เมื่อไหร่จะกลับบ้าน
ดวงอาทิตย์ดวงโตสาดแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้าที่เปิดกว้างโดยที่ไม่มีแม้แต่เมฆสักก้อนมาบดบังเพื่อบรรเทาความร้อนแรงที่แทบจะเผาหญ้าที่แห้งตายอยู่ตามซอกดินได้อย่างไม่ยากเย็นนี้ มีตาแก่ๆคนหนึ่งนั่งอยู่บนเพิงไม้ริมทุ่งนาที่มองไม่ออกว่าที่นี่คือทุ่งนากว้างสุดลูกหูลูกตา แต่มันเป็นเพียงพื้นดินสีส้มที่แห้งกรัง แตกระแหง คลองน้ำเล็กๆที่เคยใช้ปล่อยน้ำเข้านาตอนนี้มันเป็นเพียงร่องดินแข็งๆตื้นๆที่ไม่มีน้ำแม้แต่สักหยดเดียว ต้นไม้ริมคันนานั้นมองเหมือนซากไม้ที่ยืนต้นตายไม่มีใบไม้ที่จะช่วยให้ความร่มเย็นแม้แต่ใบเดียว
ตาคนนั้นชื่อตาสาย ตาสายนั่งเหม่อมองออกไปไกล สายตานั้นดูเลื่อนลอยไร้จุดหมาย แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมา อันที่จริงเพิงที่ตาสายนั่งอยู่นี้คือบ้านของแกเองที่ผุพังจนแทบจะมองไม่ออกเลยว่าใช้เป็นที่อยู่อาศัย หลังคาเป็นกระเบื้องเก่าๆ น่าหวาดเสียวหากคานที่ค้ำอยู่ผุ หลังคาทั้งหลังคงไม่เหลือแน่ๆ แกใช้หญ้าตอกมาจักสานเป็นแผ่นแล้วตอกตะปูติดกับเสาเพื่อยึดเป็นผนังบ้านใช้กันแดดกันลม และเป็นที่นอน
ในมุมนั้นเองมียายจันทร์ที่ป่วยเป็นโรคแขนขาอ่อนแรงนอนมองตาสายอยู่ปริบๆ เมื่อก่อนยายจันทร์แข็งแรงดี ฤดูที่แล้งแทบจะทำนาไม่ได้แกก็ออกไปรับจ้างนวดน้ำมันให้กับชาวบ้านทั่วไปชั่วโมงและสิบยี่สิบบาทแล้วแต่จะให้ ชาวบ้านที่เรียกใช้แกก็เพราะความสงสารซะส่วนมาก แต่เงินไม่กี่สิบนี้ก็ช่วยประทังชีวิตให้แกกับตาสายได้หลายวัน ยายจันทร์เพิ่งจะป่วยมาได้สักสามเดือนแล้ว ช่วงแรกๆนั้นแค่รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง แต่หลังๆมาแทบจะลุกนั่งยืนไม่ได้ด้วยซ้ำ ตาสายเคยพายายจันทร์ไปหาหมอครั้งหนึ่งหมอได้วินิจฉัยว่าเป็นเพราะยายจันทร์ใช้แรงในการนวดมากเกินไปและได้ให้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบมาชุดหนึ่ง แต่อาการของยายจันทร์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามกลับเลวลงในเวลาอันรวดเร็ว เงินที่พาไปหาหมอครั้งแรกทำให้ครอบครัวนี้แทบจะเรียกได้ว่าหมดตัวเลยทีเดียว เพื่อนบ้านที่รู้ว่ายายจันทร์ป่วยก็เอาข้าวสารมาให้บ้าง ถือว่าเป็นโชคและพระคุณสำหรับครอบครัวนี้อย่างใหญ่หลวงเพราะฤดูแล้งเช่นนี้การมีข้าวติดบ้านนั้นดีกว่ามีทองซะอีก เมื่อตาสายนั้นเมื่อเว้นจากทำนาก็ทำงานจักสานพวกพัดไม้ กระบุง หรือสานแห เอาไปขายในตลาด แต่ตาสายแกเริ่มจะมองอะไรไม่ค่อยเห็นมาได้สักสองปีแล้ว เหมือนมีอะไรขุ่นๆมัวๆมาบดบังสายตาแกอยู่ ตาสายนั้นอายุ 78 ปี เคยมีคนทักว่าตาของแกเป็นต้อกระจกควรจะไปหาหมอ แต่แกรู้ตัวดีว่าหากแกไปหาหมอ ครอบครัวของแกคงจะลำบากมากทีเดียว
ตา .. สูว่าบักทองมันจะกลับมาบ้านหรือเปล่า ยายจันทร์ถามขึ้น เมื่อเห็นตาสายนั่งคิดอะไรอยู่ มันต้องกลับมาแน่ มันไม่ทิ้งเราหรอก ตาสายหันไปตอบยายจันทร์อย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน
เฮ่อ .. ข้อยก็ไม่รู้จะหวังอะไร จดหมายสุดท้ายของบักทองที่ส่งมาก็ตั้งห้าเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้ข้อยไม่หวังให้มันร่ำรวยกลับมาหรอก แค่มันยอมกลับมาบ้าน มารับจ้าง อยู่กับเราเหมือนเมื่อก่อน ข้อยก็ตายตาหลับแล้ว
ยายจันทร์ถอนหายใจพลางพูดอย่างน้อยใจ ถ้ามันมีเมีย ได้ดิบได้ดีที่เมืองกรุงแล้วทิ้งเราไว้ที่นี่ แล้วเราจะฝากผีฝากไข้ไว้กับใครล่ะสู.. จดหมายฉบับที่แล้วมันบอกว่าเขาจะให้มันเป็นช่างปูนแล้วป่านนี้มันคงจะได้ดิบได้ดี จนลืมเราแล้วล่ะ
ตาสายเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ คิดถึงลูกที่ออกไปตรากตรำต่างบ้านต่างถิ่นรับจ้างเป็นกรรมกรแบกหามก่อสร้างเพื่อที่จะเก็บเงินมาซื้อรถไถ ปลูกบ้านใหม่ และเงินลงทุนซักก้อนทำพืชไร่ในช่วงที่ว่างเว้นจากการทำนา แต่เหมือนความฝันมันจะเป็นแค่ความฝัน ตาสายข่มความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่รู้ชะตากรรมของลูกซึ่งเงียบหายไปเกือบครึ่งปี และชะตากรรมในอนาคตของตนเองและครอบครัว หากขาดลูกไป แล้วสองตายายจะอยู่กับใคร
บักทองมันต้องกลับมาแน่ๆ มันไม่ทิ้งเราหรอกยาย เชื่อข้อยเถอะ
ตาสายพูดปลอบยายจันทร์ พร้อมกับให้ความหวังกันและกัน ยายจันทร์ยิ้มรับคำปลอบนั้น
******
ณ อีกมุมหนึ่งของเมืองหลวง ใต้ทางด่วนซึ่งสามารถหลบแสงแดดที่ร้อนแรงของดวงอาทิตย์ได้ แต่ไม่สามารถหลบความร้อนระอุที่วนเวียนอยู่รอบตัวได้เลย รถที่วิ่งไปมาบนทางด่วนอย่างรวดเร็วนั้น บางครั้งก็ทำให้ฝุ่นที่อยู่ซอกมุมของตอม่อฟุ้งกระจายเป็นระยะๆ มีชายคนหนึ่งที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงจนเป็นสังคะตัง ใส่แต่กางเกงผืนเดียวซึ่งดำและสกปรกพอๆกับเนื้อตาของเขา ชายคนนี้นั่งพิงเสาตอม่ออยู่ใต้ทางด่วน ควันดำของรถที่วิ่งผ่านไปมาบนทางปกติกับเศษกินเศษทรายที่หล่นมาจากบนทางด่วนไม่ทำให้เขาหลบหลีกหรือแสดงอาการรำคาญได้เลย
เขามีแผลฉกรรจ์ที่ท้ายทอยเหมือนโดนของแข็งกระแทกอย่างแรง แต่แผลนี้ไม่ลึกถึงกระโหลกและบาดแผลก็หายแล้ว คงไว้แต่รอยแผลเป็นรอยใหญ่ เห็นรอยได้ชัดเจนเพราะไม่ได้รับการรักษา บางครั้งเขาเจ็บแผล เจ็บลึกไปถึงในสมอง ทุกค่ำคืนเขาจะร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา
"ได้ๆ พ่อๆ กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวข้อยจะจูงควายไปไถนาเอง พ่อนอนพักผ่อนเถอะ" "แม่ๆ เดี๋ยวช่วงบ่ายเอาข้าวไปให้ข้อยที่ใต้ต้นมะกอกกลางทุ่งด้วยนะ" "วันนี้แม่ไม่ต้องไปนวดนะ เดี๋ยวข้อยจะไปรับเอาใบหญ้าคามาสานตอนเย็น แม่ทำกับข้าวเผื่อข้อยด้วยนะ"
เขามักจะพูดอยู่คนเดียวๆ เป็นเรื่องๆ ตอนๆ สายตาที่ไร้จุดโฟกัส ร่างกายที่สกปรกซอมซ่อ การพูดเพ้ออยู่คนเดียว ดูก็รู้ว่าชายคนนี้เสียสติแล้วแน่ๆ เขาชอบพูดอยู่คนเดียวเป็นวันๆ หัวเราะ ท่าทางเขาจะมีความสุขมาก แต่บางครั้งเหมือนจะร้องไห้ ชีวิตของเขาตอนนี้เหมือนอยู่กับวิมานอากาศ ความเพ้อฝันที่คอยปลอบประโลมจิตใจให้อยู่ได้ต่อไป เขาปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวของเขาในทุกเรื่องแล้ว
วันนี้ชายจรจัดที่เสียสติได้เดินออกไปคุ้ยขยะ หาเศษของกินที่พวกคนรวยกินทิ้งกินขว้าง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ได้หายากมากนัก ไม่ว่าจะน้ำอัดลมที่เหลืออยู่ครึ่งแก้ว ขนมปังที่เหมือนจะโดนแทะไปแค่คำเดียว อาหารที่เหลืออยู่ในถุงซึ่งคนทิ้งอาจจะมองว่าเป็นเศษขยะ แต่สำหรับชายคนนี้มันคืออาหารชั้นดี ถึงชายคนนี้จะเสียสติแต่ก็ไม่ได้อดโซเท่าใดนัก วันนี้เขาหาของกินได้ตั้งหลายอย่าง เขาหอบมันกลับไปยังใต้ทางด่วนที่เคยซุกหัวนอนอยู่ประจำ น่าแปลกที่แม้เมืองหลวงจะมีคนมากมายเดินสับสนกันไปหมดด้วยความเร่งรีบ บางทีเดินชนกันก็มี เขาก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะรีบอะไรนักหนา แต่ไม่มีใครกล้าจะเดินเฉียดมาใกล้ตัวเขาเลย จะมีบ้างบางคนหยุดมองเขาด้วยสายตาเวทนา รังเกียจหรืออะไรก็สุดจะเดาเพราะเขาเองก็ไม่เคยรับเศษอาหารหรือความช่วยเหลือใดๆจากคนพวกนี้เลย
เมื่อถึงใต้ทางด่วนซึ่งเขาเองเรียกว่าบ้านแล้ว เขารีบจัดวางอาหารที่ได้มาวันนี้เหมือนจัดโต๊ะกับข้าว วันนี้ท่าทางเขาท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ อาจเพราะเมื่อคืนเขาไม่ค่อยปวดหัวเท่าไหร่ และได้หลับจนเต็มอิ่ม
"พ่อๆ วันนี้ข้อยได้ของกินมาเพียบเลย ของดีๆทั้งนั้น" "แม่ๆ มากินนี่ๆ ข้อยเลี้ยงเอง แม่เคยกินบ่ ของแบบนี้บ้านเราไม่มีขายนะแม่" "พ่อจ๋าๆ ลองกินนี่สิ ข้อยลองชิมแล้ว มันแซบมาก พ่อจะต้องชอบแน่ๆเลยจ๊ะ"
เขาคุยอยู่คนเดียวพรางหัวเราะคิกคักๆ แต่อยู่ๆก็เขาก็นิ่งเงียบ .. เริ่มสะอื้น น้ำตาเริ่มไหล เขานั่งเงียบสายตาเหม่อมองไปไกลอีกแล้ว ความทรงจำที่แทบจะลางเลือนของเขาโผล่ขึ้นมาในห้วงความคิด เขาจำได้ว่า เมื่อก่อนนั้นเขาเองก็มีพ่อมีแม่ ไม่ได้เป็นคนจรจัดระหกระเหเร่ร่อนแบบนี้ ที่บ้านของเขาทำนา ที่นาของเขานั้นเขียวขจี มีน้ำคลองเล็กๆไหลผ่าน ชีวิตที่อยู่กับพ่อกับแม่ซึ่งตอนนี้แทบจะจำหน้าไม่ได้นั้น เขารู้สึกถึงความอบอุ่นได้ แต่เขาจำไม่ได้อีกแล้วว่าเขาเป็นใคร .. สิ่งที่เขารู้สึกคือ อยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาพ่อกับแม่
ชายจรจัดนั่งพิงตอม่อมองเหม่อออกไปมองดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้ไม่ได้ส่องแสงเจิดจ้าแล้ว ดวงอาทิตย์อัสดงสีแดงที่เกือบจะลับขอบตึกที่สูงระฟ้าไปนั้นทำให้เขารู้สึกหดหู่ ในใจเขาตอนนี้น้ำตาไหล่เอ่อท่วม เขาไม่รู้หนีจากความอดสูนี้ได้อย่างไร เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชื่ออะไร สมองของเขาว่างเปล่าไปหมด
//////////////
เมื่อก่อนผู้เขียนได้นำเรื่องนี้เข้าประกวดอะไรสักอย่างนี้แหละค่ะ นานแล้ว ^^" แต่ก็เข้ารอบ ๑๐๐ คนอยู่นะ (ก๊ากก) ตอนนี้มาเปิดไฟล์เก่าๆอ่าน เลยอยากจะแบ่งปันค่ะ ^^" ตอนนี้ก็กำลังแต่งเรื่องนี้แบบสมบรูณ์แบบ (เรื่องยาว) อยู่นะคะ ^^
/// ติ ชม ได้เน้อ (จะมีคนอ่านรึป่าว?) ^^"
จากคุณ |
:
Der_Lynn
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ต.ค. 54 16:29:21
A:124.121.61.154 X: TicketID:324952
|
|
|
|