม่ทำอะไรมากกว่านั้น หรืออยากให้ข้าทำอะไร"
"หากท่านทำ แม้ข้าตายก็อย่าหมายไปจากที่นี่ได้โดยง่าย" หญิงสีขาวเอ่ยเรียบ ๆ
"แต่เจ็บปวดบาดเจ็บแทบตาย...คงไม่คุ้มกับเพลงเพลงเดียวกระมัง"
เธอเงียบไป แต่สุดท้ายก็ร้องเพลงอยู่ดี เพลงของโคแรนนิอิด มีบางคำที่เขาไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนผยองมีศักดิ์ศรี เธอไม่แสร้งร้องอะไรไร้สาระ หรือบีบเสียงน่าทุเรศแต่อย่างใด เมื่อจะร้องก็ร้องให้ดี
เสียงอาจสู้หญิงนักขับเพลงบางคนไม่ได้ แต่เมราล เชอยิน ผ่านสิ่งต่าง ๆ มาไม่น้อย รับผิดชอบอะไรมากมาย ย่อมมีความลึกกว่าคนทั่วไป มันก็สะท้อนออกมาสู่เสียงนั้น กังวานมาจากในตน อีกอย่างหนึ่ง เสียงเพลงที่บังคับมาได้ ชวนให้รู้สึกเหนือกว่า ถึงอย่างไรย่อมฟังไพเราะ...เกือบเหมือนได้กินหัวใจสัตว์ที่ตนเป็นผู้ล่ามาเอง
ทัคทวาชอบบังคับและปราบพยศคนเช่นนี้ เขาได้กลิ่นเลือด รู้สึกตื่นเต้นว่าเอาชนะและขยี้บางสิ่งได้ และถ้าหากบางสิ่งเป็นอย่างนางงูพิษเมราล เขาย่อมสมใจ สมใจจนคิดว่าแม้อยากเท่าไรก็จะทำอย่างช้า ๆ ...ค่อยเป็นค่อยไป จะทำลายอย่างถนอมบรรจงทีเดียว
..................................................................................................................................................................
ลอร์คานเปิดประตูห้องเข้ามา และพบน้องชายจมอยู่ท่ามกลางกองตำรามากมาย
เขาเพิ่งปรึกษากับเจ้าหญิงเซรี ถามว่ามีทางให้เรือไปเร็วกว่านี้ได้ไหม เซรีพยายามแล้ว แต่เธอว่าเป็นไปไม่ได้ ที่จริงหนึ่งเดือนยังถือว่าสั้นมาก หากเป็นหน้ามรสุม จะต้องมีการแวะพักรอนานเป็นครึ่งปี ถึงอย่างนั้น มันก็ยังคงช้าเกินไป
เขาไม่ชินกับความรู้สึกเช่นนี้ ยามอยู่ในทะเลทราย หากทราบข่าวที่ใดย่อมสามารถชักม้าไปได้ และถ้าหากไม่ทราบข่าว ย่อมหมายความว่ามันห่างไกลเกินไป ไกลเกินกว่าอาณาเขตของเขา ไกลเกินกว่าจะทำอะไรได้ ทว่ายามมีเวทมนตร์เข้ามา ยามคบหาคนที่อยู่แดนไกล ข่าวสารก็ไปไวกว่าความเป็นจริงที่มนุษย์จะเดินทางได้ ลอร์คานหงุดหงิด ร้อนใจ ไม่ทราบจะทำอย่างไรได้ก็หาเรื่องออกแรง
ระหว่างเวลานั้น เทรมิสกลับเข้าห้อง เขาแบ่งห้องกับลอร์คาน แต่เพิ่งจะย่องเอาของมาวางตอนที่แน่ใจว่าพี่ชายคงไม่ฆ่าตนแล้ว ก่อนหน้านี้เขานอนในบริเวณเดียวกับพวกลูกเรือ ที่จริงก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่จะศึกษาเวทมนตร์ทดลองอะไรมากมาย ออกจะเป็นการรบกวนลูกเรือส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนอันเซลมา ไม่เคยเห็นการใช้พลังอย่างจริงจัง
"ข้าจะพยายามทำอะไรสักอย่าง...เท่าที่ทำได้" พ่อมดบอกอย่างนั้น
แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจ เขาเรียกดิโอมีเดียกลับมาได้สำเร็จ ดูเหมือนดิโอกำลังเดินทาง นำจดหมายฉบับหนึ่งมาจากเมราล ยามทางขาดหายเพราะหญิงสีขาวถอดกำไล นกทะเลก็ตกใจ มันค่อนข้างโล่งใจที่พ่อมดเรียกมาได้ทันการณ์ แต่ชายหนุ่มเพียงบอกว่าโชคดีที่อยู่ใกล้เขาจึงเรียกไหว หากไกลกว่านี้ก็ไม่แน่เช่นกัน
กระนั้น ในจดหมายของเมราลกลับไม่มีอะไรที่พอเป็นเบาะแสได้ ดูเหมือนจะเขียนมาหลายวันก่อนหน้านี้แล้ว เล่าเรื่องส่งคนไปยังเกาะชื่อสิปา นอกจากนั้นข้อความก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป จดหมายค่อนข้างส่วนตัว เทรมิสจึงให้พี่ชายอ่านก่อน ทว่าแม้อ่านแล้วอ่านอีกจนแทบทะลุ ทั้งยังยอมให้พ่อมดกับเจ้าหญิงช่วยอ่านด้วย กลับไม่มีใครพบอะไร สุดท้ายเทรมิสจึงว่าเขาจะพยายามหาวิธีอีกครั้งแล้วกัน
"เป็นอย่างไร" ลอร์คานถามน้องชายที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสือ ขยี้ผมจนยุ่งเหยิงไม่รู้ตัว
สิงโตทรายไม่ใคร่สนใจเรื่องเวทมนตร์ แต่หลายปีมานี้ เขารับทราบว่าเทรมิสไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "กำลังพิฆาต" แล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจดึงเวลาของสิ่งอื่นรอบตัวมาเป็นกำลังของตนได้ แต่ในขณะเดียวกัน ยามไปเมืองเหนือ ได้พูดจากับคนหลายคน ลอร์คานก็เข้าใจลาง ๆ ว่าน้องตนเป็นคนเก่ง...บางทีคงเก่งขึ้นเรื่อย ๆ กระมัง มีความสามารถยิ่งกว่าคนเหนือทั่วไป
...เขาต้องการอยู่กับเจ้าหญิงเซรี...พ่อมดชราที่เป็นตาของเทรมิสบอก เขาพูดเรียบ ๆ เป็นเพียงบทสนทนาที่เต็มไปด้วยพิธีรีตอง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสิงโตทรายไม่อาจทำใจสนิทสนมกับคนที่ฆ่าทามีห์ได้ เขาเป็นคนทราย คนทรายถือว่าผู้ที่ทำร้ายญาติพี่น้องย่อมเท่ากับทำร้ายตน
กระนั้นลอร์คานก็ทราบ ชายชราไม่ถึงกับเป็นคนเลวร้าย เขาพูดถึงเทรมิสหลายอย่างเพราะไม่ทราบว่าควรใช้หัวข้อสนทนาอื่นใดได้ เจ้าหอกาลบอกว่าแม้เทรมิสจะชอบศึกษาเวทมนตร์ ก็ไม่ใช่คนแบบที่จะพยายามเพียงเพราะอยากเก่ง เขาจะพยายามต่อเมื่ออยากปกป้องสิ่งสำคัญ
"พี่เอามีดของเบรุคมาไหม" พ่อมดถามขึ้น
ลอร์คานเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ก็ดึงมีดสั้นด้ามทองออกจากผ้าคาดเอว ยื่นให้ง่าย ๆ หลายปีมานี้ นับแต่เมราลคืนให้ เขาก็ไม่เคยเห็นมีดดังกล่าวแสดงอิทธิฤทธิ์ใด ๆ อีก บางทีคงเป็นเพราะเขาเองใช้ไม่เป็นกระมัง แต่ลอร์คานไม่ใคร่สนใจ เขาเพียงเคยชินว่าถือมีดเล่มนี้มาแต่เยาว์วัย และคงจะติดตัวไปจนตาย
"ใช้กับข้าได้ไหม" เทรมิสถาม เขาโบกมือเมื่อลอร์คานเปลี่ยนสีหน้า "ข้านึกวิธีอื่นไม่ได้แล้ว มีทางนั้นทางเดียวที่ข้าจะดึงพลังออกมามากกว่าปรกติได้ ข้าจะสอนวิธีใช้ ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก"
"ใช้แล้วเจ้าจะเป็นอย่างไร"
"ก็คงพลังหมดตัวไปพักใหญ่ ซึ่งว่ากันตามตรง...ถือว่าค่อนข้างอันตราย ข้าสู้รบกับใครเขาเป็นที่ไหน" พ่อมดทำหน้าเสียวไส้ "ถ้ามีอะไรจะให้ท่านเซรีปกป้องแล้วกัน"
"เซรีปกป้องได้หรือไง" ลอร์คานสงสัย
"ปกป้องไม่ได้ข้าจะวิ่งหนีโกยสี่ตีน" เทรมิสแยกเขี้ยว "เอาเถอะพี่ชาย ข้าจะสอนวิธีใช้มีดให้ รอจังหวะเหมาะหน่อย...พรุ่งนี้เช้า เราไปหาท่านเมราลกัน"
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ส.ค. 54 00:38:40
|
|
|
|