CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ++ฉันไม่อยากเป็นซินเดอเรลล่า!++

    “แล้วเจ้าชายกับซินเดอเรลล่าก็แต่งงานกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสืบไป”

    ฉันนั่งทำตาปริบๆมองเจ้าเพื่อนตัวดีกรีดกรายอยู่ข้างจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องซินเดอเรลล่า และพร่ำทั้งบรรยายโวหาร พรรณนาโวหารออกท่าออกทางราวกับอยู่บนเวทีและกำลังพูดบทละครฉากสุดท้ายด้วยท่าทีซาบซึ้งตรึงใจ

    ฉันล่ะทึ่งมันเลย! แรงมันเยอะเหลือเฟือจริงๆเพราะฉันเห็นมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่มันเปิดแผ่นเล่นจนกระทั่งจบ กินเวลาได้ชั่วโมงกว่าๆ ที่จริงฉันไม่ควรแปลกใจแล้วด้วยซ้ำเพราะเห็นมันทำแบบนี้ได้ตั้งแต่เด็ก เพียงแต่อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้หน้าของมันหนาขึ้น แต่ละรอบการแสดงมันอลังการงานสร้างขี้นทุกครั้ง ฉันเลยตะลึงกับความบ้าของมันได้เสมอ

    เพื่อนฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้การ์ตูนเรื่องนี้มากๆ ดูตั้งแต่เด็กยันโต ตั้งแต่มีเครื่องเล่นวีดีโอจนตอนนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปเพราะเครื่องเล่นแผ่นซีดีเข้ามาแทน มันก็ยังสู้อุตส่าห์ไปเปลี่ยนจากม้วนเทปมาเป็นแผ่นซีดีจนได้ ความพยายามของมันในการเก็บการ์ตูนเรื่องนี้เอาไว้มีสูงเสียจริง

    “ถ้าฉันจำไม่ผิดนะ แกดูเจ้าเรื่องนี้มาจน 10 กว่าปีแล้ว แกยังไม่เลิกบ้าอีกหรือไง” ฉันอดคันปากถามมันไม่ได้ เพราะผู้เดือดร้อนต้องนั่งทู่ซี้ดูการแสดงของมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือฉันนั่นเอง ฉันต้องนั่งดูมากว่าสิบปี ทันทีที่ได้ยินฉันจิก มันก็ค้อนให้ฉันทีหนึ่ง กรีดนิ้วมาที่โต๊ะหยิบมันฝรั่งทอดซึ่งวางอยู่บนโต๊ะสองสามถุง แล้วจีบปากจีบคอด่าฉัน

    “แกนี่มันช่างไม่มีสุนทรียะในจิตใจบ้างเลยนะยะ แกดูแล้วไม่รู้สึกแบบว่า Oh! So romantic! แบบนี้บ้างเลยหรือไงกัน ด้วยความรัก...” มันทำหน้าเคลิ้มฝัน “...ทำให้เจ้าชายตามหาซินเดอเรลล่าจนพบ แล้วก็แต่งงานกับเจ้าหล่อน ช่วยให้นางเอกผู้น่าสงสารรอดพ้นเงื้อมมือมารของยายแม่เลี้ยงกับพี่สาวมาได้อีกต่างหาก ความใฝ่ฝันของเด็กผู้หญิงเลยนะยะ ที่มีเจ้าชายรูปงามมาสนใจน่ะ”

    “บางทีฉันอาจจะรู้สึกก็ได้ ถ้ามันไม่ใช่รอบที่ล้านที่ฉันดู” ฉันกรีดนิ้วหยิบมันฝรั่งขึ้นมาแล้วแกล้งจีบปากจีบคอด่ามันบ้าง

    ที่จริงก็ไม่อยากขัดความสุขของมันนักหรอก มันรึอุตส่าห์มาเยี่ยมทั้งที เพราะตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยมา เวลาที่เราเจอกันมันก็น้อยลงไป ต่างคนก็ต่างมีงานต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเองและครอบครัว ตัวมันเองก็ต้องออกต่างจังหวัดบ่อย เพราะต้องตามกองถ่ายไปแต่งหน้า ก็มีอาทิตย์นี้ที่มันได้หยุดพัก มันเลยโทรศัพท์มาหาฉัน บอกว่าจะมาหาวันนี้ ตอนแรกมันกะจะลากฉันออกไปข้างนอก แต่ฉันอยากอยู่บ้านมากกว่า วันๆฉันต้องออกไปเผชิญโลกมากพอแล้ว ทั้งงาน ทั้งคน ทั้งรถติด ทั้งมลพิษ วันพักฉันเลยอยากอยู่บ้านพักผ่อนสบายๆมากกว่า มันเข้าใจและยอมมาที่บ้านฉันแต่โดยดี พร้อมกับหิ้วการ์ตูนสุดที่รักของมันมาเป็นของฝาก

    มันโบกมือปัดคำพูดของฉันทิ้งลงถังขยะแถวๆนั้นอย่างไม่ไยดีด้วยท่าทีที่น่าหมั่นไส้ มันยังหลับหูหลับตาอธิบายของมันต่อไปโดยไม่ยอมดูหน้าคนนั่งฟังเอาเสียเลย

    “ความฝันของผู้หญิงนะ ถ้าได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ รูปหล่อ พ่อรวย ปากหวาน หน้าไม่โง่ โตก็ยังเชื่องนี่ ถือว่าเป็นบุญชีวิตแกเลยนะ แล้วแบบนี้แกว่าฉันดูเรื่องนี้แล้วไม่ควรสุขใจหรือไงยะ” ว่าแล้วมันก็คว้าขนมเข้าปากอีกหงับ

    “แล้วถ้าหมอนั่นเป็นพวกแซ่ติงขึ้นมา...” ฉันเบ้ปากเถียง และก่อนที่ฉันจะพูดจบมันก็รีบขัดขึ้นก่อนทันที

    “แกสิยะแซ่ติง!” มันหมายถึงฉันติงต๊อง “ฉันว่าถ้าแกได้เจอเข้าแกก็จะรู้เองนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงนะยะ! ยังไงก็ต้องอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้บ้างแหละ”

    “แกทำอย่างกับฉันเป็นผู้หญิงนั่งซื่อบื้อไปวันๆ หรือทู่ซี้ยอมให้แม่เลี้ยงมันจิกใช้อย่างยายนั่น หรือไม่ก็ทำตัวให้น่าสงสารรอพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยอย่างนั้นหรือไงล่ะ” ฉันชักหน้าบูด พอมันอ้าปากจะเถียง ฉันก็สวนกลับไปอีกหมัด

    “แกไม่ต้องมาเถียงฉันเลย แกลองไปดูนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายที่แกชอบดูสิ มีแต่พวกรอผู้ชายมาช่วย แบบนี้มันดูถูกผู้หญิงกันนี่หว่า ว่าไร้ปัญญา ทำอะไรไม่ได้ ทำนองนี้ อย่างนี้น่ะวัฒนธรรมกดขี่ผู้หญิงชัดๆ แล้วแกจะให้ฉันหลงใหลได้ปลื้มไปกับแกได้ยังไงกันยะ”

    “อีกแล้วนะแก... ผีนักเรียกร้องสิทธิสตรีเข้าสิงอีกแล้วหรือไงกัน สาธุ! เอาเถอะ...ขอให้แกเจอบ้างแล้วแม่จะคอยดูว่จะยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า”

    เจ้าเพื่อนสุดประเสริฐของฉัน หลังจากที่มันทำหน้าเหม็นเบื่อสาปแช่งเพื่อนเสร็จเรียบร้อยมันก็ลุกขึ้นเดินนวยนาดไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับคำพูดงึมงำ ทิ้งให้ฉันต้องเก็บแผ่นหนังให้มันซะอย่างนั้น ดูมันเถอะ...

    แม้ว่าเราจะเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนเป็นเรื่องปกติ แต่ทั้งฉันทั้งมันต่างก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรในใจ ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นกันเพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน ยิ่งคบกับมัน นับวันฉันต้องลับปากตัวเองให้คมขึ้น ไม่งั้นจะเถียงสู้มันไม่ได้ นี่ดีนะที่แม่ไม่อยู่...ถ้าแม่ได้ยินเราสองคนเถียงกันด้วยสำนวนแบบนี้ แม่คงหยิกฉันเนื้อเขียว แล้วก็ค้อนมันตากลับเหมือนเมื่อตอนที่เราเป็นเด็กแน่ๆ เรื่องของเรื่องก็เพราะแม่ของฉันเขาเป็นครูเด็กโรงเรียนประถม เขาก็เลยอยากให้ลูกเรียบร้อย ส่วนพ่อเป็นพ่อค้าธรรมดาๆที่ไม่ได้ใส่ใจกับกริยาของลูกสาวเท่าใดเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเขา เมื่อแม่ไม่อยู่แล้ว ฉันก็มีแม่คนที่สองมาแทนที่ ซึ่งเขาเองเป็นคนที่เข้มงวดเช่นเดียวกัน พอเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็ออกมาอยู่หอพักนักศึกษา กฎระเบียบที่อยู่บนไหล่ของฉันมาเนิ่นนาน ถูกปลดปล่อยออกก็ช่วงเวลานั้นนั่นเอง ลูกบ้าของฉันมาออกตอนที่ห่างอกพ่ออกแม่เมื่อได้อยู่กับเพื่อนในมหาวิทยาลัย ปิดเทอมจึงกลับไปเยี่ยมบ้านทีหนึ่ง ยิ่งฉันมีน้องอีกคน ฉันก็ยิ่งกลับบ้านน้อยลง ส่วนใหญ่ ฉันจะไปออกค่ายบ้าง เป็นอาสาสมัครบ้าง ในช่วงเวลานั้นยาเสพติดไม่อยู่ในหัวสมองฉันแม้แต่กระผีกริ้น ภาพที่ฉันได้พบ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสังคมในยามออกค่ายทำกิจกรรมนั้นทำให้ฉันเห็นคุณค่าของตัวเอง ทำให้ฉันหยิ่งเกินกว่าที่จะไปคลุกคลีกับยาพิษเหล่านั้น และฉันมีเพื่อนดีๆที่พึ่งพาได้ เพื่อนที่นำสิ่งดีๆมาสู่ชีวิตของฉัน บอกตรงๆว่าฉันเป็นคนโชคดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

    เจ้าเพื่อนรักของฉันเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็จัดแจงให้ฉันไปนอกบ้านจนได้ มันให้เหตุผลว่ายอมอยู่บ้านกับฉันครึ่งวันแล้วดังนั้นฉันควรออกไปเป็นเพื่อนมันอีกครึ่งวัน ฉันก็เข้าใจเหมือนกัน ถึงมันจะยอมฉันแค่ไหนมันก็ไม่ใช่พวกนิยมอยู่กับบ้านแบบฉันอยู่ดี วันนี้เป็นวันหยุด ฉันจึงชอบใส่เสื้อหลวมๆ สบายๆ มากกว่า เพื่อนฉันมันก็รู้ดีจึงไม่ได้ไล่ให้ฉันไปเปลี่ยนแต่อย่างใด ทั้งๆที่เป็นคนพิถีพิถันในเรื่องนี้พอควร เมื่อขึ้นรถมัน ฉันก็หลับไปตามระเบียบตามนิสัยคนขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บ

    จากคุณ : หนิง - [ 1 ม.ค. 48 01:03:29 A:61.91.109.32 X: ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป