ผมว่าเรื่องที่เขียนขึ้นมา มีข้อที่น่าสงสัยมากมาย ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือครับ
อย่างที่ผมยกตัวอย่างไว้ใน คคห. 57 ผมจะยกมาใหม่ โดยเน้นข้อความให้ชัดเจนนะครับ
จาก บันทึก (ไม่) ลับ อุบาสกนิรนาม หนังสื อวิมุตติปฏิปทา
ปฏิบัติอยู่ ๓ เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่า
"ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป"
คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมอันลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ ๕ท่านสอนถึงกำเนิดและการทำงานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป
ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่า แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ (หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจ) จึงปรากฎออกมา
คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัด จึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า
"ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆ จะพอไหม"
หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า
"การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง”
____________________________________________________________
จาก บันเทิงธรรม ในหนังสือวิมุตติปฏิปทา
สมควรแก่เวลาที่จะไปรายงานผลการปฏิบัติให้หลวงปู่ทราบ ซึ่งท่านคงจะอนุโมทนาด้วยดี เพราะศิษย์ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านไม่หยุดหย่อนติดต่อกันมาแล้วถึง ๓ เดือน
ผู้เขียนไปนั่งอยู่แทบเท้าของหลวงปู่ผู้ชราภาพ แล้วรายงานผลการปฏิบัติต่อท่านว่า ผมเห็นจิตแล้ว หลวงปู่ถามว่า จิตเป็นอย่างไร ก็กราบเรียนท่านว่า “จิตมีความหลากหลายมาก มันวิจิตรพิสดารเป็นไปได้ต่างๆ นานา ดังที่ได้พบเห็นมา” พอกราบเรียนจบก็ได้รับคำสอนที่แทบสะอึกว่า
"นั่นมันอาการของจิตทั้งนั้น ยังไม่ใช่จิต จิตคือผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ให้กลับไปดูใหม่"
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจะจำผิดจากที่เคยเขียนได้ ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงที่ประสบมากับตัวเอง