จดหมายระหว่างทาง ... จดหมายถึงย่า

    ย่าจ๋า…

    กว่าปีแล้วนะจ๊ะที่เราไม่ได้เจอกัน...

    หนูกับเจ้าพีนัทไม่ได้เข้าไปในห้องย่าเพื่อตะโกน (ต้องตะโกน เพราะพูดเบาๆ ย่าจะไม่ได้ยินใช่ไหมจ๊ะ) บอกว่า “สวัสดีค่ะคุณย่า” ทุกตอนเช้า ตอนกลับเข้าบ้าน และตอนก่อนนอน ในขณะเดียวกันย่าก็ไม่ได้ส่งเสียงเรียกหนู เจ้าพีนัทหรือคนอื่นในบ้าน เพื่อให้หาของกิน หรือว่าหาคลื่นวิทยุให้อีก

    ไม่ใช่เพราะเราสองคนอยู่ห่างไกลกันขนาดที่ว่าข้ามน้ำข้ามทะเลมาจะเจอกันยังลำบาก แต่เป็นเพราะว่าย่าได้จากพวกเราไปแล้วต่างหาก

    หนูรู้ว่ามันทรมาน เจ้าอาการที่ย่าเป็น ย่าเดินไม่ได้...ขยับตัวไม่ได้...จะนั่งจะนอนหรือจะเคลื่อนไหวตัวสักทีก็ต้องให้คนมาช่วย ดวงตาของย่าฟ้าฟางจนมองเห็นไม่ชัดอีกต่อไป...ไม่ว่าจะใช้แว่นสายตาแบบไหนรุ่นไหนก็ตาม

    นี่แค่อาการภายนอกเท่านั้น แล้วไหนจะอาการภายในที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่พวกเราจะรู้ได้ตอนที่ย่าทรุดจนต้องพาไปส่งโรงพยาบาลแล้วอีกล่ะ

    หนูไม่รู้รายละเอียดว่าหนูกับเจ้าพีนัทใช้เวลาช่วงปิดเทอมของแต่ละปีไปทำอะไร รู้แต่ว่าเราสองคนใช้เวลาพวกนั้นไปทำโน่นทำนี่เพื่อตัวเองมากมาย แทนที่จะอาสาเฝ้าย่าที่โรงพยาบาล เพื่อที่ย่าจะได้ลอกต้อที่ตาออก แล้วจะได้มองเห็นได้ชัดอีกครั้ง

    เรามารู้ว่าเราได้ปล่อยเวลาและโอกาสให้หายไป ก็ต่อเมื่อร่างกายย่าอ่อนแอเกินกว่าจะทำการรักษาอย่างนั้นได้ ส่งผลให้ดวงตาของย่าแย่ลงทุกที

    มันไม่สบายเลยใช่ไหมจ๊ะ สำหรับคนที่ติดละครโทรทัศน์ ทั้งยังชอบอ่านเรื่องย่อละครในหนังสือพิมพ์อย่างย่า

    หนูไม่รู้ว่าหนูเห็นแก่ตัวมากเกินไปไหม เพราะเมื่อแรกที่ย่าเข้าโรงพยาบาลตอนช่วงหนูกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น หนูสวดมนต์ภาวนา ขอให้ย่ายังอยู่กับหนู ได้เห็นความสำเร็จเบื้องต้นของหนู ก็คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

    แล้วย่าก็ยังอยู่กับหนู ไม่ว่าจะเพราะคำสวดมนต์อ้อนวอนของหนู หรือเพราะว่ายังไม่ถึงเวลาของย่าก็ตามที วันที่ซองใส่ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยมา หนูเปิดดูมันในห้องของย่า แล้วเราสองคนย่าหลานก็กอดกันดีใจ...หัวเราะทั้งน้ำตา

    ย่าป่วยเข้าโรงพยาบาลแทบจะทุกปีหลังจากนั้น ทำเอาพวกเราใจหายใจคว่ำไปตามๆ กันทุกครั้งเหมือนกัน

    แม้ว่าจะเริ่มทำใจกันว่าอาจจะถึงเวลาของย่าแล้ว เพราะนี่ก็กว่าแปดสิบปีแล้วที่ย่าอยู่กับพวกเรามา กระนั้นหนูก็ยังขอ...ขออย่างเห็นแก่ตัวว่าขอให้ย่าอยู่จนหนูเรียนจบได้งานทำก่อน หนูอยากให้ย่าหมดห่วงว่าสุดท้ายหนูก็มีงานทำ อยากให้ย่าได้มั่นใจว่าหนูมีแววที่ว่าจะดูแลตัวเองได้ต่อไปในอนาคต

    แล้วย่าก็ยังอยู่กับหนู จนกระทั่งหนูสอบเสร็จเป็นอันจบปริญญาตรี จนกระทั่งหนูเริ่มทำงานหลังจากนั้นอีกไม่นานในบริษัทที่ใครๆ ก็เห็นว่ามั่นคง

    ย่าเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ท่ามกลางความห่วงใยของพวกเราทุกคน แต่คราวนี้เหมือนกับย่าแอบรู้คำขอของหนูเลยนะจ๊ะ จำได้ไหมที่หนูสวดมนต์ภาวนาขอให้ย่ายังอยู่กับหนู...เห็นหนูเรียนจบและได้ทำงานก่อนที่ย่าจะต้องไปน่ะ

    ย่าคงบอกอยู่ในใจว่า ‘เอ้า เรียนก็จบแล้ว งานการก็มีทำแล้ว เป็นอันหมดห่วงแล้ว ย่าไปล่ะนะ’ แหะ...แหะ...แต่บางทีย่าอาจไม่ได้บอกอย่างนั้นก็ได้ เพราะระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลนั่น ย่ามีท่าทางอยากอยู่ดูลูกๆ หลานๆ ต่อไปอีกหลายๆ ปีจะตายไป

    แต่ย่าก็จากพวกเราไปในที่สุด หนูแวะไปเยี่ยมย่าตอนเช้าก่อนเลยไปเอาชุดครุยรับปริญญาแถวท่าพระจันทร์ แวะคุยกับพี่แถวบ้าน ก่อนจะกลับเข้าบ้านมาตอนบ่ายแก่ๆ พบว่าเจ้าพีนัทอยู่บ้านคนเดียว

    พีนัทบอกว่าอาที่เฝ้าย่าอยู่ที่โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าย่าหยุดหายใจ หมอกำลังพยายามช่วยอยู่ พ่อกับแม่เลยออกไปที่โรงพยาบาล ให้พีนัทเฝ้าบ้านอยู่ทางนี้

    ทำไมนะย่าจ๋า ทำไมหลังเอาชุดครุยแล้วพวกเราไม่กลับไปอยู่กับย่า ทั้งๆ ที่ตอนเช้าที่ไปเยี่ยมน่ะ ก็เห็นอยู่แล้วว่าอาการย่าหนัก...หนักมาก ราวกับจะไปจากพวกเราได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว

    หนูกับพีนัทได้แต่รอข่าวจากโรงพยาบาล สิ่งที่เสียใจที่สุดไม่ใช่การที่ไม่ได้บอกรักย่า เพราะหนูรู้ว่าย่า ‘รับรู้’ ได้ว่าพวกเรารักย่าขนาดไหน สิ่งที่เสียใจที่สุดไม่ใช่การไม่ได้เห็นหน้าย่าเป็นครั้งสุดท้าย (แม้ว่าย่าจะจำพวกเราไม่ได้มาหลายวันแล้วก็ตาม) สิ่งที่เสียใจที่สุดไม่ใช่การฉุดรั้งย่าไว้ไม่ได้ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเพียร ‘ขอ’ สักเท่าไหร่

    แต่สิ่งที่เสียใจที่สุดของหนูในวันนั้นคือการที่หนูไม่ได้ไปอยู่ข้างอา ในช่วงเวลาที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สูญเสียที่สุดของอา เพราะอาเป็นคนเดียวที่อยู่ดูแลย่าอย่างใกล้ชิดและผูกพันกันมานาน

    หนูรู้ว่าอาอ่อนไหวขนาดไหน รู้ว่าตัวเองไม่เข้มแข็งเพียงใด แต่ก็รู้ว่ามันคงจะดี ถ้าได้อยู่ข้างๆ อาในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ย่ามีอาการเปลี่ยนไปจนต้องตามหมอ เวลาที่หมอให้อาออกมารอข้างนอกห้องผู้ป่วยเพื่อทำการดึงย่ากลับมาหาพวกเรา เวลาที่รออย่างไม่สามารถทำอะไรได้เพื่อให้พ่อกับแม่เดินทางมาสมทบ

    บอกกับตัวเองว่านี่แหละคือชีวิต...แต่ละคนก็พบเจอเรื่องราวที่ทำให้ดีใจหรือเสียใจแตกต่างกันไป (มันเกี่ยวกันไหมจ๊ะย่าจ๋า)

    หนูกับพีนัทรออยู่ที่บ้านพร้อมอย่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่นานนักพ่อก็โทรมาบอกว่าย่าได้จากพวกเราไปแล้วจริงๆ ให้พวกเราโทรแจ้งญาติสนิท และหารูปของย่าเตรียมไว้ขยายใส่กรอบจัดงาน

    ย่าถ่ายรูปเดี่ยวน้อยมากเลยนะจ๊ะรู้ไหม หนูกับเจ้าพีนัทพลิกหาแทบทั่วบ้านกว่าจะได้รูปของย่า หาไป...ก็ขำไป

    ใช่จ้ะย่าจ๋า ย่าอาจจะเห็นพวกเราสองคนแล้วก็ได้ตอนนั้น อาจจะนึกบ่นอยู่ในใจด้วยว่าหลานชั้นสองคนเป็นอะไร ชั้นไม่อยู่ทั้งทีทำไมพวกนี้ขำอยู่ได้

    หนูกับเจ้าพีนัทก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้แต่หาๆ รูปไป เราสองคนก็เริ่มหัวเราะ หัวเราะ...หัวเราะ...หัวเราะ จนทำอะไรแทบไม่ถูก ที่แย่กว่านั้นก็คือตอนต้องโทรไปแจ้งข่าวกับบรรดาญาติๆ แล้วหนูยังหยุดหัวเราะไม่ได้นี่สิ เกือบไปแล้วย่าจ๋า ถ้าห้ามตัวเองไว้ไม่ทันคงโดนบรรดาญาติๆ รุมว่าแย่เลย

    มันไม่ใช่เวลาที่ควรจะหัวเราะ อันที่จริงเราสองพี่น้องไม่เคยหัวเราะด้วยกันมากขนาดนั้นมาก่อนเลยก็ว่าได้ แต่ ณ ที่นั้น เวลานั้น เราสองคนหัวเราะกันแทบขาดใจ หนูไม่รู้ว่าเจ้าพีนัทจะรู้สึกเหมือนหนูรึเปล่า หนูรู้แต่ว่าหนูหยุดหัวเราะไม่ได้ เพราะทันทีที่หยุดหัวเราะ...หนูจะร้องไห้ ร้องไห้แบบไม่เป็นอันทำอะไรเลยด้วย

    หนูไม่อยากร้องไห้ออกมาตอนนั้น เพราะรู้ว่ายังมีอะไรที่ต้องทำกันอีกมากมาย

    แต่หนูก็ร้องไห้อย่างไม่อายใคร แม้ว่าจะเป็นคนคอยตักน้ำให้บรรดาแขกที่มารดน้ำย่า บอกตัวเองแล้วนะว่าอย่าร้องๆ แต่จู่ๆ น้ำตาก็ไหล แล้วก็ไม่สามารถหยุดได้อีกเลยตลอดเวลาที่แขกแต่ละคนมาทักทายย่าเป็นครั้งสุดท้ายกัน

    รูปที่เจ้าพีนัทถ่ายมาวันนั้น หนูงี้ตาบวมปูด จมูกแดง หน้าแดง หน้าตาในรูปดูก็รู้ว่าร้องไห้อย่างหนัก แต่ยังมีหน้าที่ที่ต้องรักษา คือตักน้ำให้แขกอยู่ดี

    มันเป็นสามวันที่วุ่นวายและเหน็ดเหนื่อย ย่าเห็นใช่ไหมจ๊ะ สามวันที่แม้ว่าวัดจะอยู่ใกล้บ้านแค่ขับรถไม่เกินสิบนาทีก็ถึง แต่มีอะไรก็ไม่รู้ประเดประดังเข้ามามากมายไปหมด

    และที่สำคัญก็คือ...หนูยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้กับการที่จะไม่มีย่าอยู่กับพวกเราอีกต่อไปแล้ว

    หลังจากสามวันที่วัด วันรุ่งขึ้นพวกเราก็อยู่บนรถเดินทางไปเพชรบุรีกัน

    ย่าอยู่บนตักหนู หนูประคองย่าแล้วคุยกับย่า (ในใจ) ไปตลอดทาง แล้วพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้

    เราเดินทางมาถึงเพชรบุรี แล้วก็มีครอบครัวของคุณป้าที่เป็นหลานคนนึงของย่าเดินทางมาสมทบ พวกเราพาย่าไปที่สถูปเล็กๆ ซึ่งมีบรรดาญาติพี่น้องอยู่ในนั้นก่อนหน้านี้หลายต่อหลายคนแล้ว

    ย่าดีใจไหมจ๊ะที่ได้กลับบ้าน...ย่าดีใจไหมที่ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และญาติๆ …ย่าดีใจไหมที่ไม่ต้องไม่สบายกายด้วยโรคต่างๆ อีกต่อไปแล้ว

    แล้วย่าจะคิดถึงพวกเราบ้างไหมจ๊ะ จริงๆ หนูก็รู้ว่าย่าต้องคิดถึงอยู่แล้วน่ะจ้า แค่อยากถามเพื่อความมั่นใจเท่านั้นเอง

    กว่าปีแล้วที่เราอยู่ไกลกัน หนูไม่รู้ว่าตอนนี้ย่าอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง...

    หนูรู้แต่ว่าหนูยังฝันถึงย่าอยู่ในหลายๆ ครั้ง ยังร้องไห้ทุกครั้งที่พูดถึงย่า ร้องไห้อย่างหยุดไม่ได้ทุกทีที่พยายามจะเขียนถึงย่า

    หนูอยากเขียนจดหมายถึงย่า อยากเขียนเรื่องราวต่างๆ บอกย่า แต่ทุกครั้งที่เริ่มเขียน (อันที่จริงต้องบอกว่าพิมพ์) น้ำตาก็มาจากไหนไม่รู้มากมาย

    คงเป็นอย่างที่หนูบอกล่ะจ้า ว่าหนูยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้กับการที่จะไม่มีย่าอยู่กับพวกเราอีกต่อไปแล้ว ผ่านมากว่าปีแล้ว หนูก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจเจ้าเรื่องง่ายๆ (ตามทฤษฎี life-cycle แต่เป็นเรื่องยากในความรู้สึก) ได้

    ตอนนี้หนูก็ยังคงร้องไห้ พิมพ์ไป...ร้องไห้ไป ทิชชู่ผืนใหญ่แบบที่ใช้ในครัวที่เค้าว่าหนา เหนียว คุณภาพดีขาดยากก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาหนูแล้วเนี่ย

    ย่าไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ วันนึงหนูก็คงจะเข้าใจได้เอง แล้วดีขึ้นในที่สุด

    จากคุณ : เพนนีกับพีนัท (เพนนีกับพีนัท) - [วันเข้าพรรษา 12:55:41 ]