ตลอดเรื่องนี้จะเรียกพิเภกว่า "วิภีษณะ" และเรียกทศกัณฐ์ว่า "ราวัณ" ( เรียกตามแขกค่ะ เพราะเขียนไม่เหมือนรามเกียรติ์ของไทยหมด ใช้อีกชื่อจะได้ไม่มีภาพลักษณ์ของเรื่องเก่ามาก ) ที่จริงอยากจะทำแบบเดียวกันกับกุมภกรรณด้วย แต่กุมภกรรณแขกเรียกว่า กุมภกรรณะ ไม่เห็นต่างกันเลย เลยคงไว้แล้วกัน
ตัวละครที่ชอบที่สุดในรามเกียรติ์ยังคงเป็นพิเภก ไม่มีสาเหตุที่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าแกน่าสงสาร พวกตัวละครนี่ไปอยู่ในมือคนเขียนคนไหนก็จะออกมาตามความต้องการของนักเขียนคนนั้น ตอนพิเภกอยู่อินเดีย แกเฮี้ยนมากน่าดู ขนาดทศกัณฐ์จะไล่แก แกก็คว้ากระบองจะสู้ตอบเหมือนกัน ไม่รู้ว่ากลายพันธุ์มาเป็นโหรที่เมืองไทยได้อย่างไร
เคยอยากเขียนเรื่องพิเภกสักครั้ง แต่หลังจากที่ทบทวนตรึกตรองดู ก็คิดว่าอย่าดีกว่า เพราะแกเป็นคนที่มีปัญหากับตัวละครเกือบทุกตัวในเรื่อง มันจะเหนื่อยมาก เพราะต้องมานั่งสาน แล้วก็นั่งฆ่าให้แกดูทีละคน อีกอย่าง ชีวิตพิเภกนี่เกือบไม่มีนาทีที่มีความสุขเลย
ดังนั้นเลยไม่ได้เขียน
แต่วันก่อนนี้ไปเห็นหนังสือสอนบริหาร โดยเอารามเกียรติ์มาเป็นแบบสอน ( ดูเหมือนจะเป็นไอเดียใหม่ เนื่องจากมีคนสอนบริหารจากสามก๊กกันจนเต็มตลาดแล้ว ) พลิก ๆ ดู เจอเลย "ส่วนพิเภกนี่เป็นพวกกระสันอยากได้อำนาจ" สรุปว่าพระรามใช้พิเภกกับสุครีพเป็นเครื่องมือได้ เพราะสองคนนี้เป็นพวกเบี้ยรองสู้พี่ไม่ได้ พระรามก็จัดการให้พี่น้องแตกกัน เอาคนที่อยากได้อำนาจเป็นเครื่องมือ
เขามีสิทธิ์คิดแบบนั้นนะ และเป็นไปได้ด้วย แต่ในเมื่อมันเป็นมหากาพย์เข้าแล้ว ตัวละครก็มักจะตีความได้หลากหลาย
ดังนั้นเราเลยตีความแบบของเราบ้าง
#############################
พิเภกกับกุมภกรรณ
เขามองจากรถศึกลงมา
ไกลแสนไกล มีเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแว่ว เสียงนกทะเลร้อง
ท่ามกลางความวิปลาสบ้าคลั่งทั้งปวง ธรรมชาติก็ยังคงเป็น
เหมือนเดิม ...ใช่ เป็นดังนี้เอง บางทีคงมีแต่เราที่รบรากัน
แต่ถ้าหากว่ารบยืดเยื้อไปกว่านี้ ถ้าหากเลือดทาแผ่นดินมากกว่านี้
แม้นรอบกายงามเท่าไรก็คงสูญไป
แม้นลงกาได้ชื่อเกาะรุ่งเรืองวิเศษ ก็คงร้างไร้ผู้คน
มีคนเดินมา ไกลแสนไกล
เขากุมกระบองไว้ในมือ เพ่งสายตาออกไป ไม่ใช่มนุษย์ และไม่ใช่
ลิง เมื่อเพ่งสายตามากขึ้นอีก ก็เห็นว่าร่างนั้นใหญ่กว่า ไม่ใหญ่มาก
นัก ไม่ใหญ่เลยสำหรับยักษ์ ที่จริงแล้ว ถ้าหากคิดว่าเป็นยักษ์ ร่าง
นั้นก็ออกจะผอมเกินไป ผอมและดูอ่อนแอ
"วิภีษณะ" กุมภกรรณเอ่ยแผ่วเบา
และวิภีษณะก็เข้ามาใกล้อีก ผอม อ่อนแอ ใบหน้าเคร่งเครียดจน
ดูแก่เกินอายุจริง ไม่ผิดอะไรกับเมื่อครั้งเป็นเด็กน้อย พญายักษ์
กุมภกรรณค้นลึกลงในความทรงจำ นึกถึงน้องชายคนเล็กของ
ตน น้องชายที่สุภาพเรียบร้อย และมักตกเป็นลูกไล่ของพี่ ๆ เสมอ
วิภีษณะมาถึงหน้ารถแล้ว เขาหยุดยืนอยู่ กระพุ่มมือไหว้พี่ชาย วิ
ภีษณะยังคงนอบน้อม ไม่ว่าอยู่ที่ไหนหรือเป็นอะไร
กุมภกรรณออกเสียงเฮอะเป็นเชิงเย้ย แม้ว่าจะมีความทรงจำผุด
พรายขึ้นมาราวฟองอากาศจากน้ำลึกเท่าใด เขาก็ยังคงเป็นเขา
เป็นคนซื่อสัตย์แข็งแกร่ง ชิงชังการทรยศคดโกง เป็นทหารที่ดี
และเป็นข้าแผ่นดินที่ดี
วิภีษณะเคยเป็นน้องคนโปรดของเขา แต่เวลานี้ไม่ใช่อีกแล้ว
"เจ้าคนทรยศ มาที่นี่ทำไม"
"มาพูดกับพี่" วิภีษณะบอก น้ำเสียงของเขาเบา ไม่มีอำนาจ
วิภีษณะเป็นคนฉลาดช่างคิด แต่ไม่เคยมีอำนาจอะไรเลย ไม่เคย
มีความมั่นใจ ไม่รู้จักแก่งแย่ง ไม่เป็นทหาร บางครั้งแทบดูราว
ไม่มีศักดิ์ศรี
"มีอะไรต้องพูดกันหรือ ท่านเจ้ากรุงลงกา" กุมภกรรณเสียดสี
ราวัณบอกเขาแล้ว วิภีษณะไปเข้ากับราม รามตั้งให้เขาเป็นเจ้า
เมืองลงกา...รามซึ่งไม่มีอะไรเลย เอาตำแหน่งซึ่งไม่มีแก่นสาร
และไม่ได้เป็นของตนให้วิภีษณะ ตลกยิ่งนัก ทว่าวิภีษณะเอง...
วิภีษณะที่อ่อนแอ บางทีคงจะอยากได้อำนาจบ้าง บางทีคงอยาก
จะได้ศักดิ์ศรี อยากจะเป็นใหญ่ดูสักครั้ง ดังนั้นจึงน้อมศีรษะลง
กราบเรียกรามเป็นนาย
"มีอยู่ ถ้าหากสามารถพูดกันเพียงสองคนได้ก็จะดี" น้องชาย
ของเขาบอก
"ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า ไปเสีย" กุมภกรรณโบกมือ "ไปเกาะ
ตีนราม วันนี้ข้าจะยกไปรบกับเขาแล้ว เจ้ามาเป็นทูต ข้าจะทำตาม
ธรรมเนียมไม่ฆ่าทูต แต่หากข้าเห็นเจ้าในสนามรบ จะทุบเจ้าให้
ตาย"
"ถ้าหากพี่เป็นคนถือธรรมเนียมจริง พี่ก็ควรจะฟังสิ่งที่ทูตนำมา
บอก" วิภีษณะเอ่ยแผ่วเบา "ข้าจะทำอะไรพี่ได้ แรงจะถืออาวุธ
ยังไม่มี"
"แต่กุชังน้ำหน้าคนทรยศ" พญายักษ์เข่นเขี้ยว "ไอ้วิภีษณะ มีง
อย่ามาพูดจามากความอีก หากกุทนไม่ได้ จะผ่าอกแล่งแขนขา
ตัดตีนสินมือมีง เสียบให้ตายอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ มีงชอบใจเป็นเจ้า
กรุงลงกาปลอมก็เป็นไป กุไม่ฟังมีงพูด"
"ข้าไม่ต้องการเป็นเจ้ากรุงลงกา" วิภีษณะบอก "ไม่ต้องการเลย
หากพี่ต้องการ ข้าก็ยกให้พี่ได้"
"ไอ้[^_^]" กุมกกรรณตวาดทันที ยกกระบองขึ้นชี้หน้า "ลงกา
มีสองเมืองหรืออย่างไร มีงจึงมาพูดว่าตัดแบ่ง ไปให้พ้นหน้ากุ
ไม่งั้นกุจะสับมีงไม่ให้แค้นคอกา"
วิภีษณะนิ่งอยู่ นิ่งอยู่
กุมภกรรณเป็นผู้มีหลักการ เขาเคารพความถูกต้อง ประพฤติ
ตนตามประเพณีเสมอ เกลียดชังความอยุติธรรม แม้ไม่ชอบรุก
รานใครก่อน แต่ยามเป็นทหารทำศึก ก็ฮึกห้าวยิ่งใหญ่ ราวัณพี่
ชายของเขารักกุมภกรรณยิ่งนัก บอกว่าเหมือนท่อนแขนตน
หากเปรียบกันแล้ว วิภีษณะก็เหมือนคนไม่มีอะไรเลย วิภีษณะที่
ไม่รู้อะไรเว้นแต่ทางโหร วงศ์ยักษ์นับถือคนเก่งทางการรบ ทว่า
วิภีษณะแทบไม่มีฝีมืออะไร นอกจากนั่งอ่านหนังสือเขียนกระดาน
ชนวนแล้ว ก็แทบเหมือนบุคคลที่อยู่ในมุมมืดของราชวงศ์
...ยามเด็กเรากดเจ้าไว้มากไปหรือ...กุมภกรรณนึกเงียบ ๆ ...
พวกเรารังแกเจ้ามากไป เหยียดหยามเจ้ามากไปหรือ เพราะว่า
เจ้าไม่มีเกียรติ จึงแสวงหาด้วยวิธีนี้หรือ...
ทว่าเสียใจไปมีประโยชน์อะไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว เวลานี้วิภีษณะ
เป็นคนทรยศ ที่จริงต่อให้ถูกทำร้ายมากเท่าไร ญาติก็ยังคงเป็น
ญาติ วิภีษณะกระสันอำนาจจนสาวไส้ให้กากิน ถึงอย่างไรก็ผิด
มหันต์อยู่นั่นเอง
"...เพราะว่าข้าเห็น..." ในที่สุดน้องชายของเขาก็เอ่ยแผ่วเบา
กุมภกรรณเบือนหน้าไป คิดสั่งให้ออกทัพต่อ
"เพราะว่าข้าเห็นทุกอย่างพินาศย่อยยับ" วิภีษณะยังคงพูด นัยน์
ตาของเขาตกลงพื้นดิน "เพราะว่าข้าเห็นไฟ เห็นศพ เพราะข้าได้
ยินเสียงร้องไห้และเห็นเมืองของเราร้างว่างเปล่า"
วิภีษณะยกมือขึ้นปาดน้ำตาตนเอง พวกพลยักษ์พึมพำกันเป็นสำ
เนียงเยาะเย้ย ปรกติแล้ววงศ์ยักษ์ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นน้ำตา มี
แต่วิภีษณะคนขี้ขลาดผู้เดียวจึงอ่อนแอ
"เพราะว่าข้าเห็นพี่ตาย ข้าเห็นพี่ราวัณ อินทรชิต มังกรกัณฐ์...พี่
ทุกคน น้องทุกคน หลานทุกคน เพื่อนทุกคน ข้าเห็นเขาตาย" เขา
เอ่ยต่อไป น้ำเสียงราวบีบออกจากลำคอ เจ็บปวดเหลือประมาณ
"คนขี้ขลาดก็ชอบแต่จะบ่นพร่ำแช่งชักไป" กุมภกรรณเปรย
"เคลื่อนทัพ!"
"ขี้ขลาดสิ และก็เป็นคนบ้าด้วย!" วิภีษณะตวาดราวฟ้าร้อง เขา
เงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย ดวงตายังคงรื้นน้ำ ทว่าเต็มไปด้วยความ
รู้สึกอะไรบางอย่างที่แม้แต่กุมภกรรณยังต้องชะงัก
"เพราะว่าพี่มีความสุขราวอยู่ในเมืองสวรรค์ ดังนั้นหากมีคนว่าพี่
จะตายวันพรุ่งนี้ พี่ย่อมหัวเราะเยาะว่าเขาบ้า เพราะว่าหากข้าบอก
ว่าปีหน้าเดือนหน้า อสนีบาตจะตกจากฟ้ามาผ่าลงกา พี่จะว่าข้า
ฟุ้งไปเพราะเดือนดาว เพราะว่าคนทั้งหลายชอบฟังแต่เรื่องดี
ทว่าเกลียดเรื่องร้ายไม่อยากได้ยิน" วิภีษณะร้องต่อไป เสียงของเขาดังขึ้นทุกที "ข้าเกลียดชังลงกาหรือ ไม่เลย ข้ารักลงกายิ่งนัก ถึงอย่างไรข้าก็ยังเป็นยักษ์ ไม่ใช่ลิงไม่ใช่มนุษย์ พี่คิดว่าข้าชอบใจแช่งชักเมืองและเผ่าพงศ์ของตัวเองหรืออย่างไร"
"ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากเจ้าคิดจะช่วยเมือง
ตนจริง ก็ไม่ควรชักศึกเข้าบ้าน"
วิภีษณะแย้มริมฝีปาก ใบหน้าของเขาเศร้าเสมอ รอยยิ้มก็เศร้า
ตลอดมา
"ใครชักศึกเข้าบ้านหรือ พี่กุมภกรรณ"
"เจ้าเป็นข้าแผ่นดิน ชอบแต่จะเชื่อฟังพระมหากษัตริย์" พี่ของ
เขาบอก...ทราบดีว่าน้องชายหมายถึงอะไร "แม้นพระเจ้าแผ่น
ดินให้ดื่มน้ำล้างพระบาทก็ต้องดื่ม"
"หากพระเจ้าแผ่นดินให้ดื่มน้ำล้างพระบาท ข้าก็จะดื่ม" วิภีษณะ
บอก "แต่หากพระเจ้าแผ่นดินจะนำแผ่นดินไปฉิบหายเป็นเมือง
ร้าง ก็เป็นหน้าที่ข้าแผ่นดินจะทัดทาน หรือไม่ใช่"
"ถ้าเช่นนั้น ทำไมเจ้าไม่ทัดทานให้เต็มกำลัง เหตุใดจึงทรยศสาว
ไส้ให้กากิน"
"ผู้มีทรัพย์มาก ยามมีคนเตือนว่าอาจยากจน ก็จะว่าเขาอิจฉา"
น้องชายเขาตอบ "ราวัณเป็นคนอย่างไร พี่ยังไม่แจ้งใจอีกหรือ
ข้าจะบอกให้พี่ฟัง เหมือนที่บอกให้เขาฟัง หากที่นี่ยังมีสงคราม
ต่อไป ทุกอย่างจะพินาศลงกาที่ยิ่งใหญ่จะล่มจม วงศ์ยักษ์จะ
ย่อยยับ วันเวลาจะกลายเป็นของมนุษย์และลิง ไม่ใช่ของเราอีก
ต่อไป"
คำเหล่านั้นแทรกลงในอกของกุมภกรรณ ทำให้เขาเจ็บแปลบ
ประหลาด...ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือมิอาจเชื่อได้ กุมภกรรณ
เติบโตมาในยุคสมัยที่ยักษ์เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในเวลาที่ลงการุ่ง
เรืองดังเมืองทอง เขาอยากเชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินต่อไป เป็น
นิรันดรกาล ...เรามีอำนาจตั้งมากมายเท่านี้ สงครามกับรามจะ
เท่าไร ก็แค่สงครามเล็กน้อยเท่านั้น ใหญ่กว่านี้ยังเคยเข้ามาแล้ว
ไอ้วิภีษณะมันพูดจาเพ้อเจ้อหลอกลวง
"ไอ้วิภีษณะมันเพ้อเจ้อหลอกลวง" วิภีษณะเอ่ย ตรงกับหัวใจ
ของกุมภกรรณราวเห็นด้วยตา "คิดอยู่เช่นนี้หรือมิใช่ ข้ารู้...ทุก
คนก็คิดอยู่เช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่อยากเชื่อข้า ดังนั้นเมื่อข้าบอก จึง
ยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือจะฆ่าราม ยิ่งไม่คิดคืนสีดา ทุกคนอยาก
พิสูจน์ว่าข้าโกหก และทุกอย่างจะยาวยืนต่อไปชั่วกัลปาวสาน"
เขานิ่งไปชั่วขณะ
"ข้ารู้ว่าบางทีไม่พูดเสียอาจจะดีกว่า แต่ก็รู้อีกว่าถ้าไม่พูด นิสัย
อย่างราวัณก็คงไม่คืนสีดาอยู่นั่นเอง ราวัณเก่งเหลือเกิน ดังนั้น
จึงเหยียดหยามทุกคนที่เหลือในโลกเป็นมดแมลง ข้ารู้ว่าเป็นเช่น
นั้น จึงจำต้องเสี่ยงพูด...หวังว่าจะมีผลอะไรบ้าง แต่ในที่สุด
ทุกอย่างเป็นอย่างที่ข้าคาดไว้แล้วอยู่นั่นเอง"
ครั้นแล้ว น้ำเสียงของวิภีษณะก็เปลี่ยนไป สงบลง ทว่าก็ร้อน
อย่างประหลาด
"พี่คงหวังให้ดาวสักดวงเคลื่อนผิด ให้สิ่งที่ข้าผูกบนกระดาน
โหรเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ข้าผูกมาหลายร้อยครั้งแล้ว ทุกครั้ง
ผลก็ยังคงเหมือนเดิม ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ตนเชื่อ พี่
กุมภกรรณ ทุก ๆ ชีวิตที่รั้งคืนมาได้ ข้าจะรั้งคืนมาไว้ ทุกลมหาย
ใจของลงกา ข้าจะรักษาไว้ ทุกตึก ทุกอาคาร ทุกวัง ผู้หญิงทุก
คนที่ม่าย เด็กทุกคนที่ต้องเป็นกำพร้า ข้าจะพยายามเปลี่ยนมัน
พี่กุมภกรรณ ท่านเองก็ด้วย ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาชีวิตของท่าน"
กุมภกรรณไม่ได้ตอบเขาทันที แต่ก็ลดกระบองลงบนพื้น และ
มองน้องอยู่ชั่วขณะ
"พี่กุมภกรรณของเจ้าก็มีความเชื่อของตัวเอง วิภีษณะ" ในที่สุด
เขาก็เอ่ยขึ้น "พี่กุมภกรรณของเจ้าไม่อาจผิดต่อเจ้าแผ่นดิน จะ
ไม่ทรยศคดโกง ไม่มีวันสาวไส้ให้กากิน ดังนั้นไม่ว่าที่เจ้าพูดจะ
เป็นความจริงหรือไม่ ข้าก็ยังจะไปรบ และถ้าหากต้องตายเพราะ
การณ์นั้น ข้าก็พอใจ"
เขาเขม้นสายตา คิ้วตกลง มุมปากดุร้าย
"และถ้าเห็นเจ้าในสมรภูมิ ข้าก็ยังจะฆ่าเจ้าอยู่นั่นเอง"
ร่างกายของวิภีษณะสั่นเทา เขาก้มหน้าลงดูดิน
"ต่อไปภายหน้า เหตุการณ์ทั้งปวงจะพิสูจน์ว่าข้าหรือเจ้ากันแน่ที่
ถูกต้อง แต่ในเมื่อข้าไม่เสียใจ เจ้าเองก็อย่าเสียใจ ถ้าหากคิดทำ
สิ่งใดแล้ว ต้องทำไปให้สุดกำลังปัญญา" กุมภกรรณเอ่ยแผ่ว
เบา "วิภีษณะ ข้าไม่มีพรจะอวยให้เจ้า เพราะข้าไม่ชอบสิ่งที่เจ้าทำ
แต่ถ้าหากวันนี้ข้ากลับไปลงกาได้ ข้าจะพูดกับราวัณอีกครั้ง พูด
จนกว่าเขาจะยอมรับฟัง ข้าเองก็ไม่ชอบรบโดยเปล่าประโยชน์"
ครั้นแล้วพญายักษ์ก็ออกคำสั่งให้เคลื่อนพล ขับรถศึกผ่านร่าง
ของน้องชายไป
น้ำตาหลั่งไหลจากดวงตาของวิภีษณะ เขาหลับตาลง
เบื้องหลังดวงตานั้น มีเพียงภาพความตายของพี่ชาย
จากคุณ :
ลวิตร์
- [
29 เม.ย. 47 22:36:14
]