หลังจากแม่กับพี่สาวไปทำงานต่างจังหวัดกับญาติ บ้านของผมก็ตกอยู่ในความเงียบเหงา ไม้กระดานเรือนเปลี่ยนสีเป็นหม่นหมองและทิ้งคราบน้ำแกงติดเอาไว้ จานชามก็ถูกแช่ทิ้งจนน้ำเปลี่ยนสีและได้กลิ่นเหม็นถึงถูกชำระล้าง ผ้าในตะกร้ากองท่วมจนล้นตกเกลื่อนอยู่รอบๆ มันเป็นเสื้อผ้าของผมและพ่อ ตัวที่ผมใส่อยู่นี่ก็หลายวันแล้วที่ไม่ได้ซัก พ่อบอกว่าวันนี้เราจะเอาชุดนี้ไปซักกันในท่าน้ำที่ไหนสักแห่ง
พ่อเป็นคนทำหน้าที่ทุกอย่างที่แม่เคยทำ ส่วนผมหุงข้าวเป็นแล้วตั้งแต่อยู่ ป. 3 แม่ชมผมเสมอว่าหุงข้าวสุกได้พอดี ไม่ดิบไม่แฉะ ผมจึงชอบหุงข้าวแต่ผมไม่ชอบล้างหม้อข้าวหลังจากที่หุงเสร็จ เป็นหน้าที่ของการเวลาที่จะขจัดข้าวก้นหม้อที่ติดแห้งเกรียมด้วยการแช่น้ำ
ในเช้าของวันนี้พ่อยังคงเป็นคนทำอาหาร พ่อแกงส้มดอกแคใส่ปลากระป๋อง มันเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดแต่ผมก็ตักกินอยู่หลายคำเพื่อไม่ให้พ่อเสียกำลังใจ
"อร่อยไหม" พ่อถาม
"เป็นแกงส้มจริงๆ ครับพ่อ"
"แม่เอ็งรึจะแกงสู้พ่อได้"
เราก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป ท่ามกลางแสงอ่อนของแดดยามสายสอดผ่านเข้ามาทางฝาเรือนผุ ใกล้ๆ เป็นแมวแม่ลูกอ่อนที่นอนรอเศษอาหาร มันคงไม่รู้หรอกว่าแกงส้มของพ่อรสชาติบาดลิ้นปานใด
พ่อชุนแหไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่รู้เสร็จเอากี่ทุ่ม ผมเผลหลับไปก่อน วันนี้แหได้รับการสมานแผลที่ขาดของมันเสียงกระทบของตะกั่วตีนแหคล้ายมันดีใจที่จะได้ไปลงหนองน้ำ และยังมีอวนปากถี่อีกปาก ตามันถี่พอให้ปลาซิวรอดได้เท่านั้น พ่อบรรจงยัดม้วนลงในถุงปุ๋ย พร้อมกระติกน้ำมันเปล่าสองแกลลอนมัดโยงเข้ากันด้วยผ้าขาวม้าผืนเก่งของพ่อ เอาไว้ลอยคลี่อวนในน้ำลึกบางทีพ่ออาจเตรียมเอาไว้ให้ผมก็ได้ พ่อให้ผมจัดแจงห่อข้าวกับถุงน้ำพริกสดเท่านั้น และยังมีเกลืออีกห่อ น้ำสองขวดลิตร มีดโต้ ห่อยาเส้นของพ่อใส่ลงในย่ามที่ทำจากถุงปุ๋ย พ่อพาดถุงปุ๋ยขึ้นบ่าและผมสะพายย่ามตามหลัง มีหมาอีกสองตัววิ่งห้อยท้าย จุดหมายปลายทางเราอยู่ที่ก้นห้วยน้ำลึกที่ไหลมาจากเทือกเขาตะนาวศรี ผมไม่ได้ล็อกประตูบ้านไว้หรอก แถวบ้านผมไม่มีโจร ถึงมีก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปเอาอะไรในบ้าน เราปิดประตูเพียงกันไก่ขึ้นไปขี้ทิ้งไว้เรี่ยราดก็เท่านั้นเอง
พอเข้าเขตภู หมาบักลายอีแดงก็วิ่งมุดป่ารกนั่นเข้าไปก่อน เสียงดังสวบสาบมาเป็นระยะแล้วค่อยเงียบหายไป พ่อยังคงเดินไม่เร็วนัก แต่ผมต้องก้าวเท้าให้ยาวขึ้นเพื่อเร่งให้ทัน บางช่วงป่ารกพ่อจะเอามีดถางป่าให้ทางโล่งพอเดินได้ กว่าจะถึงห้วยที่พ่อเคยเข้าป่าล่าสัตว์นานอยู่โข มันเป็นลานหินกว้าง วางขวางด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ระเกะระกะไปหมด สายน้ำเบื้องหน้าเป็นสีฟ้าใสราวกระจก สะท้อนแมกไม้ริมห้วยให้ไหวตามจังหวะของระลอกคลื่น น้ำใสทำให้เห็นเกล็ดทรายขาวก้นห้วย ทั้งฝูงปลาที่วนว่ายขึ้นฮุบลูกไม้เล็กๆ ที่เผลอหลับตกจากขั้วกิ่ง ครู่ต่อมา หมาทั้งสองตัวก็วิ่งลิ้นห้อยมาเลียน้ำแผล็บๆ เพื่อดับล้าในอกแห้งของมัน หมากินน้ำฝูงปลาแตกตื่นหาที่ซ่อนเร้นตามโขดหิน พ่อนั่งชันเข่าสูบยาเส้นสบายใจเฉิบ เหงื่อที่โทรมกายเริ่มแห้งเหือดเมื่อสายลมไหลลอดภูเขามาชำระล้าง
"ไปเก็บฟืนมาไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อจะลงอวน"
"ผมกลัวผี"
"ผีเผอที่ไหนกันจะมีตอนกลางวัน ถ้าเห็นก็เรียกมากินข้าวด้วยกัน"
"ผมไม่กล้าป่ามันรก"
"ลูกผู้ชายกลัวอะไรแค่ป่ารก ชวนหมาไปด้วยซีเก็บใกล้ริมห้วยนี่ก็ได้แล้ว"
"ครับ"
ผมออกเดินหาฟืนไม้แห้งที่มีอยู่ถมถืดในป่าเขา เลือกเอาเฉพาะลำที่แบกไว้ แต่ต้องยกกระแทกดินอยู่หลายครั้งกลัวพวกสัตว์มีพิษซุกซ่อนตัวตามไม้ผุ ผมเคยเจอแมงป่องต่อยมาแล้วตอนสุมขอนบนภูเขา มันอดที่จะทำให้ผมต้องระวังและหวาดกลัวสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความผุพังนี้ไม่ได้
ผมหาฟืนได้เยอะพอ กองรวมกันไว้บนลานหิน ส่วนพ่อปลดปืนแก๊ป ห้อยไว้กับกิ่งไม้สดพร้อมย่ามลูกกระสุนปืน พ่อถอดกางเกงขายาวออกเหลือไว้แต่กางเกงผ้าร่มที่ใส่ซับมาข้างใน ก้าวลงไปในน้ำก่อน เดินลงน้ำลึกไปเรื่อยๆ ระดับน้ำสูงขึ้นทีละนิดจนมิดหัว แล้วพ่อก็เงียบหายไป หมาสองตัววิ่งวนอยู่ริมห้วย ผมเองก็กระวนกระวายเมื่อไม่เห็นพ่อโผล่พ้นเหนือน่านน้ำ ในวินาทีที่พ่อหายลงไปในน้ำใสข้างล่างนั่น ผมใจไม่ดีเอาเสียเลย แต่พ่อก็โผล่ขึ้นมาแล้ว
"น้ำลึกแค่ตรงนี้เอาอวนออกมากางเลย"
"ผมทำไม่เป็น"
"เอามาเดี๋ยวพ่อทำเป็นตัวอย่าง ดูให้ดีในโรงเรียนไม่มีสอนหรอก" พ่อเดินลงไปทางปลายห้วย คลี่อวนด้วยนิ้วมือคล่องแคล่ว พร้อมยื่นอวนมาให้ผมลองทำดู ผมทำตามวิธีการของพ่อแต่ติดขัดน่าดู
"นั่นแหละ อย่างนั้นแหละ โตขึ้นพอมีเมียจะได้หาปลาเลี้ยงเมียได้"
"ผมไม่เอาเมีย"
"ตอนนี้ก็คิดอย่างนี้ พอโตอีกหน่อยอย่ามาอ้อนข้าไปหมั้นสาวให้ก็แล้วกัน"
พ่อหัวเราะในลำคอ ทิ้งผมไว้กับอวน ผมดึงออกช้าๆ แต่พลาดจนได้ มันพันกันมั่วไปหมด พ่ออีกนั่นแหละมาแก้ปัญหาให้ ผมทำต่อไปอีกไม่นานนักทุกอย่างก็ลงตัว ใบไม้ที่ล่องไปตามลำธารเมื่อผ่านเส้นเชือกของอวนต้องลอยวนอยู่หลายรอบ ถึงจะพลิกใบผ่านไปได้ เส้นเชือกขึงอวนกระตุกอยู่บ้าง นั่นปลาใจลอยติดอวนเข้าแล้ว
พ่อร้องเรียกให้ผมขึ้นไปทางต้นน้ำพร้อมยื่นลำไม้ไผ่พอเหมาะมือให้
"เราจะไล่ปลาเข้าหาอวน"
"ไม่บาปหรือพ่อ"
บาปถ้าตอนนี้เอ็งไม่ลงมาไล่ปลาช่วยพ่อ นั่นแหละเรียกว่าอกตัญญู"
พ่อทำเป็นแบบอย่างเดินลุยเลาะไปตามริมห้วยน้ำตื้นเพียงเข่าหยั่งยืนแล้วก็ฟาดลำไม้ไผ่เสียงดังเอ็ดอึง น้ำที่เคยใสกระจ่างกลายเป็นขุ่นข้น ผมทำเช่นเดียวกับพ่อ ต่างแต่ว่าน้ำที่ผมย่ำเหยียบไม่ขุ่นเป็นวงกว้างเท่าของพ่อ ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของทรายและโคลนตม แม้กระทั่งซากของในไม้เน่า เสียงไม้ยังฟาดน้ำแตกกระจาย เท้าผมก็แตะน้ำให้เกิดเสียง ปลาบางตัวถูกไล่ต้อนลงไปแล้ว
เมื่อแดดส่องลงตรงกลางหัว ไฟถูกก่อขึ้นด้วยฝีมือของพ่อ แม้ฝนจะตกปรอยๆ ลงมาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายฟ้า ทั้งๆ ที่ฟ้าปราศจากเมฆครึ้ม แต่กองไฟของพ่อยังคงลุกโชน นิ้วมือของผมซีดจนเหี่ยวย่นเมื่อพ้นน้ำ ตอนอยู่ในน้ำยังรู้สึกอุ่นอาจเป็นเพราะน้ำขังแดดเอาไว้ให้ปลา พ่อเหลาไม้ไผ่ป่าเสียบปลาขาวอย่างชำนาญเอาเกลือโอบแล้วเสียบรอบกองไฟ บางตัวพ่อก็โยนลงกองขี้เถ้า มันสะบัดหางจนขี้เถ้าฟุ้ง กลิ่นคาวเมือกเมื่อแรกกลายเป็นหอมยวนทวนลม พ่อเขี่ยปลาตัวที่สุกก่อนออกมาให้ผม น้ำพริกสด ข้าวในห่อ น้ำในขวด ล้วนถูกเปิดออก
"ระวังก้างด้วยล่ะ อย่ามูมมาม" พ่อเตือน
"ก็มันอร่อยนี่พ่อ เนื้อปลานุ่มอบร้อนจิ้มกับน้ำพริกเปรี้ยวๆ ของพ่อเข้ากันดีแล้ว ผมใช้มือพุ้ยคำข้าวเข้าปาก เป็นวันแรกที่พ่อทำอาหารได้อร่อยที่สุด"
พ่อยังคงมวนยาสูบ และทอดสายตามองวังน้ำลึกเบื้องหน้า กางเกงที่เปียกก็เหมือดน้ำจนแห้งแล้วเป็นบางส่วน ผมยังคงวุ่นอยู่กับปลาปิ้ง มือทั้งสองข้างดำไปด้วยเกล็ดปลาเปื้อนเถ้า
"พ่อ เมื่อไหร่แม่กับพี่จะกลับบ้าน"
"เดือนหน้าไม่ก็เดือนต่อไปข้างหน้าอีก"
"โตขึ้นผมจะหาเงินเยอะๆ ส่งให้พ่อกับแม่ ไม่ต้องไปรับจ้างเขาให้ลำบาก"
"ตอนนี้เอ็งควรหาปลาให้ได้เยอะๆ ก่อน"
"พ่อ ผมอยากเป็นครู ผมจะมาสอนที่หมู่บ้านของเรา"
"ใครก็เป็นครูได้ทั้งนั้นแหละ แม่น้ำ ปลา ก้อนหินเหล่านี้ล้วนเป็นครู มันขึ้นอยู่ที่ว่าเอ็งจะเรียนรู้มันหรือเปล่า"
"ผมไม่เข้าใจหรอกพ่อ"
"ขอให้เอ็งโตขึ้นสักวันในอีกหลายๆ วันแล้วจะเข้าใจ"
"ทำไมพ่อไม่เรียนสูงๆ "
"เรียนสูงมันพูดกันยาก พูดกันไม่เข้าใจ ข้าไม่อยากเป็นอย่างนั้น ที่สำคัญปู่กับย่าเอ็งก็จน มรดกที่พ่อได้ มีเพียงความอดทน อดกลั้นไม่ท้อต่องานหนัก ถ้าเอ็งจะเรียนให้สูงควรรู้จักทำในสิ่งที่เขาคิดกันว่าต่ำก่อน"
"อะไรพ่อ"
"ก็สิ่งที่เอ็งกับข้ากำลังทำอยู่นี่แหละ ไม่ใช่จะเรียนอย่างเดียว ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เท่านั้นก็สูญค่า"
"ผมจะหาปลาเก่งๆ เหมือนพ่อ"
"ต้องเก่งกว่าพ่อ" พ่อหยุดขว้างก้นมวนยาเส้นเข้ากองไฟที่โรยแรงลงแล้ว
"พ่อจะให้ผมเรียนต่อหรือเปล่า"
"คงไม่ให้เรียน"
"ทำไม" ผมถาม เสียงสั่นสะท้านน้ำตาคลอ
"เอ็งกินปลามูมมามเกินไป" เสียงพ่อหัวเราะหึหึในตอนท้าย
พ่อลุกขึ้นยืนร่างของพ่อเกรียมแดด เส้นผมพันกันยุ่งเหยิง ใบหน้าแดงแดด สะพายแหขึ้นบ่าเดินเลือกหาโขดหินที่โผล่พ้นน้ำ ผมเฝ้ามองเหมือนพ่อว่า ทุกอย่างเป็นครูของเราทั้งนั้น พ่อเลือกโขดหินได้แล้ว ยืนคลี่แหบนบ่า ไม่นานนักแหของพ่อก็แตกเป็นวงกลมกว้างคลุมผืนน้ำและดำดิ่งลงใต้น้ำตามแรงตะกั่วถ่วง พ่อบอกให้ผมลงงมตีนแหดึงมันลงให้จรดพื้น ผมดำน้ำคล่องแคล่วคิดว่าตัวเองเป็นนากน้อย ดำลงไม่เท่าไหร่ตูดเป็นโผล่พ้นน้ำอยู่ร่ำไป แต่พ่อก็ยังไม่ไล่ให้ผมขึ้นฝั่ง ทนดูความไม่เอาไหนของผมอย่างอดทน ทุกครั้งที่พ่อหว่านแพและกู้เก็บนั้น ผมรู้ว่าพ่อระมัดระวังไม่ให้แหขาดทุกกระเบียดนิ้ว มันเป็นมาลัยชีวิตที่พ่อตั้งใจจะร้อยให้งดงาม แต่กระนั้นก็ดี แหของพ่อยังคงขาดอยู่บ้าง จากคมหินที่ซ่อนสงบอยู่ใต้น้ำ อันมิได้หมายความว่าทุกครั้งที่แหห่มน้ำจะหมายถึงการได้ปลาเสมอไป พ่อเรียนรู้การรอคอย ภาพพ่อจึงยืนสงบทอดเงาสะท้อนน้ำนั่น มีเพียงเงาในน้ำเท่านั้นที่เคลื่อนไหวแต่ตัวของพ่อเองกลับเป็นด้านตรงกันข้าม
จนบ่ายคล้อย พ่อจึงเก็บแหก เก็บอวน ได้ปลาอยู่หลายตัว มันมากพอที่จะเอาไปผ่าท้องตากแห้งไว้เป็นเสบียงกรังยามที่พ่อคิดเมนูอาหารไม่ออก อย่างน้อยปิ้งปลาอาจดีกว่าแกงส้ม เมื่อสำรวจว่าไม่ลืมสิ่งใดแล้ว พ่อจึงพาก้าวเดินในเส้นทางที่เข้ามา
"พ่อจะแกงอะไรเย็นนี้"
"แกงส้มปลาช่อนใส่ดอกแค"
"แกงส้มที่บ้านยังไม่หมดเลย เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีกว่า"
"แกงส้มดอกแคใส่ปลาช่อน" พ่อพูดติดตลกและยิ้มในใบหน้า
"ผมอยากกินห่อหมกปลาช่อนใส่ใบยอ มันอร่อยนะพ่อ วันนั้นไปกินบ้านป้ามายังติดใจไม่หาย"
"แม่เอ็งไม่อยู่และข้าก็ทำไม่เป็น เปลี่ยนเป็นปิ้งจิ้มน้ำพริกก็ได้นี่"
"ทำไมพ่อไม่ลองทำดู"
"ทำดูนะได้ แต่ทำเอามากินไม่ได้นี่สิเสียดายเนื้อปลา"
"ปิ้งปลาก็ได้พ่อ" ผมรู้ว่าพ่อกำลังคิดจะลองทำ และรู้ไปกว่านั้นว่ามันต้องมีรสที่ประหลาดพิกลแน่
"แล้วเรื่องเรียนของผมละพ่อ"
"นี่ไง เอ็งกำลังเรียนอยู่กับข้า"
"หมายถึงเรียนต่อที่โรงเรียนในตัวอำเภอนะพ่อ"
"เอ็งอยากเป็นครูจริงๆ หรือ"
"ครับผมอยากเป็นครู"
ตกเย็นผมยังคงนั่งกินข้าวกับพ่อ วันนี้เลี่ยงแกงส้มได้อย่างหวุดหวิด เปลี่ยนมาเป็นปลาปิ้งแทน มันอร่อยทีเดียว ปิ้งร้อนๆ ราดน้ำปลากินกับข้าวอุ่น แสงตะเกียงน้ำมันโซล่าหรี่แสง
"เห็นท่าน้ำมันใกล้จะหมด ไม่ได้ซื้อตุนเอาไว้เสียด้วยสิ"
"ข้าวสารก็ใกล้จะหมดเหมือนกันพ่อ"
"พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยไปซื้อ"
"พ่อมีเงินไม่เห็นให้ผมไปซื้อขนมกินที่โรงเรียนเลย"
"ใครว่าข้ามีเงิน หมายถึงไปเซ็นร้านเขาไว้ก่อน"
"เราเซ็นไว้เยอะแล้วพ่อ ผมไม่กล้าไปซื้ออีกหรอก"
"บอกป้าเพยไปซีพ่อจะหาเงินไปใช้ทีหลัง"
"ไม่ต้องบอกหรอกแกจำได้แล้ว และขู่เอาไว้ด้วยว่าจะไม่ให้เซ็นอีก" ผมบอกพ่อตามความจริง
"ลองดูก่อน ยังไม่ได้ทำเป็นรู้อนาคต เอ็งน่าจะเป็นหมอดู"
พ่อยังคงยิ้ม กินข้าวยังไม่อิ่มท้อง ตะเกียงพลันดับวูบลง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงเคี้ยวข้าวของตัวเอง พ่อควานหาห่อยา ให้ผมจุดไม้ขีดขึ้น แล้วพ่อดึงไส้ตะเกียงที่ชุ่มน้ำมันเพียงบางเบาขึ้นสูงแล้วจุด
"ยังคงกินได้อีกหลายคำ กินให้อิ่มจะได้นอน แล้วเมื่อไหร่เอ็งจะซักผ้า"
"พรุ่งนี้ครับ" ผมกินข้าวจนอิ่ม เก็บจานชามไปแช่น้ำเอาไว้ในหม้อ
แสงตะเกียงริบหรี่เต็มทนน้ำมันชุบผ้าห่มที่ทำเป็นไส้ตะเกียงนั้นเริ่มไหม้และส่งกลิ่นเหม็น ผมนอนลงข้างๆ พ่อ ปล่อยให้ตะเกียงดับแสงด้วยตัวของมันเอง
"ผมจะได้เรียนต่อหรือเปล่าพ่อ"
"พรุ่งนี้ค่อยพูดกัน"
พ่อตอบแล้วหลับไป ส่วนผมได้แต่รอหวังวันพรุ่งนี้อีกตามเคย วันพรุ่งนี้ของผมช่างดูเหมือนไกลแสนไกล ผมเผลอหลับไปกับความฝันของวันพรุ่งนี้....
จากคุณ :
เดอะแหลม
- [
30 ม.ค. 48 20:24:19
A:203.156.97.78 X:
]