"ยังใช้เวทมนตร์เต็มที่ไม่ไหว แต่ถึงอย่างไรมีเจ้านี่คงพอรับได้บ้าง"
เขาเดินรั้งท้าย เซรีจึงพลอยตกไปข้างหลังด้วย อย่างไรก็ตาม ยามที่นักบวชผู้นำทางเปิดประตูบานในออกมา เทรมิสก็ร้องอุทาน
ภายในห้องนั้นไม่ใช่ในตึกไม้ หากแต่เป็นมิติไร้ต้นไร้ปลายที่ถูกสร้างขึ้นมา ชั่วขณะที่เห็นมิติปั่นป่วนเช่นนั้น พ่อมดก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากรั้งท่านเซรีไว้ เขาดึงเจ้าหญิงไปข้างหลังตน กระแทกคทาเปรี้ยงลงโดยแรง
รอบด้านกระฉอกไหวราวคลื่นคลั่ง ก่อนจะกลับกลายพัดโหมแรงกล้าราวพายุใหญ่ ท่ามกลางกระแสดังกล่าว เทรมิสเห็นดวงตาของสัตว์แดงดังแสงฉาน เห็นเงาร่างของบางสิ่งอยู่ภายใน เขากำคทาใช้มือยันไว้ทั้งสองข้าง รู้สึกได้ถึงการปะทะมา บางสิ่งที่คล้ายสายน้ำ สัตว์ดุร้าย ยามมันฟาดเต็มกำลัง เทรมิสที่มีพลังไม่เต็มที่ก็ทนไม่ไหว ต้องเซถอยคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เหงื่อกาฬเริ่มหลั่งไหล เซรีเห็นดังนั้นจึงเร่งบิดแหวนเรียกฟารานินา
เปลวเพลิงปรากฏออกมาจากหัวแหวน พันม้วนหมุนวนรวมกันเป็นร่างเสือตัวใหญ่ ยามที่อุ้งเท้าของมันสัมผัสพื้นก็เห็นชัดว่าเป็นเสือเหลืองริ้วแดง ที่ข้อเท้าทั้งสี่และปลายหางของมันติดลุกเป็นไฟ หลายปีนี้ฟาราเติบโตแล้ว ตัวใหญ่เท่า ๆ กับอะรัม แม้จะบินไม่ได้อย่างเสือลม ก็มีพลังอื่น ๆ มากมาย
เซรีชักดาบออกแล้ว มือหนึ่งเธอวางบนหลังฟารา อีกมือกำดาบไว้ ยืนอยู่ข้างกายเทรมิส เตรียมรับทุกอย่างที่จะเข้ามา แต่ว่าตอนนั้นเอง พลังที่กดดันอย่างยิ่งอยู่รอบด้านก็ราวจะจางหาย เจ้าหญิงกับพ่อมดค่อยเห็นอีกครั้งว่ามิติรอบตัวไม่มีอีกแล้ว มีเพียงพวกคนสิปากับเกจที่มองมาอย่างตกใจ
อีกฟากของห้อง เสียงหนึ่งดังมาจากหลังม่านหนาหนักที่กั้นไว้
"ผิดคาดหมายไปบ้าง แต่ก็ไม่เลวทีเดียว"
"ท่านเป็นใคร ต้องการอะไรจากพวกเรา" เซรีถามทันที ชี้ดาบไปโดยไม่สนใจมารยาทใด
"ข้ารับทราบว่าท่านมาที่นี่ นกไฟและสัตว์ร้ายจากต่างแดน" เสียงหลังม่านบอกอย่างสงบ "เพราะรับทราบจึงให้คนนำตัวบุตรชายแห่งเผ่าโคแรนนิอิดคนหนึ่งมาจากงาน หวังว่าท่านจะตามมาที่นี่ เมื่อมาแล้วก็ขอให้เข้ามายังหลังม่านเถิด ยังมีเรื่องต้องเจรจากันต่อไป"
...........................................................................................................................................................................
ทัคทวาอยู่ในห้องส่วนตัวของตนบนเรือ เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่ง พิจารณาคทายาวซึ่งวางพาดตักไว้ หญิงร่างโปร่งแสงคนนั้นลอยอยู่ตรงหน้า นางเท้าศอกกับอากาศธาตุ มองเขาด้วยรอยยิ้มที่ยากจะอธิบาย
คทาดังกล่าวคืออันที่จ้าวเกาะลาตาดึงจากรูปสลัก เมื่อแรกเขาไม่ทันสังเกต แต่ยามนี้เห็นแล้วว่ามันไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อหิน คทาทำจากโลหะ...ทองแดงกระมัง เก่าคร่ำจนเขียว ยาวเกือบเท่าความสูงของเขา ที่ด้ามมีลวดลายงูพันไว้เกือบตลอดความยาว หัวคทาทำเป็นงูแผ่พังพาน ตรงคองูฝังอัญมณีเม็ดใหญ่ไว้ แต่อัญมณีนั้นหมองไปตามกาลเวลา
"ท่านว่าหากมีคทานี้ ข้าจะขึ้นเกาะมังกรขาวได้?" จ้าวเกาะเอ่ยถามทั้งไม่ได้มองคู่สนทนา "คำสาปของท่านจะไม่มีผลกับข้าอีกต่อไป"
"เป็นอย่างนั้น" อีกฝ่ายตอบ
"จะหลอกข้าไปตายหรือ" ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ยิ้มเล็กน้อย
หญิงร่างโปร่งแสงยิ้มตอบเขาเช่นกัน นางไม่ได้เอ่ยวาจา ทว่ายามจ้าวเกาะพิจารณาคนตรงหน้า เขาก็อดรู้สึกหลายอย่างไม่ได้ ผู้หญิงในความฝันของเขา...เธอแต่งกายเต็มยศอย่างคนหมู่เกาะลาตา คาดผ้าที่หน้าอกเปิดไหล่ และใช้วิธีพันผ้าบางเบาหลายผืนต่างกระโปรง สวมเครื่องประดับหลายชิ้น ต่างหู กำไลมือเท้า สร้อยและแหวน ผิวไร้สี ดวงตาแดง
"ข้าไม่คิดตายง่าย ๆ" เขาบอก "แต่หากว่าข้าต้องตาย ขอให้ข้าได้ตัวท่านก่อนแล้วกัน"
อีกฝ่ายหัวเราะ เคลื่อนเข้าใกล้ ทำกิริยาคล้ายประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเขา รอยจูบของวิญญาณ...บางเบา คล้ายจะรู้สึกได้ คล้ายจะรู้สึกไม่ได้ ราวกับเปลวไฟ
"ท่านจะได้ข้าผ่านเมราล เชอยิน" นางบอก "ถ้าหากท่านสามารถได้นาง"
ทัคทวาเลียริมฝีปาก เขารู้สึกคล้ายเพิ่งลิ้มรสหวาน รสของความท้าทาย การเสี่ยงภัย
"ท่านจะได้ทุกอย่าง ถ้าหากท่านไม่เกรงกลัวความตาย" หญิงร่างโปร่งแสงเอ่ยต่อไป "ท่านอยากได้หรือไม่ จ้าวเกาะลาตา"
เขาอยากได้หรือไม่น่ะหรือ
เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรจะนำไปสู่อะไร ทว่าทัคทวาเป็นจ้าวเกาะมาได้ก็ด้วยความกล้า เขาไม่เคยคิดถอยหนีจากภัยอันตรายใด ๆ สิ่งใดยิ่งท้าทาย ทัคทวายิ่งมีความพอใจจะทำ
"หากว่าท่านกล้า ขอให้ลองไปนำพลังแรกมาให้ได้ มันอยู่ที่เกาะสิปา ข้าจะนำท่านไป" หญิงคนนั้นเอ่ยต่อ "หากว่าได้พลังนั้นมา ท่านจะเข้าใจ...จะไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้อีกเลย"
...
นางจากไปแล้ว
ไปที่ใดของเรือไม่ทราบ อาจจะไปรบกวนปั่นหัวใครก็ได้ ทัคทวาไม่สนใจ เขาเพียงมองคทาบนตักของตน
การเสี่ยงภัยหรือ และพลังอำนาจ ถ้อยคำเหล่านั้นชวนให้นึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ความพอใจอันเอ่อท้นขึ้นมา ความรู้สึกหลากหลายที่เขายังคงต้องไตร่ตรอง ต้องคิดเสียก่อนจะตกลงทำอะไรต่อไป ทว่ายิ่งกว่านั้น มันยังทำให้นึกถึงเมราล และชายคนนั้นที่ชื่อลอร์คานอย่างช่วยไม่ได้ ลอร์คานแห่งรูฮาห์ ซึ่งพวกคนโคแรนนิอิดเรียกว่าเบรุคคอลีฟห์ เขาเข้าใจว่ามันก็เป็นพระราชาจากแดนห่างไกล ทัคทวาลูบตรงใต้คาง เขายังรู้สึกได้ถึงคมมีดของมัน
ชั่วขณะที่มันเข้าคุกคาม ทัคทวารู้สึกชัดว่ามันเป็นสัตว์ดุร้าย...เหมือนสิงโตตัวใหญ่ที่เคยเห็นในเรือพ่อค้า สัตว์สง่ามีแผงคอฟูหนาราวมงกุฏ ตัวใหญ่ยิ่งกว่าเสือที่ใหญ่ที่สุดในลาตา มันมองเขา ดวงตาสีเหลืองทองเป็นประกายกล้า หางยาวที่มีพู่ตรงปลายสะบัดตีซี่กรง มันไม่อาละวาดตะกุยตะกาย ทว่าเพียงมองมา ด้วยดวงตาที่แทบจะบีบคั้นให้เหยื่อขาดใจตาย
...มันเป็นสิงโตจ่าฝูง ไม่ใช่สิงโตทั่วไป...พ่อค้าบอกเขา...ท่านเห็นหรือไม่ มันไม่เหมือนสิงโตทั่วไป...
ทัคทวาจ่ายทองถึงสามถุงเพื่อซื้อสิงโตตัวนั้นมา เขาพยายามปราบมันไม่เชื่อง แต่ไม่สามารถทำได้ สุดท้ายแม้เฆี่ยนตีให้อดอาหาร มันก็ไม่ยอมศิโรราบแต่อย่างใด ทัคทวาชังสิ่งที่ไม่ยอมศิโรราบให้ตน เขาจึงใช้เวลานับสัปดาห์ ค่อย ๆ ฆ่ามันให้ตายอย่างทรมาน
จ้าวเกาะลาตายกแผลที่แขนตนขึ้นเลีย เลือดหยุดไหลแล้ว เขาไม่ใส่ใจจะรักษา เขาเพียงรู้สึกตื่นเต้น...ความตื่นเต้นถึงสามเท่า ความท้าทายจากหญิงร่างโปร่งแสง การบังคับให้นางคนพยศเมราล เชอยินต้องยอมศิโรราบ และก็สิงโตจ่าฝูงตัวนั้น...เขาจะปราบมันให้เชื่อง ถลกหนังมันออกมา น่าสนุกดีไม่ใช่หรือ เขาอยากเห็นหน้านางงูพิษยามคนรักถูกทำลาย
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ม.ค. 55 03:22:20
|
|
|
|