============================================================
เย็นวันหนึ่งหลังฉลองวันเกิดครบห้าสิบปี ผมผลักประตูบาร์ร้านหนึ่งใกล้ ๆ บ้านที่อยู่ในตอนเด็ก พ่อของผมยืนอยู่ในนั้น ขากลับจากสำนักงานที่ลอนดอน ท่านจำผมไม่ได้ แต่ผมกลับดีใจจนตื้นตัน ที่เห็นพ่อเฒ่าอีกเพราะท่านสิ้นไปตั้งสิบปีแล้ว ส่วนแม่ก็เพิ่งห้าปีเอง
"สายัณห์สวัสดิ์ "ผมร้องทัก แล้วเข้าไปยืนข้างท่าน"ยินดีที่เจอครับ"
"สวัสดี"ท่านทักตอบ
"ที่นี่ไม่เปลี่ยนเลยนะครับ"ผมบอก
้
"เราชอบที่มันเป็นอย่างนี้แหละ"
ผมสั่งเครื่องดื่ม ผมอยากดื่มสักแก้ว
ผมสังเกตเห็นวันที่บนหัวหนังสือพิมพ์ที่ทิ้งแล้ว เลยคิดคำนวณได้ว่าพ่อแก่กว่าผมเล็กน้อย เกือบห้าสิบเอ้ดแล้ว เราสองคนใกล้ชิดกันเกือบเท่า . . . หรือแค่ชั่วคราว กับที่ครั้งหนึ่งเราเคย
ท่านคุยอยู่กับชายคนหนึ่งทีนั่งสตูลตัวถัดไป สาวหัวเราะงอหายขี้แตนกับทั้งสองคน ผมรู้จักพ่อดีกว่าใคร ๆ หรือออย่างน้อยก็คิดว่ารู้ ผมกระสันต์อยากสวมกอดท่านหรือจูบที่มือท่านอย่างที่เคยกระทำมา ผมถอนใจได้แต่มองท่านทำตัวสบายที่บาร์ข้างชายผู้นั้น ที่ตอนนี้ผมจำได้แล้วว่าเป็นพ่อของเพื่อนร่วมโรงเรียน ทั้งสองไม่ใส่ใจเลยเมื่อผมเข้าไปร่วม
ก็อย่างคนส่วนมาก ผมสนิทชิดเชื้อดีกับความตายผมฝันบ่อยครั้งถึงพ่อแม่และบ้านหลังที่ผมเติบโตมา จำไม่ได้แล้วหน้าตาอย่างไร แน่ล่ะผมไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าจะมาเจอพ่อเพื่อพูดจากันในสถานการณ์เช่นนี้
ไม่นานมานี้เองที่ผมรู้สึกไม่คุ้นเคยกับตัวเองอย่างไรพิกล ขวบปีที่ห้าสิบเอ็ดพุ่งใส่ราวโศกนาฏกรรม ค่าที่รู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ และทำอะไรผิดจังหวะหลายครั้งหลายครา ผมจะบ่นไปอย่างไรได้ ผมเป็นผู้อำนวยการสร้างละคอนและภาพยนตร์ มีบ้านหลายหลังในลอนดอน นิวยอร์ค และบราซิล แต่ผมยังบ่น ผมประจักษ์แจ้งถึงปัญาหาทางจิตต่าง ๆ นานาที่รบกวนจิตใจ แต่หาได้บั่นทอนทำลายผมไม่
ผมเจอะพ่อโดยบังเอิญตอนวันจันทร์ ช่วงตลอดสุดสัปดาห์ผมค้างอยู่ ที่ชนบทกับเพื่อน ๆ ผู้มีบ้านงดงามและคู่ขาหน้าตาสะสวย ภาพเขียนดีมีค่าแก่การชม และอาหารรสเยี่ยม สงครามอิรักที่เพิ่งเริ่มขึ้น ฉายติดต่อกันอยู่หน้าจอทีวี พวกเรากว่ายี่สิบคน ทั้งแก่และหนุ่มนอนเขลงบนโซฟาตัวใหญ่ ดื่มแชมเปญ หัวเราะกิ๊กกั๊ก จนเมื่อระเบิดเป็นพัน ๆ ลูกหล่นปะทะเกวียนเทียมลา เนื้อของคน และเพิงพักโบราณบดขยี้ทุกคนในบ้านจนแหลกเราสำเหนียกว่าภาพน่าสะอิดสะเอียนนั้นเกิดในชนบท และโทนี่ แบลร์ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความหวังของเราหลังจากเป็นฝ่ายตรงามมาหลายปี ได้เป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงมัวหมองและน่ารังเกียจนับแต่นายแอนโทนี อีเด็น เราอยู่ในยุคสมัยแห่งการปลิ้นปล้อนหลอกลวงและแปลกแยก นี่เป็นเรื่องใหญ่โตมโฬาร เมื่อเปรียบกับชีวิตด้อยค่าน้อยราคาของพวกเรา
หลังมื้อเที่ยงแล้วผมก็จากบ้านเพื่อนมา รถแท็กซี่พามาส่งที่สถานีรถไฟแล้วเมื่อผมเกิดนึกขึ้นได้ว่าลืมคลิปหนีบกระดาษที่ผมเล่นอยู่ทิ้งไว้ ที่ห้องหนังสือของพื่อนผม ที่ผมอ่านเรื่องการสะกดจิตในงานของโมปัสซังก์ เช่นเดียวกับการทดลองสะกดจิตที่นำเรื่องเดือดร้อนเกี่ยวกับเมียเพื่อนมาสู่ดิกเค่น แท็กซี่พาผมกลับไปที่เดิม แล้วผมก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปเอาคลิปหนีบกระดาษนั้น แต่คนทำความสะอาดเพิ่งเก็บกวาดเสร็จ ผมอยากตรวจดูของในเครื่องดูดฝุ่นหรือเปล่า? เจ้าบ้านทั้งสองถามผม ต่างมองหน้ากันและกัน ทว่าผมรู้สึกเป็นวีรบุรุษที่เอาชนะความลุ่มหลงได้ จิตแพทย์ที่บำบัดผมว่าอย่างนั้น โชคดีนะที่ผมแจ้นไปหาหมอคนดีนั่นในวันรุ่งขึ้น
เนื่องจากหมดหวังเกี่ยวกับคลิปหนีบกระดาษ ผมจึงกลับไปที่สถานีแล้งขึ้นรถไฟ ผมนั่งรถล่องมา ผมตระหนักว่ามีแต่ตอนนี้ที่เส้นทางรถไฟจะแวะสถานีรถไฟบ้านอกใกล้บ้านผมตอนเด็ก ๆ ขณะผมก้าวเท้าลงบนชานชาลา พยายามมองหาสิ่งที่คุ้นตา หรือใบหน้าที่คุ้นเคย แม้ว่าผมได้จากบริเวณนี้ไปกว่าสามสิบปีก่อน แต่ทว่าฝนตกหนักและเป็นไปไม่ได้ที่จะมองแยกแยะอะไรออก ครั้นแล้วรถไฟก็พร้อมจะออก ผมคว้ากระเป๋า ลงจากรถไฟเดินตรงไปที่ถนนทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
ใกล้สถานีนั้น มีร้านแผ่นเสียงร้านเล็ก ๆ ร้านหนังสือ ร้านขายจีนส์ ตามด้วยผับหลายร้านที่มีผู้ชำนาญความงามเรื่องห้องพักในท้องที่พาไปเมื่อยังเป็นหนุ่มน้อย แน่นอน เขารู้ทันที วีรบุรุษของเขาคือ ฌอง คอกโต้ เราทุ่มเถียงเรื่องวรรณคดีฝรั่งเศส (ออสก้าร์)ไวลด์ และวัฒนธรรมป๊อปก่อนจะกินยาขยัน และแต่งเนื้อแต่งตัวในห้องน้ำในห้องน้ำสถานี แล้วจับรถไฟเข้าเมือง เรา กับเพื่อนผิวขาวที่แต่งกายเลียนจิมมี่ เฮนดริกซ์ ตะลุยละคอนและการแสดงจนหมดทุกแห่ง ในที่สุดผมได้งานที่สำนักงานบอ็อกออฟิสที่แถบเวสต์เอ็นด์ ตำแหน่งนี้เป็นทางนำไปสู่ลูกมือบนเวที คนเฝ้าประตู คนแต่งตัว แม้แต่ผู้กำกับ ก่อนที่ผมจะกลายเป็นผู้อำนวยการสร้าง"มืออาชีพ"
(กรุณาติดตามกระทู้ต่อไป)
แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 47 23:44:26
แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 47 23:22:06
จากคุณ :
เดือนกันยา-SeptemberMoon
- [
23 เม.ย. 47 23:20:15
]