อยากเป็นคนเลวที่เธอรัก

    “เป็นไงบ้าง ไม่ได้ติดต่อกันตั้งนานเลยนะ เราคิดว่าเราเข้าใจนะว่าหนึ่งรู้สึกอย่างไร เท่าที่ได้พูดได้คุยกันมามันไม่ได้สูญเปล่าหรอก อย่างน้อยเราก็ได้ซึมซับอะไรหลายๆอย่าง เรายอมรับว่าหนึ่งเป็นคนที่รู้อะไรๆ เกี่ยวกับเรามากที่สุด  เป็นคนที่เรารู้สึก  ไว้ใจ  อบอุ่นใจ เมื่อได้คุยด้วย เวลาที่เราไม่มีใคร เวลาเราเหงา เมื่อเราหันกลับไป หนึ่งจะอยู่ตรงนั้นเสมอ ...  

    แต่ก็อย่างที่เคยพูดกันนะ ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน มนุษย์เราต้องมีสิ่งต่างๆ สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาอยู่เสมอ บางครั้งมันก็มีสิ่งที่เราอยากทำแต่ก็ทำไม่ได้ บางครั้งมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายว่าทำไมเราถึงทำอะไรลงไป…

    ไม่รู้เหมือนกันนะเรารู้สึกว่าหนึ่งมีเรื่องที่ปิดบังเราอยู่อีกมาก เข้าใจนะว่าบางเรื่องมันก็เปิดกันไม่ได้ แต่รู้ไหมว่ามันทำให้รู้สึกว่าไม่มั่นใจ  เพราะมันไม่ชัดเจน หนึ่งก็รู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร  เราผ่านอะไรมาบ้างและแสวงหาอะไรอยู่ เรารอไม่ได้หรอกกับการเดินทางที่ดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด เราอยากพักสักทีกับคนที่เรามั่นใจว่าเขารักเราจริงๆ  

    ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน และเสียใจที่ทำให้เสียความรู้สึก ขอให้หนึ่งได้เจอคนดีๆ ที่เหมาะสมนะ เราว่าความหวังของหนึ่งที่บอกกับเราน่ะเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้กัน  ไม่ต้องไปไกล แค่คนของเรานี่ก็ไม่มีทางแล้ว….อยากเจอคนที่โชคดีคนนั้นเร็วๆจัง  หวังว่าการเดินทางของหนึ่งคงมีจุดสิ้นสุดนะแล้วเราจะแสดงความยินดีด้วยอย่างจริงใจ ….ไม่ว่าอย่างไรเราจะเก็บความรู้สึกดีๆที่มีให้กันไว้ตลอดไป.”

    ยังไงก็เพื่อนกันนะ.
    บี.

    ผมนั่งอ่านอีเมลล์ฉบับนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าความรู้สึกเก่าๆ มันท่วมท้นขึ้นมาทุกทีที่ได้อ่านมัน หลังจากเธอห่างหายไปเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ผมก็ได้รับเมลล์ฉบับนี้มา ครั้งสุดท้ายที่พบกันผมยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพียงสังเกตเห็นแต่ว่าเธอเปลี่ยนไป พูดมากขึ้นเอาใจผมมากขึ้นก่อนที่จะจบด้วยคำว่า

    “เราว่าหนึ่งกับเรานะเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่านะ ยิ่งหนึ่งดีต่อเราเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกว่าตัวเราไม่ดีพอสำหรับคนดีๆ อย่างหนึ่งเลย ช่วงนี้ขอเวลาเราคิดใคร่ครวญคนเดียวสักพักนะ แล้วเมื่อเราคิดได้เราจะติดต่อกลับไป ...หวังว่าคงเข้าใจนะ”

    น้ำเสียงที่เรียบ ช้า แต่ชัดเจนนั้นดังก้องในหัวผมไปตลอดทั้งสัปดาห์ เฝ้าแต่คิดว่าเพราะอะไร บางครั้งในใจก็ยังมีความหวังอยู่บ้างว่าเธอแค่ขอเวลาไปคิดเท่านั้นเองอาจไม่มีอะไรมากก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไปเองสิ บางครั้งก็คิดว่าอย่างนี้มันเข้าข่าย คำว่า “ดีเกินไป” ประโยคอมตะในการขอบอกเลิกหรือเปล่า จนในที่สุดข้อสรุปก็ได้ถูกส่งมาในรูปของอีเมลล์ฉบับนี้นั่นเอง

    เป็นอันว่าการคาดคะเนของผมใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมด อย่างน้อยความคิดในวูบแรกของผมก็ถูกต้อง เพียงแต่ว่าในตอนนั้นผมยังไม่สามารถยอมรับความจริงได้เท่านั้นเอง เพียงแค่มีความหวังสักเศษเสี้ยวหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะยึดมันเอาไว้ จนท้ายที่สุดเมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดลง ความเป็นจริงก็ปรากฎขึ้น.

    ผมยิ้มให้กับตัวเอง หวนนึกว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน.....

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมจะสร้างกำแพงกันตัวเองไว้ ไม่สนิทชิดเชื้อกับใคร  แล้วบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าต้องสร้างฐานะก่อนต้องพร้อมก่อนถึงจะมีเวลาให้เรื่องของความรัก แต่ในโลกมนุษย์นี้มีหลายเรื่องที่เราไม่สามารถกำหนดมันได้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของความรักนั่นเอง

    ผมพบเธอโดยบังเอิญขณะที่กำลังเดินฝ่าสายฝนสวนกัน ผมถือร่มคันใหญ่ ส่วนเธอเดินตากฝนผ่านมาอย่างช้าๆ เหมือนกับไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่แทรกซึมเข้าร่างแม้แต่น้อยนิด ผมมองไม่ออกเช่นกันว่าบนใบหน้าของเธอนั้นสิ่งที่ไหลพาดผ่านมันคือหยาดฝนหรือหยาดน้ำตา เธอมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอยเหมือนอยู่ในโลกของเธอคนเดียว

    “ไปด้วยกันไหม ?“ ผมร้องถามว่าจะเข้ามาในร่มด้วยกันไหม

    ไม่มีเสียงตอบเธอเดินผ่านไปด้วยความเร็วคงที่ วินาทีนั้นในใจผมคิดว่าเธออาจจะทำอะไรโง่ๆ ก็ได้ ไหนๆเราก็เกิดมาร่วมโลกกันแล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกกัน ผมตัดสินใจหันหลังเดินจ้ำตามเธอไป เมื่อทันก็ยืดมือขึ้นเพื่อให้ร่มขยายอาณาเขตครอบครุมไปถึงร่างของเธอด้วย เธอยังเดินต่อไปเรื่อยๆ ผมสังเกตเห็นเธอเริ่มหนาวสั่นคงเป็นเพราะเสื้อผ้าที่เปียกถูกกระแสลมพัดผ่าน จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบผ้าขนหนูที่ผมมีติดไว้ประจำตัวเผื่อไว้อาบน้ำที่ๆ ทำงานหลังจากออกไปพบลูกค้าไกลๆ ขึ้นมาให้เธอ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอมีปฎิกิริยาโต้ตอบ เธอรับไปแล้วคลุมผ่านไหล่ทั้งสอง เห็นมือทั้งสองของเธอกุมผ้าขนหนูแน่นจนผมเกรงว่า ไม่ผ้าขนหนูของผมก็คงเป็นมือน้อยๆ นั้นที่จะฉีกขาด  

    เราเดินต่อไปสักพักหนึ่งเธอจึงหยุดลงหันหน้าเข้าหาผม ซบหน้าลงกับอกของผม ช่วงเวลานั้นผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ รู้แต่ว่าสิ่งที่ผมสงสัยเมื่อกี้นี้ว่าบนใบหน้าของเธอสิ่งที่ไหลผ่านคืออะไรบัดนี้ผมได้คำตอบแล้ว ความอุ่นของหยาดน้ำตาที่ไหลออกมากระทบกับหน้าอกของผมนั้น ดูเหมือนจะมีความรู้สึกสื่อออกมาด้วยกำแพงใจผมถูกทำลายลง ผมเอื้อมมือขวาที่ไม่ได้ถือร่มโอบกอดเธอพร้อมกับตบหลังเธอเบาๆ เป็นกอดแรกในชีวิตลูกผู้ชายของผม...

    ผมพาเธอเข้าไปนั่งในคอปฟี่ชอปข้างทาง สั่งชาร้อนมาให้เธอและกาแฟสำหรับตัวผมเอง มองออกไปข้างนอกพายุฝนยังสาดซัดไม่หยุดยั้งดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ผมกวาดสายตากลับมาที่ข้อมือด้านซ้าย เห็นนาฬิกาแสดงเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่ดึกมากนักในใจผมคิด ผมเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับเธอ ผมเพิ่งสังเกต ณ เวลานั้นเองว่าเธอเป็นคนที่น่ารักคนหนึ่งทีเดียว ตั้งแต่พบกับเธอเรายังไม่ได้พูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว สายตาของเธอมองเหม่อลอยออกไปด้านนอกตลอดเวลา

    ผมไม่อยากรบกวนเธอจึงนั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น สักพักบริกรหนุ่มก็นำ ชาและกาแฟมาให้ ผมเลื่อนถ้วยชาที่มีควันกรุ่นไปให้เธอ พร้อมกับสะกิดหลังมือเธอเบาๆ เธอหันหน้ากลับมามองที่ผมและถ้วยชา ก่อนที่จะหันกลับไปที่กระจกด้านข้างอีกครั้ง ผมเติมนมและน้ำตาลลงถ้วยกาแฟ ยกขึ้นจิบอย่างแผ่วเบา ในใจคิดว่าอาการน่าเป็นห่วงแฮะ... จนกระทั่งได้ยินเสียงเบาๆ เหมือนลอยมาตามลมดังขึ้นไกลๆ  

    “คิดว่าฉันจะฆ่าตัวตายหรือ”  

    ผมคิดอยู่ครู่นึงจึงรับคำไป เพราะคิดได้ว่าเธออาจผิดหวังจากคนที่หลอกลวงฉะนั้นผมจึงไม่ควรที่จะโกหกเธออีก เพราะอาจไปสะกิดอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจเธอเข้า

    “ฉันสภาพแย่ขนาดนั้นเลยหรือ”  

    “ก็ไม่แย่มากนักหรอกนะ แต่ก็ไม่ปกติแน่ๆ ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ รู้อย่างเดียวว่ามันคงหนักหนาสาหัสมาก ใจเย็นๆ ค่อยๆคิดไปดีกว่านะ ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปคิดอะไรมากดีกว่า ยิ่งคิดยิ่งหนักหัวเปล่าๆ จิตใจไม่ปกติอารมณ์ก็ไม่ปกตินะ” ผมตอบกลับไปก่อนหยิบถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง

    “ฉันท้อง ...เขาให้ไปเอาเด็กออก” เธอกล่าวออกมาปนเสียงสะอื้น

    “.........” ผมอึ้งไปนานทีเดียว ดูแล้วเธอน่าจะประมาณ 18-19 ปี คงกำลังเรียนมหาลัยอยู่

    “แล้วคุณ เอ่อ ...จะทำอย่างไรหล่ะ” ผมเริ่มตะกุกตะกัก เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับ 2 ชีวิต

    “ลูกของฉันนะ  ฉันจะเก็บไว้ แต่จะบอก พ่อ... แม่... อย่างไร“ เธอสะอื้น คนรอบข้างเริ่มมองมาที่โต๊ะ ผมเริ่มรู้สึกว่าถูกพิพากษาไปแล้วว่าเป็นไอ้เลว ทำผู้หญิงร้องไห้ โต๊ะข้างๆ ที่อาจได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง อาจจะสรุปไปแล้วว่าผมนี่มันโคตรชั่วเลย ไม่มีความรับผิดชอบ.

    “ยังเรียนอยู่ด้วยใช่มั้ย” ผมถาม เธอพยักหน้าเบาๆ เสียงสะอื้นยังมีออกมา

    เรื่องใหญ่แฮะ ทำไงดีวะ ผมครุ่นคิดอยู่นานทีเดียว หาคำตอบไม่ได้ ความเครียดเริ่มเข้าครอบครองความรู้สึก สุดท้ายจึงตระหนักได้ว่า สิ่งสำคัญตอนนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเหล่านั้น แต่เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งก็คืออารมณ์ของเธอตอนนี้มากกว่า  ฉะนั้นต้องพยายามให้เธอระบายออกมาให้มากที่สุด ให้ความรู้สึกที่เก็บกดของเธอถูกปลดปล่อยออกมา น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้

    แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 46 08:26:28

    จากคุณ : ริสรน (biblio) - [ 12 ม.ค. 46 21:51:39 ]