สวัสดีค่ะ :)
ดิฉันได้รับเมลล์จากเพื่อนคนหนึ่ง...อ่านแล้วได้ข้อคิดดีมากค่ะ
จึงขออนุญาตนำมาแชร์ต่อให้ทุกท่านที่ชอบอ่านเรื่องราวดีดีนะคะ
ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า...เรื่องนี้คงจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย...
และหากท่านใดเคยอ่านมาแล้วต้องขออภัยด้วยค่ะ ^_^
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นาย ยูจีน โอเคลลี่ (Eugene OKelly) เขาอายุเพียง ๕๓,
เป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทตรวจบัญชียักษ์ KPMG ของสหรัฐฯ,
ได้รับเงินเดือนอันดับต้น ๆ ของสุดยอดนักบริหารมะกัน, กำลังอยู่จุดสูงสุดของอาชีพ...
กำลังเตรียมเดินทางรอบโลก, เตรียมไปร่วมงานวันแรกของลูกสาวขึ้นเรียนชั้นมัธยม,
ทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างเฟื่องฟู...
และวันดีคืนดี, หมอก็ตรวจพบว่า
เขามีมะเร็งในสมอง....และอยู่ในขั้นสุดท้ายเสียด้วย
หมอบอกว่า เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน ๓ ถึง ๖ เดือน
ไม่ต่างอะไรกับสวรรค์อับปางลงต่อหน้าต่อตา,
ความฝันทุกอย่างที่มีสำหรับตัวเองและครอบครัว...พังสลายลงมาฉับพลัน
ยูจีนตัดสินใจว่าเขาจะไม่ยอมนอนรอวันตาย,
เขาตัดสินใจปรับแผนชีวิต
เพื่อให้ไม่กี่สิบวันของชีวิตที่เหลือมีความหมายที่สุด
ผมรู้จักเขาจาก... หนังสือ Chasing Daylight (ไล่ล่าแสงตะวัน)
ที่ออกขายมาในอเมริการะยะหนึ่งแล้ว
เป็นหนังสื่อที่เขาเล่าชีวิตวันต่อวันจนถึงวันสุดท้าย
โดยมีบทส่งท้ายเขียนโดย...
ภรรยาที่ชื่อ คอรีนน์
ซึ่งเป็นทั้งเงาประจำตัวและเป็นพยาบาลตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ที่เล่าถึงนาทีสุดท้ายของชีวิตของสามี
เรื่องราวน่าทึ่งของนักธุรกิจใหญ่ที่ต้องเผชิญกับ
กำหนดตารางวันตาย นี้เป็นการบันทึก
การเดินทางวาระสุดท้าย อย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว
ภายใต้ชื่อหนังสือนั้น,
คนเขียนอธิบายว่ามันคือเรื่องราวส่วนตัวที่เล่าขานอย่างละเอียดละออว่า
ความตายที่กำลังจะมาถึง
ไปปรับเปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าอย่างไรบ้าง
ทันทีที่หมอบอกว่าผมจะมีชีวิตอยู่อีก ๓ ถึง ๖ เดือน,
ผมก็ถามตัวเองว่า
ทำไมช่วงสุดท้ายของชีวิตคนเรา
จะต้องเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุด?
เขาบอกตัวเองว่าเขาจะทำให้วันเวลาช่วงสุดท้ายก่อนตายนั้นเป็น ...
ประสบการณ์ทางสร้างสรรค์ที่ควรจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของชีวิต ให้ได้
เมื่อมีเวลาไตร่ตรองและพูดคุยกับตัวเองเพียงพอ,
ยูจีนก็บอกว่าถือว่าเป็น โชคดี ที่เขารู้ล่วงหน้าว่า จะตาย
เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเวลาคิดถึงความตายของตัวเองก่อนด้วยซ้ำ
เพราะมันมาอย่างรวดเร็ว, กระทันหัน, และเจ้าตัวตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำไป
หมอบอกเขาว่า...
มะเร็งในสมองของเขาส่วนนั้นจะไม่ทำให้มีอาการเจ็บปวดมากนัก
ความเสื่อมของสมองมาค่อย ๆ มาในรูปของเงามืด สายตาจะพร่ามัว
และเมื่อถึงเวลาอาการก็จะทรุดเข้าสู่โคม่า
ความมืดของกลางคืนจะมาถึง และเขาก็จะตาย
เขานับนิ้วแล้วว่าจะเหลือชีวิตเพียง 100 วัน
เขาย้อนมองชีวิตการทำงานเขาแล้วก็ปลงว่า...
เขาไม่เคยมีเวลาให้กับครอบครัว,
ไม่ค่อยได้กลับบ้านกินข้าวเย็นกับภรรยาและลูก,
แม้ลูกจะอ้อนว้อนขอร้องให้เขาไปร่วมงานโรงเรียนของลูก
เพราะพ่อแม่ของเพื่อนๆ ต่างก็ไปร่วมทั้งนั้น,
เขากลับอ้างว่า มีนัดหมายเรื่องงานการ...ที่ไม่อาจจะไปเป็นเพื่อนของลูกได้
ยูจีนนั่งเสียใจว่าเขาใช้ชีวิตอย่าง
นักธุรกิจที่ไม่เคยมีเวลาให้กับครอบครัว
ทั้งๆ ที่เขาอ้างว่าที่เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ,
ต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้ตำแหน่งสูงขึ้นและได้รายได้เพิ่มพูนขึ้นนั้น
ก็เพราะเขารักครอบครัว
ในฐานะซีอีโอของบริษัทใหญ่ที่มีพนักงานถึง ๒๐,๐๐๐ คน,
ผมมีสิทธิ์พิเศษมากมาย...
แต่งานในตำแหน่งนั้นก็กดดันให้ผมต้องทำงานอย่างบ้าเลือด
ปฏิทินงานการของผมกำหนดไว้ 18 เดือนล่วงหน้า
ผมเคลื่อนไหวด้วยความเร็ว 100 ไมล์ต่อชั่วโมงตลอดเวลา,
ผมทำงานตลอดเวลา, แม้วันสุดสัปดาห์ก็ไม่ได้เว้น,
กลางดึกกลางดื่นผมก็ยังทำงาน,
ผมไม่เคยได้ไปงานโรงเรียนของลูกสาวคนเล็กของผมเลย
สิบปีแรกหลังการแต่งงาน ...ผมไม่เคยไปพักร้อนกับภรรยาเลย...
แต่เขารู้วันที่เขามีชีวิตเหลือไม่กี่เดือนว่า...
นั่นเป็นข้ออ้างที่เขาไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก
ยูจีนตัดสินใจว่าเขาจะทำให้การจากโลกของเขา
เป็น ความตายที่ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้
เขาเรียกมันว่า the best possible death
เขานั่งลงเขียน สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย อย่างนี้
๑. จัดแจงเรื่องกฎหมายและการเงินของตัวเองให้ครอบครัวให้เรียบร้อย
๒. ร่ำลา ครอบครัว, เพื่อนสนิท, และเพื่อนร่วมงาน
๓. ทำให้ทุกอย่างที่เหลือของชีวิตเป็นเรื่อง ง่ายๆ และสบาย ๆ
๔. อยู่กับปัจจุบันทุกนาที
๕. สร้างและเปิดอารมณ์ให้รับ นาทีอันสมบูรณ์ (perfect moments)
ตลอดเวลาจนถึงลมหายใจสุดท้าย
๖. เริ่มต้นกระบวนการ ผ่องถ่าย ไปสู่ภาวะถัดไป
๗. เตรียมงานศพของตัวเอง
น่าแปลกว่า สำหรับคนที่ต้องรับการรักษา...
ที่ทำให้ร่างกายต้องผ่ายผอม...
และสมองทำงานช้าลงไปเรื่อยๆ นั้น,
ยูจีนสามารถทำตามตารางที่วางไว้ให้กับตัวเองเกือบทั้งหมด
ทุกวัน, เขาจะนั่งลงเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยปากกา
เพราะสมองไม่พร้อมจะให้ใช้นิ้วพิมพ์คอมพิวเตอร์ได้
และลายมือก็เริ่มจะเฉๆ ไฉๆ ไม่เป็นตัวหนังสือแล้ว
แต่เขาก็มีความอดทนและมุ่งมั่นเขียน
จนถึงอีกไม่กี่วันก่อนที่จะจากไป
โดยมีภรรยาของเขาเป็น ผู้เขียนร่วม
เพื่อปิดฉากชีวิตด้วยหนังสือที่เขาเชื่อว่า...
จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ไม่เคยคิดว่า
วันหนึ่งชีวิตอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายกับการ สร้างเนื้อสร้างตัว
หรือ สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัว นั้น
จะต้องปิดฉากลงอย่างฉับพลันอย่างนั้น
ยูจีนร่ำลาเพื่อนฝูงด้วยการ....
เขียนจดหมายไปขอบคุณเขาที่ได้เป็นเพื่อนอันแสนดี
หรือเพื่อนร่วมกันที่น่ารัก....และบอกด้วยว่า เขากำลังจะจากโลกนี้ไปในเร็ววัน
ขอให้เพื่อนได้รับความขอบคุณจากเขาด้วย
หนึ่งในหลายร้อยฉบับที่เขาเขียนอำลาเพื่อนนั้นมีสั้นๆ อย่างนี้
ดั๊กเพื่อนรัก...
เพื่อนคงได้ยินข่าวแล้ว,
สุขภาพฉันย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เพราะเจ้ามะเร็งปอดระยะสุดท้าย
ที่ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้มาก็เพื่อจะบอกเพื่อนว่า...
มิตรภาพของเราตั้งแต่เราเรียนที่ Penn State ด้วยกันนั้น
มีความหมายต่อชีวิตฉันอย่างมากทีเดียว
ขอให้เพื่อนโชคดีในชีวิต
ขอให้พระเจ้าคุ้มครองเพื่อนด้วย
ยูจีน...
เขานั่งลงกับลูก ทีละคน....เพื่อ พูดจาสั่งลา กันอย่างสนิทสนม
อยากคุยเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น ....ไม่ว่าจะเป็น...
เรื่องอดีต, หรือสิ่งที่เคยทำด้วยกัน
หรือประสบการณ์อันน่าประทับใจที่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน
ไม่จำเป็นต้องเป็นการแสดงความอาลัยอาวรณ์,
ไม่จำเป็นต้องเป็นการพูดคุยกันอย่างเป็น สาระ เกินไป.
.จะคุยอะไรก็ได้ระหว่างพ่อกับลูก, ลูกกับพ่อ, ผัวกับเมีย, เมียกับผัว..
.หัวเราะต่อกระซิก, กระเซ้าเย้าแหย่กันได้ก็ยิ่งดี
และสิ่งที่ยูจีนค้นพบที่สำคัญที่สุด ก่อนหมดลมหายใจก็คือ....
ความสำคัญของการ อยู่กับปัจจุบัน หรือ here and now
เพราะตลอดชีวิตของการทำงานนั้น,
เขาไม่เคยอยู่กับตัวเอง,
ไม่เคยอยู่กับปัจจุบันเลย...มีแต่อดีต กับ อนาคต
เมื่อเขารู้ว่าเหลือชีวิตเหลือเพียงแค่ประมาณ ๑๐๐ วัน,
เขาจึงรู้ว่า...
การ อยู่กับปัจจุบัน นั้นมีความหมายอันลึกซึ้งเพียงใด