บทความ เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ นำมาโดย วิ meawki8
วันนี้วันพระ เอานิทานเซนมาฝากค่ะ วิก็เพิ่งอ่านครั้งแรกเหมือนกัน รู้สึกว่าดี เข้ากับพวกเรา ลดน้ำหนักมันต้องใช้เวลา ต้องสม่ำเสมอนะคะ ^^ อยากให้อ่านกันนะคะ
@@เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ@@
เหล่าลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ อาจารย์จึงพูดว่า วันนี้พวกเราจะเรียนเรื่องธรรมดาๆและง่ายที่สุด ให้ทุกคนแกว่งแขนไปข้างหน้าให้สุด แล้วแกว่งไปข้างหลังให้สุดเช่นกัน พระอาจารย์สาธิตให้ดู พร้อมกับกำชับว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้แกว่งแขนวันละ 300 ครั้ง ทุกคนทำได้หรือเปล่า ?
เหล่าลูกศิษย์รู้สึกสงสัยจึงถามว่า ทำไมต้องทำเรื่องอย่างนี้ พระอาจารย์ตอบว่า หลังจากทำเรื่องนี้แล้ว ผ่านไปหนึ่งปี พวกเจ้าจะรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ เหล่าลูกศิษย์คิดในใจว่า เรื่องง่ายๆอย่างนี้ ทำไมถึงจะทำไม่ได้
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน พระอาจารย์ถามเหล่าลูกศิษย์ว่า เรื่องที่อาจารย์สั่งให้ทำ มีใครยังทำอยู่หรือเปล่า? ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ยังตอบอย่างมั่นคงว่า ยังทำอยู่ พระอาจารย์รู้สึกพอใจ พยักหน้าบอกว่า ดีๆ
และเมื่อผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พระอาจารย์ก็ถามอีกว่า ตอนนี้ใครยังทำอยู่อีก ที่สุดก็เหลือเพียงครึ่งเดียวที่บอกว่าทำแล้ว
หนึ่งปีผ่านไป พระอาจารย์ถามทุกคนว่า "พวกเจ้าจงบอกซิว่า การออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนแบบง่ายๆ ยังมีใครยังคงทำอยู่ ? ตอนนี้มีเพียงคนเดียว ที่ตอบว่ายังคงทำอยู่
พระอาจารย์จึงพูดว่า อาจารย์เคยบอกกับพวกเจ้าว่า เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จ พวกเจ้าจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ ตอนนี้สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกพวกเจ้าคือ เรื่องที่ทำง่ายที่สุดในโลก บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำยากที่สุด เรื่องที่ทำยากที่สุด ที่บอกว่าง่าย เพราะขอเพียงยอมไปทำ ใครๆก็สามารถทำได้
และที่บอกว่าเรื่องง่ายทำยาก ก็เพราะว่า คนที่ทำได้อย่างแท้จริง ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนจะทำได้"
หลังจากนั้น พระรูปที่ทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อไป ในบรรดาศิษย์ทั้งหลายมีพระรูปนี้ที่ประสบความสำเร็จอยู่รูปเดียว
จากเว็บ http://www.dhammajak.net/zen/6.html ขอบคุณมาก ๆค่ะ
*******************
ข้อคิดจากพี่ยายหนู AK ค่ะ ^^
นิทานโดนใจจริงๆ เพราะยายหนูนี่แหละที่มีนิสัยชอบทำอะไรยากๆ
ประเภทที่ว่า ยิ่งยาก ยิ่งอยากทำ เนื่องจากมันท้าทายความสามารถ
พอมาลดความอ้วน ก็มักจะหาอะไรที่ยากๆมาทำเสมอๆ ในที่สุดก็ไปไม่รอด
กลับมาลดใหม่ เดือนแรกทำทีทำท่าเหมือนจะดี เพราะบอกกับตัวเองว่า
ค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยการควบคุมอาหารอย่างเดียว แต่พอเข้าเดือนที่สอง
เริ่มออกกำลังกาย ก็ค่อยเป็นค่อยไปอีก เดิน30นาที สัปดาห์ละ3-5วัน
พอเข้าสปดาห์ที่2 เริ่มเพิ่มมาเป็น 60นาที ทุกวัน และไม่กี่วันต่อมาก็เพิ่ม
เป็นเช้า60นาทีและเย็นอีก60นาที 7วันไม่หยุด ช่วงเจ๊แดงมาก็ยังอวดเก่ง
หยุดพักแค่วันมามากเพียงวันเดียว แล้วก็ต่อเช้า60 เย็น60นาที เหมือนเดิม
วันนี้โดนร่างกายต่อต้านจากการหักโหม เพราะคิดว่าการเดินแค่วันละ60นาที
มันน้อยเกินไป เดินมันเช้า-เย็น จะได้เห็นผลเร็วขึ้น ซึ่งในความเป็นจริง
ไม่มีใครสามารถเอาชนะธรรมชาติของร่างกายได้ เพราะมันเป็นกลไก
การทำงานแบบอัจฉริยะ เป็นระบบอัตโนมัติเพื่อความอยู่รอด
นิทานเรื่องนี้จึงเตือนสติยายหนูได้เป็นอย่างมาก ขอบคุณที่นำมาแบ่งปัน...
+++++++++++++++++++
นิทานจากพี่ยายหนู AK ค่ะ ดีมาก ๆ
พี่เค้าเอามาฝากพวกเราแล้ววิตามไปอ่านที่บล็อคมา ขอบคุณมากๆ ค่ะพี่ ^^
A Tale of Two Ladies
สำหรับเรื่องราวในวันนี้ จัดว่าเป็นหมวดของการให้กำลังใจ และทัศนคติที่ดีต่อการออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ต้นฉบับมาจากเว็บไซต์ของครูฝึก Pilate ฝรั่งท่านนึง ได้พิมพ์ไว้ คุณต๋อยเห็นว่าเป็นมุมมองที่มีแง่คิดที่น่าจะเป็นประโยชน์ จึงแปลมาแบ่งปันกันอ่านกับเพื่อนสมาชิกท่านอื่นได้อ่านกัน
กาลครั้งหนึ่ง
มีผู้หญิงสองคน ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาทั้งชีวิต พวกเธอพบและคบเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนชั้นประถม ทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาของความเป็นวัยรุ่นด้วยกัน แยกย้ายกันแต่งงานแต่งการ และต่างก็เป็นแม่ทูนหัวของลูกแต่ละคน
มิตรภาพของพวกเธอนั้นเรียบง่าย บางครั้งนานหลาย ๆ เดือนที่ไม่มีการโทรหากันเลย หรือบางครั้งนาน ๆ ที่จะนัดทานข้าวกัน แต่ทั้งคู่
ก็ยังมีกันและกันอยู่เสมอ
ชีวิตของแต่ละคนล้วนยุ่งวุ่นวาย แต่เมื่อพวกเธอมาพบเจอกัน กลับไม่เคยต่อว่าเรื่องที่หายกันไปนานหลาย ๆ เดือน แต่กลับหัวเราะต่อกระซิกกับคำถามที่ว่า
จำได้มั้ย
ตอนที่เธอตกลงไปในหลุมนั่นน่ะ?
จำได้มั้ย
ตอนที่แม่เธอไล่ตีฉันด้วยร่มน่ะ?
จำได้มั้ย
ตอนที่ฉันตกลงมาจากเจ้าลูกม้าของยัยเจน แล้วมันก็เหยียบก้นฉันเข้าให้น่ะ?
จำได้มั้ย
ตอนที่เธอหลอกฉันว่ามีแม่มดอยู่ข้างหลังถังขยะ จนฉันตกใจเกือบตายน่ะ?
แม้ว่าทั้งสองคนจะอายุเท่ากัน แต่รูปร่างกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเตี้ย ตัน อีกคนสูง เพรียว บอบบาง (สมมตินามตามท้องเรื่องให้กับคุณที่เตี้ย ตัน ว่า อ้วน ส่วนคุณที่สูง เพรียว บอบบาง ขอให้ชื่อว่า เพรียว-ผู้แปล)
ในช่วงวัยรุ่นทั้งสองคนต่างก็กระฉับกระเฉงสมวัย ตะลอน ๆ ไปด้วยกันไม่ว่าจะเดิน หรือปั่นจักรยาน พวกเธอพากันออกนอกบ้านตั้งแต่เช้ายันค่ำ พวกเธอไม่มีเกมส์คอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้ดูโทรทัศน์เฉพาะช่วงเย็นย่ำค่ำคืนเท่านั้น ทั้งคู่มักจะโทรหากันเสมอ ต่างก็แข็งแรงสบายดี
เมื่ออายุมากขึ้น ต่างคนต่างมีครอบครัว คุณอ้วนท้วมขึ้น แต่คุณเพรียวยังคงอรชรอ้อนแอ้น คุณอ้วนเริ่มออกกำลังกายอีกครั้งเพราะลูก ๆ ต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เธอก็แค่ตั้งใจว่าจะไม่ให้น้ำหนักขึ้นอีก ส่วนคุณเพรียวไม่ได้กังวลอะไร เพราะว่าเธอไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว
คุณเพรียวทำอาหารเก่งเป็นที่หนึ่งแถมยังเป็นมังสวิรัติอีกต่างหาก เธอถนัดและรักการทำเค้กและคุ้กกี้เป็นที่สุด แต่น้ำหนักเธอก็ไม่เคยขึ้นเลยสักนิดเดียว
คุณอ้วนไม่ชอบทำอาหาร แต่เธอก็ไม่ทานอาหารขยะ เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร เธอปรับเปลี่ยนอาหารให้เป็นสูตรง่าย ๆ ที่ดีต่อสุขภาพ และทานผลไม้เป็นของหวาน บางครั้งบางคราวก็เปลี่ยนเป็นช็อกโกแลตบ้าง
คุณอ้วนชักชวนคุณเพรียวไปออกกำลังกายด้วยกัน คุณเพรียวเหนื่อย หอบ และปวดขาไปสามหลังหลังออกกำลังกาย เธอไม่ชอบอาการเหล่านี้ ก็เลยแกล้งทำเป็นงานยุ่งและไม่ไปออกกำลังกายอีก
คุณอ้วนจองคลาสปั่นจักรยานไว้ เพราะเมื่อยังรุ่น ๆ ทั้งคู่ต่างก็ชอบปั่นจักรยาน และขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ เธอชอบคลาสนี้มากและรีบจองคลาสต่ออีก แม้ว่าจะเธอจะหอบแฮ่ก และเหงื่อแตกพลั่กก็ตามที
แต่คุณเพรียวกลับบอกว่า คลาสนี้เล่นเอาเธอปวดหลังไปหลายวัน...
หลายปีผ่านไป คุณอ้วนยังคงกระฉับกระเฉง การออกกำลังกายกลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของเธอไปแล้ว เธอยังคงท้วมบ้างเล็กน้อย เธอเดินเล่นกับเจ้าสุนัขตัวใหญ่ของเธอ และทำสวนได้หลาย ๆ ชั่วโมงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระดูกข้อต่อของเธอมีอาการฝืดอยู่บ้าง เธอจึงฝึกเพลาทิส มันทำให้เธอก็รู้สึกดีขึ้น เธอไปคลาสนี้สม่ำเสมอเพื่อยืดกล้ามเนื้อ สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกสันหลัง และขยับเขยื้อนข้อต่อกระดูก อายุไม่เป็นอุปสรรคอะไรสำหรับเธอ เธอรู้สึกสาวขึ้นกว่าอายุจริง และไม่ได้พูดถึงเรื่องการออกกำลังกายกับคุณเพรียวอีก
ส่วนคุณเพรียวก็ผอมลงเรื่อย ๆ และหลังก็เริ่มโก่ง เธอมีสุนัขตัวเล็ก ๆ อยู่ตัวหนึ่ง เธอพามันไปเดินเล่น แต่มันกลับกระชากลากถูเธอเสียแรง แล้ววันหนึ่งมันก็ทำให้เธอเจ็บแขนจนได้ กล้ามเนื้อใช้เวลาในรักษาตัวนาน และในขณะเดียวกันก็อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน (เนื่องจากเธอไม่ได้ออกกำลังกายนั่นเอง-ผู้แปล) หลังจากนั้นไม่นาน คุณอ้วนจึงมีหน้าที่ที่ต้องพาเจ้าหมาสองตัวไปเดินเล่นแทน เธอใส่ปลอกคอกับสายจูงกับเจ้าหมาตัวเล็ก เจ้าหมาตัวเล็กรู้ได้ทันใดว่าเธอแข็งแรงกว่ามัน มันก็เลยหยุดกระชากลากถู แต่
กับคุณอ้วนเท่านั้น
หลายปีผ่านไป
คุณอ้วนน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เธอรับประทานอาหารดีมีประโยชน์ และรักอาหารของเธอ เธอยังคงดำเนินชีวิตด้วยความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว และฝึกเพลาทิสด้วยความชื่นชอบ สมาชิกในคลาสที่อายุน้อยกว่าต่างพากันทึ่งในความแข็งแรงและความอ่อนตัวของเธอ
ส่วนคุณเพรียว น้ำหนักลดลง ปวดตามข้อ และเลิกทำขนมแล้ว เนื่องจากกระดูกข้อมือเริ่มฝืด แข็ง แต่เธอก็ไม่ได้กังวลอะไร เธอไม่ได้มีความอยากอาหารใด ๆ เธอมักจะนั่งลงข้างหน้าต่าง โบกไม้โบกมือให้คุณอ้วนที่เดินอย่างกระฉับกระเฉงไปกับเจ้าสุนัขตัวใหญ่ เจ้าหมาตัวเล็กนั้นจากเธอไปแล้ว เธอคิดว่าเธอไม่เหมาะที่จะเลี้ยงสุนัขอีก
เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง สิ่งต่าง ๆ ย้อนกลับมาเหมือนเดิม ตั้งคู่ต่างเป็นหม้าย ลูก ๆ จากไปมีครอบครัวของตัวเอง หลาน ๆ มาเยี่ยมกันบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อนทั้งสองคนจึงมีเวลาให้กันและกันอีกครั้ง คุณอ้วนโทรมาหาคุณเพรียวแทบจะทุกวันเหมือนในสมัยสาว ๆ พวกเธออยู่ด้วยกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ตะลอน ๆ ขึ้นเขาลงห้วย ไปยังสถานที่ในความทรงจำด้วยกัน หัวร่อต่อกระซิกกับเรื่องราวในอดีต
โดยที่
คุณอ้วน
.เป็นคนเข็นรถ wheelchair คันนั้น...
และสุดท้ายข้อคิดของพี่แพมBabbirdbird จัดทำโดย นาน่าโคโค่coccinenlle ของพวกเราค่ะ