ความคิดเห็นที่ 1 อืม ไม่ออกกำลังกายมันจะลงไหมครับเนี้ย มันต้องออกกำลังกาย คุมอาหารควบคู่กันครับ จากคุณ : taecu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 14:25:13

ความคิดเห็นที่ 2 ลดน้ำหนักโดยลดอาหารเพียงอย่างเดียวลดยาก ในทำนองเดียวกันออกกำลังอย่างเดียว+ไม่ลดอาหาร ก็ลดยาก ผมสังเกตในฟิตเนสหลายๆคน เล่นอยู่นานก็ไม่ค่อยเห็นผล จะต้องตั้งใจจริงๆ ทำให้ต่อเนื่องอย่าหยุด+ควบคุมอาหารด้วย อยากทราบว่า ใช้ยาลดน้ำหนักตัวไหน ?  จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 14:57:39

ความคิดเห็นที่ 3 พอดีผมสนใจ เรื่องนี้ ความคิดเห็นที่ 2  Ghrelin, Appetite & Weight Control นักวิชาการพยายามค้นหาคำตอบว่า อะไรทำให้เมื่อถึงเวลาอาหาร-คนรู้สึกหิว  และคนที่อดอาหารนานๆจนน้ำหนักลด ถึงกลับมาอ้วนตามเดิม คำตอบ:  โฮโมนตัวหนึ่งชื่อ Ghrelin เป็นตัวควบคุมให้คนรู้สึกหิว และ ระบบเผาผลาญทำงานช้า metabolism slow down และ fat-burn ช้าลง http://topicstock.pantip.com/isolate/topicstock/2010/10/M9838522/M9838522.html#2 แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 53 15:02:00 จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 14:59:30

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อก่อนนี้ทาน เม็ดสีชมพู ขาว แล้วมีอีก 2-3 เม็ด ยาระบายก่อนนอน ประมาณนี้ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว ประมาณ สองปีแล้ว เพียงแค่สงสัยว่าเป็นเพราะยารึเปล่าทำให้ไม่สามารถลดได้ไปมากกว่านี้ ทั้งที่งดอาหาร ออกกำลังกาย ถึงจะไม่ได้ทุกวันแต่ก็ทำน่ะค่ะ จากคุณ : mojisang เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 15:08:59

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่เห็นบอกว่า..ส่วนสูงเท่าไร..บอกแต่น้ำหนัก เลยไม่รู้ว่าน้ำหนัก 56 นี่ พอดีกับร่างกายรึเปล่า เคยได้ยินมานะ..ยาลดน้ำหนักน่ะ มันอันตราย ทานแล้วหลอน น็อคไปเลยก็มี ที่แน่ ๆ มีผลทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟค คือพอเลิกทาน จะกลับมาอ้วนมากกว่าเดิม ทีนี้ก็จะลงยากแระ การที่น้ำหนักของ จขกท. ไม่ลง น่าจะมีผลมาจากยาลดน้ำหนักนั่นล่ะครับ อายุที่มากขึ้น การเผาผลานพลังงานของร่างกายก็จะลดลง หรือระบบการเผาผลาญอาจจะเสียไปแล้ว เนื่องจากขาดกรออกกำลังกาย ทีนี้...พอไปออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักก็มักจะไม่ค่อยได้ผล จากคุณ : Diamond and The Gang เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 15:10:45

ความคิดเห็นที่ 6 แล้วถ้า เคยทานยาลดน้ำหนักมาก่อน   ---->ทำให้ระบบการเผาผลาญเสีย อยากทราบว่า  แล้วจะทำยังไง ให้ระบบเผาผลาญกลับมาเข้าสู่ปกติคะ? จากคุณ : เทวดามิคาเอล เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 15:40:23

ความคิดเห็นที่ 7 มีโฮโมนตัวหนึ่ง ที่ไปยึดครองสมองส่วนที่ควบคุมระบบการเผาผลาญ Metabolism ให้ทำงานช้าลง เช่น Resistin เจ้านี่ถูกผลิตจากเซลไขมัน วิธีแก้ ....เราต้องพยายามลดไขมัน  โดยออกกำลังในระดับ Fat-burn เมื่อเราลดไขมันได้แล้ว เซลไขมัน หรือ Adipose Tissue จะหันไปผลิตโฮโมนอีกตัวหนึ่งชื่อ Adiponectin  ซึ่งทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับ Resistin   กระบวนการ Metabolism ก็ดีขึ้น จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 16:05:59

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่สามารถลดได้ไปมากกว่านี้ ทั้งที่งดอาหาร ออกกำลังกาย >>>>>>>>>>>>>>>>> คำว่า อดอาหาร ผมถึงกับ "ชั่งอาหาร"  หาค่า Cals ต่อวัน ออกมาจริงๆ โดยทำง่าย ๆ ไม่ต้องเคร่งครัดลงละเอียดมาก 1) CARB คือ ขนมปังทุกชนิด 1 กรัม ต่อ 4 Cals 2) Protein จะเป็นเนื้อ ไข่ ไก่ อะไร คิด 1 กรัม ต่อ 4 Cals เท่ากันหมด แต่แนะนำใช้ขนมปังโฮลวีท และข้าวกล้อง เพราะมีค่า Glycemic Index ต่ำ (เรื่องนี้เล่าที่หลัง) 3) Fat  คิด 1 กรัม ต่อ 9 Cals ของผมต้องการ 1,800 1,900 Cals  ลองชั่งมาดูสักวัน แล้วจำปริมาณไว้ วันหลังไปกินข้าวแดงแกงร้อน ข้างถนน ก็ไม่ต้องหอบตาชั่งไปด้วย วิธีนี้ โภชนาการตาม รพ. เขาก็ทำอย่างนี้ ไม่ต้องปวดหัวคิดมาก เนื้ออก เนื้อน่อง ฯลฯ ตัวเลขจำยากเปล่า ก็ได้ผลในระดับหนึ่ง ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 16:14:06

ความคิดเห็นที่ 9  ขอโทษ หารูปเมนู อาหารไม่เจอ เอาง่ายๆ ข้าวสัก 2 ทัพพี ผัดกระเพาะถ้วยเล็กๆ โตกว่าไหว้เจ้าสัก 3 เท่า ก็ ผมใหญ่กว่าเจ้า  ... ทะลึ่ง นิดๆ จิตแจ่มใส + ออกกำลังกายทุกวัน ผมใช้วิธีปั่นจักรยาน วันละ 60 กก. 4 ชั่วโมง เช้า 2 เย็น 2 ชม. ไม่มีหยุด ขนาดฝนตกผมขี่ตากฝน  ในใจให้ถึงคำพูด สาวคนหนึ่ง "ผู้หญิง อย่าหยุดสวย" .... ตั้งใจทำจริงจังอย่างนี้ เดือนเดียวคุณลดไม่ได้ให้รู้ไป จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 16:19:45

ความคิดเห็นที่ 10  อยากบอกเรื่อง Glycemic Index ตัวนี้เขาเมียบกับค่าของน้ำตาล = 100 อะไรที่มีค่าใกล้เคียง 100 จะทำให้ "หิวเร็ว"  ข้าวกล้องมีค่า GI ต่ำ จึงต้องกิน ไม่ใช่แค่ควรกิน พอดูอย่างนี้ เราจะพบว่า Protein หรือพวกเนื้อสัตว์ค่า GI มันไม่มี ดังนั้น จากสูตรของ Dr Attkins ให้กิน High Protein and  No CARB ลองทำดู มื้อเที่ยงให้กินเกาเหลาชามเดียว "ห้าม" แตะข้าวเลย คุณอยู่ได้ถึงเย็น ไม่รู้สึกหิว แต่วันใดคุณเผลอทานข้าวสักนิดเดียว ถึงบ่ายๆ จะเริ่มกระวนกระวายโหยหาอาหารมาเติม(ความอ้วน) .....ไม่เชื่อลองดู นี่ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นความจริงที่ท้าพิสูจน์ได้ หมายเหตุ.... มีพรรค-มาร ฝ่ายค้าน ออกมาบอกว่า ถ้ากิน Hi-Protein & No CARB นานๆ จะทำให้เป็นอันตรายมีผลถึงทำอันตรายกับสมอง เพ้อเจ้อเลอะเทอะไปโน่น เพราะ คนพวกนี้ไม่มีความรู้ ... จึงไม่รู้ว่า Protein ก็คือ Hidden CARB ยามใดที่ร่างกายขาด CARB มันจะเกิดขบวนการเอามาทดแทน เรียกกระบวนการนี้ว่า Gluconeogenesis แปลว่า สร้างกลูโคสขึ้นมาใหม่  ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 16:30:15

ความคิดเห็นที่ 11 K TinyNu   ปั่นจักรยาน 4 ชั่วโมงบ้าไปแล้ว ทำได้ไง  เรา 1 ชั่วโมงก็จะตายแล้ว ปล เรื่อง กินคารโบ  แล้วหิวนี้จริงเลย   เรากินข้าวหมูทอดหรืออะไรที่แบบแป้งเยอะๆ เดี๋ยวๆ มันจะรู้สึกหิวอีก จากคุณ : เทวดามิคาเอล เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 16:50:04

ความคิดเห็นที่ 12  555  จริงๆ ผมขี่เช้า 2 ชั่วโมง ออกจากบ้านตี 5 กว่า กลับ 7-8 น. ทุกวัน ปั่นจักรยานนี่มันดีอย่างหนึ่ง คือ บังคับให้เราต้องปั่นให้ได้ตามเป้า ถ้าไม่ได้จะกลับไม่ถึงบ้าน ... ต่อมา เกิดข้อจำกัด เมื่อปั่นทุกๆวันกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ปั่นเร็วเท่าเดิม รอบขา 80 rpm เกียร์หนักสุด ความเร็วจะมาก ปั่นบนนถนนจะอันตราย ตอนนี้ผมถึงต้องเปลี่ยนไปเล่นฟิตเนสด้วย เพราะเครื่องมันเซต Load ได้กว้างขวางกว่า จักรยาน หมายเหตุ ....เรื่องปั่นความเร็วรอบนี้ ผมขออนุญาตยก  ให้เครดิต คุณ DoraeMew ที่สอนผม ขอขอบคุณ ครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 17:43:48

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่เข้าใจ ตรงที่ว่า ปั่นทุกๆวันกล้ามเนื้อแข็งแรง ปั่นเร็วเท่าเดิม รอบขา 80 rpm   --------->80  rpm  คืออะไรคะ?  แล้วกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นไม่ดีเหรอ จากคุณ : เทวดามิคาเอล เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 21:36:21

ความคิดเห็นที่ 14  พอปั่นจักรยานทุกวัน กล้ามเนื้อจะแข็งแรงกว่าเดิม ทำให้ออกแรงเท่าเดิม จะไม่มีเหงื่อ คือไม่เหนื่อยเท่าเดิม ...ก็ต้องเพิ่มโดยปรับเกียร์ให้หนักขึ้น จุดประสงค์ต้องการจะให้เหนื่อย พอจะทำให้หัวใจเต้นแรง การหายใจแรง จึงจะทำให้ FAT-burn ได้ผลครับ ตัวอย่าง เช่น คุณเคยแบกของหนัก 10 กก. พอแบกทุกๆวัน น้ำหนักแค่นี้เริ่มเบา คุณก็ไม่เหนื่อย ต้องเพิ่มน้ำหนัก จึงจะเหนื่อย จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 21:48:29

ความคิดเห็นที่ 15 80  rpm   >>>>>>>>>>>>> ปั่นให้ได้ 80 รอบต่อนาที  รอบที่ถีบ ถ้าคุณไม่มีเครื่องวัดรอบ ก็ใช้วิธีนับแบบนี้ เมื่อบรรไดรถ ลงล่างสุด ให้นับ หนึ่งพันหนึ่ง นับต่อไปเรื่อยๆ หนึ่งพันสอง ขาจะต้องถีบลงตำแหน่งล่างสุด .... ถ้าไม่ถึงก็เร่งปั่นให้เร็วขึ้น ฝึกทำสักพักเดียวจะทำได้คล่อง วิธีนี้จะนับได้ 60 รอบต่อนาที พอหัดคล่องแล้ว คุณก็เร่งให้เร็วอีกนิด จนได้ 80 rpm หรือ 90 rpm จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 21:53:50

ความคิดเห็นที่ 16 อ๋อ  เข้าใจแล้วค่ะ  ขอบคุณมากๆที่อธิบาย ตอนนี้เรากำลัง ไปฟิสเนตเข้าคลาส rpmเกือบทุกวัน     พอดีเห็น คุณ พูดเรื่องจักรยานเลยสนใจเป็นพิเศษ จากคุณ : เทวดามิคาเอล เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 53 22:30:44

ความคิดเห็นที่ 17 ได้ความรู้จาก คุณ TinyNu เยอะเลย ส่วนตัวแล้วไม่ได้เป็นคนอ้วน ส่วนสูง 163 น้ำหนัก 56 ก็มากกว่าเกณฑ์นิดหน่อย แต่เราอยากให้เหลือ 50 เพราะว่ามันคล่องตัวดี เสื้อผ้าที่ซื้อไว้ตอนช่วงผอมก็เยอะมาก เราไม่อยากซื้อใหม่ เลยคิดว่าจะหาทางทานอาหารที่มันเหมาะกับการทำงานของเรา แล้วเราก็ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายมากนะ พยายามเดินเรียกเหงื่อทุกวัน วันละ 20-30 นาที งดมื้อดึก ตอนนี้หันมาเริ่มทานมังสวิรัต คือเราลด carb ลงไปเยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าเราใส่กางเกง size L แล้วหลวม แต่น้ำหนักคงเดิม เลยคิดว่ากล้ามเนื้ออาจจะกระฉับขึ้นจากการเดินออกกำลังกาย จากคุณ : mojisang เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 53 14:31:36

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ TinyNu มาแล้ว ได้คำแนะนำเยอะค่ะ เราว่าจขกท.ก็ไม่ได้อ้วนมากมายนะคะ อย่าไปกังวลกับมันมากค่ะ ทำใจเย็นๆ อีกทั้งเวลาออกกำลังกายลองตั้งชีพจรเป้าหมายที่ 70% ของชีพจรปกติดูสิคะ จะอยู่ในช่วงการเผาผลาญไขมันค่ะ ลองหาในกูเกิลก็ได้ : target heart rate จะมีข้อมูลเยอะมากเกี่ยวกับชีพจรขณะออกกำลังกาย รวมทั้งออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก จะต้องออกอย่างน้อย 1 ชม.ค่ะ เพราะการออกกำลังกายในช่วงแรกนั้น ร่างกายจะใช้พลังงานจากน้ำตาลที่ก็บไว้ในร่างกาย ร่างกายของคนเราจะนำน้ำตาลมาใช้เป็นสิ่งแรก(ทั้งน้ำตาลในกระแสเลือดและส่วนที่ถูกแปรรูปเก็บเป็นไกลโคลเจนที่ตับ) กว่าจะหมดก็เอาเรื่องอยู่ค่ะ พอหมดแล้วร่างกายจึงจะค่อยๆเริ่มดึงไขมันมาใช้ รวมทั้งพยายามดื่มน้ำเยอะๆค่ะ น้ำจะเป็นตัวเร่งการเผาผลาญไขมัน(ตามทฤษฏี) ซึ่งอันนี่เราไม่แน่ใจว่ากระบวนการในร่างกายที่แท้จริงแล้ว มันจะใช้น้ำจากส่วนไหน ทั้งที่น้ำในร่างกายเราก็เต็มไปหมด แต่อย่างน้อยๆก็ดื่มไว้ก่อน ดีที่สุดหากมันมาหไปร่างกายก็จะขับออกมาเอง ตอนเริ่มลดน้ำหนักเราเองก็ประสบปัญหาเดียวกับจขกท.ค่ะ คือน้ำหนักเท่าเดิม แต่ตัวเล็กลงมันกระชับขึ้นค่ะ ออกกำลังกายต่อไปอีกสักหน่อย+เพิ่มความหนักแล้วมันจะลดลงค่ะ ตรงนี้จะเริ่มยากแล้ว มันไม่ค่อยลงง่ายๆแบบในช่วงแรก แต่พอลงแล้วต้องระวังให้มากนะคะ อันเนื่องมากจากไขมันที่ถูกใช้ไปนั้นเป็นเพียงแค่ไขมันค่ะ ตัวเซลล์ไม่ได้ถูกใช้ไป ร่างกายของคนจะเก็บไขมันในรูปแบบที่คล้ายๆถุงก๊อบแก๊บใส่น้ำมัน พอเราลดน้ำหนักลงก็เหมือนเอาน้ำมันในถุงไปใช้ แต่ถุงยังอยู่ ดังนั้นเวลาอ้วนขึ้นก็เป็นการเอาของใส่ถุงมันจะทำได้ง่าย จากคุณ : Adenin เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 53 11:00:18

ความคิดเห็นที่ 19 มาแชร์ด้วยคนครับ ผมสูง 170 เมื่อประมาณ ปีกว่าๆ น้ำหนัก 88 แต่สมัยเรียน แค่ 65 เอง ตั้งงหน้าตั้งตาลดอาหาร (จำกัดพวกแป้ง ไขมัน) พร้อมทานพวก แอลคาเนทีนครับ ปล้วออกกำลังกาย ด้วยการวิ่ง แบบ cardio วัด Heart rate ประมาณ 151 (แต่วิ่งจริงพุ่งไป 160 กว่า) 12 rpm วิ่งวันละ 30 นาที ทำแบบนี้อยู่ 3 เดือนลดไป 10 โล เหลือ 78 กว่าๆ แล้วเมื่เดือนก่อนหยุดเล่นไป ขึ้นมา 80 แล้ว ช่วงนั้นหน้าท้องราบลงจนสักเกตุเห็นครับ บวกกับเล่นเวทด้วย กล้ามสวย ตอนนี้ไขมันมาบังอีกแล้ว แต่เลิกทานยาไปแล้วนะครับ เลิกไปได้ 4-5 เดือนแล้ว ไม่มีตังค์ซื้อครับ จากคุณ : edenboy2522 เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 53 14:35:36