ความคิดเห็นที่ 1 แรงอีกแล้ววววว จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:32:56

ความคิดเห็นที่ 2 *****ข้อความนี้เขียนโดยผู้รู้ ซึ่ง "ยิงตรงเป้าจริงๆ"***** วิทยาลัยครูถือกำเนิดขึ้น เนื่องจากนักเรียนจบม.ปลายสมัยก่อนจำนวนมากสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แต่ต้องการเรียนระดับปริญญาตรี รัฐบาลสมัยก่อนจึงจัดตั้งวิทยาลัยครูขึ้นมาเพื่อรองรับนักเรียนเหล่านี้ นักศึกษาวิทยาลัยครู จบมาแล้วไม่มีงานทำ ตกงานทั้งประเทศ วิทยาลัยครูจึงปรับตัวเองกลายเป็นสถาบันราชภัฎ วิทยาลัยครูจึงเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทยในอดีต ------------------------------------------------------------ ภาพในอดีต รัฐบาลเปิดสอบบรรจุครูไม่กี่ร้อยตำแหน่ง บัณฑิตวิทยาลัยครูหลายแสนแห่กันไปสมัครบรรจุเป็นครู ผลสอบ บัณฑิตที่ไม่ได้จบวิทยาลัยครูสอบได้เกือบหมด นักศึกษาครูและบัณฑิตครูตกงานหลายแสนคนทั่วประเทศ ชุมนุมเรียกร้องให้ออกกฎหมายใบประกอบวิชาชีพครู เพื่อให้บัณฑิตครูมีงานทำ ใบประกอบวิชาชีพครูจึงเกิดขึ้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของนักเรียนหรือการศึกษาไทย แต่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาบัณฑิตครูตกงาน วันนี้บัณฑิตครูเหล่านี้กลายเป็นปัญหาการศึกษาของไทย ครูไม่มีคุณภาพ ครูไม่มีความรู้ ครูไม่สอนหนังสือ ........................................................................ แหล่งที่มา เขียนโดยคุณ  คนไทย TicketID:117365 ที่ คคห 9 ในกระทู้เก่าอันนี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10558043/K10558043.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 17:57:35

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องประหลาดก็คือ ใบอนุญาตครูมัน คล้ายใบอนุญาตไกด์ คล้ายสัมปทานผลิตสุรา เลยหละ! ใบอนุญาตครูดูเหมือนป้องกันไม่ให้มีครูเถื่อน แต่ครูมีใบอนุญาตส่วนใหญ่กลายเป็นเก่งน้อยกว่าคนเรียนสาขาอื่นมาที่อยากเป็นครูแต่ก็เข้ามาได้ลำบากเพราะข้อจำกัดและการกีดกันเพื่อผูกขาดมีมาก ใบอนุญาตไกด์ดูเหมือนมีไว้ป้องกันไม่ให้มีไกด์เถื่อน แต่จริงๆแล้วคนที่เก่งภาษาอังกฤษมากๆก็ไม่มีใครอยากเป็นไกด์หรอกเพราะส่วนใหญ่เป็นพวกเรียนเก่งจะสู้ความโหดของอาชีพไกด์ไม่ได้ที่ต้องร่วมมือกับร้านค้าต้มตุ๋นนักท่องเที่ยวเพื่อความอยู่รอด เลยตอนนี้ไกด์มีใบอนุญาตนี่แหละกลายนอกจากจะพูดอังกฤษไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว แถมยังต้มตุุ๋นนักท่องเที่ยวเพื่อความอยู่รอด ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นคนจากหน่วยงานท่องเที่ยวก็มาต้มตุ๋นไกด์ด้วย เช่นส่งคนมาอบรมไกด์ โดยบังคับไกด์ว่าถ้าไม่มาอบรมจะต่อใบอนุญาตไกด์ไม่ได้ พอไปอบรมจริงๆกลายเป็นไกด์เก่ง (เรื่องต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว) กว่าวิทยากร และถึงวิทยากรอบรมไปเรื่องวิชาการท่องเที่ยวประว้ัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย พอไปทำงานไกด์แทบไม่ได้ใช้ความรู้พวกนี้เลย เพราะพากย์ทัวร์ไปเรื่องราวด้านวิชาการแบบนี้นักท่องเที่ยวเบื่อหาวนอนหลับหมด แต่ถ้าพากย์ว่ามีแหล่งอาบอบนวดที่ไหนดีๆจะไปลงอ่างให้สาวๆนวดได้หละก้อ นักท่องเที่ยวตาสว่าง ไกด์ได้เงิน เพราะร่วมมือกับสถานอาบอบนวดโก่งราคาค่าลงอ่าง บางทีค่านวด 2,000 บาท สถานบริการเก็บนักท่องเที่ยวคนละ 5,000 บาท ที่เกินมา 3,000 บาท ไกด์เอาไป แล้วให้ tip คนเชียร์แขกลงอ่าง 500 บาท ไกด์ได้กำไรหัวละ 2,500 บาท ถ้านักท่องเที่ยวลงอ่างกับหมอนวดสาวๆ 10 คน ทำงานแค่คืนเดียวไกด์ก็เอาไปแล้ว 25,000 บาท สบายๆ ทำงานแบบนี้เงินดีรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษไม่เกิน 800 คำก็พูดเรื่องแบบนี้ได้ สัมปทานผลิตสุราก็ดูเหมือนกับว่าป้องกันคนผลิตสุราเถื่อนเพราะสุราเถื่อนกินแล้วตาบอดหรือตายได้ แต่เรื่องมันดันกลับตะละปัดไป นั่นก็คือเหล้าที่ชาวบ้านเอาข้าวเหนียวมาหมักแบบธรรมชาติที่เป็นภูมิปัญญาไทยโดนทำลายเกือบหมดสิ้นเพราะโดนเจ้าหน้าที่สรรพสามิตไล่ล่าตามจับ เหตุผลเพราะมันมาแย่งธุรกิจทำเหล้าที่มีสัมปทาน!  มันเป็นระบบที่เอื้ออำนวยให้คนมีสัมปทานผูกขาดขายเหล้าที่ไม่ได้หมักโดยธรรมชาติแต่เอาสารเคมีอะไรแย่ๆใส่ให้คนไทยกินไปแล้วตายผ่อนส่งไปทุกวัน สรุปแล้วไอ้เหล้าเถื่อนน่ะมันกลายเป็นเหล้าธรรมชาติที่อันตรายน้อยกว่าเหล้ามีสัมปทานและเป็นภูมิปัญญาไทยที่ถูกทำลายเพราะโดนเจ้าหน้าที่สรรพสามิตจับ...งงมะล่ะ...!!!??? นี่หละเขาเรียกว่า unseen Thailand...555+++...ถ้ายังไม่เห็นก็ไม่เชื่อ... แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 18:27:25 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:24:08

ความคิดเห็นที่ 4 อ่านแล้วรู้สึก...กฏบางอย่าง สร้างเพื่อบางคน ไม่ต่างจากการ "เห็นแก่ตัว" จากคุณ : เข็มสั้น เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 18:56:27

ความคิดเห็นที่ 5 ความด้อยคุณภาพแก้ด้วยอะไร ต้องแก้ด้วยการพัฒนา ต้องระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนา มหาลัยราชภัฎในประเทศไทยมีอยู่ทั่วประเทศถึง 38 แห่ง ยังคงได้รับงบประมาณการสนับสนุนที่น้อยกว่ามหาลัยของรัฐอื่นๆ หากภาครัฐบาล และเอกชนพร้อมใจกันให้การพัฒนา และสนับสนุนจะสามารถกระจายระบบการศึกษาให้กับเด็กไทยได้อย่างทั่วถึง และเพิ่มพูนสถาบันการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ คิดดูให้ดีๆ ประเทศชาติจะพัฒนาต้องมีวิสัยทัศน์ (Development vision) ต้องคิดให้เป็น มองให้เห็น อย่าดูถูกดูแคลนปิดกั้นเด็กนักศึกษาไทยที่ยังด้อยโอกาส หากจะคิดดูถูก ดูแคลนเพื่อนร่วมชาติ ให้เปลี่ยนพลังสมองไปใช้ในการระดมความคิดในการพัฒนาจะดีกว่า (Look to the accuracy) จากคุณ : Co-development เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 19:11:45 A:125.24.180.252 X: TicketID:317466

ความคิดเห็นที่ 6 ต้องการผลมุ่งหวังอันดีในภายหน้า เหมารวมทั้งโลกาว่าย่ำแย่ เสียใจ เสียใจ จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 19:14:01

ความคิดเห็นที่ 7 ตอบ คคห 5 ก่อนที่คุณจะพูดสิ่งที่คุณพูด คุณต้องพิสูจน์ก่อนว่า จขกท และ คุณคนไทย TicketID:117365 ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้แล้วอ้างว่า "มหาลัยราชภัฎในประเทศไทยมีอยู่ทั่วประเทศถึง 38 แห่ง ยังคงได้รับงบประมาณการสนับสนุนที่น้อยกว่ามหาลัยของรัฐอื่นๆ หากภาครัฐบาล และเอกชนพร้อมใจกันให้การพัฒนา และสนับสนุนจะสามารถกระจายระบบการศึกษาให้กับเด็กไทยได้อย่างทั่วถึง" ^ arguments ของเราก็คือ "ก็ในเมื่อพวกคุณที่จบวิทยาลัยครูมา (ตอนนี้กลายเป็นราชภัฎ) ผูกขาดระบบการศึกษาไว้โดยกดดันให้รัฐบาลออกกฎหมายใบอนุญาตครูเพื่อกีดกันผู้อื่น (ที่เก่งกว่า) แต่พวกคุณก็ยังมีผลงานที่ไม่น่าประทับใจ แล้วพวกคุณยังจะเรียกร้องการสนับสนุนอีกหรือ?" ......................................................................... ตอบ คคห 6 ที่ว่า "เหมารวมทั้งโลกาว่าย่ำแย่" คุณมีข้อพิสูจน์อะไรว่ามีใครที่ไหนพูดว่า "ทั้งโลกามันย่ำแย่" ในสังคมไทยคนที่เขียนหนังสือเผยแพร่วัฒนธรรมอันดีงามของไทยได้รับการยกย่องว่า "เป็นคนรักชาติ"  แต่คนติเพื่อก่อโดยการพูดว่า "ของเน่าเหม็นมันอยู่ที่ไหนในประเทศไทย" น่าจะทำให้คนทั้งประเทศได้ฉุกคิดเพื่อการพัฒนาประเทศมากกว่า แต่กลับโดนประหัตประหาร ถ้างั้นใครอยากเป็นพลเมืองดีให้ได้รับการยกย่องว่า "รักชาติ" ก็ต้องโกหก tor laa ไปวันๆว่า "ทุกอย่างดีเยี่ยม เลิศเลอ perfect ไม่มีที่ติเลย" ตกลงนี่คือ The games we play. เพื่อตบตากันในสังคม ใช่หรือเปล่า? ............................................................... แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 19:56:00 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 19:52:41

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่เถียงค่ะ ไม่เถียง สิ่งที่คุณว่ามาเป็นเหตุผลที่ชัดเจนและดีอยู่ ดิฉันก็ไม่ได้บอกว่าการติเพื่อก่อมันเลวร้าย แค่บอกจะบอกว่าการติดังกล่าวมันเหมือนกำลังเหมารวมคนที่มีใบประกอบวิชาชีพทั้งหมดว่าไร้คุณภาพ (แน่นอนว่าทั้วคำว่าโลกาที่เขียน ออกจะเป็นอติพจน์ไปหน่อย แล้วจริงๆแล้วคุณหรือคุณสุดเดียวดายก็ไม่ได้บอกว่าทุกคนไร้คุณภาพ) แต่ก็นั่นแหละ บางครั้ง ในฐานะที่ยังเป้นมนุษย์ก็อยากแขวะอะไรที่มันกระทบจิตกระทบใจ จะว่าร้อนตัวก็ไม่แปลก จะว่าหมั้นไส้ก็ไม่เชิง เอาเป้นว่าเสียใจจริงๆ ที่มีการบอกว่าการผลิตบัณฑิตผู้มีประกอบวิชาชีพครูมันย่ำแย่ ซึ่งจริงๆดิฉันก็เข้าใจว่าคุณ(อาจจะ-คง)จะเพ็งเล็งไปที่การผลิตบัณฑิตวิชาชีพครูที่สืบเนื่องจาก วค ก็เถอะ จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 20:55:20

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ที่มาพูดนี้เราก็ไม่ได้อยากจะเป็นครูกับเขาหรอกเพราะเราอายุก็มากแล้วอยู่เฉยๆไม่ทำงานจะดีกว่า แต่เราคิดว่า "ถ้าเรื่องที่คุณ "คนไทย TicketID:117365" พูด ซึ่ง จขกท เอามาต่อยอดตรงเป้าด้วยนั้นเป็นจริง (ซึ่งเราก็มั่นใจว่าเป็นจริงแน่ๆเพราะว่าเราเกิดยุคเดียวกันกับคุณ คนไทย TicketID:117365 และร่วมรับรู้เหตุการณ์นี้เหมือนกัน) นั่นก็หมายความว่า โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่เรียนจบสาขาอื่นนอกจากครูจะเก่งในสาขาวิชาการต่างๆมากกว่าเพราะสอบเข้ามหาลัยยากกว่าตั้งหลายเท่า และคนจบสาขาอื่น "ส่วนใหญ่" ก็น่าจะเป็นแม่พิมพ์ของชาติได้ดีกว่า ดังนั้น ควรยกเลิกการผูกขาด เมื่อสิ้นสุดการผูกขาดเพื่อพวกพ้องตนเองการศึกษาไทยก็จะพัฒนาได้" ดังนั้น "สิ่งที่พวกเราถกกันในกระทู้นี้คนไทยทั้งประเทศควรร่วมกันลงคะแนนเสียง ไม่ใช่แค่ให้มีแต่พวกเราที่เห็นด้วยกับ จขกท ต้องมานั่งโต้วาทีกับคนเรียนครูแล้วมีใบอนุญาตครูซึ่งจะเสียผลประโยชน์ ควรคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม"   การผูกขาดโดยอาศัยมีพวกมาก มันไม่ต่างอะไรไปจาก อสมท ขาดทุนทุกปีมาตั้งหลายสิบปี จน แสงชัย สุนทรวัฒน์เข้ามาบริหารถึงมีกำไร แล้วแสงชัยก็ถูกยิงตายเพราะขัดผลประโยชน์ แล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ "ไม่มีคู่แข่งเลย" แต่ขาดทุนทุกปี แล้วดู TOT ที่เคยผูกขาดบริการโทรศัพท์ซิ ขอโทรศัพท์ทีหนึ่งถ้าไม่มีเงินยัดใต้โต๊ะ 50,000 บาท ไม่มีทางได้ หรือไม่ก็ขอโทรศัพท์ไป 5 ปีก็ยังไม่ได้ แต่พอให้ True ได้สัมปทานไปบ้าง ขอโทรศัพท์ทีหนึ่ง True ติดตั้งให้ภายใน 7 วัน! เมื่อเลิกการผูกขาดประชาชนก็มีทางเลือกมากขึ้น ผลดีก็เป็นของประชาชน ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมไม่เปิดโอกาสให้คนเรียนสาขาอื่นเก่งๆเข้ามาเป็นครูบ้างล่ะ เปิดการแข่งขันกันเสรีเหมือน TOT กับ True บ้างสิ "ประชาชนทั้งประเทศจะได้เลือกได้อย่างเป็นอิสระว่าจะเอาคนจบสาขาอื่นหรือจะเอาคนจบครูมาสอนลูกหลานพวกเขา" แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 21:34:38 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 21:23:36 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 21:19:30

ความคิดเห็นที่ 10 เช่นที่คุณfortuneteller บอกครับ ผมเองก็ไม่ได้ประสงค์ที่จะสอบแข่งขันกับผู้จะจบ วค.หรือ ราชภัฎหรอกครับ มันเลยเวลามาแล้ว เส้นผมบนศรีษะก็ขาว จนต้องย้อมแล้วครับ แต่ในชั่วชีวิตนี้ได้อยู่ในเหตุการร่วมสมัย1.contemporaryกับ วค.และการสมัครสอบครู การเรียนการสอนโดยให้หมอ หรือนายช่างฯมาเป็นครูพิเศษสอน  พวกนายช่างที่จบ วศ.มาจะเก่งฟิสิกส์มากๆ หมอจะเก่งเรื่องคณิตศาสตร์เป้นเลิศ  แต่เมื่อได้ข่าวว่าหน่วยงานผู้มีอำนาจ จะออกกฎไม่ให้คนอื่นที่มีความรู้ คนเก่งมาสอนหนังสือโดยสิ้นเชิง คนที่จะมาสอนได้ต้องเรียนครู 5 ปีเท่านั้น.. ผมเห็นลางแล้วครับ ที่อเมริกา เขาไม่มีโรงเรียนสอนเป็นครู เขาใช้คนจบวิชาต่างๆ เขาเรียกว่า สหวิทยาการหรือ ภาษาอังกฤษเขาเรียก .interdisciplinary คนเก่งๆมาสอนยิ่งดี อัจฉริยะยิ่งดี บิล เกตต์ก็เคยไปสอนในมหาวิทยาลัย วิทยาลัยและโรงเรียนเกรด 12 ทั้งที่บิล เกตต์ไม่จบ ป.ตรี ทราบกันหรือป่าวเนี่ย สังคมไทยและกระทรวงศึกษาของไทยละ... พวกข้า รุ่นน้องข้าจาก วค.เท่านั้นจึงจะเป็นครูได้ ใช่หรือไม่ครับ เอวัง ด้วยประการฉะนี้ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 54 22:21:47 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 22:08:37

ความคิดเห็นที่ 11 มันผูกขาดกันทุกวงการแหละประเทศนี้ ดูทั้งตำรวจ ทหาร กระทรวงต่างประเทศ แล้วก็อีกหลายๆวงการมีแต่ตระกูลหลักๆประจำวงการทั้งนั้น เห็นมีแต่อาชีพทำนา กับค้าประเวณีที่คนไทยทำกันเป็นล่ำเป็นสันแต่ไม่เห็นมีใครอยากผูกขาด อิอิ จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 22:08:44

ความคิดเห็นที่ 12 ผมก็เพิ่งเข้ามาในวงกรการศึกษา จากที่ผมได้รู้จักครูอัตราจ้างหลายๆคน ส่วนใหญ่ที่สอบบรรจุได้ มักจะไม่ได้จบครุมาโดยตรง ผมสอบบรรจุปีที่แล้ว แทบไม่ได้อ่านหนังสือเลย แต่สอบติดแม้จะลำดับท้ายๆแต่ก็เรียกบรรจุเรียบร้อยแล้ว เพื่อนผมครุศาสตร์จุฬา เอกคณิตสอบติดที่6 เรียกรอบแรก อีกคนเอกฟิสิกส์ที่1 (แต่นี่มันครุฯจุฬา) ปีนี้เพื่อนผมเอกชีวะ (ป.บัณฑิตรุ่นเกือบสุดท้าย) สอบติดที่ปราจีนที่1 เอกจีนที่7 กทม. เรียกรอบแรก (เขาไม่ได้จบครุฯมาโดยตรง) กลับกัน เพื่อนๆและพี่ๆที่ผมรู้จักหลายตน ครุฯแต่จากม.ไม่มีชื่อ กลับสอบไม่ติด ถ้าคิดในแง่ดี แต่ละเขตพื้นที่ข้อสอบยากง่ายไม่เท่ากัน โชคดีได้ง่าย โชคร้ายได้ยากเลยสอบไม่ติด แต่ก็ถ้าพยายามจริงๆก็คงสอบได้กันทุกคน ถ้าอยากเป็นครูในพ.ศ.นี้ก็ต้องทำใจนิดนึงนะครับ ครูผู้น้อยโดนรุ่นพี่โยนงานให้  ครูนี่ไม่ได้มีงานสอนอย่างเดียว เดี๋ยวประเมินสมศ. เดี๋ยวโรงเรียนในฝัน เดี๋ยวรร.พระราชทาน งานเอกสารอีกมากมายก่ายกอง  ครูเน้นผลงานตัวเองมากขึ้น เมคข้อมูลและงานวิจัยเอง และอีกหลายๆอย่างที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เงินเดือนแปรผกผันกับการทำงานนะครับ ครูใหม่เงินน้อยทำงานมาก ครูเก่าเงินเดือนสูงทำงานน้อย บางคนคอมก็ไม่ได้แต่ได้คศ.3 ไม่รู้ได้มาได้ไง แต่ครูบางท่านต้องยอมรับใกล้เกษียณแล้วแต่ก็พยายามใช้โปรแกรมคอมเป็นสื่อในการสอน เก่งกว่าพวกผมซะอีก ปล. แสดงความเห็นตามความรู้สึกที่เป็นครูครับ รู้สึกแย่ และสงสารเด็กๆมาก เบื่อกับระบบการศึกษาไทยแบบนี้จริงๆ ปล.2 ผมอยากเป็นครูที่ได้สอนหนังสือให้ความรู้กับนักเรียนจริงๆ ไม่ใช่เป็นครูเอกสาร จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 22:43:22

ความคิดเห็นที่ 13 จริงๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ จะุยุบคณะคุรุ - ศึกษาออกก็ไม่เป็นไรครับ สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มหา'ลัยเข้ายาก สมัยนี้ทางเลือกเยอะ ราชภัฎเองก็ไม่ได้มีแต่คุรุอีกแล้ว คณะอื่นมีเยอะแยะเหมือนกัน ไหนจะรามฯ มสธ. ม.เอกชนอีก ใครอยากเป็นครูด้านไหน ก็เรียนด้านนั้นมาสิครับ แล้วมาเรียนหลักสูตรครูอีก 1 - 2 ปีต่างหาก แบบพวกเรียนเนติฯ ของสายกฎหมาย ถ้าผ่านหลักสูตร ( คนที่ผ่านอาจจะไม่ใช่คนที่รู้มากที่สุด แต่อาจจะเป็นคนที่อธิบายให้คนอื่นฟังได้ดีที่สุด เพราะคนเก่งบางคนก็อยู่ในฐานะปัจเจก คือตัวเองเก่ง แต่สอนคนอื่นไม่เป็นก็มี ) แต่คงยาก บ้านเราระบบรุ่นน่ะสำคัญที่สุด อะไรถ้ามีรุ่นแล้ว จะรื้อถอนก็ลำบากครับ จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 54 23:32:22

ความคิดเห็นที่ 14 เท่าที่อยู่ในวงการครูมาสิบกว่าปี... ไม่เคยเจอหรือได้ยินข่าวคนสอบได้คณะดีเยี่ยมแบบแพทย์  วิศวะ  เภสัช  นิเทศ  นิติ มหาวิทยาลัยดังของรัฐได้แล้วจะมาเลือกเรียนครู (สอบได้อักษรฯ แล้วมาเรียนครู เจอมาแล้ว ๑ คน) ไม่เคยเจอ  ประเภทจบคณะดีเยี่ยมแบบแพทย์  วิศวะ  เภสัช นิเทศ  นิติ อักษร มหาวิทยาลัยดัง  ฯลฯ แล้วอยากมาเป็นครู (ประถม, มัธยม) ไม่เคยเจอเกรดยอดเยี่ยมระดับเกียรตินิยม  ของวิทย์  เกษตร  รัฐศาสตร์  อักษรฯ  นิเทศฯ  ฯลฯ จะเบนมาทางครู (ประถม, มัธยม) ครูที่เจอส่วนใหญ่จะสอบเข้าคณะอื่นไม่ได้ แต่ได้คณะศึกษา ครุฯ เพราะห้อยเอาไว้ท้ายสุด  หรือบางคนก็สอบอะไรไม่ได้ซักอย่าง  เลยไปเรียนครู วค. หรือราชภัฏ   หรือถ้าเป็นกลุ่มจบมหาวิทยาลัย  ก็เป็นแถวกลาง หรือค่อนไปทางหางแถวของคณะทั้งวิทย์ และศิลป์ ที่จบมาแล้วหางานที่มั่นคงในสายที่จบมาไม่ได้  นั่นแหละถึงจะหันมาแลอาชีพครู สรุปความจริงก็คือ...วงการครู  ได้แต่ "กาก"  จากคนที่สอบมหาวิทยาลัยไม่ได้ตั้งแต่ต้น แล้วยังได้ "หางกะทิ" จากแต่ละคณะมาอีกด้วย ก็เป็นไปได้มาก  ว่ากลุ่มหลังอาจจะพอมี "มัน" มากกว่านิดหน่อย... ส่วนเรื่องมีหัวใจรักที่จะมุ่งมั่นพัฒนาผู้อื่น (เด็กนักเรียน) ยังสรุปไม่ได้ว่ากลุ่มไหนจะมีมากกว่ากัน แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 54 10:36:23 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 54 10:35:44 จากคุณ : ครู (ruralcrue) เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 10:26:24

ความคิดเห็นที่ 15 แต่ก็นะ  จะไม่เหลือพื้นที่ให้คนที่แตกต่างบ้างก็กระไรอยู่... คนเราคงไม่ได้เอาเรื่องเงินน้ำหน้าการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตเหมือนกันไปหมดซะทุกคนหรอกนะ ดังนั้นในวงการครูก็อาจจะมีคนที่เก่งขนาดสอบแพทย์  วิศวะ  เภสัช  อักษร  นิเทศ  นิติ  ของมหาวิทยาลัยดังได้  แต่มาเลือกเรียนครู...(เคยเจอสอบได้อักษร แล้วมาเรียนครู ๑ คน) หรืออาจจะมีคนที่หัวสมองระดับหัวกะทิ  แต่ด้อยโอกาสหรือพลาดโอกาสบางอย่าง  ปะปนอยู่ในวงการครู (อย่างครูอุ๊เคมี ก็ไม่ได้จบวิทย์ เคมี จากมหาวิทยาลัยชั้นนำแต่ประการใด) หรืออาจจะมีระดับเกียรตินิยมของคณะวิทย์  เกษตร  อักษร  นิเทศ  ฯลฯ  ที่มีทางเลือกอาชีพมากมาย  แต่กลับคิดอยากสอนเด็ก  อยากเป็นครู...(นี่ไม่เคยเจอเลย) แต่ก็หวังว่า...คนเหล่านี้มันน่าจะมีอยู่บ้าง...ที่ไหนซักแห่งในประเทศไทย! ก็เคยเจอครูที่เคยสอบพรีเอ็นท์ได้อันดับ ๕๕ ของประเทศสายศิลป์  เคยเจอคนสอบได้วิทย์  อักษรฯ  วนศาสตร์  พยาบาล ของมหาวิทยาลัยดัง ๆ  แต่เลือกมาเรียนครูโครงการพิเศษ...แต่ครูที่มีที่มาแบบนี้ก็หายากอย่างแรงอะนะ ก็ไม่เห็นด้วยกับการปิดกั้นคนที่อยากมาเป็นครูนะ  อาจจะให้ต่อวิชาชีพอีกซักปี  แล้วก็เปิดสอบแบบโอเพ่นไปเลย   ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว  ก็กรองเอาคนที่ "เก่งกว่า" เข้ามาก่อน  ส่วนเค้าจะรักอาชีพนี้จริง ๆ หรือไม่  หรือแค่หลอกตัวเอง หลอกชาวบ้านไปวันๆ...นั่นก็ค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าได้ครูเก่ง  รู้ลึก รู้จริง มีความชำนาญในสาขาวิชาที่ตัวเองรับผิดชอบ (ไม่เกี่ยวกับชำนาญการพิเศษ...ฮา) รักที่จะเป็นครู  ตั้งใจสอนจริงๆ...รับรองได้ว่าเด็กสุดยอดแน่นอน แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 54 14:37:04 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 54 08:48:54 จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 10:32:49

ความคิดเห็นที่ 16 อยากบอกแต่เพียงว่าเราต้องขจัดความขัดแย้ง และคิดร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ คิดโดยเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก การแก้ไขปัญหาระบบการศึกษาต้องสร้างระบบการคิดแบบสร้างสรรค์ให้ได้ จากคุณ : Co-development เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 13:02:44 A:101.108.27.34 X: TicketID:317466

ความคิดเห็นที่ 17 ที่ทุกคนว่ามาดิฉันค่อนข้างจะเห็นด้วยทั้งหมด แต่ที่ยังบอกว่าค่อนข้าง คือ อย่าลืมว่าในปัจจุบัน ยังมีมหาวิทยาลัยอื่น ที่ไม่ได้สืบเนื่องว่าจาก วค (แล้วจะอ้อมทำไม ราชภัฎก็ว่าไป) เปิดคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หลักสูตรได้ใบประกอบวิชาชีพ และเมื่อบัณฑิตจบออกมาก็มีความรู้ มีคุณภาพในระดับดี ถึงดีมาก และยังเลือกประกอบอาชีพครูด้วยอีกมาก ซึ่งถ้ามีการสะท้อนความเห็นเรื่องนี้และมีผลการกระทำใดๆขึ้นกันมาจริงๆ อย่าลืมคนกลุ่มนี้ด้วย ที่จบหลักสุตรครู 5 ปีมาเหมือนๆกัน และมหาวิทยาลัยที่ผลิตก็มีคุณภาพได้รับการยอมรับกัน ถ้าอย่างนั้น การที่จะยุบหลักสูตรนี้กันไปเลย แล้วคณะที่ผลิตบัณฑิตครูอันมีคุณภาพขึ้นมาได้จริง อย่างกลุ่มที่ดิฉันว่ามา จะต้องทำอย่างไร??? ยุบมันทิ้งไปเลย เพื่อเปิดโอกาสให้มี ซูเปอร์ดิสซิพลีนารี่เลยไหม??? (ประชดประชันไปหน่อย โปรดเข้าใจอารมณ์ผู้หญิง) จริงๆ การใช้หลักการสหวิทยาการมาเพื่อการสอน คณะของดิฉันก็สอนมาค่ะ จะเรียกว่าเป้นเทคนิคหรือการใช้ทรัพยาการรอบตัวมาเพื่อการเรียนรู้ของเด็กๆก็ได้ คือ การศึกษาชุมชนที่ใช้ผู้รู้ของแต่ละชุมชนมาให้ความรู้เด็กๆ การสร้างความร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวของในการศึกษาพิเศษ: disciplinary team การจัดfacilitateให้เหมาะสมทั้งในแง่อุปกรณ์และการจัดบุคลากรที่มีความรู้ในเฉพาะด้านมาสอนเด็กๆ ทั้งหมดนี้ได้เรียนและทำเป้นค่ะ แต่ที่หลายครั้ง หลายคนไม่ได้ทำเพราะระบบของดรงเรียนมันไม่สนับสนุน เงินไม่มี ทำแล้วเกินหน้าเกินตารุ่นพี่ เลยไม่ได้ทำไง "ก็เรียนด้านนั้นมาสิครับ แล้วมาเรียนหลักสูตรครูอีก 1 - 2 ปีต่างหาก" ที่ คห13ว่ามา การสร้างหลักสูตรแบบนี้ มีแล้วที่ มศว ในระดับปริญญาตรีนี่แหละค่ะ ดิฉันขอเสนอบ้าง แทนที่จะจัดการหลักสูตรนี้ให้สิ้นซากกันไป ให้มีการปรับปรุง ตรวจสอบ สอบแข่งขัน ทำวิจัย โดยกลุ่มนักวิชาการในด้านต่างๆ เพื่อตรวจสอบความรู้ความสามารถของนิสิต นักศึกษาของคณะครุศาสตร์ ศึกษาดีไหม ส่วนในประเด็นว่าการเอาใบประกอบวิชาชีพครู ยากเกินไป ห้ามคนไม่มีทำงานครูในโรงรียน กีดกันคนเก่งนั้น ดิฉันก็เห็นถึงความลำบากนั้นๆจริง แต่ก็ยังคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ประเด็นตรงที่สุดที่จะต้องแก้ไขด้วยการพุ่งประเด็นไปที่หลักสุตรครู 5 ปี ว่าไร้คุณภาพไปเสียหมด ส่วนเรื่องสอบมาตรฐาน 9 เพื่อเอาใบประกอบวิชาชีพนั้น มันก็เกินไปหน่อย น่าปรับปรุงจริงๆ ส่วรหลักสุตรปอบัณฑิต ก็ต้องพิจารณากันให้ดี จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 20:18:12

ความคิดเห็นที่ 18 ประเด็นที่สำคัญมันไม่ใช่ที่หลักสูตรครู 5 ปี หรือมหาลัยอื่นที่ผลิตครุศาสตร์บัณฑิต มีหรือไม่มีคุณภาพ แต่ปัญหามันเกี่ยวโยงกันซับซ้อนมากๆหลายประเด็นจนถึงกับต้อง "ทำศัลยกรรมรื้อระบบการศึกษาไทยใหม่หมด" เราติดตามประวัติบัณฑิตที่จบครุศาสตร์มหาลัยดีๆและเก่งๆมาหลายสิบคนเหมือนกันนะ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานเก่าเราและเป็นคนรู้จัก และทำสถิติออกมาได้ผล (สอดคล้องกัน) แบบนี้คือ คนที่มาจากครอบครัวยากจนและปานกลางพบจบมาก็เอาวุฒิ "ครุศาสตร์บัณฑิต" ไปสมัครงานอื่นที่มีรายได้มากกว่าครูกันเกือบหมด คนที่มาจากฐานะร่ำรวยมากๆบางคนก็เอาวุฒิครุศาสตร์บัณฑิตไว้ประดับเกียรติแต่ไปบริหารธุรกิจพ่อแม่ตัวเอง และมีหลายรายที่ "ยอมไปเป็นครู" เพราะพ่อแม่ซื้อบ้านซื้อรถและ "จ่ายเงินเดือนสูงๆให้ลูก(เพิ่มจากเงินเดือนครู)" เพื่อให้ลูกไปทำงานอันทรงเกียรติ์คือไปเป็นครูสอนประถมหรือมัธยม ซึ่งเพื่อนเรายอมทำตามเพราะ 1. หวังได้เงินเดือนสูงๆจากพ่อแม่ ไม่ได้หวังได้เงินเดือนครู 2. หวังทำให้พ่อแม่ดีใจเพื่อให้แน่ใจว่าพ่อแม่จะได้หลวมตัวยกสมบัติให้มากๆก่อนพ่อแม่จะตาย ซึ่งพอได้สมบ้ติพ่อแม่เมื่อไหร่พวกเพื่อนๆเราก็ลาออกจากครูกันหมด...555+++... แฟนเก่าเรายุคเมื่อเกือบๆ 20 ปีที่แล้ว (เลิกกันไปนานแล้ว) เธอจบครุศาสตร์เอกการสอนดนตรีจากจุฬามา เก่งกาจด้านดนตรีระดับเกินธรรมดา (คงเป็นเพราะพ่อเธอเป็นครูสอนศิลปะไทยและสอนดนตรีระดับศิลปินแห่งชาติ) เธอจบครูมาแล้วสอบเข้าบรรจุครูสอบติดหลายรอบแต่ไม่เคยได้รับการบรรจุ พอโทรไปถามพวกเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เพื่อนๆทุกคนช่วยๆกัน "ชี้ทางสว่างให้" ว่า "ต้องไปหาคนชื่อนั้นชื่อนั้นที่กระทรวงและยัดเงินจำนวนเท่านั้นเท่านั้นถึงจะได้ตำแหน่ง เพราะพวกเพื่อนๆทุกคนก็ทำแบบนี้มาแล้วกันทั้งนั้น!" ซึ่ง ณ วันที่แนะนำ พวกเพื่อนๆก็เป็นครูแค่ทำให้พ่อแม่ดีใจ พอแล้ว แล้วลาออกกันหมดแล้ว และไปดูแลธุรกิจพ่อแม่กันหมดแล้ว ตอนนี้ครูเก่งๆจากสถาบันชั้นนำรุ่นนั้น "ก็หายสาปสูญไปหมดแล้ว" เพราะหลายๆคนรวยระดับตั้งวงดนตรีของตัวเองเปิดธุรกิจให้บริการบันเทิงได้ หรือมีเส้นสายใหญ่ๆระดับหลุดเข้าไปในวงการบันเทิงได้ ทำไมเด็กรุ่นนั้นถึงมีแต่ลูกคนรวยๆเรียน? ตอบ "การเรียนมันโหดมากๆ ส่วนใหญ่นักศึกษาต้องจ้างนักดนตรีมืออาชีพมาสอนที่บ้านกันทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ลูกคนรวยส่วนใหญ่ไปไม่รอด รุ่นนั้นนักศึกษาโดนรีไทร์ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง" แฟนเก่าเราไม่ค่อยรวยเท่าไหร่ แต่ที่เรียนจบมาได้โดยไม่ต้องจ้างนักดนตรีมืออาชีพมาสอนแพงๆ ก็เพราะเธอได้เปรียบเนื่องจากเกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักดนตรีมืออาชีพระดับศิลปินแห่งชาติและถูกสอนดนตรีมาตั้งแต่อายุน้อยมากๆจนพอเข้าวัยเรียนมหาลัยก็เล่นเครื่องดนตรีได้หลายอย่างอย่างน่ามหัศจรรย์ จริงๆแล้วเธอเคยสอบติดแพทย์เข้าไปเรียนไม่ถึงปีแล้วซิ่ว เพราะรู้ว่าไม่ใช่อาชีพที่อยากทำ... เมื่อเธอจบครูมาแล้ว และ "หัวรั้น" ไม่ยอมยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อซื้อตำแหน่งครู ตอนนี้เธอเลยต้องกลับไปเชียงใหม่ไปขายเหล้าตอง (ภาษาเหนือแปลว่าเหล้าดองสมุนไพร) ให้นักท่องเที่ยว เธอเคยโทรมาบอกเราว่าเธอจำสูตร Russian vodka ดองกับสมุนไพรจีน ของเราได้ เธอเลยทำเหล้าดองสูตรนี้ใส่ขวดเอาไปขายนักท่องเที่ยวฝรั่งแพงๆที่เชียงใหม่ได้...ก็เลยไปแล้วครูเก่งๆคนหนึ่ง กลายไปเป็นแม่ค้าขายของข้างทางซะแล้ว...555+++... เพื่อนเราอีกคน (เพื่อนร่วมงานเก่า) ก็ครุศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษจากจุฬา หมอนี่ภาษาอังกฤษเกินธรรมดา ขนาดเรียนปี3 เขียนภาษาอังกฤษไปอาจารย์ฝรั่งงอแงทำท่าจะไม่ให้คะแนนเพราะหลงคิดว่าเพื่อนเราไปจ้างฝรั่งเขียน จบมาเขาไม่เคยเป็นครูเพราะเขามีภาระหน้าที่มากๆ ทั้งผ่อนบ้าน เลี้่ยงลูก เลี้ยงเมีย เราถามว่าเรียนครูมาแล้วทำไมไม่ไปเป็นครู เขาหัวเราะหึๆ  เพื่อนเราคนนี้เก่งอังกฤษระดับเทพจริงๆ เขาอ่านภาษากฎหมายที่ซับซ้อนแล้วลากเก้าอี้ไปหน้าพนักงานพิมพ์ดีดแล้วบอกคำแปลให้พิมพ์ไปเร็วๆได้เลย หลังจากเป็นนักแปลที่เก่งมากๆมา 10 กว่าปี ตอนนี้เขากลายเป็น professional journalist ไปซะแล้ว คือไปทำงานเขียนบทความให้หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษน่ะ นี่ก็น่าเสียดาย ครุศาสตร์บัณฑิตอีกรายหนึ่ง...!! ระบบมันเพี้ยนไปหมด บรรจุครูต้องยัดเงิน ทำผลงานต้องเลียเจ้านาย บางทีต้องไปนอนกับเจ้านายด้วย! (ลูกพี่ลูกน้องเราตั้งหลายสิบคนเป็นครูเพียบเลย เล่าให้เราฟังเรื่องนี้) ค่าตอบแทนก็น้อย ก็เลยมีลูกคนรวยยอมมาเป็นครูชั่วระยะเวลาอันสั้นเพื่อรอให้พ่อแม่ยกสมบัติก้อนใหญ่ๆให้ เพราะลูกได้ทำงานอันทรงเกียรติ์ "คือเป็นครู (ระยะสั้นๆ)" ให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจไปแล้วหละ ถ้าไม่เชื่อเราจะพาคุณไปดูโรงเรียนสังกัด กทม เงินเดือนครูไม่มากนัก แต่มีครูขับรถคันละตั้งหลายล้าน (แบบรถคันหนึ่งซื้อบ้านหลังงามๆได้หลังหนึ่ง) ขับไปขับกลับเพื่อไปสอนหนังสือ คนแถวๆนั้นก็งงอ้ะว่าโหครูคนนี้ทำไมมันหรูขนาดนี้ แล้วคุณจะแปลกใจว่า คนไทยเล่นเกมกันตบตากันในสังคมไทยได้เก่งมากๆ ที่หลอกให้คนจนๆมาร้องเพลง "แสงเรืองๆที่ส่องประเทืองไปทั่วเมืองไทย..." แล้วเสียสละไปกัดก้อนเกลือกิน...555+++... แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 54 22:31:30 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 54 22:26:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 22:18:46

ความคิดเห็นที่ 19 เฮ่อ...วันนี้ผมขอเปรียบเทียบแบบขำๆนะครับว่า แหม ตอนเรียนก็สู้พวกเรียนเก่งๆไม่ได้ สอบเอ็นทรานซ์ก็สอบไม่ติด หลบไปเรียน วค.จบมาแล้ว ก็ยังตามมาสอบแข่งขันอีก พวกที่จบ วค.ก็เลยไม่ค่อยได้ ดังนั้น เมื่อพวกเรามีอำนาจ ก็จะต้องทำอะไรบางอย่างบ้างแล้ว ว่าแล้วก็ต้้งเป้าหมายให้ได้ว่า อย่ากระนั้นเลย ห้ามคนนอกมาสอบเป็นครูดีกว่า ทำไงหรือ??? อ๋อ เราต้องตั้งเจตนาจริงๆไว้ แล้วมาตั้งเรื่องบังหน้ากันไว้ว่าจะทำเพื่อ ชาติ ประเทศไทย นักเรียน เยาวชนของชาติ พวกเรา.ทำเพราะ "เราเจตนาดี เห็นประโยชน์ของชาติ ประชาชน นักเรียนตาดำๆเป็นหลัก" พูดไปก็น้ำหูน้ำตาไหล ด้วยความรักชาติ( แหม ถ้าเป็นนักการเมืองก็ต้องบอกว่า พูดไปน้ำลายไหลไป แฮ่ม ด้วยความรักชาติ) ส่วน hidden proposal ต้องซ่อนไว้ด้านหลัง .. เราจะต้องรวมหัวกัน ด้วยการกีดกันคนจบที่อื่นให้จงได้ ให้นักเรียนเจอแต่พวกเรา ชาว วค. นักเรียนจะได้ไม่รู้ว่า "ยังมีคนเก่ง คนมีความรู้อยู่ในสังคม ในโลกนี้อยู่นะ นักเรียนตาดำๆจะได้มีความรู้อยู่แค่ในกะลาที่จำกัดให้" โดยใช้ ใบ ป.บัณฑิตเป็นเครื่องมือกีดกันอย่างชะงัดนัก แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 54 23:47:32 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 23:36:05

ความคิดเห็นที่ 20 ในเรื่องการดำเนินการหาผู้รับจ้าง หรือผู้รับเหมา หรือสรรหาผู้ดำเนินการโดยการเปิดแข่งขันให้มีการยื่นเสนอ เช่นการประกวดราคา การจัดหา ..วิธีหนึ่งที่เขาทำ เพื่อการกีดกันหรือกลั่นแกล้งหรือการฮั้วราคาหรือฮั้วประมูล ก็คือ "ตั้ง TOR เงื่อนไขการจัดหาไว้ให้สูงสุด และให้ใช้ได้กับพวกหรือร้านหรือกลุ่มร่วมค้าของตน ที่ต้องการจะให้ได้งานนั้นๆ" TOR นั้นก็จะเขียนเช่นว่า จะต้องผ่านเรื่องนั้นมา มีประสบการณ์หรือใบรับรองหรือมีผลงานแบบนั้นแบบนี้มา 1 หรือ 2 ปี.. นี่คือการกีดกันทางการค้า ทางสังคม หรือทางคุณธรรม การกระทำผิดทางศีลธรรมอย่างชัดเจน... ใบ.ป.บัณฑิตนี่ละ ใช่เงื่อนฯแบบนี้ไหม ลองคิดดู แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 54 23:44:37 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 28 พ.ค. 54 23:42:43

ความคิดเห็นที่ 21 "ทำศัลยกรรมรื้อระบบการศึกษาไทยใหม่หมด"  จากคห.ของคุณหมอดู แบบนี้ต้องฝากให้คุณสุดเดียวดายไปตั้งกระทู้ใหม่ ตั้งชื่อกระทู้และประเด็น เน้นที่จะต้องการสะท้อนให้ชัดมากขึ้นอีกนิด เพราะตั้งกระทู้แบบนี้ชวนดิฉันเต้นผ่างๆ ครั้นจะเต้นให้สวยงามกว่านี้ก็คงไม่ได้ ประสบการณน้อยกว่าที่จะเต้นให้สวยงาม แต่จากสอง คห ล่าสุด ดีฉันก้คิดว่าเข้าใจมากขึ้นอีกหน่อยแล้ว แต่เรื่องนี้ยังคิดต่อไป นึกไม่ออกว่าควรมีhidden proposalแบบไหน หรือแบบนั้นแน่หรือเปล่า จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 00:22:58

ความคิดเห็นที่ 22 ยังไงๆ มันก็แก้ยากอยู่ดี...เพราะมันเป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ธรรมดาล้วน ๆ เพราะทั้งคนเก่งที่ไม่ยอมมาเป็นครู  ที่มุ่งมั่นแสวงหาเกียรติ  เงินทอง  และความสุขให้ตัวเอง...และคนที่ไม่เก่งที่หันมาเป็นครู  ที่ก็มุ่งมั่นแสวงหาเกียรติ  เงินทอง และความสุขให้ตัวเองในระดับที่ตัวเองจะหาได้ (กู้, ทำวิทยฐานะ, ขายของ ฯลฯ) ...ก็ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานความคิดเหมือนกัน...คือ...ถ้าตรูมีโอกาส  ถ้าตรูเก่ง  ตรูก็โกยเงิน  โกยเกียรติไว้ก่อน บางคนบอกว่าอยากใช้ความเก่งช่วยคน  ช่วยพัฒนาชาติ  แต่ก็ล้วนมุ่งไปหาอาชีพทำเงินกันทั้งนั้น  อาชีพครูที่พัฒนาชาติได้เต็มๆ ไม่เห็นมีคนเก่งคนไหนอยากจะมาเป็น...สรุปประเด็นสำคัญในเรื่องการเลือกอาชีพของคน  มันก็เรื่อง  เงินนี่แหละ เข้าใจว่ารัฐเองก็เห็นถึงความจริง ณ จุดนี้...ก็เลยพยายามเอาเงินเข้ามาล่อคนเก่งให้เข้ามาในวงการครู ด้วยการผุดโครงการต่างๆ มีทุนให้ และประกันการมีงานทำ  มีการเพิ่มเงินเดือนครู ให้โอกาสครูได้มีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ (ก็ช่องทางทำเงินอีกนั่นแหละ) ...ก่อนหน้านี้ก็มีโครงการคุรุทายาท  เพชรในตม ต่อมาก็ สควค. ตอนนี้ก็มีครูพันธุ์ใหม่   แม้จะไม่มั่นใจเรื่องความดี  เรื่องหัวใจที่รักจะพัฒนาผู้อื่น (ในที่นี้หมายถึงเยาวชนของชาติ)  แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอมั่นใจในความเก่งได้มากขึ้น แล้วก็อยากให้รัฐเปิดโอกาสให้คนเรียนจบสายอื่นด้วย ถ้าเค้าเก่งพอ ถ้าเค้าอยากเป็นครู  ก็ให้เค้าเข้ามา (จะให้เรียนวิชาชีพอะไรยังไงก็ว่าไป) อย่างที่บอก  จะเพราะอยากเป็นครูจริง  จะเพราะเห็นแก่ทุน  เพราะเห็นความมั่นคงในอาชีพ เพราะหมดหนทางแล้วกับสายที่ตัวเองชอบ หรือเพราะอยากเป็นหัวไว้ข่มคนอื่นบ้าง เพราะเป็นหางให้คนอื่นข่มมาตลอด...จะดี ไม่ดียังไงก็ว่ากันทีหลัง ก็ยังคงหวังว่าต่อไปการศึกษาของไทย...น่าจะดีขึ้น.....ไม่มากก็น้อย! แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 54 09:42:50 จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 09:36:33

ความคิดเห็นที่ 23 HIDDEN PROPOSAL ก็หมายความว่า ใจคิดวางแผน ต้องการจะให้เป็นอย่างไร ไตร่ตรองและเล็งเห็นผลที่จะได้อย่างไร แต่การที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นก็ต้องอ้างข้ออ้างไปอีกเรื่องหนึ่ง สร้างกระแส อ้างเหตุผลหลักการไปอีกทางหนึ่ง ที่นิยมที่สุดคือ อ้างชาติ บ้านเมือง อ้างคนไทย เด็กไทย และอนาคตของเยาวชนไทย อ้างว่าทำเพื่อเด็กไทย รักเด็กจน น้ำหู น้ำตา หรือน้ำลายไหล อะไรประมาณนั้น จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 11:35:06

ความคิดเห็นที่ 24 d จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 11:38:11

ความคิดเห็นที่ 25 กระทู้แบบนี้ (โปรดอ่าน คคห 9 เรื่องวิธีเอาชนะกฎหมายใบอนุญาตครู) http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10614932/K10614932.html พอเปิดทีไรก็กลายเป็นชนวนให้เปิดศึกน้ำลายระหว่าง 1. คนเก่งๆที่อยากเป็นครูแล้วโดนกีดกัน 2. คนไม่เก่งที่ใด้ใบอนุญาตครูแล้วอ้างสิทธิ เกียรติคุณ และความสามารถ อันไร้สาระ เช่น ใครไม่เรียนครูก็ถ่ายทอดไม่เป็น...นักวรยุทธ์จีนหลายพันปีมาแล้วยอดฝีมือก็สอนศิษย์ได้โดยไม่เคยไปเรียนครูมา แต่สอนโดยสังเกตุการณ์จ่ากธรรมชาติเช่น ยอดฝีมือท่านหนึ่งต้องการสอนศิษย์ ที่เป็นเด็กอายุ 12 ขวบ 2 คน ยอดฝีมือพาศิษย์ทั้ง 2 ไปนั่งริมแม่น้ำ แล้วบอกศิษย์ว่า0 "พวกเจ้าจงศึกษาแม่น้ำสายนี้ 1 วัน แล้วตอบคำถามข้าว่า เราจะเรียนเพลงยุทธ์จากแม่น้ำได้อย่างไร" พอสิ้นวันยอดฝีมือกลับไปทวงคำตอบจากศิษย์ 2 คน ศิษย์คนหนึ่งมืดแปดด้าน อีกคนหนึ่งตอบว่า "กระแสน้ำมีลักษณะพิเศษคือ มันไหลต่อเนื่องไปตามธรรมชาติ เพลงยุทธ์ชั้นสูงควรมีความต่อเนื่องดุจดั่งกระแสน้ำ หากแต่ว่ามนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ (ที่ยังไม่ได้เป็นเซ๊ยน) นั้น จะฝึกปรือไป ก็คง "ได้เพลงยุทธ์ที่เกือบๆจะต่อเนื่อง แต่คงไม่เลิศเลอ perfect ระดับเซียน"  ดังนั้น เราสามารถสลายเพลงยุทธ์ของเขาได้ โดยการจู่โจมไปตรงที่จุดอ่อนบางแห่งของเขานั่นเอง" ไปอ่านต่อได้ที่กระทูํ้นี้ แล้วคุณจะเห็นว่า เราไม่เคยเรียนครูมา แต่เราใช้ precise logic and creative imagination ทำให้เราสามาถใช้ "วรยุทธ์จีนดัดแปลงมาสอนคนให้เป็นนักแปลได้ดีกว่าหลักสูตรปริญญาโทการแปลได้ยังไง" http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7934208/K7934208.html แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 54 13:32:25 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 54 13:29:06 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 13:28:04

ความคิดเห็นที่ 26 คห.25 อ่านเรื่องของ " บุรุษชุดขาว " มาสินะ? " วรยุทธ์แห่งตงง้วนเรานั้นมีส่วนที่พลิ้วไหวแช่มช้อยกว่า ทว่าเพลงดาบแห่งสามเกาะบูรพานั้นแม้เรียบง่ายไม่ประณีตแต่แฝงไว้ด้วยกำลังอันอำมหิต หากชำนาญเพียงสักสองสามกระบวนท่าก็สามารถตั้งค่ายตั้งสำนักในยุทธภพได้แล้ว " อะไรประมาณนี้แระ อ่านแล้วรู้สึกว่าพวกที่ใช้ดาบญี่ปุ่นนี่มันเท่ดีจริงๆ จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 14:29:06

ความคิดเห็นที่ 27 ระหว่างคนไม่ฉลาดแต่ไปเรียนรู้และท่องจำวิธีถ่ายทอดความรู้ที่ได้มาด้วยการท่องจำและไม่ได้มีความชอบอะไรมากนักกับการถ่ายทอดวิชาแต่ทำเพียงแค่เป็นอาชีพทำมาหากิน กับคนฉลาดที่ได้ความรู้มาจากการคิดวิเคราะห์แต่ไม่เคยเรียนรู้วิธีถ่ายทอดความรู้จากตำราแต่ใช้ความสังเกตุบวกความคิดวิเคราะห์หาวิธีการถ่ายทอดวิชาตามแบบของตนเองเพราะมีความรักที่จะถ่ายทอดวิชาที่ตนรู้ให้ผู้อื่น  เราอยากให้คนประเภทแรกหรือประเภทหลังมาเป็นครูสอนลูกเรา? จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 14:55:15

ความคิดเห็นที่ 28 ขอถามเราเหล่าอายุ 40 ปีขึ้นไปว่า เมื่อก่อนนี้ เราเรียนหนังสือเด็ก ป้าก็ปู่ กู้อีจี้ ... อาขยาน(ไม่รู้เขียนถูกหรือป่าว) ก่อนกลับบ้านสวดมนต์ ไหว้พระ ท่องสูตรคูณ เรียน บวก ลบ คูณ หาร โหดๆ ตรีโกรณฯคิดเป็น % คนจบ ป 4 " ป 7 ม.8 ถือว่าเก่ง ครูอาจารย์สอนนั้น บางคนจบ พ.ม. ปูชณียบุคคลเหล่านี้ มีใบ ป.ครูไหม ?? พวกเราก็รัก...  อีกมุมหนึ่ง พวกที่สอนกวดวิชาฯ เคยสังเกตุไหม หลายแห่งนำเอานิสิตปี 3 ปี 4 คณะแพทย์ วิศวะ เก่งๆมาสอนพิเศษ หรือ นิสิตสอนพิเศษหารายได้เลี้ยงตัวเอง..เด็กจุฬา มหิดล เกษตร พระจอมฯ นักเรียนก็เชื่อถือ ไปเรียนกันมากๆ..  คงตอบคำถามที่ 27 ได้แล้วนะครับ แต่เด็กพวกนี้ ถูกกีดกันไม่ให้เป็นครู(โดยไม่มีใบ ป.วุฒิอะไรนั่น).....ขำ ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 54 15:56:54 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ค. 54 15:53:01 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 15:51:28

ความคิดเห็นที่ 29 อีกมุมมองหนึ่ง ซึ่งได้ลองดู  มีโจทย์ว่า คำถาม????..ถ้าให้ครูที่จบจากราชภัฎ เอกฟิสิกส์มา..แล้วให้นักเรียนเลือก กับนิสิตคณะวิศวกรรมศาลตร์ จาก จุฬาหรือลาดกระบัง หรือนิสิตแพทย์มหิดล แล้วให้มาสอนวิชาฟิสิกส์ชั้น ม.5ข ม.6 เขาจะเลือกใคร คำตอบคือ= เลือกนิสิตแพทย์กับนิสิตวิศวะ??? จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 18:47:16

ความคิดเห็นที่ 30 When I was in MS 5, a parent hired me to tutor his son (P.7) in English. He was pleased because his son's English grade improved. I was pleased because I got some pocket money. In the same year, a monk who was studying in non-formal education also asked me to tutor him in English. I offered to do it free but he still gave me one hundred baht every time before I left for home. Maybe I was good for one-to-one teaching, but I reckon that in a class that really want to learn English, I can teach them well. But if a class is full of delinquent students, I don't think I will have patience to teach them. So for me, my ideal school is elite high school which needs very capable teachers but does not need disciplinary teachers. I am certainly not fit or inclined to teach in lowly motivated schools. I wonder if I retire from my regular job in a few years, will English program schools require teachers that have a Bachelor of Education degree? Right now, an exception is granted as it is a special program. So whoever is capable can be hired to teach in such program. If such an exception is still the case, I might lend my expertise to help Thai education a little. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 18:54:30

ความคิดเห็นที่ 31 มาบอกว่าเห็นด้วยสั้นๆ... และมาบอกเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า คำพูดจิกกัดโทษโชคชะตา ด่าคนไทย โทษประเทศสารขัณฑ์ ว่าระบบเจ้าขุนมูลนายนู่นนี่นี่ พอเถอะครับ ปล่อยให้อาเจ็ก อาซิ่มเขาเที่ยวพล่ามแบบหาสาระไม่ได้ไปวันๆ แค่กลุ่มของเขาก็พอแล้ว ถ้อยคำประเภทนี้ มันแค่ไม่ควรมีอยู่ในสังคมใดๆเลย โดยเฉพาะห้องนี้ครับ จากคุณ : lARtZnolASt เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 11:02:57

ความคิดเห็นที่ 32 อ่านมาทั้งหมดผมยังไม่เห็นว่ามีใครจะมาจิกกัดโทษโชคชตาด่าคนไทยตรงใหนเห็นแค่ต่างคนก็ใช้เหตุผลชี้แนะถึงสิ่งผิดที่ควรแก้ไขทั้งนั้น หรือจะให้มานั่งประจบสอพลอยกยอ tor แหล กันไปวันๆโดยไม่วิเคราะห์ข้อบกพร่องของตนเองเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขบ้างหรือไร หรือว่าคนห้องนี้ควรจะทำตัวเป็นนกกระจอกเทศเห็นสตรูมาก็เอาหัวมุดดิน เพราะคิดว่าการที่ตัวเองมองไม่เห็นเขาๆก็จะมองไม่เห็นตัวเองเช่นกัน จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 15:11:06

ความคิดเห็นที่ 33 เชื่อว่าซักวัน...ต้องมีการเปิดโอกาสรับคนเข้ามาเป็นครูแบบเปิดกว้างกว่าที่เป็นอยู่... แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 54 18:07:10 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 54 17:34:49 จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 54 17:25:01

ความคิดเห็นที่ 34 อยากให้ เปิดโอกาสคัดคนให้กว้่างขวา่งกว่านี้ ยิ่งแข่งขันมาก ยิ่งได้คนเก่งมาก น่าจะมีแบบเป็นระบบเอนทรานส์เพื่อเป็นครูในแต่ละสาขาโดยตรง เช่น ต้องมีคุณสมบัติจบสาขาใดๆก็ได้ ในระดับ ป ตรี ขึ้นไป แล้วมาสอบ ภาค ก วิชาความสามารถทางการเป็นครู 1 วิชา ภาค ข วิชาเฉพาะสาขา เ่ช่น เลข ภาษาไทย อังกฤษ สังคม เคมี เป็นต้น.....เลือกสอบตัวใดตัวหนึ่ง อาจจะกำหนดว่า ภาค ก ต้องไม่ต่ำกว่า 70 คะแนน ส่วนภาค ข ก็ แล้วแต่จะสอบได้เท่าไหร่ ก็ได้เท่านั้น จัดสอบสักปีละครั้ง สองครั้ง คนบางคน จบสาขาอื่นๆมา แต่เชื่อไหม ความรู้รอบตัว เขาเยอะมาก เป็นพหูสูตร ก็จะสอบสังคมได้คะแนนดีมากๆ ได้คนเก่งมาเป็นครู เป็นต้น ---------------------------------------------------------------------- ปอลอ นักการเมือง รัฐมนตรีศึกษาคนไหน คิด กีดกัน ทำให้วงการศึกษาไม่ก้าวหน้า เล่นพวกตัวเอง สารพัด ก็ จำๆๆๆกันไว้บ้าง อย่าไปเลือกมัน อย่าไปเลือกพรรคมันด้วย .... จากคุณ : ไร้นาม เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 09:48:17 A:192.168.1.107 X:124.120.109.203 TicketID:300645

ความคิดเห็นที่ 35 ขอระบุแรนจ์กว้างๆให้ลองค้นดูนะครับ ผมจะเลี่ยงการปะทะในเคสที่มันไม่จำเป็น ช่วงคห.11-20 มีถ้อยคำที่มีเนื้อหาดังนี้ปรากฏอยู่หรือไม่ "ก็เป็นซะอย่างนี้" "เป็นอยู่ทุกวงการและเป็นมานานปี" และอีกบางความเห็นที่มาบอกว่า "เราต้องพยายามทำให้การศึกษาของเราดีขึ้น"(โดยไม่บอกอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านี้) แล้วก็ทิ้งให้คนอ่านไปนั่งเดากันเอาเองว่าต้องทำอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า การโทษประเทศ โทษชะตา โทษระบบ (เพราะบางคห.ไม่มีการแสดงความคิดใดๆออกมาเลย) ไงครับ จากคุณ : lARtZnolASt เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 10:21:32

ความคิดเห็นที่ 36 Sicial critic without sarcasm ก็เสมือน ตำน้ำพริกกะปิโดยไม่ใส่พริกขี้หนู ฉะนั้นแล อิอิ จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 11:27:19

ความคิดเห็นที่ 37 รู้สึกเดี๋ยวนี้คนเรียนครูเยอะนะ เพื่อนก็เรียนไว้ เผื่อ ตั้งหลายคน ทั้งน้องทั้งพี่ บางคนก็ ทำงานบริษัทมา แล้วก็ออกมาสมัครครูกัน มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเปล่า หรือต้องการความมั่นคง แต่ถ้าจะให้ดี น่าจะคิดชั่วโมงสอนให้ด้วยนะ ชั่วโมงละกี่บาท แล้วต้่องประเมินผลเด็กด้วย เอาแบบ หมอที่ได้ค่าชั่วโมง หรือ ที่เรียนพิเศษ ที่สอนกันเป็นชั่วโมงไปเลย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 11:37:50

ความคิดเห็นที่ 38 ใบป.บัณฑิต ผมอยากจะบอกว่าปัจจุบันนี้มีมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเกือบทุกสถาบัน ได้จัดการเรียนการสอนในหลักสูตร ป.บัณฑิต เป็นจำนวนมาก มากจนคนจบออกมาไม่ได้มาตรฐานจริงๆ อย่างที่เราเคยได้ยินประโยคที่ว่า จ่ายครบจบแน่ ซึ่งถ้าสถาบันอุดมศึกษาทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นผลเสียต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล ซึ่งผมมีความเห็นว่า น่ามีจะปรับปรุงหลักสูตรหรือให้สิทธิแก่คนที่จะมาเรียนครู 5 ปี ซึ่งอนาคตอาจจะมีครู 6 ปี จบป.โท คือจบครูมาให้เข้ารับราชการเป็นครูเลย ส่วนคนจบป.ตรี สาขาวิชาอื่นไม่ต้องรับ ไม่ใช่ว่าผมใจแคบนะ (ผมก็จบป.ตรีไม่ใช่ครุศาสตร์)555+ สาเหตุเพราะ 1.คนที่เรียนป.ตรี4+1 แล้วอยากมาเป็นครู.แล้วทำไม  ไม่คิดเรียนตั้งแต่แรกเข้ามหาวิทยาลัยว่าความต้องการของตัวเองคืออะไร 2.คนที่จบครูโดยตรง การประสิทธิ์ประสาทวิชา จะดีกว่าคนจบป.ตรีสาขาวิชาอื่นๆแล้วมาเรียน ป.บัณฑิต ความมีจิตวิญญาณในความเป็นครู ดังเช่น บางคนเรียนป.บัณฑิตอีก 1 ปี เพื่อที่อยากจะมีงานทำ 3.เราลองคิดกันเล่นๆนะ มีใครบ้างที่มีลูกแล้วอยากให้เรียนกับครูที่ไม่ได้จบครูโดยตรง 4.เหมือนเป็นกันเอาเปรียบ คนที่จบครูโดยตรง จากคุณ : */* (mamkotpai) เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 14:24:28

ความคิดเห็นที่ 39 2.คนที่จบครูโดยตรง การประสิทธิ์ประสาทวิชา จะดีกว่าคนจบป.ตรีสาขาวิชาอื่นๆแล้วมาเรียน ป.บัณฑิต ความมีจิตวิญญาณในความเป็นครู ดังเช่น บางคนเรียนป.บัณฑิตอีก 1 ปี เพื่อที่อยากจะมีงานทำ I don't think so. Would you rather your child study Physics/math with a teacher who graduates from Faculty of Science/Math or a teacher who graduates from Faculty of Education. Would you like your child to study English from a teacher who graduates with English major at Aksorn/Silapa-sart or with a teacher from Faculty of Education? Even 42 years ago, I could discern the difference between teachers who graduated from a pure discipline and one from Faculty of Education/or Teachers' Colleges when I was a high school student. Maybe you failed to read the news that many high school teachers could not even pass high school subject tests administered by สถาบันทดสอบ. Would you like someone to teach your child who could not even master the subject he/she teaches? 3.เราลองคิดกันเล่นๆนะ มีใครบ้างที่มีลูกแล้วอยากให้เรียนกับครูที่ไม่ได้จบครูโดยตรง I don't want my child to study with a teacher who cannot even pass high school subject tests for sure. For myself and my own experience, my best high school teachers were the ones who graduated from Chula's Faculty of Science and Faculty of Arts more than 40 years ago. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 17:18:51

ความคิดเห็นที่ 40 ชอบทุกความเห็น แต่ตอนนี้อยู่ในอารมณ์ไม่อยากมีเหตผล เพราะโกรธจัด (ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้นะ) แต่ผมขอจองที่ไว้ก่อน จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 18:01:18

ความคิดเห็นที่ 41 สำหรับความคิดเห็นที่ 38 ผมหรือพวกเราในนี้ได้ตอบคำถาม คำแย้งความเห็นของท่านไว้หลายความเห็นแล้ว พอสรุปได้ว่า 1' เป็นความผิดและเป็นเคราะห์ของเขาหรือไม่ ที่เขาสอบได้คะแนนดี เขาเลือกเรียนคณะที่เกณฑ์คะแนนดี เขาผิดที่เป็นคนเก่งเรียนเก่ง ใช่หรือไม่ เป็นท่านมีลูกเมื่อเลือกคณะ ถ้าลูกท่านเป็นเด็กดีเรียนเก่ง ท่านจะให้เขาเลือกครูอันดับ 1 หมอ หรือวิศวะ อันดับ2 หรือ 3 และทันตวิทยาศาสตร์ อันดับ 4  อย่างนี้หรือครับ ผมว่าทุกคนในโลกนี้ก็อยากให้ลูกได้คณะที่เขาก้าวหน้าไว้ก่อน พ่อแม่เขาหรือตัวเขาไม่ใช่คนทำผิด ขอให้เข้าใจ.ใหม่นะครับ 2"คนที่จบครูโดยตรง การประสิทธิ์ประสาทวิชา จะดีกว่าคนจบป.ตรีสาขาวิชาอื่นๆ...คุณคิดเอง และคนสมองขี้เลื่อยของกระทรวงฯคิดอย่างนี้ จริงๆมี hidden proposal ซ่อนไว้คือ จะล๊อคงานครูไว้ให้ พวกจบครูเท่านั้น กีดกันคนไทยกลุ่มอื่นไม่ให้เป็นครู เพราะคนจบครูจะสอบแข่งขัน เรียนไม่เก่งเหมือนคนอื่น  จึงต้องได้รับความคุ้มครองพิเศษจากกฎหมาย กลายเป็นคนอภิสิทธิ์ชนของสังคม 3",มีใครอยากให้ลูกเรียนกับคนที่ไม่จบครู  ผมคนหนึ่งละครับ ที่อยากให้ลูกเรียนกับคนเก่ง เช่น ครูเอกฟิสิกส์ กับนิสิตวิศวกรรมปี 4  ผมให้ลูกเรียนกับนิสิตวิศวะครับ แน่นอน และคนในนี้ก็ตอบแล้วอย่างเช่น คคห.ที่30 39 รวมทั้งความเห็นในกระทู้ออื่นอีกมากครับ ขอให้เปิดกระทู้ของคุณ ครับผมดูนะครับ  ผมเข้าใจว่า คุณคงเป็นครู และไม่อยากให้ใครมาแย่งอาชีพ แต่ขอให้คิดว่า ถ้าครูมีแต่คนเกเร เรียนไม่เก่ง หัวไม่ดี แต่ใช้วิธีกีดกันคนเก่ง เยาวชนไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต ทุกวันนี้ ป.4 ก็อ่านหนังสือไม่ออก คิดบัญญัติไตรยางค์ไม่เป้นเกือบครึ่งต่อครึ่งแล้วนะครับ  อย่างที่ผมบอกครับว่า ข้ออ้างของนักการมืองก็คือ พวกเขารักชาติ(จนน้ำลายไหล) จริงๆนะ??  พวกผู้บริหารการศึกษาหรือพวกครูบางคณะก็รักเด็ก รักเยาวชนหวังดีกับเยาวชน(จนน้ำหูน้ำตาไหล)อย่างนั้นใช่ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 18:59:39 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 18:52:32

ความคิดเห็นที่ 42 ให้กำลังใจคุณสุดเดียวดาย การคิดต่างเป็นการจุดประกาย สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับสังคม ประเทศไทยต้องการคนแบบคุณสุดเดียวดาย คุณครับผ สู้ๆ จากคุณ : mangpongja (mangpongja) เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 20:24:28

ความคิดเห็นที่ 43 จิตวิญญาณ(soul,spirit)ความเป็นครู..ได้เกิดขึ้นเองในใจทุกคนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรับการเรียนรู้ อบรมมากนัก พ่อสอนลูก แม่สอนการบ้านลูก พี่สอนน้อง ทำไมสอนกันมาได้ รู้เรื่องอีกต่างหาก พระสอนศิษย์ ตชด.สอนนักเรียน รู้เรื่องยิ่งกว่าครู(หลายคน)อีก เมื่อวัยเยาว์กันสัก 30-40 ปีก่อน อยู่อนุบาลถึง ป.๔ ครูสอนไม่ได้มีวุฒิอะไรเลย จำได้ว่าครู มีวุฒิ พ.ม.(ย่อจาก พิเศษมัธยม) เพราะครูท่านนั้น จบ ป.๔ ไปสอบเพิ่มเอา ท่านสอนดีมากๆ รักเมตตาศิษย์สุดๆ วันนี้ ไฉน วิชาการถ่ายทอด -ความเป็นครู ทำไมจึงลึกซึ้ง ซับซ้อนซ่อนเงื่อน สูงส่งอะไรนัก จนคนธรรมดา มิอาจแตะสัมผัสได้ จะต้องเป็นคนเรียน วค. หรือราชภัฎ เท่านั้นจึงได้รับพรจากเทพฯให้เป้นครูได้  เท่าที่อ่านข่าวหลายเดือนมานี้ เขาเรียน ป.บัณฑิต ง่ายยิ่งกว่ากล้วย เรียนบ้าง โดดบ้าง ไม่ต้องเข้าเรียน ลอก ฝิ่น จบทุกคน.. นี่หรือวิชาผู้วิเศษ "ใช่ครับ ก็มันคือข้ออ้างที่ใช้กดขี่ กีดกัน แบ่งแยกคนนะซิครับ" วิชาการถ่ายทอดเนี่ย จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 20:31:57

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบอกว่าชอบประโยคทำนองนี้นะนี่นะ...(ถึงจะทำให้หัวเราะมิใคร่จะได้  ร่ำไห้มิใคร่จะออกก็เถอะ) "...ข้ออ้างของนักการเมือง...คือรักเด็ก หวังดีกับเยาวชน และรักชาติ จนน้ำลายไหล..." เพราะจริง ๆ แล้ว  เบื้องหลังคำว่าเด็ก และประเทศชาติที่เอามาบังหน้า...เบื้องหลังหลักการที่สวยหรูดูดี  มันคือสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของคนพวกนี้...ซึ่งก็คือการพยายามแสวงหา / รักษาผลประโยชน์ให้ตัวเอง...ก็เท่านั้นเอง แต่จะให้คนพวกนี้ยอมรับน่ะรึ...ขอบอกว่า...ยากส์! จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 20:42:09

ความคิดเห็นที่ 45 12,13,18 นั่นแหละครับความจริง เอ่อ.........จากประสบการณ์ตรงนะครับ(ย้ำประสบการณ์ตรง) เท่าที่เจอมาจากคนรอบๆข้างโดยตรง การที่จะเป็นครูได้ต้องมีเส้นแถมมาด้วย+ความสามารถทางวิชาชีพนิดๆหน่อยๆ คนเล่นดนตรีไม่เป็นบางคนยังไปเป็นครูสอนดนตรีได้เลย (ย้ำว่าเล่นไม่เป็นหรือพึ่งเริ่มหัดเหมือนเด็กๆทั่วไป) สอนได้อย่างไร? ก็เพราะมีเส้นมีคนรู้จักไงชักชวนกันไปง่ายๆ พร้อมการอธิบายให้คนอื่นเข้าใจง่าย สามารถควบคุมคนอื่นให้อยู่ในกรอบได้ แล้วมาสอบเอาวุฒิครูที่หลัง สบายยยย ป๊ะ...ทำไมมันง่ายอย่างงี้เนี่ยยยถ้าง่ายแบบนี้คงไม่ต้องไปเรียนครุ 5 ปี ให้เสียเวลาหรอกนะ - -* รู้อย่างนี้แล้ว หลายๆคนคงไม่ต้องไปเรียนเพิ่มทักษะอะไรต่างๆนาๆ เพื่อมาพัฒนาฝีมือให้เก่งๆเพื่อไปสอนคนอื่นให้เ้ข้าใจถ่องแท้และถูํกต้องตามหลักวิชาการหรอกครับ ไม่ต้องเรียนสูงๆใช้ประสบการณ์เอาก็สอนได้แล้ว บางคนสอนได้เงินมากกว่าคนเก่งๆอีก - -'' ย้ำว่าหาคอนเนคชั่นเยอะๆแล้วจะดีครับ ปล.นี่มาจากม.ราชภัฎล้วนๆ ที่ไหนคงไม่ต้องบอกเดี๋ยวสถาบันจะเสียไปมากกว่านี้ ไปเดากันเอาเองนะครับ แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 54 00:54:25 จากคุณ : cadenza เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 00:19:26

ความคิดเห็นที่ 46 เพื่อนเราจบวิศวะเคมี เกรดสามกว่า มันค้นพบว่ามันชอบสอน มันทิ้งเงินเดือนมากมายเพื่อที่จะมาเป็นครู เริ่มทดลองจากการสอนพิเศษแรกๆก็มีตะกุกตะกักบ้าง ตอนนี้ฉลุยแล้วเด็กที่มาเรียนด้วยก็มากมาย บางโรงเรียนแทบจะมากันยกห้อง เด็กบอกครูที่โรงเรียนสอนไม่รู้เรื่อง บางทีให้จดตามสไลด์ ให้ทำรายงาน แล้วเด็กจะได้อะไร ตอนแรกเพื่อนเราอยากเป็นครูที่โรงเรียนแต่มันไม่ชอบงานที่นอกเหนือจากงานสอน มันบอกอยากสอนอย่างเดียว มันไม่ได้สอนแค่วิชาการ มันสอนการใช้ชีวิต  แล้วมันก็รักและหวังดีกับเด็กด้วย เด็กก็รักมัน หลายคนเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วยังโทรติดต่อดันอยู่เลย ที่ว่ามาทั้งหมดแค่อยากจะบอกว่า จิตวิญญาณของความเป็นครูไม่จำเป็นต้องเรียนในตำรา มันสามารถเกิดได้กับทุกคน จากคุณ : shimoho เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 04:41:43

ความคิดเห็นที่ 47 """ที่ว่ามาทั้งหมดแค่อยากจะบอกว่า จิตวิญญาณของความเป็นครูไม่จำเป็นต้องเรียนในตำรา มันสามารถเกิดได้กับทุกคน """ ฮื่อ..ชอบแล้ว จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 06:36:27

ความคิดเห็นที่ 48 1.คนที่เรียนป.ตรี4+1 แล้วอยากมาเป็นครู.แล้วทำไม  ไม่คิดเรียนตั้งแต่แรกเข้ามหาวิทยาลัยว่าความต้องการของตัวเองคืออะไร ผมจบวิทยาศาสตร์มาแต่ปัจจุบันสนใจเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี มันผิดด้วยเหรอที่ตอน ม.6 ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบอะไรสนใจอะไร 2.คนที่จบครูโดยตรง การประสิทธิ์ประสาทวิชา จะดีกว่าคนจบป.ตรีสาขาวิชาอื่นๆแล้วมาเรียน ป.บัณฑิต ความมีจิตวิญญาณในความเป็นครู ดังเช่น บางคนเรียนป.บัณฑิตอีก 1 ปี เพื่อที่อยากจะมีงานทำ ขอหลักฐานข้อเท็จจริงที่สนับสนุนข้อความข้างต้น 3.เราลองคิดกันเล่นๆนะ มีใครบ้างที่มีลูกแล้วอยากให้เรียนกับครูที่ไม่ได้จบครูโดยตรง ผมยังไงล่ะ อาจารย์สอนฟิสิกส์ที่ผมนับถือที่สุด จบฟิสิกส์ไม่ได้จบครุ ... จะว่าไปอาจารย์ส่วนใหญ่ของผมจบสายตรงมาทั้งนั้นนี่นา 4.เหมือนเป็นกันเอาเปรียบ คนที่จบครูโดยตรง เอาเปรียบตรงไหน? เราต้องวัดคนที่ความสามารถไม่ได้วัดจากที่ว่าจบอะไรมา ถ้าจบครูมาแต่กากก็ย่อมไม่ควรมีสิทธิเหนือกว่าคนที่จบมาจากสายอื่นแต่มีความสามารถ ดังนั้นระบบที่ดีควรจะเป็นระบบที่วัดคนที่ความสามารถโดยไม่สนใจว่าจบอะไรมา จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 12:26:35

ความคิดเห็นที่ 49 แต่ผมว่าปัญหาเรื่องครูทั้งหมดที่พูดกันนี่มันคงเป็นแต่โรงเรียนธรรมดาทั่วๆไปนะครับ ส่วนโรงเรียนดังๆที่แป๊ะเจี๊ยเป็นแสนๆเขาคงไม่ปล่อยให้คนไร้ประสิทธิภาพมาสอนเด็กเขานะครับ ไม่งั้นเสียชื่อหมดอดทำมาหากินกับลูกคนรวย ไม่ทราบว่าที่ผมคิดนี่ถูกหรือเปล่าตอนนี้ลูกก็โตหมดแล้วและหลานก็ยังไม่มีเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผันกับโรงเรียน จากคุณ : Cyber Sage เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 12:52:42

ความคิดเห็นที่ 50 +1 555 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 15:07:18

ความคิดเห็นที่ 51 เพราะคนต้องการ "ประกอบอาชีพ" เป็นครู เพื่อเป็น "อาชีพ" เพราะบั้นปลายมันมั่นคง และ สบายไง คนพวกนี้ไม่ได้อยากเป็นครูด้วยจิตวิญญาณของครูผู้มุ่งประสาทวิชาเลย จากคุณ : Resonate เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 18:36:40

ความคิดเห็นที่ 52 ตราบเท่าที่มีความสามารถในการสอนการถ่ายทอด ทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่อง ไม่ว่าจะสอนเพราะเป็นอาชีพหรือสอนเพราะมีจิตวิญญาณมันก็ไม่ต่างกัน   อีกอย่างอยากรู้ว่าใครมีเจโตปริยญาณที่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าใครคิดอะไรในหัวบ้าง จะได้ไปตัดสินได้ว่าคนๆนั้นทำไปเพราะอะไร? ผมล่ะรังเกียจการอ้างจิตวิญญาณ หรืออะไรที่มันจับต้องไม่ได้วัดผลไม่ได้ เพราะมันคลุมเครือ อ้างอิงไม่ได้ ประเมินไม่ได้ เป็นบ่อเกิดแห่งการทุจริตเล่นพรรคเล่นพวก จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 19:10:24

ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อสักพักนี้ ดูข่าว ตัวแทนพรรคฯที่ลงรับสมัครเลือกตั้ง ไม่เห็นมีใครพูดถึง ใบ ป.บัณฑิตนี้เลยครับ ว่าจะทำอย่างไร จุดนี้อันตรายที่สุดกลับไม่ค่อยมีใครมองเห็น ..นึกภาพคนๆหนึ่งดูสุภาพ เมตตาใจดี ยืนโอบเด็กๆด้วยมือขวา ลูบศรีษะเด็กๆด้วยความเมตตา แล้วบอกกับเด็กๆเหล่านั้นว่า ลุงหวังดีกับหนูๆนะ รักหนู ขณะที่ลูบหลังโอบกอดเบาๆ แต่ปรากฎว่ามือซ้ายลุงคนนี้ ถือกะลา หรือปี็บไว้หนึ่งใบ ไว้ครอบศรีษาเด็กไม่ให้รู้เรื่องอะไรที่ดีที่ถูกนะครับ ไม่อยากให้เด็กได้เจอ บัณฑิตคนฉลาดคนเก่งนะ โดยเอากะลาครอบเด็กไว้ กะลานั้นก็คือ ใบ.ป.บัณฑิตนี้แหละครับ"" แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 54 21:53:12 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 21:51:58

ความคิดเห็นที่ 54 จากใจคนเรียนสายการศึกษา.. (อาจไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้นัก.. แต่เมื่ออ่านแล้วแอบรู้สึกบางอย่าง..) เรียน 5 ปี.. ตอนเลือกเรียน เราก็ตั้งใจ.. ตอนเรียน.. เราก็ตั้งใจ.. ตอนฝึกสอน.. เราก็ตั้งใจ.. ที่อยากจะให้ลูกศิษย์ของเราได้ดี อยากจะหาความรู้จากสถาบันของเราให้มากที่สุด แต่พอมานึกถึงสิ่งที่คนมอง.. อาชีพครู.. และคนเรียนครู.. บางทีเราก็แอบน้อยใจไม่ได้..พูดไม่ออกเลยจริงๆ ค่ะ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 22:09:02

ความคิดเห็นที่ 55 แต่พอมานึกถึงสิ่งที่คนมอง.. อาชีพครู.. และคนเรียนครู.. บางทีเราก็แอบน้อยใจไม่ได้..พูดไม่ออกเลยจริงๆ ค่ะ ...เขาคงสะสมจากที่เขาได้เจอ ได้รู้เห็นจาก FACT หรือความจริงที่ไม่เสแสร้ง จัดฉากนะครับ ผมเอง ญาติๆเป็นครูมากที่สุด กวาข้าราชการหน่วยอื่นทั้งหมด จึงสรุปได้ว่า ครู น่าห่วงที่สุด สมควรสำนึกตัวเอง แก้ไข รื้อทั้งระบบ ก่อนที่ชาติจะวิบัติไปมากกว่านี้ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 22:23:50

ความคิดเห็นที่ 56 น่าเสียดาย มีอาจารย์มาทาบทาม ให้ไปสอนที่อาชีวะซึ่งเน้นพวกวิชาชีพ ที่จังหวัดบ้านเกิด แต่ผมคงไม่สามารถไปถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การทำงาน มาให้เด็กได้เติมตัวเตรียมพร้อมในการทำงาน รู้อย่างนี้ผมเรียน ราชภัฎ ดีกว่า อุตส่าพยายามตั้งใจขึ้นมาเรียนศิลปากร ที่ กทม. บ้านก็อยากกลับแต่ก็ไม่ได้กลับ จากคุณ : Ch_Chang เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 23:00:05

ความคิดเห็นที่ 57 คำพูดของคุณสุดเดียวดาย ก็มีเหตุผล สมควรรับฟัง และอีกหลายคนที่ได้ชี้แจงมาในทำนองเดียวกัน ก็ได้แสดงให้เห็นว่า การศึกษาประเทศเราย่ำแย่ นับวันจะถอยหลัง ต้องรีบแก้ปัญหาโดยด่วน ซึ่งผมเองก็เห็นไม่ต่างกันในเรื่องคุณภาพการศึกษาบ้านเราย่ำแย่จริงๆ ผมเข้าใจว่า เรากำลังพูดถึง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน  (ก่อนอนุบาล จนถึง ม.ปลาย) ใช่หรือไม่ ถ้าใช่ เหตุปัจจัยหนึ่งที่คงเป็นสาเหตุหลักที่ทุกคนกำลังกังวล คือ ระบบการสรรหา ครูผู้สอนในวิชาต่างๆ ในปัจจุบัน ไม่สามารถคัดกรอง ผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่สุดในแต่ละศาสตร์  มาบรรจุเป็นครูได้ เนื่องมาจาก เหตุการณ์สืบเนื่องมาจากในอดีต ที่ บัณฑิตหลายแสนคนจบวิทยาลัยครู ไม่สามารถ สอบแข่งขันเป็นครูได้ จึงเกิดการชุมนุมเรียกร้องให้มีการออกกฏหมายใบประกอบวิชาชีพครู เพื่อสร้างหลักประกันให้ตัวเองว่ามีโอกาสได้เป็นครูและลดโอกาสกลุ่มคนในศาสตร์อื่นมาแข่งขันสอบบรรจุ อันนี้ เป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ ไร้หลักฐาน เพื่อความชัดเจน ผมขอเวลาสืบ แต่ถ้าท่านใดจะกรุณา แสดงหลักฐาน ช่วยหน่อยเถอะครับ ว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในห้วงเวลาใด และกลุ่มบุคคลใด มีข่าวสำนักพิมพ์ไหน หรือเอกสารทางราชการใดระบุไว้ ในประวัติศาสตร์การศึกษาของชาติไทย ตอนไหน  ที่ได้กำหนด กฏหมายใบประกอบวิชาชีพครู ขึ้นมา ถ้าหลักฐานชี้ชัดว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้จริง ประเด็นต่อมาคือ จุดมุ่งหมาย ของ กลุ่มคนทีออกกฏหมายฉบับนี้ คืออะไรกันแน่ จะเป็นเพื่อตัวเองหรือเพือการศึกษาของเด็ก ยังเป็นประเด็นที่ต้องพิสูจน์แต่เชื่อว่า มีคนคิดแตกต่างกันหลากหลาย ป.บัณฑิต วิชาชีพครู คือเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่ถูกกำหนดมา โดยกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งถูกผลักดันโดยกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม เพื่อสกัดกั้นคนบางกลุ่มไม่ให้เข้ามามีส่วนสังฆกรรมการศึกษาไทย ครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหา ที่เห็นได้ชัดคือ หนึ่ง เกิดการสังหารหมู่เยาวชนไทย ให้ล้าหลังทางความคิดและองค์ความรู้ ทำให้ประเทศด้อยพัฒนา ไม่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้เอง   จากเหตุปัจจัยสำคัญ คือครูผู้สอน ไม่มีความรู้ในสาขาที่ตัวเองสอนอย่างถ่องแท้ เพราะได้ครูที่ไม่เก่ง หัวไม่ดี ได้เป็นครูเพราะโชคช่วยและคะแนนสอบพอไปได้ สอง ผู้ปกครอง และคนในศาสตร์สาขาอาชีพอื่น ไม่เชื่อมั่นในความสามารถของครูที่จบมาจากคณะครุศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์อุตสาหกรรม ทั้งของมหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยราชภัฏ(วิทยาลัยครูในอดีต)  ทั้งระบบ เพราะว่า ข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นว่า การเรียนรู้ของเด็กตกต่ำอย่างมาก เกิดจากสาเหตุที่ครูเหล่านี้ไร้ความสามารถ ผู้ปกครองและคนที่ทำงานในศาสตร์สาขาอื่นเสนอแนะว่า ถ้าจะเลือกระหว่าง ให้ลูกเขาเรียนฟิสิกส์ กับครูที่จบเอกการสอนฟิสิกส์ จากคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ กับครูที่จบคณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ เขาขอเลือก  ครูที่จบวิศวะ หรือวิทยาศาสตร์ มาสอนดีกว่า เพราะ มีภูมิความรู้แน่นกว่า และสามารถถ่ายทอดได้เท่าเทียมกันหรือดีกว่าครูที่มีอยู่ในระบบปัจจุบัน รวมถึงถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต นอกห้่องเรียนได้ดีกว่า ด้วยซ้ำไป นี่คือสิ่งที่ผมสกัดได้ จึงเป็นที่มาของข้อเสนอแนะ ให้ หนึ่ง ยกเลิก หลักสูตร ป.บัณฑิต เพราะถูกกล่าวหาว่า เป็นหนึ่งในเครื่องมือของการกีดกัน ในการเข้ามาเป็นครู ของคนที่จบจากสาขาอื่นๆ ที่สนใจอยากเป็นครู ไม่ให้มีสิทธิเข้าสอบแข่งขัน ใช่หรือไม่ สอง การคัดเลือกครู ควรจะเปิดสอบอย่างเสรี ทุกๆ สาขาอาชีพสามารถ สอบได้อย่างเท่าเทียม และวัดกันที่คะแนนสอบ ไม่ต้องระบุหลักฐานการศึกษา ใช่หรือไม่ และ  ประเด็นทิ้งท้าย ถ้าเกิดการผลักดัน สองข้อเสนอข้างต้นสำเร็จ ในทางปฏิบัติ คณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ทุกสถาบันในประเทศนี้ ต้องถูก ยุบไป จากระบบการศึกษา เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกครู เพราะ ครู ใครๆ ก็เป็นได้ จบจากศาสตร์ไหน ก็มาสอบเป็นครูได้ ไม่ต้องเรียนครู ไม่ต้องมีวิชาจริยธรรม การจัดการหลักสูตร การใช้เทคโนโลยี จิตวิทยาเด็ก ร้อยกว่าหน่วยกิต ให้เสียเวลา เปลืองทรัพยากร  เพราะกระบวนวิชาเหล่านี้ในปัจจุบันที่มี ไม่ได้ช่วยให้ครูที่จบจากศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทย ได้เลย ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง   และ นิสิตนักศึกษาจบจากคณะนี้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสังคมที่จะให้ทำหน้าที่ครูอีกต่อไป เจ้ากระทรวงศึกษาธิการและผู้บริหารในกระทรวง ที่เต็มไปด้วยนักการศึกษา ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้ เห็นควรคัดเลือกโดยเสรี ใครๆ ก็สามารถมาบริหารงานได้   เปิดกว้างเช่นเดียวกับการบริหารงานของเอกชน แข่งขันกันอย่างเสรี และเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการศึกษาของชาติบ้านเมือง ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 01:20:02

ความคิดเห็นที่ 58 คณะครุศาสตร์ก็ยังจำเป็นอยู่นะเอาไว้ผลิตบัญฑิตที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเอามาไว้ออกแบบหลักสูตร กำหนดนโยบาย ประเมินผลการเรียนการสอน วิจัยพัฒนาระบบการศึกษา ดูแลให้คำปรึกษาแก่นักเรียน นั่นคือคนที่เรียนด้านการศึกษาเชี่ยวชาญด้านการศึกษาก็มาเป็นคนกำกับดูแลครูอีกทีหนึ่งนั่นเอง เป็นคนคอยอบรมครูให้ได้มาตรฐานให้มีความชำนาญในการสอน แต่สำหรับการเป็นครูต้องเปิดกว้างขอแค่มีความรู้ในสิ่งที่สอน มีความสามารถในการถ่ายทอดและประเมินผลเด็ก ไม่ต้องไปสนใจว่าจะจบอะไรมาจะเรียนจบครูก็ได้ เรียนจบสายตรงนั้นๆก็ได้ ตราบเท่าที่มีความสามารถตามที่ต้องการจะจบอะไรมาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 01:56:07

ความคิดเห็นที่ 59 เราเห็นด้วยกะ จขกท.นะ กะ คห. 2 ค่ะ แม่เราเป็นครูนะ ก็พอจะรู้อะไรมาบ้างพอสมควรเกี่ยวกะวงการนี้ ที่โรงเรียนแม่ มีเปิดรับลูกจ้างครูสอนพวกคอมพิวเตอร์ (เปิดเป็นกลุ่มโรงเรียน จ้างครูมาคนนึง แล้วเวียนสอนกันไป ในกลุ่มนั้นๆ) ไม่มีคนมาสมัครหรอก ก็เอาลูกๆหลานๆนั่นแหล่ะมาสอน (ก็ไม่ค่อยดีแล้ว ) แต่ด้วยความเงินเดือนมัน 5 พันกว่าบาท เลยไม่ค่อยมีคนมาสอน ก็เป็นแนวปากต่อปากมากกว่า ถ้าลูกหลานใครเพิ่งจบมา ก็มาสอนก่อน ซึ่งอันนั้นคือก็จบ ม.ดีดีมานะ แต่ก็สอนแปปเดียว ทำนองว่ารองาน ส่วนลูกใครที่จบราชภัฎเนี่ย จะได้อยู่นานหน่อย เพราะไปสมัครที่ไหนไม่ค่อยได้ แต่พอมีประสบการณ์ก็อาจจะไปสอบบรรจุ หรือหางานที่ดีทำ แต่ก็มีพวกที่ไม่มีที่ไหนรับเลย ก็จะอยู่นานๆๆๆ จะไล่ออกก็ไม่ได้ เพราะพ่อแม่ก็รู้จักกัน ไล่ออกก็เสียน้ำใจกัน (โรงเรียนแม่เรา ต่างจังหวัดมากกนะ ชั้นประถมค่ะ) ซึ่งเราว่า อาชีพครูเนี่ย เวลามีคนเข้ามา เหมือนเค้าไม่มีที่ไปกัน ก็มาสมัครเป็นต้น ไม่ค่อยมีคนแบบอยากเป็นครูตั้งแต่แรกซะเท่าไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะราชภัฎ เราไม่ได้ดูถูกระบบราภัฎนะคะ แต่เราว่าก็ควรปรับปรุงระบบการศึกษาทั้งระบบเลย คือโรงเรียนใหญ่ๆ ดังๆไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่โรงเล็กๆอย่างแม่เรานี่สิ ปัญหาเลย เพราะคนที่มาสอนไม่ได้มีคุณภาพเลยยย เราเคยไปที่โรงเรียนแม่เรานะ ครูก็ไม่มา (จะว่าเป็นตัวบุคคลก็คงจะใช่ แต่อีกกลุ่มโรงเรียนนึง จ้างเด็กราชภัฎสอนเหมือนกัน ก็เหมือนกัน มาสาย) แถมสอนผิดๆถูกๆ excel ทำไม่ได้ ขนาด powerpoint ยังทำไม่ได้ จะว่าไปก็เห็นใจเหมือนกันคือ ถ้าให้ดีน่าจะพัฒนาระบบการศึกษาให้มันเข้มแข็ง เพราะเคยคุยกะเค้าเหมือนกัน (จบรัฐประศาสนศาสตร์)ประมาณว่าหางานไม่ได้เลย สมัครไม่มีคนรับเลย แล้วสอบที่ไหนก็ไม่ได้ กพ. ยังสอบไม่ได้ แค่ภาค ก. นะ หรือไปสอบที่ไหนก็เหอะ ข้อสอบไม่เหมือนที่เรียนมาหรือยากกว่า ไม่เข้าใจ (ประมาณนั้น) คือสมัครงานยากมากก (ราชภัฎที่ตจว.นะคะ) เลยต้องมาเป็นครู แบบระบบฝาก ซึ่งคือ ถ้าจะให้ดี ควรจะพัฒนาทั้งระบบไปเลย ซึ่งพอการศึกษามันดี คนจบมาก็มีความรู้พอตัว มาเป็นครู ก็จะได้สอนเด็กให้มีความรู้ และมันก็จะเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใจจริงก็อยากให้เปิดโอกาสให้คนข้างนอกได้มีโอกาสสอบเข้าได้เหมือนกัน และอยากให้มีเปิดบรรจุเยอะๆ เป็นอัตราจ้างก็ได้ เพราะโรงเรียนต่างจังหวัดเนี่ย ไม่มีครู ไม่มีตำแหน่งเลย ซึ่งตำแหน่งพิเศษ เช่น ครูคอม ครูเลข หรือครูสอนดนตรีเนี่ย ต้องจ้างกันเอง ซึ่งเอาเงินแต่ละโรงเรียนในกลุ่มนี่แหล่ะ หารๆกัน และเอาเงินไปจ้าง ซึ่งเงินเดือนก็จะน้อยมากกก ไม่มีใครอยากทำ คนที่เก่งๆเค้าคงไม่อยากมาทำหรอก ยังไงก็อยากให้แก้ปัญหาเรื่องนี้เร็วๆเหมือนกันค่ะ จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 02:27:32

ความคิดเห็นที่ 60 บางทีคนที่จะมาเป็นครูก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเก่งเลิศเลอ  เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ผมเป็นคนนึงที่จบมาจาก ม.ราชภัฏ แล้วผมก็เข้าใจว่าคนเก่ง  กับครูเก่งนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  คนที่จบจากมหาวิทยาลัยดีๆดังๆ ใครจะอยากมาบรรจุทำงานในโรงเรียนที่มีครู  3  คน  นักเรียน  50 คน  ติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน  ถนนรถเข้าไม่ถึงด้วยระบบการศึกษาของไทยตอนนี้มันต้องรื้อใหม่ทั้งหมด  แล้วผมก็คิดว่าการที่จะแก้ไขปัญหาทางการศึกษาของไทยนั้นมันเป็นเรืองยาก ถึงยากที่สุด จะออกกฏหมาย  ออกนโยบายปฏิรูปการศึกษา (ตอนนี้อยู่ในรอบที่สอง) ต่อให้ปฏิรูปเป็นสิบรอบอีกร้อยปีก็ไม่มีทางที่การศึกษาไทยจะดีขึ้นได้  ซึ่งเหตุผล  และตัวแปรมันมีอยู่มากมาย  ถ้าได้เข้ามาอยู่ในวงการนี้แล้วท่านจะเข้าใจ  การศึกษามันก็จะย่ำอยู่กับที่  พายเรือวนในอ่างหาทางออกไม่เจอ  ตราบใดที่ยังเอาการเมืองหรือนักการเมืองมานำการศึกษา จากคุณ : ทุ่งรวงทอง เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 08:54:39

ความคิดเห็นที่ 61 หลักเศรษฐศาสตร์ง่ายๆในการเพิ่มคุณภาพครู เปิดเสรี เพิ่มค่าตอบแทน มันเป็นสัจจะของโลกในการเพิ่มประสิทธิภาพ ...... แต่เราจะยอมจ่ายกันหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่อง จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 11:59:48

ความคิดเห็นที่ 62 เข้าใจ คห ๕๔ (แต่ไม่รู้ในแนวทางเดียวกันไหม) เชื่อไหม โกรธคุณสุดเดียวดายขึ้นมาริ้วๆ แต่มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเห็นด้วย(ส่วนหนึ่ง)จริงๆ คห ๕๗ สรุปได้ดีมาก เห็นจริงว่าคุณตั้งใจติดตามอ่านกระทู้นี้จริงๆ แต่ข้อสรุปสุดท้ายที่ออกมานั้น "ถ้าเกิดการผลักดัน สองข้อเสนอข้างต้นสำเร็จ ในทางปฏิบัติ คณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ทุกสถาบันในประเทศนี้ ต้องถูก ยุบไป จากระบบการศึกษา เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกครู เพราะ ครู ใครๆ ก็เป็นได้ จบจากศาสตร์ไหน ก็มาสอบเป็นครูได้ ไม่ต้องเรียนครู ไม่ต้องมีวิชาจริยธรรม การจัดการหลักสูตร การใช้เทคโนโลยี จิตวิทยาเด็ก ร้อยกว่าหน่วยกิต ให้เสียเวลา เปลืองทรัพยากร  เพราะกระบวนวิชาเหล่านี้ในปัจจุบันที่มี ไม่ได้ช่วยให้ครูที่จบจากศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทย ได้เลย ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง   และ นิสิตนักศึกษาจบจากคณะนี้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสังคมที่จะให้ทำหน้าที่ครูอีกต่อไป" ดิฉันน้อยใจ และเห็นด้วยต่อไปกับคห ถัดมา คือ ๕๘ ซึ่งดิฉันก็เข้าใจอีกว่า คงจะมีการเสนอแย้งในจุดนี้ว่า ก็เรียนเพิ่มเข้าไปหรืออบรมเพิ่มเอาก็ได้ ไม่ต้องถึงขั้นเปิดเป็นคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ เรียนกันห้า หกปี ให้มีใบประกอบวิชาชีพอัตโนมัติออกมาหรอก ให้สอบได้ทุกคนหลังจบดีกว่าไรงี้แน่ๆ แบบนี้นี่แหละที่ตัวดิฉันกำลังคิดว่าต้องน้อยใจ ไม่ใช่การถูกฉากบังหน้าหรือไร้ประสบการณ์เสียทีเดียว พวกเราที่จบครุศาสตร์กำลังถูกเหมารวมว่าโง่กว่าสาขาอื่นๆจริงๆ ดิฉันยอมรับว่าตอนนี้ไม่ได้เป้นครู (เพราะถ้าเป้นครูจริงคงไม่ได้มานั่งอ่าน นั่งพิมพ์อยู่ตอนนี้) แต่ดิฉันก็มีเพื่อนครูคุณภาพที่จบออกมาเป้นครูจริงๆ ครูที่ตระหนักต่อการสอน ไม่ใช่การวิจัยเอาผ่านมาตรฐานด้วย ----------------------------------- คนเป็นพ่อเป้นแม่ไม่อยากให้ลูกเรียนครูเพราะว่าเรียนไปก็ไม่เติบโต ทำเงินไม่ได้ ไม่ก้าวหน้าเพียงพอ คนเก่งเลยไม่ได้มาเรียนครูกัน ขอให้เข้าใจใหม่(คห๓๘) เข้าใจดีค่ะ แต่ก้นั่นแหละ นั่นทำให้เกิดผลที่ คนไม่เก่งต้องมาเรียนครู ถูกไหมค่ะ แล้วมันก็จะวนไปถึงว่าครูมีใบประกอบไม่เก่งพอ แล้วก็ต้องกีดกันคนเก่ง (อาจจะด้วยเหตุผลที่สวยหรู ดังที่มีนัยแอบแฝงไรก็เถอะ) แต่ถ้าวนขึ้นไปอีกที ทำไมอาชีพครูคนเก่งถึงไม่นิยมเรียนล่ะคะ???? เพราะมันเป้นอาชีพที่ดีแต่ไม่มีกินถูกไหม????  แล้วคนเก่งที่อยากทำอาชีพครูภายหลัง ทำไมเลือกจะเป็นครูแล้วล่ะ (คนคนนั้นแก่หรือยัง อยากทำอาชีพที่ฝันหลังจากพอเลี้ยงตัวได้แล้วหรือเปล่า หรือเพราะอยากรับราชการที่อาชีพมั่นคงแต่ไม่รวยขึ้นมา หรือแค่อยากเป้นครูเพราะอะไร) นั่นสิ แล้วทำไมคนเก่ง ถึงอยากมาเป้นครูในภายหลัง จนเกิดประเด้นนี้ล่ะ (เพิ่งค้นพบตัวเอง????) จะว่าไปแล้ว ดิฉันยังไม่แน่ใจว่าที่คุณ จขกท เปิดประเด็นขึ้นมานั่น ต้องการเห็นการปฏิบัติแบบไหน เพราะเท่าที่พยายามอ่าน มันเป็นแต่การจุดประกาย(ทั้งดี และย่ำยีใจตู) ขอทราบจุดนี้ได้ไหมค่ะ จะได้ถกกันไปให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นดิฉันจะเหยียบๆเรือสองแคมอยู่แบบนี้ บอกไม่ถูกว่าจะเห้นด้วยดีไหม จะเห้นต่างไปเลยดีหรือเปล่า ต้องการจะยุบหลักสูตรครู 5 ปี ยุบคณะมันไปเลย หรือขอให้มีการเปิดให้ใบประกอบสอบอย่างเสรีมากกว่านี้ หรือคงคณะไว้เพื่อเปิดการอบรมการทำหลักสุตรเท่านั้น (ไม่ต้องมีปตรีด้านนี้) หรืออะไร??????? หรือต้องการให้ย จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 14:28:08

ความคิดเห็นที่ 63 อ่านความคิดเห็นที่ 46 ของคุณ ... (ผมอ่านเป็นชิโมโห) แล้วน่าสนใจ รักการเป็นครู ชอบสอนเด็ก แต่ครูจริงๆ ไม่ได้สอนอย่างเดียว นอกจากสอนแล้วทำอะไรมั่ง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 14:30:08

ความคิดเห็นที่ 64 ต่อความคิดเห็นที่ 62 ครับ.. " เชื่อไหม โกรธคุณสุดเดียวดายขึ้นมาริ้วๆ แต่มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเห็นด้วย(ส่วนหนึ่ง)จริงๆ" ผมขอขอบคุณครับ ที่ให้ความสนใจและมีความรู้สึกขึ้นเมื่อได้อ่านความคิดเห็นของผม ยินดีและดีใจครับ ที่ทำให้หลายคนกลับมาสะกิดใจ เอ๊ะใจขึ้นมาบ้างแม้เพียงแว๊บนึง อย่่างไรก็ตาม ก่อนที่ผมจะชี้แจงต่อไปอีก ใคร่ขอให้กลับไปอ่านกระทู้ที่ผมเสนอเก่าๆ ก่อนดังนี้นะครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10541453/K10541453.html หรือของคุณ ครับผม.. http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10539490/K10539490.html หรือของคุณรัตน.. http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10616131/K10616131.html นะครับ แล้วเดี๋ยวเย็นๆผมจะเข้ามาอีกนะครับ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 14:47:06

ความคิดเห็นที่ 65 ไม่แปลกที่คุณ Pabo จะรู้สึกน้อยใจและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม โกรธขึง เเพราะคุณอาจจะจบจากคณะศึกษาศาสตร์ หรือครุศาสตร์มา หรือมีเพื่อน พ่อ แม่พี่น้องที่เรียนจากคณะนี้แล้วถูกตราหน้าว่าโง่ได้ที เป็นผมผมก็โกรธที่มีคนมาพูดแบบนี้ แต่มาตั้งหลักดีๆ มันก็ถูกของเขา แม้เราจะไม่อยากรวมกับคนเหล่านั้น  คนที่พูดแรงๆ ตรงๆ เขาก็อยากสะกิดให้สังคมช่วยกันคิด หาทางแก้ไข ช่วยกัน ไม่ใช่มานั่งอมพะนำ ทุกอย่างดีไปหมด พูดอะไรได้ไม่เต็มปาก  ทั้งๆที่ปัญหามันมีอยู่ หนึ่งในปัญหาคือเขาคิดว่า การคัดเลือกครูเป็นส่วนหนึ่ง เขาเลยใช้คำพูดว่า "คนที่สอบไม่ติดแอดมิชชั่นมหาวิทยาลัยที่เก่ง ก็จะมาเรียนครู 5 ปี แล้วได้สิทธิสอบครูได้ คนเก่งๆที่สอบติดมหาวิทยาลัยจะไม่มีสิทธิมาเป็นครู นักเรียน ยุวชนของชาติก็จะได้พวกที่สมองขี้เลื่อยมาเป็นครู" เพราะเขามีความเชื่อว่า ถ้าเปิดเสรี ในการสอบแข่งขัน เราจะได้ครูที่ดีที่เก่งเข้ามาในระบบมากกว่านี้ คำพูดของเขาถือว่า ดูถูกก็ส่วนหนึ่งแต่มันเป็นเรือสองแคมที่ให้คุณมอง ถ้าคุณจะผูกใจเจ็บก็เป็นสัญชาตญาณของคุณ แต่ถ้ามองในด้านการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาอีกแคมหนึ่ง ก็ควรให้เขาพูดได้ อีกประเด็นหนึ่ง คุณอ่านความเห็นของผมดีๆสิ ประเด็นทิ้งท้ายในความเห็นของผม ใน คห 57 ถ้า (เน้นคำว่า ถ้า)เกิดการผลักดัน สองข้อเสนอข้างต้นสำเร็จ ในทางปฏิบัติ มันจะเกิด เหตุการณ์นี้ตามมา   คณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ ทุกสถาบันในประเทศนี้ ต้องถูก ยุบไป จากระบบการศึกษา เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกครู เพราะ ครู ใครๆ ก็เป็นได้ จบจากศาสตร์ไหน ก็มาสอบเป็นครูได้ ไม่ต้องเรียนครู ไม่ต้องมีวิชาจริยธรรม การจัดการหลักสูตร การใช้เทคโนโลยี จิตวิทยาเด็ก ร้อยกว่าหน่วยกิต ให้เสียเวลา เปลืองทรัพยากร  เพราะกระบวนวิชาเหล่านี้ในปัจจุบันที่มี ไม่ได้ช่วยให้ครูที่จบจากศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทย ได้เลย ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง   และ นิสิตนักศึกษาจบจากคณะนี้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสังคมที่จะให้ทำหน้าที่ครูอีกต่อไป เจ้ากระทรวงศึกษาธิการและผู้บริหารในกระทรวง ที่เต็มไปด้วยนักการศึกษา ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้ เห็นควรคัดเลือกโดยเสรี ใครๆ ก็สามารถมาบริหารงานได้   เปิดกว้างเช่นเดียวกับการบริหารงานของเอกชน แข่งขันกันอย่างเสรี และเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการศึกษาของชาติบ้านเมือง นี่คือประเด็นที่ผมฝากให้ทุกคนต้องคิดไว้   ถ้าข้อเรียกร้องสองข้อด้านบนถูกผลักดันให้เกิดขึ้นจริง แน่นอนก็จะมีคนมาตั้งกระทู้ถามอีกว่า แล้วเราจะมีคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ไว้ทำไม มันเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ผมพูดดักไว้ ให้คิดต่อไปด้วย ซึ่ง คห 58 เขาก็เสนอเพิ่มเติมว่า ไม่ควรยุบคณะเหล่านี้ เพราะยังเป็นหัวใจสำคัญในการคงไว้ซึ่งศาสตร์บางอย่างที่ ใครหน้าไหน ก็ต้องมาเรียนรู้เมื่อ อยากเป็นครู แต่ไม่ควรมีนักศึกษาปริญญาตรีเรียนในคณะนี้ ให้เสียงบประมาณ และทำร้ายพวกเขา เพราะจบมาก็ถูกตราหน้าว่าสมองขี้เลื่อย  อยากเป็นครูไม่ต้องมาเรียนในคณะนี้ไปเรียนหมอ เรียนหมอหมา วิศวะ สถาปัตย์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ วิทยาศาสตร์ทั่วไป รำไทย ทำกับข้าว เป็นยาจก  ขายขนมจีบ เต้นงิ้ว เป็นดารา นักข่าว ก็สอบเป็นครูได้ นี่คือสิ่งที่เขากำลังพูดกัน คุณรู้ใช่ไหม และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีใครโทษใครได้อีก เพราะทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมที่จะเป็นครู เวลาเขาด่า เขาก็จะด่าทุกสาขาอาชีพ  จบหมอสมองขี้เลื่อย สอนเด็กไม่ได้เรื่อง จบมาได้ไง จบวิศวะคิดอะไรไม่เป็นสอนก็ไม่เป็น จบรำไทยมาสอนเด็กก็ไม่ได้ จบเต้นงิ้วมา ก็สอนงิ้วไม่เป็น อันนี้คือคนจะกล่าวโทษ แต่ถ้าดี การศึกษาไทยจะเจริญก้าวหน้ามากกว่านี้ อันนี้คือสมมติฐานของเขา ที่คิดว่ามันจะต้องดี จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 15:34:09

ความคิดเห็นที่ 66 เป็นครูนะ  จบครุศาสตร์โดยตรงกันเลยทีเดียว แต่ใครจะว่าคนเป็นครูยังไง  ก็ไม่โกรธหรอก...แต่อาจจะมีแอบหงุดหงิดเล็กน้อย (ฮา)   เพราะความจริงมันเป็นอย่างนั้น...และตัวเราเองก็คิดแบบนั้นมาตั้งแต่เลือกเรียนครูแล้วล่ะ (ครูโครงการพิเศษในอดีตกาลโครงการหนึ่ง) คือเป็นคนที่คิดมาตลอดว่า...จะอะไรก็แล้วแต่ให้ "เริ่มที่ตัวเองก่อน" จะไม่มัวแต่คิดว่า  ทำไมการศึกษาไทยแย่ขนาดนี้...ประเทศชาติไม่พัฒนาเพราะคนเก่งไม่มาเป็นครู  ทำไมมีแต่คนโง่มาเป็นกันนะ...คนไทย ประเทศไทยมันแย่...แย่ที่สุด! ดังนั้น...ก็เลยต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน...เราซึ่งน่าจะไม่ใช่ "กาก" (ซะทีเดียว) แต่อยากเป็นครู...๕๕๕++ (แต่ตอนนี้อาจจะเริ่มเป็นกากของแท้แล้วล่ะ  เพราะความรู้เริ่มหดหายไปตามกาลเวลา...เหอ ๆ) คนเราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน...คนละพ่อคนละแม่ คนละสิ่งแวดล้อม คนละเบ้าหลอม...รายละเอียดปลีกย่อยในความคิดต่าง ๆ นานา ก็เลยไม่เหมือนกัน... จะเป็นประเภท...เก่งแล้วจะต้องไม่คิดเป็นครูเด็ดขาด  หรือเก่งแล้วจะอยากเป็นครู...หรือถึงไม่เก่งก็จะไม่เป็นครูแน่ ๆ  หรือเพราะไม่เก่งไงเลยต้องมาเป็นครู...ก็ว่ากันไปตามบริบทของใครของมัน แต่ไม่ว่าจะจบครูเพราะสอบอะไรไม่ได้  หรือเพิ่งคิดจะมาเป็นครูเพราะหางานอื่นไม่ได้...ก็มีจุดร่วมที่เหมือน ๆ กันอยู่จุดหนึ่งคือ...เป็นครู...เพราะโดนสถานการณ์บังคับ   ซึ่งเราก็ไม่อาจแน่ใจในจิตวิญญาณหรืออะไรก็ตามที่เป็นนามธรรมอยู่ในความคิดของพวกเขาเหล่านี้ ...และในเมื่อการสอบมันพิสูจน์จิตวิญญาณ และคุณธรรมที่แท้จริงให้แน่ชัดกันไม่ได้...ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดกว้างสอบวัดความรู้ ความสามารถกันไปก่อน   หาคน "รู้มากกว่า   คิดเก่งกว่า" เข้ามาในวงการครูก่อน...เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง... ส่วนตัว...เชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถของมนุษย์  ในขณะเดียวกันก็เชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างคุณธรรม ทัศนคติ ค่านิยมของมนุษย์...ว่าสิ่งเหล่านี้แหละคือสิ่งที่จะเปลี่ยนสังคมได้ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 18:47:56 แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 18:38:14 จากคุณ : ruralcrue เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 18:28:26

ความคิดเห็นที่ 67 ผมขอแจ้งให้***คุณสุดเดียวดาย***รู้ไว้ด้วยว่า ผมแค่เสนอความคิดเห็นนะครับ กรุณาอ่านให้หมดทั้งบรรทัดด้วย  และผมขอบอกคุณด้วยว่า ผมไม่ได้เป็นครู****ผมย้ำนะว่าผมไม่ได้เป็นครู***ผมไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะมีใครมาแย่งอาชีพครู ผมแค่เสนอความเห็นแค่นั้น อย่าใส่ไข่   ส่วนคุณจะบอกว่าคนจบครูมาเรียนไม่เก่ง เกเรนั้นคุณอาจจะเข้าใจผิดอะไรไปหรือปล่าว??? คนที่จบครูมาหาใช่คนเกเรหรือเรียนไม่เก่งเหมือนเป็นการตอกย้ำเขานะ. เขาอาจจะมีจุดยืนเป็นของตนเอง.คุณเหมารวมอย่างนี้เป็นการดูถูกครูที่เรียนจบด้านนี้มานะครับ (ผมไม่รู้นะว่าคุณเก่งระดับไหน) แต่สำหรับผมคนเก่งผมไม่เคยกลัว กลัวอย่างเดียวคือกลัวคนดี มีศิลธรรม ***คนดีสามรถพัฒนาตนเองให้เก่งได้ แต่คนเก่งนิสิจะสามารถมารถพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีได้ไหม*** ผมไม่ได้หมายรวมถึงคนเก่งที่เป็นคนดีนะ ถ้าคนเก่ง เป็นคนดี มีศิลธรรม ผมนับถือ จากคุณ : mamkotpai เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 19:19:49

ความคิดเห็นที่ 68 นี่แหละๆๆ นี่ไงๆๆ คุณcheychai ระบุมาแล้ว "ซึ่ง คห 58 เขาก็เสนอเพิ่มเติมว่า ไม่ควรยุบคณะเหล่านี้ เพราะยังเป็นหัวใจสำคัญในการคงไว้ (pabo-คห๕๘ จบแค่นี้นะ เขาไม่ได้กล่าวไปถึงว่าต้องมีหรือยุบปอตรีไหม) ซึ่งศาสตร์บางอย่างที่ ใครหน้าไหน ก็ต้องมาเรียนรู้เมื่อ อยากเป็นครู แต่ไม่ควรมีนักศึกษาปริญญาตรีเรียนในคณะนี้ ให้เสียงบประมาณ และทำร้ายพวกเขา เพราะจบมาก็ถูกตราหน้าว่าสมองขี้เลื่อย  อยากเป็นครูไม่ต้องมาเรียนในคณะนี้ไปเรียนหมอ เรียนหมอหมา วิศวะ สถาปัตย์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ วิทยาศาสตร์ทั่วไป รำไทย ทำกับข้าว เป็นยาจก  ขายขนมจีบ เต้นงิ้ว เป็นดารา นักข่าว ก็สอบเป็นครูได้ นี่คือสิ่งที่เขากำลังพูดกัน คุณรู้ใช่ไหม และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีใครโทษใครได้อีก เพราะทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมที่จะเป็นครู เวลาเขาด่า เขาก็จะด่าทุกสาขาอาชีพ  จบหมอสมองขี้เลื่อย สอนเด็กไม่ได้เรื่อง จบมาได้ไง จบวิศวะคิดอะไรไม่เป็นสอนก็ไม่เป็น จบรำไทยมาสอนเด็กก็ไม่ได้ จบเต้นงิ้วมา ก็สอนงิ้วไม่เป็น อันนี้คือคนจะกล่าวโทษ" คำตอบของคุณ  (ที่อาจสรุปประเด้นจากกระทู้นี้ ไม่แน่ใจว่าคุณคิดแบบนี้หรือเปล่า) คือไม่ควรยุบคณะเหล่านี้ เพราะยังเป็นหัวใจสำคัญในการคงไว้ซึ่งศาสตร์บางอย่างที่  แต่ไม่ควรมีนักศึกษาปริญญาตรีเรียนในคณะนี้ ให้เสียงบประมาณ และทำร้ายพวกเขา เพราะจบมาก็ถูกตราหน้าว่าสมองขี้เลื่อย   แล้วถ้าคุณสุดเดียวดายคิดแบบเดียวกัน ว่าควรเป็นไปในแนวทางนั้น ดิฉันก็จะเลือกแคมเดียวที่ว่า "อย่ายุบ ปอตรีคณะนี้ แต่จะให้มีการเปิดกว้างการสอบเอาใบประกอบมากกว่านี้ด้วย" แน่นอนว่าถ้ากระทู้นี้ไปถึงหูผู้ใหญ่แล้วมีการปรับเปลี่ยนขึ้นมาจริงๆ แล้วบังเอิญว่าผลคือยุบปอตรีนี้ไป ดิฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่จะขอเลือกเป้นฝ่ายค้านไง จะได้ถกกันอย่างจริงจังหน่อย แบบนี้ตอนนี้กลับรู้สึกว่าซ้ายก็ดีขวาก็ดีไปทางไหนไม่ถูกเสียที แน่นอนที่ดิฉ้นเลือกข้างได้เลย เพราะ จบมาจากคณะครุศาสตร์นี่แหละ เรียกว่ามีประสบการณ์ที่เรียนในคณะนี้สามารถเอาประสบการณ์-หลักสุตร และเรื่องต่างๆที่ได้ร่ำเรียนมาถกได้อย่างจริงจัง แม้ตอนนี้จะไม่ได้เป็นครูแล้ว (แต่ก่อนเป็น) แต่ก้ยังมีเพื่อนที่เป้นครูอีกมาก นี่คือเหตุผลที่ขอทำความเข้าใจ(อีกครั้ง) ว่าอะไรที่กระทู้นี้ต้องการในแง่ของการปฏิบัติ เพราะเท่าที่รู้สึกมันเหมือนแค่มาจุดประเด้น ซึ่งจริงๆก็ดีมากแล้ว แต่ขออีกนิดนะ เพื่อคนอ่อนด้อยตัวน้อยๆอย่างดิฉัน จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 19:54:47

ความคิดเห็นที่ 69 คนเก่งวัดได้ คนดีวัดไม่ได้ครับ เราสามารถออกแบบคัดเลือกคนเก่งได้ตามหลักวิชาการ (แล้วค่อยเขี่ยคนไม่ดีออกทีหลัง) แต่เราไม่สามารถคัดเลือกคน(ที่คิดว่า) ดีได้ คนที่คิดวิธีคัดเลือกคนดีได้ผมขอเสนอชื่อให้ไปรับรางวัล Nobel เลย เพราะมันจะเป็นประโยชน์กับโลกอย่างสูงสุด สูงกว่า Newton + Einstein + Heisenberg + Fayman  เสียอีก สิ่งที่จะเอามาใช้เป็นนโยบายพึงยึดหลักที่โยงกับความเป็นจริง (แม้ว่ามันจะขัดกับอุดมคติ) ใครๆก็อยากได้คนดีมาทำงานแต่ในโลกนี้มันไม่มีเครื่องมือวัดความดี ดังนั้นเราต้องวัดที่ความเก่ง ที่ความเหมาะสมแล้วค่อยเขี่ยคนไม่ดีออกไปจากระบบ ถึงเป็นทางเลือกที่ Practical ที่สุด แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 20:00:34 จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 19:59:19

ความคิดเห็นที่ 70 ผมก็เห็นด้วยนะครับ บางทีประเทศเรามันก็เพี้ยนๆอย่างนี้แหละ อาจจะไม่เกี่ยวกับกระทู้ แต่ที่ผมจะบอกต่อไปนี้มันเรื่องจริงของประเทศไทย ตอนนี้รร.ผมครูอังกฤษกำลังจะไม่มี เพราะย้าย และลาคลอด เรียกบรรจุมาจะสองปีก็ไม่มีใครมา ขอบัญชีก็หวงกัน(พี่ๆฝ่ายบุคคลเขาเล่ามา) แล้วภาระการสอนอังกฤษก็มาตกที่ครูสาขาวิชาอื่น ถามว่าสอนได้ไหม สอนนะสอนได้ แต่จะมีประสิทธิภาพเท่าครูอังกฤษจริงๆหรอ ______________________________ ณ เวลานี้ ผมว่าได้ครูเก่ง ครูฉลาดเข้ามาในระบบก็เท่านั้น เพราะต้องเป็นครูเอกสารกันมากกว่าครูสอนจริงๆ รร.ใหญ่ สอนวิชาเดียว สบาย งานเบา เพราะครูเยอะ แต่ถ้าเด็กเก่งครูก็เตรียมการสอนมากหน่อย แต่สบายนะ(น้อยมากสำหรับรร.แบบนี้ในประเทศไทย 1จังหวัดมีสักสองสามรร.แล้วรร.ที่เหลือละ?) รร.เล็ก ครูน้อย สอนแม่มทุกวิชา งานก็เยอะ (งานที่ว่าก็พวกประเมินสมศ. กรอกเอกสาร พัสดุ ธุรการ บ้าบอจิปาถะ) มันทำให้ครูไร้ประสิทธิภาพในการสอน เด็กไร้ประสิทธิผลทางการเรียน ผมสงสารเด็กมากๆ ยิ่งเป็นเด็กต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ครอบครัวแตกแยก ครอบครัวมีปัญหา ฐานะยากจน เด็กทุกวันนี้เกเรมาก ขี้เกียจ ไม่ค่อยสนใจ ต่อให้ได้ครูเก่งมาแค่ไหน เจอเด็กแบบนี้เข้าไป แล้วไม่สามารถจัดการบริหารห้องเรียนได้ มันก็ลำบากนะครับ ครูในระบบ กับครูสอนพิเศษ ต่างกันสิ้นเชิงเลยนะครับ ได้แต่ทำใจครับ ประเทศไทย จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 20:11:06

ความคิดเห็นที่ 71 อ่า..สวัสดีครับ ..ผมขอเรียนว่า ผมนะอายุก็ไม่น้อยแล้ว ผมบนศรีษะก็ขาวแล้ว จะไม่อีกกี่ปีก็ปลดตัวเองไปอยู่บ้านเฉยๆ ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่า ที่เสนอความคิดเห็นนี้ไม่ได้จะแย่งไปเป็นครูแน่นอน หรือแย่งผลงานความดีจากครูที่เป็นอยู่ด้วยกัน หามิได้ แต่ที่ออกความเห็นเพราะ วันหนึ่งลูกหลานก็จะบอกว่า ไฉนรุ่นนั้นทำแบบนี้มาได้อย่างไร ไม่เห็นมีใครค้านหรือมองเพศภัยที่จะเกิดขึ้นเลยเหรอ เราเชื่อกันไหมว่า "ที่ใดมีการผูกขาด ที่นั่นมีความเลวร้าย"   สมัยเราๆ สิบกว่าปีมาแล้ว ขอโทรศัพย์เบอร์เดียว ต้องรอไปเป็นปีๆ ต้องเสียเงินห้าหมื่น เพราะ องค์การโทรศัพย์เขาผูกขาด หรือช่วงแรกโทรมือถือเครื่อง+เบอร์ ละแสนกว่า เล่าให้คนวันนี้ฟัง คงหัวเราะท้องแข็ง ...  ที่ผมยกตัวอย่างนั้น มิได้ดูแคลนผู้ใดทั้งสิ้น แต่จะเสนอเป็นภาพกว้างแบบมหาภาค ถามว่าเรายอมรับความจริงกันไหมว่า ถ้าลูกเราหรือน้องเราเรียนดี เก่งๆ เราจะให้เขาเรียน หมอ วิศวะ สถาปัตนย์ นิเทศ อักษร วิทยา นิติ ฯลฯ มหาวิทยาลัยดีๆ กันทุกคนใช่ไหม ,,คงตอบแทนได้ว่าใช่ คนเก่งๆจะเลือกแบบนี้ ผมเปรียบเทียบว่า คนเรียนดี จะขยัน รับผิดชอบ คนเกเร จะไม่ขยัน ไม่ตั้งใจเรียน และไม่ค่อยมีวินัย ใช่หรือไม่ ?? เมื่อสอบเข้ามหาลัย คนขยันเรียน เรียนเก่ง ก็มักจะได้ที่เรียนดี ไล่ลงไปเรื่อยๆแต่ละคณะ แต่ละลำดับ คนที่ไม่ตั้งใจเรียน ก็จะถูกคัดโดยธรรมชาติ และความเป็นจริงว่าสอบไม่ได้ บางคนจะอ้างส่วนน้อยว่า คนเก่งสอบไม่ได้ก็มี ถ้าอ้างส่วนน้อยก็จะอ้างได้ทุกเรื่อง ใช่หรือไม่   คนเก่งก็จะถูกยกให้ไปเรียนใน section หนึ่ง คนไม่เก่งก็จะไปเรียนอีกsection หนึ่งของสังคม เช่น ม.ราม มสธ.หรือ วค.เป็นต้น   เมื่อก่อนไม่มีกฎ ป.บัณฑิต ทุกคนเรียนจบมา ใครใคร่อยากเป็นครู เป็น.. ใครใคร่อยากทำงานอะไรก็ทำ ไม่มีการจำกัด ผลคือ คนจบ วค.มาสอบเป็นครูได้น้อยมาก.. จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 20:33:43

ความคิดเห็นที่ 72 เป็นความผิดของผู้ปกครองหรือคนๆนั้น ใช่หรือไม่ ที่จะไม่เลือกจัดลำดับไปเป็นครูเสียตั้งแต่เลือกเรียน..จริงๆ เขาก็มีสิทธิโดยธรรมชาติ(หรือตามรัฐธรรมนูญก็ได้)ที่จะเลือกเป็นในคณะที่ตนเองอาจจะสอบได้ก่อน ถ้าว่าเขาผิดที่ทำไมไม่เลือกครูตั้งแต่แรก..ก็คงจะเริ่มยอมรับว่า เป็นขั้นตอนการข่มขืนใจ กีดกันเพื่อนร่วมชาติขั้นที่ 1 แล้ว เมื่อเขาจบมา หากเขาอยากเป็นครู ประเทศนี้ก็จะไม่อนุญาตให้เขาไปเป็นครูได้อีก เว้นเสียแต่ว่าไปเรียนอีก 1 ปี ถามว่าจะมีใครจบ มหาวิทยาลัยแล้วไปนั่งเรียนอาชีพอีก 1 ปี แต่ไม่ได้ ป.โท .. จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 20:46:08

ความคิดเห็นที่ 73 ที่อเมริกาหรือที่เจริญแล้ว เขาไม่มีหรอกโรงเรียนฝึกหัดครู เขาก็ให้คนที่มีความรู้จบที่ใดๆมา สามารถมาเป็นผู้ช่วยสอนได้ หากต้องการ turn pro ก็จะต้องมีคุณสมบัติเช่น ชั่วโมงการสอน หรือการรับรองจาก senior ต่อๆกันไป องค์ความรู้จึงควรจะเป็นแบบ สหวิทยาการ คนเป็นครูไม่ควรผูกขาดอยู่ในกลุ่มคนหรือในสถานศึกษาใดๆเท่านั้น  ในทางการจัดซื้อจัดจ้าง หากต้องการที่จะกีดกันผู้แข่งขัน ที่จะทำให้เกิดผลดีสูงสุดแก่อะไรสักอย่าง วิธีที่นิยมกันก็คือ กำหนดTOR ให้มีข้อจำกัดให้กีดกันคนอื่นแล้วพวกตนจะได้ประโยชน์จากการกีดกันนั้นๆ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน วิธีกีดกันกลุ่มอื่น มหาวิทยาลัยอื่น ก็คือ ออกกฎ ป.บัณฑิตขึ้นมาเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ   วิชาการถ่ายทอด วิชาจริธรรม วิชาการเป็นครู ไม่ใช่วิชาสูงส่ง เลอเลิศ ดุจศาสตร์ที่มนุษย์ยากจะพึงสัมผัสได้ถ้าไม่ได้เรียน แต่เหล่านี้มันอยู่ในใจทุกคนอยู่แล้ว    คงไม่มีผู้บริหารคนใด บันทึกการประชุมหรือพูดในที่สาธารณะว่า เราจะตั้งกฎ ป.บัณฑิตขึ้นมาเพื่อกีดกันคนอื่น แต่กรรม ย่อมแสดงเจตนาฯ จะหาหลักฐานเป็นเอกสารหรือ link คงจะไม่มี นอกจากเฝ้าดูพฤติกรรม ครับ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 20:57:51

ความคิดเห็นที่ 74 เอ่อ ออกตัวอีกนิดๆ ไม่ได้กลัวว่าใครจะแย่งงานครูนะคะ คนเก่งจะเข้ามาเป้นครุยิ่งยินดี แต่เมื่อหลายๆอย่างในสังคมยังไม่เสถียร ก็อยากจะให้คนเก่งที่อยากเป้นครูจริงๆ แต่ไม่ได้จบครุช่วยอดทนอีกนิด ยังมีดรงเียนที่รับอัตราจ้างอีกหลายแห่ง ก็ทนกันไปด่อนสักหน่อยเนอะ หวังว่าระบบผูกขาดที่ว่าจะยืดหยุ่นหรือหมดไปในที่สุด "หากเขาอยากเป็นครู ประเทศนี้ก็จะไม่อนุญาตให้เขาไปเป็นครูได้อีก เว้นเสียแต่ว่าไปเรียนอีก 1 ปี ถามว่าจะมีใครจบ มหาวิทยาลัยแล้วไปนั่งเรียนอาชีพอีก 1 ปี แต่ไม่ได้ ป.โท .." ขอแย่งแบบกำปั้นทุบดินสักหน่อย ถ้าเกิดต้องการเป้นครูจริงๆ ก็ต้องสามารถทนเรียน ๑ ปีนั้นได้ค่ะ แล้วมันก็จำนวนไม่ต่างกับคนจบห้าปีตอนนี้ถูกไหมคะ????   (ประเด้นนี้ขอแย้งเท่านี้นะ ไม่ได้ต้องการว่าประชดหรืออไรใคร และจะไม่เถียงประเด้นนี้ต่อ มันใจใครใจมัน แค่ขอทุบดินพอฝุ่นฟุ้งเสียหน่อย) เอ่อ ออกตัวอีกเรื่องนิดๆ อีกเรื่อง ซึ่งพูดถึงไปแต่แรกโน้นแล้ว วค จะบรรจุได้น้อยหรือเปล่าไม่ทราบ แล้วระบบการเรียนสายนี้ของ วค จะเป้นอย่างไรก็ไม่แน่ใจนัก แต่ดิฉันยืนยันว่าเป็นกลุ่มครู(และคนจบครู)คุณภาพจริงๆนะ (เห็นใจหนูหน่อย หนูอยากเป็นคนเก่งแบบหมอ แบบวิศวะ ในภาพกว้างแบบมหาภาคของคุณอาสุดเดียวดาย แฮะๆๆๆๆ) จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:06:28

ความคิดเห็นที่ 75 เห็นด้วยกับหลายๆ คนที่พูดถึงความเป็นไปของครูในปัจจุบันนะคะ.. งานครู มันไม่ใช่แค่งานสอน แต่มันยังมีงานเอกสาร งานธุรการที่เบียดเบียนภาระงานครูที่แท้จริงมากมาย (แถมเป็นข้ออ้างเบี้ยวงานสอนด้วยอีกแหน่ะ = =!.. เค้าจำได้สมัยเรียนมัธยม) แถมเงินเดือนก็น้อยแสนน้อย.. หากเทียบกับการทำงานในเมืองกรุง.. ที่ค่าครองชีพสูง.. (มันถึงมีการหารายได้พิเศษ ที่ไม่ค่อยพิเศษเท่าไหร่ เพราะจะเห็นได้ตามโรงเรียนทั่วๆ ไป) ทำวิทยฐานะดีกว่า เงินเดือนจะได้เพิ่มขึ้น.. งืมๆ อันนี้พูดในแง่มุมของโรงเรียนรัฐนะคะ มันดูเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยหน้าเลือกเลยนะคะ.. และยอมรับว่า พี่ๆ ร่วมคณะเกินครึ่ง เลือกที่จะไปประกอบอาชีพอื่นกันเยอะ.. ในเรื่องของการสอบเอาใบประกอบวิชาชีำพ.. จริงๆ แล้วหนูคิดเหมือนกันค่ะ ว่าถ้าเปิดกว้างให้คนที่จบคณะอื่นมาสอบได้ คงจะดี.. ลองคิดต่อว่า.. ครูเก่งๆ ได้แน่นอน.. แต่อาจจะเกิดสะดุดกับงานครูที่ต้องทำส่ง สมศ หรือเหล่าองค์กรที่ตรวจสอบทั้งหลายอีก.. ด้วยว่ามีบางอย่างที่ต้องทำนอกเหนือแค่งานสอนหนังสือเด็กอย่างเดียว เข้าใจว่า ไอ้ 1 ปีที่ต้องไปเรียนเพิ่ม มันต้องเรียนในเรื่องของการสอน หลักสูตร หรืออะไรที่พวกเด็กครุ-ศึกษาจำเป็นต้องผ่าน ไม่ใช่เหรอคะ? หรือหนูเข้าใจจอะไรผิด ส่วนในแง่มุมที่มีการแตกประเด็นในเรื่องของการปฏิบัติว่า ถ้ามันทุกคณะมาสอบได้ ก็ยุบมันไปเลย ไอป.ตรี ครุศาสตร์ เนี้ืย.. หนูมองอยู่ 2 แบบค่ะ คือ 1. อย่ายุบเลยนะ.. มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้งคะ ถ้ายุบไป แหะๆ อาจจะเป็นเพราะหนูเรียนครุ.. หนูได้สัมผัสถึงการเรียนการสอนของคณะหนูมันมีการเรียนที่แตกย่อยลงไปอีก.. เพราะในครุศาสตร์ มันก็มีหลายสาขาการเรียน.. เช่น ปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมวิทย์ มัธยมศิลป์ ดนตรี ศิลปะ นอกระบบ และในแต่ละสาขาการเรียนก็แตกย่อยลงไปอีก ในความลึกของสาขาต่างๆ มันก็มีเรื่องของพัฒนาการ จิตวิทยา หลักสูตร และการประเมินที่แตกต่างกันออกไป และเชื่อว่าแต่ละคณะก็คงมีความเฉพาะทางเหมือนกันค่ะ คนเรียนคณะครุศาสตร์ เราอาจได้เปรียบในเรื่องของการสอนนิดหน่อย(เพราะเราถูกบังคับให้เก็บชั่้วโมงบิน..) ละเราเรียน 5 ปีก็ได้ใบประกอบวิชาชีพด้วย.. แต่มันก็มีเงื่อนไขของตัวใบประกอบวิชาชีพเหมือนกันค่ะ ถ้าเราขาดอายุการทำงานไป.. 2. ยุบไปเลย แล้วก็ปรับระบบการเรียนสำหรับคนที่จะมาเป็นครูให้ใหม่เสียหมด.. คือ อาจจะไม่มีคณะที่ต้องมาเรีียนกัน 5 ปี อะไรที่มันยาวนาน แต่เป็นการเรียนที่เน้นในเรื่องที่ต้องการเน้นจริงจัง.. ที่สำคัญหากจะเป็นครู.. เปิดโอกาสให้ใครก็ได้.. และเห็นด้วยกับที่ คห. 70 บอกค่ะ ครูในระบบ กับ ครูสอนพิเศษ มันต่างกันสิ้นเชิงเลยค่ะ.. บางที มันทำให้คิดถึงว่า ครูในระบบ สอนไม่เต็มที่.. เพราะ ไปเป็นครูสอนพิเศษ เค้าได้ตังค์เพิ่มอีกนา.. ความเคารพยังได้มากกว่าครูในระบบด้วยกระมัง.. จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:13:18

ความคิดเห็นที่ 76 คุณ PaBo คุณเป็นฝ่ายค้าน คุณเตรียมข้อมูลไว้ดีๆ หาแนวคิดและเหตุผลมาถกกันกับคุณสุดเดียวดายและพลพรรค ก่อนที่จะไปสู่ยุบหรือไม่ยุบ คณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ หรือจะคงไม่คงป.ตรี คณะนี้ไว้ ข้อเรียกร้องของคุณสุดเดียวดายและพรรคพวก ที่ว่า ยกเลิกหลักสูตร ป.บัณฑิต และเปิดการสอบบรรจุครูอย่างเสรี ทุกสาขาอาชีพ ตาสีตาสา ก็สามารถมาเป็นครูได้ คุณเห็นด้วยกับพวกเขาหรือไม่ เพราะผมงงกับ คำพูดของคุณที่ว่า "อย่ายุบ ปอตรีคณะนี้ แต่จะให้มีการเปิดกว้างการสอบเอาใบประกอบมากกว่านี้ด้วย" ใบประกอบอะไร ใบประกอบวิชาชีพครู จะสอบทำไมอีก  ในเมื่อเขาต้องการยกเลิก ไอ้ใบเบิกทางอันนี้ ใบประกอบวิชาชีพครู จะได้มาก็ต่อเมื่อ คุณเรียนหลักสูตร ป.บัณฑิต เป็นเวลาหนึ่งปี แถมต้องฝึกสอน ถ้าไม่ฝึกสอนคุณก็ต้องอ้างว่าคุณเคยสอนที่ไหนสักแห่ง เป็นเวลากี่ชั่วโมง   ในกรณีของคนที่ไม่ได้จบคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์โดยตรง เขาต้องผ่านกระบวนการนี้ถึงได้มา ถูกต้องหรือไม่ หรือผมเข้าใจอะไรผิดไป กรุณาชี้แจงเพิ่มเติม เพราะปัจจุบันไอ้นี่มันก็มีอยู่แล้ว แต่เขาเรียกร้องให้ยกเลิก ไปเลย เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า มันเป็นเครื่องมือกีดกันคนเก่ง แม้จะวัดความดีไม่ได้ แต่คัดคนเก่งได้ ถ้ายกเลิกไป หรือในตอนนี้ ใบประกอบวิชาชีพ่ครู ได้เฉพาะคนที่จบครู ใช่หรือไม่ คนที่ไม่จบจากคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ไม่มีสิทธิ ใช่หรือไม่ ผมเริ่มงง หรือว่า คุณจะบอกว่า สอบบรรจุครูโดยเสรี เฉยๆ ถ้าแบบนี้ ฝ่ายสนับสนุนเขากำลังเรียกร้องอยู่นี่ไง และแสดงว่าคุณเข้าใจตรงกันกับพวกเขา ส่วนยุบหรือไม่ยุบ เราค่อยถกกันต่อ แก้ไข เพราะความเข้าใจคลาดเคลื่อน แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 21:26:00 จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:19:28

ความคิดเห็นที่ 77 เฮ่อๆๆๆๆๆ ยินดีครับ ยินดีแลกเปลี่ยน..หักล้างด้วยเหตุผลครับ เชิญครับ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:32:20

ความคิดเห็นที่ 78 อาจจะไม่เกี่ยวข้อง.. แต่ยกเรื่องนึงมาให้คิดกันค่ะ ตอนที่ทางกระทรวงตะแหง่วๆ ไม่นานมานี้ว่าจะให้ครุ-ศึกษา เรียนควบ 6 ปี ได้ ป.ตรี - โท พวกเราที่เรียนอยู่ปีปลายๆ แล้ว.. ถึงกับมีน้ำโหไม่ได้ว่า เราเรียนกันตั้ง 5 ปี ได้แค่ ป.ตรี งั้นถ้าเราสมัครใจอยากเรียนอีกสักปี จะยอมให้ ป.โท กับเราไหม?? และตอนมี การเรียน ป.บัณฑิต เรียน 4+1 แล้วเป็นครู ตัวหนูเอง กับเพื่อนบางคนที่เพิ่งถูกเหมารวมเป็นปลายกเข่งนั้นว่า แบบนี้ เราไปเรียนคณะอื่นดีกว่า.. แล้วมาเรียนอีกปีนึง เป็นครูได้ด้วย!! ดูมีเครดิตดีกว่าไหม?? แต่ดูคห.ของคุณลุงสุดเดียวดายแล้ว(ขออนุญาตเรียกนะคะ) หนูคิดว่าสำหรับคุณลุง คงไม่อยากให้มีโรงเรียนฝึกครู หรือคณะพวกหนูหรือเปล่าคะ?? ถ้ามองแบบคุณลุงทั้งหมด หนูเข้าใจว่า เพราะเมืองนอกระบบเขาไม่ต้องแคร์เรื่องของพวกจิตของความเป็นครูหรอก แค่สอนในห้องก็พอ.. พฤติกรรม หรือ บางอย่าง นอกห้องเรียนก็ไม่ควรคาดหวังกับครู เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา.. แต่ด้วยวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน.. คนไทยเรามองว่าครูเป็นต้นแบบ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน.. ซึ่งถ้าคนมองว่าครูเป็นคนคนหนึ่ง และนอกห้องเรียนเป็นเวลาส่วนตัวที่เขาจะทำอะไรก็ได้จริงๆ เราจะเอาของเมืองนอกมา มันก็ไม่เสียหายเลยค่ะ แค่อยากชี้ให้เห็นว่า บางอย่าง เรื่องของวัฒนธรรม ก็มีส่วนในการปรับและพัฒนาระบบเหมือนกันนะคะ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:34:07

ความคิดเห็นที่ 79 สนุกครับ ผมชอบ ถกกันด้วยปัญหาและเหตุผล รวมถึงความจริงที่เป็นอยู่ บางทีผมก็ไม่ชอบนะเป็นครูในระบบเนี่ย แต่เป็นครูในระบบ ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสได้มากกว่าจริงๆนะ  ได้เป็นที่ปรึกษา ได้รู้จักชีวิตเขา แล้วรู้ว่าบางทีเด็กเหล่านี้ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอก แต่ถ้าเป็นครูสอนพิเศษ คงจะมีแต่เด็กๆที่สนใจและมีเงินเท่านั้นที่มาเรียน เราก็จะไม่เจอปัญหา"ใหญ่"หรือปัญหาจริงๆในสังคมไทยเลย (ผมคิดเอาเองนะครับ ผมไม่เคยสอนพิเศษ) "ความรู้ใครก็ให้ได้ แต่ความเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ไม่ทุกคน" จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:44:06

ความคิดเห็นที่ 80 ครับ เรียกคุณลงก็ยินดี แต่ถ้าเรียก"พี่"ก็ดีใจฮะ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 22:55:23 จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:44:38

ความคิดเห็นที่ 81 ^ ^ ความเห็นที่ 78 อย่าไปโมโหเลยครับ ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมครับ ตอนมีครู5ปีครั้งแรก (ไม่อยากบอกว่าปีที่ผมเอนท์) ครู4ปีก็แย่ไปตามๆกันนะครับ "ฉันผิดตรงไหนที่เรียน4ปีแล้วได้ 7940 ขณะที่ครู5ปี 8700" <<< ผมเรียนวิทย์แล้วมาต่อป.บัณฑิตก็เลยสตาร์ท 7940 ตอนปรับเงินเดือนครูตอนเมษา "ว้าว อีกนิดเงินถึงก็ถึงขีดเส้นต่ำ แต่ก็ไม่ถึง 8%เลยไม่ได้" เชื่อมั้ยครับว่ามี คนเรียนครู 4 ปีมามากมาย แต่ขอใบประกอบวิชาชีพครูไม่ได้ ต้องเทียบโอน สอบมาตรฐานอีก<<< จะบ้าหรอ พวกเขาก็เรียนครูมานะ อีกจะรุ่นก่อนปี47ก็เถอะ เห็นมั้ยครับ ว่ามันแล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำกันมา ผมเนี่ยโชคดี เอนท์ทรานก็เกือบรุ่นสุดท้าย ป.บัณฑิตก็เกือบรุ่นสุดท้าย ปล. ขอโทษนะครับถ้านอกเรื่องไป จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:51:35

ความคิดเห็นที่ 82 แต่คุณ PaBo  เรียกผมว่าคุณอาสุดเดียวดายนะครับ ฟังแล้วอิ่มใจดีนะ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:59:15

ความคิดเห็นที่ 83 คห.79 ครูในระบบ มันก็มี 2 ระบบเลยนะคะ ระบบรัฐ กับ ระบบเอกชน ไปเจอระบบรัฐแล้ว ละเหี่ยใจมาก เป็นฝึกสอน.. บ่อยนักที่ถูกทอดทิ้ง ให้เรารับช่วงแทนแบบยิงยาว แต่ครูในระบบที่ดีๆ ก็มีนะคะ.. แต่เห็นงานอื่นที่เป็นงานเอกสาร เราก็จึงเข้าใจว่า.. มันเพลียทั้งใจและกายจริงๆ นะ เหมือนจ้างมาเป็นครูที่ทำงานเอกสารเยอะๆ พอได้สัมผัส ได้ลองไปฝึกระบบเอกชนกัน พบว่า เอกชนไทย เหนื่อยกว่ารัฐ แต่ค่าตอบแทนก็สมกับที่ทำงาน และพบว่า ระบบเอกชนนานาชาติ.. เป็นโรงเรียนในฝันจริงๆ ~ ~! แต่ถ้าเราจะแก้ปัญหาใหญ่ในสังคม ก็คงต้องเป็นในระบบรัฐแหละค่ะ.. และถ้าเป็นได้อยากให้อุดมการณ์มันกินได้นะคะ.. จะได้แก้ปัญหาสังคมกับปากท้องพร้อมๆกัน.. ครูสอนพิเศษ ก็เป็นตามนั้นเลยค่ะ แก้ได้นะ แต่แก้เป็นรายบุคคล และประโยชน์จะตกที่ครูเยอะกว่าเด็ก คห.80 ฮ่าๆๆ ได้ค่ะ หนูก็ชอบพานอกประเด็นไปเยอะ ถ้าหนูออกทะเลไปไกล ดึงหนูกลับมาคิดใหม่ด้วยนะคะคุณพี่ เผื่อจะเอาไปสะกิดให้เขาตะหงิดกันในคณะบ้าง จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 21:59:46

ความคิดเห็นที่ 84 คห.81 งั้นเรียกคุณรัตนลาวัณย์ ว่าพี่ละกันค่ะ จริงๆ แล้วแอบเคืองนะ ที่เขาปรับระบบแบบนี้บ่อยๆ เหมือนเอาเป็นหนูทดลองยังไงชอบกล.. สุดท้ายแล้วสิ่งที่คนเป็นครูอดคิดและเปรียบเทียบไม่ได้เลยนะ.. คือ ค่าตอบแทนที่เขาติดประกาศ ตอนรับสมัครครูนั่่นแหละ วันก่อนไปดูประกาศที่คณะมาค่ะ เห็น ป.ตรี เงินเดือน 8พัน ไม่ก็เหยียบ 9พันต้นๆ ป.โท เงินเดือน หมื่นหนึ่ง ไม่ก็เหยียบ หมื่นสอง ยังเอามาคุยกับเพื่อนว่า.. เรียนป.โท เสียกันหลายแสน.. แต่มันให้เราเพิ่มนิดเดียวเองนะ T,T แอบเศร้าใจเลยค่ะ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะ ว่าเราก็อยากนับเงินปลายเดือนที่มากกว่า 4 หลักเหมือนกัน >< ป.ล. อันนี้หนูว่าหนูนอกเรื่องแล้วค่ะ ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:07:41

ความคิดเห็นที่ 85 ลุง เอ๊ย ไม่ใช่ อา เอ็ยไม่ใช่ พี่ว่านะ.. เรื่องการคงอยู่ของราชภัฎหรือเดิมเรียก วค.ว่าจะยังคงมีอยู่หรือไม่นั้น ต้องถามกลับไปว่า ถ้ายุบไปแล้ว สถานที่อาคารและเงินทุนที่ลงไปหลายหมื่นล้านคิดให้ละเอียดทั้งหมดอาจจะมากกว่านั้นจะทำอย่างไร ยุบคงไม่ใช่ แต่น่าจะผลิตสาขาที่ขลาดแคลนหรือทำอะไรได้มากกว่านี้ ขอชมว่า ราชภัฎบ้านจอมบึง(ราชบุรี)เขาก็พยายามเปิดคณะวิศวะฯเช่นนี้เป็นต้น หลายวิชา ม.เอกชนเขาก็เปิดสอนกันได้ เหตุใดราชภัฎจึงไม่ up ให้สอนได้อย่างเขา เช่น สัตวแพทย์ แพทย์ บัญชี ฯลฯ ส่วนจะให้ยุบคณะของหนูหรือไม่นั้น จึงไม่สำคัญ ..  สิ่งสำคัญคือ การเปิดกว้างให้ทุกคนมาเป็นครูได้ หากมั่นใจว่าคณะของหนู แข็งและมีวิชาการแน่น จะกลัวไปใย สอบที่ไหนเราก็หนึ่งในตองอู ไม่ใช่ใช้กฎหมายกุดหัวสถาบันอื่น...  ความเป็นครู นอกเหนือจากวิชาการแล้ว จิตวิญญาณจะต้องมีแน่นอน แต่หลักสูตร 5 ปีหรือ 6 ปี มันเป็นยาวิเศษให้คนมีจิตวิญญาณครู คุณธรรมขึ้นมาทันทีเลยหรือไม่ ไม่มีใครรับประกันหรือกล้ารับประกันได้ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:17:13

ความคิดเห็นที่ 86 ได้ครับน้องเป็ดน้อยฯ ปัญหาจะยุบ ไม่ยุบ ครูเก่ง ไม่เก่ง ใบประกอบมีหรือไม่? ปัญหาคือ ครูไม่เพียงพอจริงๆนะครับ และปัญหาหนักของผม คือ"เด็กนักเรียนครับ" ซึ่งการสอนมีผลต่อพวกเขามาก ต้องรู้อะไรๆหลายๆอย่าง สำหรับผมผมเห็นว่า "การจัดการบริหารในห้องเรียน"เป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับความเป็นครู ปล. นอกเรื่องอีกแล้ว จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:19:38

ความคิดเห็นที่ 87 โลกตะวันตกกับตะวันออก อาจมีบางอย่างต่างกัน ข้อดีของเขาก็มีตรง ทุกอย่างเปิดกว้าง ไม่กีดกัน ใครทำดีก็ได้ผลดี ทุกอย่างขึ้นกับผลงาน เป็นครูผิวดำ หรือเอเซียก็สอนคอเคเชี่ยนได้ ความเคารพนับถือ(กับความเชื่อฟังเกรงกลัวคนละประเด็นกันนะ)เขาก็มีให้กันในระดับหนึ่ง ทุกอย่างพูดคุยกันได้โดยเหตุผล เถียงกันหน้าดำหน้าแดงระหว่างครูกับนักเรียนก็ได้..ใจผมเองตรงนี้ก็มีส่วนดี ของเราก็มีส่วนดีตรงความเคารพบูชา แต่ข้อเสียก็มีนะ..สรุปไม่น่าเป็นประเด็นหลัก จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:28:46

ความคิดเห็นที่ 88 แล้วถ้าเราเปลี่ยน.. หลักสูตรของ วค. ให้มันแข็งขึ้น ดีขึ้น มันจะไม่แก้ไขได้ตรงจุดกว่าเหรอคะ? ในเมื่อเขาก็เป็นวิทยาลัยครูมาก่อน.. บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการที่มองว่า ควรยุบเขา.. หนูมองว่า ถ้าเราทำให้มันเข้มขึ้น.. ทำให้แข็งขึ้น.. มันน่าจะดีกว่าไหมคะ?? แต่ในวงการการศึกษา ก็เป็นที่รู้กันว่า แต่ละสถาบันที่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิชาชีพครู แต่ละแห่งก็จะมีความแข็งที่ไม่เหมือนกัน อย่างสถาบันเรา เราเป็นสถาบันวิชาการก็จะเข้มเลยวิชาการ (แต่เรียนอย่างเยอะ.. แบบบางวิชาซ้ำซ้อน เศร้ามาก = =!) สำหรับหนู หนูมองว่า วค. เขาก็เน้นในการปฏิบัติมากอยู่นะคะ เพียงแต่ถ้าเสริมเรื่องของการปรับ การพัฒนา บางอย่างไปในตัวหลักสูตร มันจะทำให้ช่วยผลิตครูดีได้นะคะ.. เอ่อ.. แต่การสอบเข้าก็เป็นอีกเรื่องนึง.. อยู่ที่ว่าเราให้ความสำัคัญกับความรู้ ณ เริ่มต้นขนาดไหน สำหรับหนู ตอนเข้ามหาวิทยาลัย เหมือนไปเรียนใหม่ทุกๆ อย่างเลย จึงคิดว่า การปรับปรุงหลักสูตรให้เข้มขึ้น น่าจะเป็นการแก้ที่ดีกว่า (หรือเปล่า์์??) แต่จะแก้เรื่องนี้ ต้องให้ตัวเองมีอำนาจในการจัดการด้วยนะ.. ดูไกลตัวจังใช่ไหมคุณลุง? งืมงัมๆ พี่รัตนลาวัณย์ หนูว่า ปัญหาของครูทุกคน คงเป็นเรื่องของเด็กนักเรียนทั้งนั้นแหละค่ะ การจัดการชั้นเรียน.. สำคัญมาก (เห็นด้วย!!!~) และเป็นเรื่องยากมาก (จริงๆ) จริงๆ แล้วน่าจะมีบอร์ดให้ครูแชร์ประสบการณ์ การสอน อะไรแบบนี้นะคะ (หรือมี แต่หนูไม่รู้จักก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ) มันช่วยได้เยอะเลย.. เพราะบางอย่างเด็กบางคนต้องใช้วิธีนี้ อีกคนต้องอีกแบบ.. เป็นเรื่องของความหลากหลาย ความแตกต่างระหว่างบุคคลอีกแหละ มีคนบอกว่า คนเก่งน่ะบางคนสอนไม่เป็น แต่บางคนไม่เก่ง แต่ดันสอนคนเป็น แต่ความไม่เก่งมันพัฒนากันได้นะ หนูว่า แต่ไอเรื่องการถ่ายทอด มันต้องอาศัยประสบการณ์ด้วย ฮ่าๆๆๆ จริงๆ เรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้นะคะ.. พอพูดปัญหานี้ละ นอกเรื่องไปยาวเลย ฮ่าๆๆๆๆ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:38:56

ความคิดเห็นที่ 89 ผมจึงเห็นว่า การออกกฎ ให้ต้องเรียน 1 ปี หรือมีใบ ป.บัณฑิตอะไรนี่ เป็นการกีดกัน แบ่งแยกสังคมการศึกษาและแบ่งแยกคนไทยอย่างโจ่งแจ้งที่สุดเลยนะครับ.เอผมไม่แน่ใจว่าผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 4 หรือป่าวนีะ ลองเอาไปคิดเล่นๆดูนะครับ                   รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ < มาตรา ๔ ศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง.. จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:45:50

ความคิดเห็นที่ 90 จริงๆ แล้วหนูพอจะจับได้ว่า เรื่องจริตหน่ะ.. อาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญของความเป็นครูในสายตาของคุณลุง ถูกป่าวคะ? แต่ในความเก่งเนี้ย.. จำเป็นต้องทัดเทียมนะ.. ใช่ป่าวคะ? ขอเน้นย้ำ เพื่อความแน่ใจค่ะ จะได้ไปต่อ แหะๆ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:46:10

ความคิดเห็นที่ 91 ผมงงตรงนี้ครับ คือนักเรียนไทย  ประมาณหยาบๆว่าชั้นเรียนละ 200,000 คน  12 ชั้นเรียน = 2,400,000 คน สมมติ นักเรียน 20 คน ต่อครู 1 คน  ดังนั้นต้องใช้ครู 2,400,000/20 = 120,000 คน ปัจจุบันเรามีครูอยู่กี่คนครับ  สมมติว่ามี 120,000 คน  แบ่งเป็น 12 รุ่น   ตกรุ่นละ 120,000/12  = 10,000 คน ประมาณว่าเกษียณ ปีละ 10,000 คน   ก็จะมีตำแหน่งให้ครูบรรจุใหม่ 10,000 คน + 10 % ต่อปี คราวนี้ท่านใดมีข้อมูลบ้างครับว่าขณะนี้เรามีครูที่ตกงานอยู่ประมาณกี่คน และสถาบันต่างๆในประเทศขณะนี้ผลิตครูได้ปีละกี่คน ถ้าตอบโจทย์ตรงนี้ได้  เราก็น่าจะหาคำตอบ หรือที่มาของกติกาต่างๆที่เกิดขึ้น เช่นทำไมต้องให้เรียนเพิ่มอีก 1 ปี หรือ.......อะไรต่างๆนานา หรือเทคโนฯปัจจุบัน  ไม่สามารถที่จะหาคนที่เป็นครูที่มีคุณภาพและคุณสมบัติที่เหมาะสม ก็จะได้ค้นสาเหตุ  และเสนอแนะทางออกกันต่อไปครับ จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:50:26

ความคิดเห็นที่ 92 ฮ่าๆๆๆ แต่หนูกลับคิดว่า ควรจะมีนะคะ.. เพราะมันเป็นเรื่องของวิชาชีำพด้วยอย่างหนึ่ง.. ถ้ามองว่าการสอนไม่ใช่สิ่งที่เป็นวิชาชีพ.. ประเด็นนี้ก็ตกไปได้ แต่สำหรับหนูมันเป็นเรื่องของวิชาชีำพจริงๆ นะ และ ในเรื่องการเรียนที่ให้เพิ่มอีกปี 1 น่าจะเป็นการเรียนอะไรเพิ่มสักอย่าง บวกการฝึกประสบการณ์ไปในตัว อืม.. ไว้ขอหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนี้ก่อนอีกทีนะคะ แต่อย่างพวกหนู ต้องไปฝึกประสบการณ์ 1 ปี บวกทำวิจัยในชั้นเรียน ซึ่งต้องมีไว้ไปยื่นขอใบประกอบวิชาชีพด้วยอ่ะ.. ถ้ามันไม่มีป.บัณฑิต พวกหนูก็ไม่จำเป็นที่ต้องฝึกสอนและทำวิจัยเหมือนกันหรือเปล่า?? (เพื่อความเท่าเทียม แหะๆ) จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:55:21

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านกระทู้อย่างละเอียด ขอแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลในฐานะครูคนหนึ่งที่เรียนจบจากคณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ ที่สมัครเอนท์มาเรียนคณะนี้ด้วยความเต็มใจตั้งแต่แรก ทั้งๆ ที่ความสามารถของเราจะไม่หยุดแค่การเป็นครูก็ได้ (ไม่ได้อวยตัวเองนะ แต่เราเป็นอีกคนที่เอนท์รอบแรกได้อักษร แต่ไม่เอา ขอเรียนครูดีกว่า เพราะมุ่งมั่นมาตั้งแต่ ม.4)  เราไม่ขอพาดพิงถึง คห ใดๆ แต่อยากมาเล่าประสบการณ์ว่าคนที่เรียน "ครู" นั้นเขาต้องเรียนอะไรบ้าง และทำไมถึงต้องมีคณะ ครุศาสตร์/ศึกษศาสตร์ ในประเทศไทย หลักสูตรที่เราเรียนนั้น แรกเริ่มเดิมที ตอนเราอยู่ปี 1 จะได้เรียนวิชาพื้นฐาน (วิชาภาษาอังกฤษและวิชาพื้นฐานทางการศึกษาต่างๆ) และที่เราคิดว่าสำคัญมากๆ ต่อนักศึกษาก็คือวิชาจิตวิทยาการศึกษา วิชานี้จะว่าด้วยการใช้ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาเพื่อการจัดการในชั้นเรียน การรับมือกับนักเรียนที่สภาพจิตใจหรือพฤติกรรมที่ไม่เสถียร หรือพูดโดยรวมก็คือ classroom management นั่นเองค่ะ พอมาปี 2 ก็จะเริ่มเจาะลึกวิชาภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยมากก็จะเป็นเรื่องของภาษาอังกฤษเพื่อวิชาการ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ฯลฯ และวิชาอื่นๆ ก็จะมีวิธีสอนทั่วไป การแนะแนวเบื้องต้น สถิติเพื่อการวิจัยทางการศึกษา หลักและระบบการจัดการศึกษา การผลิตสื่อการศึกษา ซึ่งวิชาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์และจำเป็นต่อการเรียนครูทั้งสิ้นค่ะ (ยกมาเฉพาะวิชาที่เราเห็นว่าสำคัญนะคะ ความจริงยังมีอีก) ปี 3 เนี่ยต้องเรียนพวกการวัดและประเมินผลทางการศึกษา รวมถึงการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรซึ่ง 2 อันนี้สำคัญมากๆ เพราะผู้ที่เรียนครูทุกวิชาเอกจะต้องเรียนทุกคน ส่วนวิชาเอกก็จะเกี่ยวกับวรรณดีอังฤษและการประยุกต์ใช้เพืื่่อการสอน การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสอน (CAI) วาทการภาษาอังกฤษสำหรับครู และอีกเยอะแยะค่ะ ส่วยมากจะเน้นเรียนเพื่อรู้ให้ลึกซึ้ง เมื่อรู้แล้วต้องนำไปประยุกต์ใช้ในการสอนให้ได้ ปี 4 เทอม 1 เน้นวิชาเอกมากๆๆๆ เพราะต้องเตรียมตัวฝึกสอนตอนปี 4 เทอม 2 ค่ะวิชาที่เรียนก็จะเน้นไปที่กระบวนการจัดการเรียนการสอนแล้ว เช่นประเด็นและแนวโน้มการจัดการสอนภาษาอังกฤษตามทฤษฏีต่างๆ (มีหลายทฤษฏีมาก) วิธีสอนภาษาอังกฤษ กิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษ(คนละอย่างกับวิธีสอนนะคะ อันนี้จะเน้นพวก creative activities for teaching English ค่ะ) รวมถึงการเขียนแผนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ส่วนวิชาอื่นๆ ที่สำคัญก็คือการวิจัยในชั้นเรียน ที่ต้องเรียนวิชานี้เพราะเวลาออกไปฝึกสอนทุกคนต้องทำวิจัยในชั้นเรียนคนละ 1 หัวข้อภายในระยะเวลา 1 ปีค่ะ ปี 4 เทอม 2 ถึง ปี 5 เทอม 1 ก็ออกฝึกสอนค่ะ เป็นหนึ่งปีที่หนักหนาสาหัสมากสำหรับนักศึกษาฝึกสอนอย่างเรา เพราะต้องเขียนแผนการสอน (ไม่ใช่เขียนปุ๊บเอาไปใช้ได้้เลยนะ ต้องเอาไปให้ advisor กับครูพี่เลี้ยง edit ก่อน แล้วนำกลับมาแก้ไข ถึงจะเอาไปใช้สอนจริงได้)  ต้องผลิตสื่อ เตรียมการสอน ทำวิจัยในชั้นเรียน คือทำเอวรี่ติง จิงกาเบลมากกกก แต่การที่ได้ฝึกสอนแบบเข้มข้น 1 ปี ทำให้เราเรียนรู้งานในระบบโรงเรียนที่นอกเหนือไปจากการสอนอีกเยอะแยะ และวิชาจิตวิทยาที่ได้ร่ำเรียนมาก็ต้องงัดออกมาใช้กับนักเรียนตอนฝึกสอนเพื่อรับมือกับนักเรียน รู้เลยว่าทุกวิชาที่เรียนมาทั้งหมดมันส่งผลมาตอนที่เราฝึกสอนนี่เอง ส่วนปี 5 เทอม 2 ก็กลับมาเรียนที่คณะเป็นเทอมสุดท้ายเพื่อสัมมนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการฝึกสอน ปัญหาที่พบ แนวทางการแก้ปัญหาและพัฒนาการสอนในอนาคต ฯลฯ ส่วนวิชาเอกก็จะเป็นวิชาที่ช่วยเพิ่มพูนทักษะภาษาอังกฤษสำหรับครู เช่น การแปล การเขียนเชิงวิชาการขั้นสูง การพูดภาษาอังกฤษระดับสูง เป็นต้น จะเห็นได้ว่าเวลา 5 ปี ที่นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์อย่างเราได้ร่ำเรียนมา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและจำเป็นต่ออาชีพ "ครู" ภาษาอังกฤษอย่างยิ่งทั้งในด้านทักษะการสอนและทักษะการใช้ภาษาอังกฤษขั้นสูง (วิชาเอกอื่นเช่นไทย คณิตฯ ไม่ขอพาดพิงนะคะ เพราะเราไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่) คนที่เรียนจบอักษร ศิลปศาสตร์ หรือมนุษย์อิ๊ง อาจจะเรียนภาษามาแน่นปึ๊กก็จริง แต่ทักษะทางด้านกระบวนการจัดการสอนอาจจะเป็นรองคนที่จบมาทางด้านครูโดยตรงอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะไม่ได้เรียนทฤษฎีการสอนและวิธีเขียนแผนการสอนยังไงให้สอดคล้องกับหลักสูตรและทฤษฏีการจัดการสอนก็เป็นได้ (อันนี้ คหสต ล้วนๆ นะคะ) ท่านใดที่ได้อ่านความเห็นของเราแล้วก็ขอให้พิจารณาดูว่าควรจะยุบคณะเหล่านี้อยู่อีกไหม เราไม่ได้กีดกันเรื่องการสอบบรรจุครูอย่างเสรีนะ กลับเห็นด้วยด้วยซ้ำ  แต่เราก็ขอค้านเต็มที่ถ้าจะมีการยุบคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ สิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่งแทนการยุบคือการเข้าไปตรวจสอบมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เปิดคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เกลื่อนกลาดเต็มเมืองอยู่ทุกวันนี้ มีการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาอย่างมี "ประสิทธิภาพ" หรือไม่ต่างหาก จากคุณ : ลูกปิงปองสีชมพู เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:58:04

ความคิดเห็นที่ 94 อย่าลืมหาสถิติการทำงานในสายอาชีพนี้ด้วยนะคะ เพราะ มีหลายคนที่จบครู แต่ไม่ทำงานในสายอาชีพนี้นะ งืมๆ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:58:10

ความคิดเห็นที่ 95 พี่ลูกปิงปอง 93 นี่แหละๆๆ ใช่เลย ชีวิตเด็กครุ-ศึกษา Y.Y จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:00:34

ความคิดเห็นที่ 96 คุณ cheychai  คห ๗๘ (จะให้เรียกพี่หรืออาดีคะ?) ดิฉันออกตัวเป้นฝ่ายค้าน อย่างก่ำๆกึ่งๆมาแต่แรกแล้ว เห้นดีด้วยครึ่งกลางๆมาแต่แรกด้วย แต่คุณเข้าใจถูกแล้ว และดิฉันก็เข้าใจไม่ผิด (เอ๊ะ หรือผิดเนี้ย) และอยากจะมาค้านแต่แรก แต่ตอนแรกนั้นสองจิตสองใจ เพราะตอนนี้สถานการณ์จริงมันย่ำแย่ เพือความชัดเจน และเพื่อให้เปิดตัวเป้นฝ่ายค้านได้อย่างกระจ่าง ดิฉันเห็นอย่างนี้ ๑) เห็นด้วยกับกระทู้นี้ในส่วนว่า "มันกีดกันคนเก่ง คนจบครู(บางส่วน)ไร้คุณภาพ ปอบัณฑิตยิ่งไร้คุณภาพ" ๒) แต่ไม่อยากให้เลิก "ใบประกอบวิชาชีพ" ก))เพราะมันเป้นรางวัลอย่างเดียวในฐานะที่เลือกเรียนครู ที่ปกติก็โดยดูถูกว่าโง่กว่าคณะอื่นอยู่แล้ว (แต่ตุเชื่อมั่นว่าตูและเพื่อนมีคุณภาพเฟ้ย) ข))มันเป้นหลักฐานในการเพิ่มเงินคุณภาพชีวิตบางส่วนได้อย่างเป้นรูปธรรม ด้วยค่านิยมมันแย่ มีใบนี้จะพอประกันได้บ้าง ๓) เสนอให้เปิดเสรี ในแง่การสอบเอาใบประกอบ(ส่วนเรื่องการสอบบรรจุเนี้ย ดิฉันไม่เห็นสำคัญนะที่สุด ครุบางคนอย่างดิฉัน และเพื่อนไม่ได้อยากเป้นครูราชการ แต่เลือกเป้นครุ สช ดีกว่า-แต่เข้าใจว่ามันสำคัญสำหรับประเด้นนี้ด้วย จะหาข้อมุลเพื่อการถกกันต่อไปค่ะ) อาจไม่จำเป้นต้องมีหลักสุตร ปอบัณฑิตสำหรับคนไม่จบสายครู แต่ให้คณะครุศาสตร์ที่มีอยู่แล้วเปิดอบรมเฉพาะวิชาที่ต้องสอบเอาใบประกอบ ส่วนฝึกสอนนั้นให้โอกาสเข้าไปเป้นอัตราจ้างตามดรงเรียนทั่วไปอยู่แล้ว (ซึ่งแบบที่ว่านี้ มันก็คงมีอยุ่แล้วบางส่วน แต่ครั้งนี้มันต้องการคนทำและระบบที่ดีกว่านี้) ๔)อาจพิจารณาว่าคนจบครู พื้นฐานความรู้ด้านวิชาการอื่นๆอ่อนด้อยกว่ากลุ่มสายตรง ข้อน้ันควรจัดให้มีการสอบมาตรฐานที่ควรสอบและออกข้อสอบด้วยนักวิชาการสายนั้นดดยตรง แต่มันอาจมีตุกติกอีก ก็ควรให้คนที่เรียนครูที่ว่า สอบข้อสอบเด็กในระดับตัวเองให้ผ่านเกณฑ์ให้ได้ด้วยนั่นแหละ (ผลที่เด็กประถมอย่างไม่ชัด แต่มัธยมนี่ชัดแน่ๆ) ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว จะได้มาถก(ไม่ใช่ผ้าถุงนะ)กันต่อไป ดิฉันหวังว่าว่า จะมีพรรคฝ่ายค้านอย่างไม่เป้นทางการเพิ่มขึ้น คือ น้องเป็ดน้อยลอยชาย และคุณพี่รัตนลาวัณย์นะคะ (อันนี้บ่นเอง หวังว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ได้ยิน ๕๕ มั่วมากเดี๋ยวจะหกปีอีกแล้ว ทำไมไม่เอาที่มีให้มันดีสุดๆ ก่อนไปฟ่ะ เท่าที่กระตุกกระติกกันอยู่เนี้ย ไม่ทำตัวไร้สาระอย่างที่คณะอื่นสาขาอื่นเขาว่าหรือไง อยากทัดเทียมหมอก็ทำตัวเองให้ดีก่อนเซ่ ส่วนตูที่จบห้าปีมาไม่สนใจแล้วววโว้ย เรียนโทเองได้) ขออภัยต่อ ภาษาที่อาจพิมพืผิดหรือตกหล่น คีย์บอร์ดแย่มากตอนนี้ และไม่ได้ตรวจความถูกต้องคะ   คุณอาสุดเดียวดายจริงๆน่าจะใจดีนะคะ แม้ที่ผ่านๆมาในหลายกระทู้จะดูเป็นคน"แนว"มาก ตามภาษาวัยรุ่นตอนนี้ก็เถอะ จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:04:02

ความคิดเห็นที่ 97 น้องเป็ดน้อยลอยชาย ข้อมูลพี่ปึ๊กเพราะลงทุนไปค้น transcript มาเลยทีเดียว เพราะถ้าจะถกประเด็นอะไรแล้วต้องมีข้อมูลที่มีที่มาที่ไปชัดเจนจ้า เอาความรู้สึกมาพูดล้วนๆ มันไม่ได้ จากคุณ : ลูกปิงปองสีชมพู เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:05:36

ความคิดเห็นที่ 98 อ้าว เฮ้ย ตามไม่ทัน แต่แว่วว่ามีพรรคฝ่ายค้านเพิ่ม คือ คุณลูกปิงปองสีชมพูแฮะ คห ๙๗ ดิฉันไปกางทรานสคริปต์บ้างดีไหม ช่วยๆกัน แต่ประเด็นของกระทู้นี้ น่าจะยังไม่ถึงขั้นยุบคณะของพวกเรานะ น่าจะยังอยู่ที่ขั้น "ใบประกอบวิชาชีพ" สำคัญจริงหรือไม่ ใช่ไหมคะ คุณอาสุดเดียวดาย คุณพี่cheychai แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 23:10:09 จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:05:44

ความคิดเห็นที่ 99 เฮ่อ ๆๆ คุณลูกปิงปองสีชมพู สอนน้องด้วยคำเปรยที่ดีมากครับ ยอมรับ ยอมรับ น้องเป็ดน้อยฯว่าไง จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:07:58

ความคิดเห็นที่ 100 พี่ PaBo หนูก็เห็นตามนั้นนะคะ เรื่องคุณลุง ฮ่าๆๆๆ หนูเข้าใจว่าคุณลุงอยากให้มันเป็นรูปธรรมมากขึ้น ถึงค้านมันขึ้นมาด้วยหรือเปล่าคะ? เพราะจริงๆ หนูก็หมั่นไส้เบื้องบน ที่เล่นทำดีซะเหลือเกิ๊น.. เหมือนเห็นปัญหา เหมือนสร้างภาพให้เห็น แต่ที่เห็นมันเป็นภาพน่ะ สัมผัสไม่ได้สักที เฮ้ออออออ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:10:34

ความคิดเห็นที่ 101 "ท่านใดที่ได้อ่านความเห็นของเราแล้วก็ขอให้พิจารณาดูว่าควรจะยุบคณะเหล่านี้อยู่อีกไหม เราไม่ได้กีดกันเรื่องการสอบบรรจุครูอย่างเสรีนะ กลับเห็นด้วยด้วยซ้ำ  แต่เราก็ขอค้านเต็มที่ถ้าจะมีการยุบคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ สิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่งแทนการยุบคือการเข้าไปตรวจสอบมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เปิดคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เกลื่อนกลาดเต็มเมืองอยู่ทุกวันนี้ มีการจัดการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาอย่างมี "ประสิทธิภาพ" หรือไม่ต่างหาก" กด like เอ้ย เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:12:41

ความคิดเห็นที่ 102 อืมมม.. ไม่ว่าไงเลยค่ะ น้อมรับทุกอย่าง ฮ่าๆๆๆ หนูก็เรียนคล้ายๆ กันกับพี่ปิงปองเลย (หมายถึงตีมหลักๆ เหมือนกัน) แต่เรื่องตัวรายวิชา ต่างกันค่ะ เพราะเรียนกันคนละสาขา หนูเรียนปฐมวัย.. อยากกางรายวิชามาให้ดูบ้าง แต่มันดูเด็กน้อยๆ นะ ชื่อวิชาสาขาของหนู แหะๆ จากคุณ : เป็ดน้อยลอยชาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:14:25

ความคิดเห็นที่ 103 หัวข้อกระทู้เราตั้งประเด็นไว้ที่ ใบ ป.ประกอบวิชาชีพครับ  เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดครับ เรื่องอื่นไม่มีผลเอาเลยเมื่อเปรียบกับเรื่องนี้ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:19:12

ความคิดเห็นที่ 104 คุณปิงปองนี่เหมาะสมกับที่เป็นครูจริงๆนะ ผมชอบ เปรยสอนน้องได้นิ่มนวล สุภาพ ลึกซึ้งดีมาก เยี่ยมครับ ที่ไหนประสิทธิประสาทมาครับเนี่ย เยี่ยมจริงๆ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:23:09

ความคิดเห็นที่ 105 ขอบคุณค่ะคุณสุดเดียวดาย ตอนนี้เราก็เป็นครูเต็มตัวในโรงเรียนรัฐมาได้ 2 ปีแล้วค่ะ รู้เลยว่าเวลา 5 ปีที่ได้ร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยมันมีประโยชน์ขนาดไหน เราถึงอยากให้มองอีกมุมหนึ่งว่าคนที่เรียนครู ไม่ใช่เศษเดนจากคณะอื่นไปซะทุกคนค่ะ เมื่อมาเป็นครูแล้วก็ใช่ว่าจะหยุดตัวเองไว้แค่นั้น ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ให้ตัวเองเยอะๆ อาจจะเป็นการอบรม สัมมนา หรือแม้กระทั่งเรียนต่อ (ตอนนี้เราก็ต่อโทด้านการสอนภาษาอังกฤษอยู่ เรียนวัน ส-อ) พูดถึงประเด็นใบประกอบวิชาชีพ ในทัศนะของเราแล้วคิดว่าควรอย่างยิ่งที่ต้องมีต่อไป อาชีพอื่นมีได้แล้วทำไมครูจะมีไม่ได้ แต่การสอบใบประกอบวิชาชีพนั้นเห็นด้วยกับคุณ PaBo เป็นอย่างยิ่งว่าควรให้เปิดสอบแบบเสรีไปเลยเพื่อความแฟร์กับคนที่ไม่ได้จบครูมา เพราะเพื่อนๆ เราอีกหลายคนที่จบคณะดีๆ จากมหาวิทยาลัยดีๆ ก็อยากหันเหมาเป็นครูกันหลายคนเลยค่ะ แต่ประตูมัน(ดูเหมือนจะ)ปิดไปซะแล้ว เพิ่มเติม เราจบจากศิลปากรทับแก้ว ที่เลือกเรียนที่นี่เพราะบรรยากาศดี + คณาจารย์และหลักสูตรค่อนข้างเข้มข้นค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 23:25:20 จากคุณ : ลูกปิงปองสีชมพู เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:23:49

ความคิดเห็นที่ 106 ครับ ใช่ครับ เพราะมันจะปิด หรือปิดไปซะแล้วซิครับ ผมจึงคิดว่า ควรจะต้องยกเลิก.. ขอย้ำอีกครั้งว่า การปิดกั้น หาใช่เป็นสิ่งที่ดี ตรงกันข้ามกลับทำให้สังคม หรืองค์กรนั้นเสื่อมทรามลง  ที่ใดๆ..หากขังตัวเองหรือปิดกั้นโลกภายนอก รังแต่จะมีให้เห็นแต่ความเสื่อมถอย.. ที่ผมกล่าวมานี้ ใช่จะกล่าวร้ายผูัใดหรือสถาบันเป็นการเฉพาะ แต่เนื่องจากอนาคต ผมจะได้เก็บสำเนากระทู้นี้ไว้ให้ลูกๆหลานๆดูว่า เคยไฟทท์มาแล้วนะ จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:31:05

ความคิดเห็นที่ 107 มาอีกรอบเพื่อความชัดเจน 1. เราค้านเรื่องการยุบคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ แบบสุดลิ่มทิ่มประตู 2. เราเห็นด้วยอย่างยิ่งเรื่องการเปิดสอบใบประกอบวิชาชีพครูแบบเสรีไม่จำกัดคณะ ขอเสนอว่าคนที่ไม่ได้จบครูโดยตรงอาจต้องเข้ารับการอบรมอย่างเข้มข้นโดยหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการซะก่อนถึงจะสอบใบประกอบได้ (กำหนดระยะเวลาว่าไม่ต่ำกว่ากีวันกี่เดือนก็ว่าไป) คลายปมเรื่องใบประกอบวิชาชีพออกมาเพื่อให้เปิดกว้างสำหรับทุกคน พอเท่าเทียมกันเรื่องใบประกอบแล้วการสอบบรรจุแข่งขันมันก็เสรีไปโดยอัตโนมัติ ส่วนรายละเอียดขอไปหาข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางก่อนค่ะ ที่เขียนตอนนี้ใช้ความรู้สึกอย่างเดียวคงจะดูไม่หนักแน่นเท่าไหร่ แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 54 01:01:46 จากคุณ : ลูกปิงปองสีชมพู เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 23:34:10

ความคิดเห็นที่ 108 เอาจริงๆผมไม่สนใจเลยนะว่าจะยุบหรือไม่ยุบครุศาสตร์ (ถึงผมจะเอนเอียงข้างที่เก็บไว้ดีกว่ายุบก็ตาม) สิ่งที่สนใจกว่าคือต้องเปิดกว้างในโอกาสที่จะเข้ามาเป็นครูโดยมีหลักเกณฑ์ที่ไม่ล๊อก Spec. และในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มค่าตอบแทนครูเพื่อดึงคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามา เท่านั้นเอง จุดอ่อนที่สำคัญของคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์ คือการที่เปิดขึ้นมาเป็นจำนวนมากโดยต้องยอมรับกันว่าคุณภาพเฉลี่ยน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งมันมีผลต่อความเชื่อมั่น ถ้าจะเก็บเอาไว้ก็ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ถ้าที่ไหนพัฒนาไม่ได้ปิดไปผมก็ไม่เสียใจ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 00:56:24