ความคิดเห็นที่ 1 คำคนอื่นน่ะฟังได้ แต่ฟังแล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อ พึงสอบทานกับพระไตรปิฏกก่อน อย่ามักง่าย ภาษาเป้นสมมุติบัญญัติ คลาดเคลื่อนเข้าใจไม่ตรงกันได้เป็นธรรมดา จากคุณ : Mateo2000 เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 16:21:45

ความคิดเห็นที่ 2 พระที่บวชอยู่กับพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ปฏิเสธกระทั่งหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ดูลย์ หลวงตามหาบัว ถามท่านก็ไม่อธิบายให้เข้าใจ อ้างแต่ว่า จะเลือกใครพุทธองค์หรือสาวก แหมอยากต่อความอยู่หรอกค่ะ ถ้าไม่เกรงใจว่าห่มผ้าเหลืองอยู่ จากคุณ : Mrs_Mr_Ms เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 16:27:41

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นทิฐิของทหารบก  ที่คำสั่งเป็นเรื่องต้องปฏิบัติตามเท่านั้น  พอมาเป็นเรื่องธรรมวินัย ท่านไม่รู้บาลีและไม่เข้าใจในถ้อนสำนวน  และเมื่อสรุปความคิดในช่วงแรกๆนั้นท่านพิจารณาจาก ธรรมวินัย(ปิฎก) ภาษาไทย  เมื่อทำความเข้าใจตาม ภาษาไทย  โอกาสเข้าใจผิดจึงมีสูงมาก   เมื่อเข้าใจคำสั่งผิด  ทหารมักไม่คิดต่อ  แต่จะทำตามคำสั่งนั้นๆต่อ  เรื่องมันก็เท่านั้น แต่ปัญหาคือพวกที่รับคำท่านต่อมานี่สิ  นึกไม่ออกเลยในอีกสัก 200 ปีต่อจากนี้ หากแนวคิดนี้ถูกปลูกต่อไป อรรถกถาหรือคำอธิบายพระไตรปิฎกคงมีอันต้องอันตธานเป็นแน่  และที่สำคัญใครห้ามก็ไม่ฟังนี่สิลำบาก จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 16:53:12

ความคิดเห็นที่ 4 การอ้างอิงพุทธวจน คือการยึดถือเอาคำตถาคต ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าคำพุทธสาวก ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่า หลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ดูลย์ หลวงตามหาบัว ท่านปฏิบัติผิด แต่ด้วยการถ่ายทอด ภาษา และอื่นๆ อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันได้ ดังนั้นการยึดถือต้นฉบับเป็นหลัก ในฐานะที่ผมเป็นพุทธศาสนิกชนนิกายเถรวาท ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถ้าบรรพบุรุษเราไม่ยึดคำตถาคตเอาไว้ ป่านนี้คงไม่มีเถรวาท คงเปลี่ยนเป็นมหายาน วัชรยาน หรือลัทธิอื่นใดไปหมดแล้ว จากคุณ : Mateo2000 เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 16:57:25

ความคิดเห็นที่ 5 ผมกลับมีความเห็นว่า คำของพระพุทธองค์ ต้องปฏิบัติด้วยตัวเองและประจักษ์ด้วยตัวเองเท่านั้น จึงจะสอบทานกับพระพุทธวัจนะได้ ถ้าเพียงแต่อ่าน คุณจะได้เพียงแต่ความทรงจำของผู้บันทึกเท่านั้น และถ้ายังคงยึดติดอยู่กับการสอบทานฯ ก็จะได้แต่สอบทานกับความคิดเท่านั้น มีแต่ปฏิบัติให้รู้เห็นด้วยตัวเองเท่านั้น แล้วนำประสบการณ์จริงมาสอบทาน จึงจะไม่หลงทางครับ ปล...เคยไปฟังหลวงพ่อคึกฤทธิ์ฯ ท่านก็สอนในแนวนี้นะครับ ว่าถ้าที่ทำอยู่ ไม่ตรงกับพระพุทธวจนะ ให้แก้ไขเสีย ถ้าฟังท่านแล้วไม่รู้เรื่อง คงเป็นเพราะจริตนิสัยไม่ตรงกับวิธีสอนของท่านมากกว่า ถ้าไม่เห็นด้วยก็ระวังอย่าปรามาสพระนะครับ จากคุณ : norapob เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 17:00:38

ความคิดเห็นที่ 6 คำว่า "ทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น" หากท่านพิจาณาแล้วว่าไม่ใช่พุทธวจนะ  พระองค์ก็ได้ตรัสไว้แล้ว ว่าให้ทิ้งคำเหล่านี้ไปเสีย และหากท่านอ่านพระสูตรที่พระองค์ได้ตรัสเอาไว้และิพิจารณาให้ดี ก็ัจักได้ทราบว่า พระองค์ทรงบอกว่า คำที่คนแต่งขี้นใหม่นั้น ถึงแม้จะมีอักษรสละสลวย ก็ตาม เป็นเรื่องนอกแนว ถ้ามีคนนำมาพูด ก็จักไม่ฟัง อันนี้ก็ชัดเจนตรงที่พระองค์ได้บอกว่า จักไม่ฟัง คำที่คนแต่งขึ้นใหม่ และพระองค์ก็แนะนำว่า ถ้าใครนำคำที่เป็นคำตถาคตมากล่าว ก็ให้เงียหูฟัง ให้ตั้งใจฟัง ดังพระสูตร "ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อย กรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วน สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้งเป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วย ดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ? ” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้. ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัยเธอก็บรรเทาลงได้ " ทุก. อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒ ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ น.๓๕๒ ----------------------------------------------------------------------------------------- ส่วนการที่ว่า "พระที่บวชอยู่กับพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ปฏิเสธกระทั่งหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ดูลย์ หลวงตามหาบัว ถามท่านก็ไม่อธิบายให้เข้าใจ อ้างแต่ว่า จะเลือกใครพุทธองค์หรือสาวก แหมอยากต่อความอยู่หรอกค่ะ ถ้าไม่เกรงใจว่าห่มผ้าเหลืองอยู่" ตรงนี้พระศาสดาก็ได้ตรัสไว้ชัดเจน ว่า พระสงฆ์นั้นผู้เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ เป็นผู้ยืนยันคำสอนของพระองค์ แต่การถ่ายทอดบอกสอนของท่านนั้น หากท่านไม่ได้ใช้พุทธวจนมาถ่ายทอดบอกสอน จักเป็นมูลเหตุทำให้ คำสอนของพระองค์ ขาดสูญไป เป็นมูลเหตุให้คำสอน ขาดสูญไป แต่การถ่ายทอดของท่านนั้น ก็มีคำพระศาสดาอยู่บ้าง ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ เพราะการได้ยินธรรมะของพระองค์แม้เพียงบทเดียวก็เป็นเหตุให้เข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ แต่ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคำสอนที่ครูอาจารย์นำมาสอนนั้น ตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ คำสอนที่พระอาจารย์หลายรูป ที่ท่านนำมาสอน หากท่านคิดขี้นมาเองก็ไปกันใหญ่ ก็จะขัดกับที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ดังพระสูตรข้างต้น ว่าคำที่คนแต่งขี้นใหม่นั้นอย่าไปฟัง  แต่ถ้าหากท่านจำมาจาก ครู อาจารย์   ครู อาจารย์ ของท่าน ก็จำต่อๆ กันมาเรื่อยๆ  สืบไปเรื่อยๆ ก็ มาจากคำสอนของพระองค์ แต่บทพยัญชนะ ก็จะผิดเพี้ยนไปบ้าง  บางครั้งก็อาจจะผิดเพี้ยนไปมาก หากต้องการให้คำสอนของพระองค์ยังดำรงต่อไป ก็ควรหันมาใช้พุทธวจนะ ในการถ่ายทอดบอกสอน หากไม่แน่ใจว่าเป็นคำสอนของพระองค์จริงหรือเปล่า พระองค์ก็ได้ทรงแนะวิธีการตรวจสอบโดยการใช้หลัก มหาปเทส ๔ เข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง -------------------------------------------------------------------------------------- คหที่ 3 "  นึกไม่ออกเลยในอีกสัก 200 ปีต่อจากนี้ หากแนวคิดนี้ถูกปลูกต่อไป อรรถกถาหรือคำอธิบายพระไตรปิฎกคงมีอันต้องอันตธานเป็นแน่ " ตรงนี้ผมว่าดีนะครับ ที่คำของอรรถกถา เลือนลางไป ลองคิดดูสิ หาก 200 ปีต่อไปข้างหน้า มีแต่คนนำพุทธวจนะ มาพูดกัน ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้มรรคผลเร็วขึ้น เรื่องน้ำมนต์ สะเดาะห์ หรือแก้กรรม ที่พระองค์ไม่ได้ตรัสไว้ ไม่ได้สอนไว้ ก็จะหายไป  พระสงฆ์ก็ไม่ต้องมาทำพิธีกรรม ที่ไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ขนาดพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วนี่สิ ว่าำ คำที่คนแต่้งขึ้นใหม่ อย่าไปฟัง เป็นเรื่องนอกแนว ก็ยังค้าน ไม่สนใจที่พระองค์อุตส่าสอนไว้  นี่สิปัญหา นึกไม่ออกเหมือนกัน ว่า อีก 200 ปีข้างหน้า หากไม่มีคำสอนพระศาสดา มีแต่คำสาวก จะสับสนวุ่นวายแค่ไหน ปัจจุบันนี้คำสอนที่เคยได้ยินว่า  ขณิก อุปจาร อัปปนา พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสเอาไว้ แต่ก็มีการอธิบายกัน อ่านคำสอนของแต่ละท่านที่ท่านเหล่้านั้นได้อธิบาย  ก็อธิบายไม่เหมือนกัน ให้นิยามไม่เหมือนกัน พระองค์ตรัสว่า เป็นผู้วันหนึ่งฉันเพียงหนเดียว อรรถกถา ก็อธิบายว่า ฉันหนเดียวก็คือการฉันได้หลายๆ ครั้งในช่วงเช้า นี่ก็สับสนมากพอแล้ว อย่าให้สับสนไปมากกว่านี้เลย ก็แปลกอีกอย่างนึงที่ คห 3 เป็นห่วงคำสอนอรรถกถา กลัวคำของอรรถกถา จะหายไป แต่ผมเป็นห่วงคำของพระศาสดา จะหายไปมากกว่า หากคำสอนของพระศาสดา เลือนลางไป ลูกหลานเรา จะได้ฟังคำสอนที่มหาบุรุษ พร่ำสอนไว้ เป็นการยาก แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 54 17:52:34 แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 54 17:51:43 จากคุณ : somkiat72 เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 17:38:07

ความคิดเห็นที่ 7 ปัจจุบันนี้คำสอนที่เคยได้ยินว่า  ขณิก อุปจาร อัปปนา พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสเอาไว้ แต่ก็มีการอธิบายกัน ความรู้ใหม่ค่ะ พระองค์ไม่ได้ตรัสไว้ แล้วผลของการภาวนาของพระองค์เป็นไปตามนั้นหรือเปล่าคะ?? หากท่านพิจาณาแล้วว่าไม่ใช่พุทธวจนะ  พระองค์ก็ได้ตรัสไว้แล้ว ว่าให้ทิ้งคำเหล่านี้ไปเสีย อ้าว แล้วประโยคนี้มาจากไหนเล่าคะ?? มาจากหนังสือของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ หรือท่านอื่นคะ? เห็นคุณยัยก้อย ยกมา ก็พาลให้คิดว่าเป้นเช่นนั้น จากคุณ : Mrs_Mr_Ms เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 17:47:55

ความคิดเห็นที่ 8 ผลของการภาวนาของพระองค์ ไม่ได้เป็นไปตาม ขณิก อุปจาร และอัปนาแน่นอน เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสไว้ชัดเจน ว่าพระองค์ได้บรรลุ ฌานที่ ๑-๔ พระองค์ได้บรรยายอาการของ ฌาณทั้ง ๔ ไว้อย่างละเอียดแล้ว จากนั้นจึงได้ วิชชา ๓ (บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔. ตรัสแก่ภิกษุทั้งห้า ทิ่อิสิปตนมฤคทายวัน.) ----------------------------------------------------------------------------------------- ประโยคดังกล่าวจะยกมาจากไหนก็ตาม ผู้มีัปัญญาย่อมพิจารณาโดยแยบคาย(โยนิโส มนสิการ)   หากท่านพิจาณาแล้วว่าไม่ใช่พุทธวจนะ  พระองค์ก็ได้ตรัสไว้แล้ว ว่าให้ทิ้งคำเหล่านี้ไปเสีย จากคุณ : somkiat72 เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 18:21:05

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ somkiat72  แสดงว่าศึกษาพุทธวจน อย่างยอดเยี่ยม จากคุณ : กันยามล เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 18:28:14

ความคิดเห็นที่ 10 ผลของการภาวนาของพระองค์ ไม่ได้เป็นไปตาม ขณิก อุปจาร และอัปนาแน่นอน เพราะ ว่าพระองค์ได้ตรัสไว้ชัดเจน ว่าพระองค์ได้บรรลุ ฌานที่ ๑-๔ พระองค์ได้บรรยายอาการของ ฌาณทั้ง ๔ ไว้อย่างละเอียดแล้ว จากนั้นจึงได้ วิชชา ๓ (บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔. ตรัสแก่ภิกษุทั้งห้า ทิ่อิสิปตนมฤคทายวัน.) แล้วอาการของ ขณิก อุปจาร และอัปปนา นี้มีจริงรึไม่คะ?? ชักสงสัยแล้วว่า ถ้าพระพุทธองค์ไม่ส่งเอ่ย หรือไม่ปรากฏในพุทธวจนะ แล้วจะยังไง?? เช่น หากไม่ทรงเอ่ยถึง ขณิก อุปจาร และอัปปนา แล้วจะยังไง?? จากคุณ : Mrs_Mr_Ms เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 18:51:47

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้างั้นคำของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็โยนทิ้งให้หมดเหมือนกัน อ่านเอาเองจากเว็บ 84000.org หรือจากพระไตรปิฎกแปลฉบับมหามกุฎฯ หรือฉบับมหาจุฬาฯ หรือ ฉบับ ฯลฯ ยกเว้นฉบับหินอ่อนเอาเองดีกว่า หรือจะให้หัววงแหวนจัด ก็ไปเรียนบาลีให้มันแตกฉานซะเลย แล้วอ่านพระไตรปิฎกบาลีอักษรไทย 45 เล่ม เหอะๆ จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 18:59:32

ความคิดเห็นที่ 12 สำนักเพี้ยนๆ  เกิดขึ้นมากมาย  ระวังมากๆ ในการเลือกที่เชื่อ จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 19:32:59

ความคิดเห็นที่ 13 คห 10 เรื่องของโลกมีหลายเรื่อง ที่พระองค์ไม่ได้ตรัสเอาไว้ แม้จะมีจริงก็ตาม แต่พระองค์ก็ได้พร่ำสอนแต่เรื่องที่สำคัญๆ และมีความเร่งด่วนที่สุด (อริยสัจ ๔) เพราะว่าการได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก การแสดงสัทธรรม  ที่จะพร้อมกันเข้าได้  หาได้ยากในโลก(สัตตก.อัง.๑๕/๑๗๕/๑๑๙) เหตุนี้เองพระองค์จึงไม่ทรงตรัสเรื่องบางเรื่องไว้ เพราะไม่สำคัญเท่ากับการสิ้นอาสวะ อาการของขณิก อุปจาร อุปนา ถึงจะมีจริงก็ตาม แต่การจะทำให้สิ้นอาสวนะได้นั้น พระองค์ได้ตรัสเอาไว้ ว่า "ภิกษุ ท. ! เรากล่าวความสิ้นอาสวะ เพราะอาศัยปฐมฌาณบ้าง; เพราะอาศัยทุติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยตติยฌาณบ้าง; เพราะอาศัยจตุตถฌาณบ้าง; เพราะอาศัยอากาสานัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยวิญญาณณัญจายตนะบ้าง; เพราะอาศัยอากิญจัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง; เพราะอาศัยสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง(นวก. อํ. ๒๓/๔๓๘-๔๔๔/๒๔๐.) เห็นได้ว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสถึง ขณิก อุปจาร และอัปปนา ว่าเป็นเหตุให้มีความสิ้นอาสวะ และเมื่อนำ ขณิก อุปจาร และอัปปนา มาเทียบ กับนิยามสมาธิทั้ง ๙ ระดับนั้น เทียบกันไม่ได้เลย ----------------------------------------------------------------------------------------- คหที่ 11 หากเป็นคำที่พระรูปใดแต่งขึ้นมาใหม่ก็ตาม ให้ทิ้งคำนั้นไปได้เลย   แต่หากท่านต้องการศึกษาเอง ขอเน้นให้ไปศึกษา โดยใช้พุทธวจนะ จะได้เป็นบริษัทที่เลิศ ที่พระองค์ได้สรรเสริญเอาไว้ ------------------------------------------------------------------------------------------ คหที่ 12 "สำนักเพี้ยนๆ  เกิดขึ้นมากมาย  ระวังมากๆ ในการเลือกที่เชื่อ" ถูกต้องเลยครับ มีสำนักเพี้ยนๆ เกิดขึ้นมามากมาย ที่ไม่ใช้พุทธวจนะในการถ่ายทอดบอกสอน ชอบนำคำสอนที่คนแต่งขี้นใหม่มาสอน ต้องระวังมากๆ นะครับที่จะเชื่อ เพราะว่า อาจจะพลัดหลงไปสู่อวิชชาโดยไม่รู้ตัวครับ แต่ที่ใดที่ไม่แต่งเติมคำสอนของพระองค์ นี่สิ จัดว่าเป็นบริษัทที่เลิศ เป็นสิ่งที่ควรเงียหูลงฟัง และควรฟังอย่างตั้งใจ เพราะว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา ของพระพุทธเจ้า การนำคำสอนมาสอน ก็ต้องเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 54 20:09:16 แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 54 19:58:00 จากคุณ : somkiat72 เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 19:44:17

ความคิดเห็นที่ 14 ก็ เพราะ สำนักเพี๊ยนๆ เกิดขึ้นมามากมาย จึงต้องกลับมาหาคำของพระศาสดา ครับ ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไง ว่าของใครเพี๊ยน ในเมื่อ สำนักแต่ละสำนักก็บอกว่า อาจารย์ ของเขาสอนถูก แต่สอน ไม่เหมือนกัน แล้วจะ ทราบได้อย่างไรว่าของใครสอนถูก ของใครเพี๊ยน ก็ ต้องใช้ คำสอน ของพระศาสดา เป็นเครื่องวัด ไม่งั้น ก็ เถียงกันไม่จบ ต่างคนต่าง หาว่า ของคนอื่นเพี๊ยน ของฉันสอนถูก ส่วนใคร จะเห็น คำสาวก ดีกว่า คำพระศาสดา ก็ ไม่ว่ากัน ครับ ต่างคนต่างศึกษากันไป ไม่ต้อง ไปโจมตีกันไป โจมตีกันมา คนสอน คำพระพุทธเจ้าสอนเพี๊ยน คนสอนคำสาวก สอนถูก ก็ แล้วแต่ แต่ละบุคคล ครับ ตอนพระพุทธเจ้ายังอยู่ ยังสอน คนทุกคน ให้รู้ธรมะ ทั้งหมดยังไม่ได้เลย นับปะสาอะไร กับ ที่พะพุทธเจ้าปรินิพพาน ไป 2500 กว่าปี แล้ว คนย่อมไม่สนใจ ที่จะศึกษา คำสอนของพระศาสดา นี่เป็นเรื่องปรกติ ครับไม่แปลกอะไร คำสอนพระศาสดา ไม่ศึกษา เห็นว่าเป็นเรื่องเพี๊ยน ก็ ว่ากันไป ครับ จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 20:44:50

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ Somkiat72 อธิบายได้ละเอียดมากเลยครับ     ภิกษุ ท.!   บริษัทสองจำพวกเหล่านี้ มีอยู่, สองจำพวกเหล่าไหนเล่า สองจำพวก คือ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา นี้อย่างหนึ่ง, และปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา     ภิกษุ ท.!   บริษัทชื่อ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา เป็นอย่างไรเล่า?  ภิกษุ ท. !ในกรณีนี้คือ ภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด. เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ตถาคตภาสิตา-อันเป็นตถาคตภาษิต คมฺภีรา-อันลึกซึ้ง  โลกุตฺตรา-เป็นโลกุตตระ  สุญญตปฏิสํยุตฺตา-ประกอบด้วยเรื่องสุญญตา อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง  และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศืกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี เงี่ยหูฟังตั้งจิตเื่พื่อจะรู้ทั่วถึง และสำคัญไปว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. พวกเธอเล่าเรียนธรรมอันกวีแต่งใหม่นั้นแล้ว ก็ไม่สอบถามซึ่งกันและกัน ไม่ทำให้เปิดเผยแจ่มแจ้งออกมาว่า ข้อนี้พยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้. เธอเหล่านั้นเปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เปิดเผยไม่ได้   ไม่หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นได้ ไม่บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย  มีอย่างต่างๆได้.  ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา.     ภิกษุ ท.!  บริษัทชื่อ  ปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา  เป็นอย่างไรเล่า?   ภิกษุ ท.!  ในกรณีนี้คือ  ภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด,  เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอนมีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตเข้าไปรู้ทั่วถึง และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วน สุตตันตะเหล่าใด อันเป็นตถาคตภาษิต อันลึกซึ้ง มีอรรถอันลึกซึ้ง เป็นโลกุตตระประกอบด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมเข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.  พวกเธอเล่าเรียนธรรมที่เป็นตถาคตภาษิตนั้นแล้ว ก็สอบถามซึ่งกันและกัน ทำให้เปิดเผยแจ่มแจ้งออกมาว่า ข้อนี้พยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้. เธอเหล่านั้น เปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เปิดเผยได้ หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นได้ บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย มีอย่างต่างๆได้.  ภิกษุ ท.!   นี้เรียกว่าปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา.     ภิกษุ ท.!    เหล่าใดแล ปริษัท ๒ จำพวกนั้น.  ภิกษุ ท.! บริษัทที่เลิศในบรรดาบริษัททั้งสองพวกนั้น คือบริษัทปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา ทุก. อํ. ๒o/๙๑/๒๙๒ จากคุณ : นามรูป เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 20:58:15

ความคิดเห็นที่ 16 ตามอ่านมาก็ให้สงสัยว่า ในความเห็นของผู้ตั้งกระทู้และผู้สนับสนุนนั้น เราไม่ควรศึกษาคำพระศาสดากันอีกต่อไป ไม่ควรกลับไปค้นหาพุทธพจน์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากการแต่งเติม แต่ควรยึดถือคำสอนของครูบาอาจารย์รุ่นปัจจุบัน ด้วยเหตุที่ท่านเหล่านั้นเป็นที่เคารพนับถือของคนในยุคนี้จำนวนมาก  ใครไปศึกษาคำศาสดาก็ควรนับว่าเป็นคนเพี้ยน ออกนอกแนว หรือถึงขั้นเป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิกันเลยทีเดียว  แม้พระสงฆ์ที่พยายามพูดแต่คำศาสดา ไม่แต่งคำของตนเอง พยายามชี้ชวนให้คนศึกษาคำศาสดา ก็เป็นพระประเภทที่ไม่น่าเคารพ แม้จะเคร่งครัดธรรมวินัย มีศีลดีก็ตาม ถือเป็นพระที่ควรต่อคำด้วย ควรจะเอาชนะให้จงได้ เพียงแต่เกรงใจสีผ้ากาสาวพัสตร์อยู่แค่นั้น ช่วยตอบทีว่าใช่ จะได้เข้าใจว่าแนวทางของท่านๆนั้นเป็นอย่างไร จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 22:26:32

ความคิดเห็นที่ 17 เดี่ยวว่างๆจะเปิดกระทู้มูลเหตุท่านอาจารย์ให้เพื่อนๆได้วิเคราะห์กันครับ  ว่าปัญหาเกิดจากพระสูตรไหนที่ทำให้เกิดแนวคิดนี้  และไม่ได้ใหม่เลย เมื่อ พศ 200 ก่อนเถรวาทแยกเป็น 18 นิกายกรณีอย่างนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว  และอรรถกถาที่จะไม่เอากันนั้นหลายส่วนเป็นของอัครสาวกที่พระองค์ก็ทรงไม่ได้ทรงกล่าวขัดแย้ง ท้ายนี้ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า กรณีท่านอาจารย์ผมไม่ได้มองในแง่ลบทั้งหมด  ท่านอาจารย์เป็นภิกษุที่ผมก็กราบท่านเช่นกัน จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 22:27:51

ความคิดเห็นที่ 18 พวกท่านชาวพุทธเป็นสาวกของใคร?  ศาสดาของพวกท่านคือใคร? ธรรมวินัยนี้ใครบัญญัติ?? ถ้าท่านเป็นสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทำไมท่านถึงจะไม่ศึกษา ฟังคำสอนธรรมวินัยของศาสดาที่แสดงแล้วบัญญัติไว้   คิดง่ายๆสมมติ ท่านคือพระพุทธองค์ ท่านจะสั่งให้ สาวกและพุทธบริษัททั้งหลายขอให้ท่านจงสีบทอดศาสนาโดยการฟังคำสอนของสาวก ศึกษาคำของสาวกเพื่อความเป็นเลิศในพุทธบริษัทนี้  แล้วพวกเหล่าพุทธบริษัทจะฟังคำสอนของสงฆ์สาวกองค์ไหน พระอรหันต์มีก็ตั้งหลายรูป  อนาคามี ก็มี  สงฆ์ธรรมดาก็มี    คุณคิดว่า หลวงปู่ A, B, C ถึงแม้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว  ทุกท่านจะบอกสอนในคำที่เหมือนกันไหม?  ขอให้เจ้าของ กระทู้ไปหาหนังสือของทุกพระอรหันต์ที่แต่งมากางดูว่าทุกท่านมีคำพูดเรื่องเดียวกันเหมือนกันทุกบทพยัญชนะไหม   แล้วถ้าไม่เหมือนกันจะฟังคำใครดี แล้วจะเอาคำของใครตัดสินล่ะ   ไปหาคำตอบมาตอบเราด้วยนะ     พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสครั้งเดียวว่าให้เราศึกษาแต่ในคำของตถาคต ทรงพูดย้ำตั้งหลายพระสูตรไม่ใช่มีอันเดียวแล้วจะบอกแปลผิด แปลพลาดได้อย่างไร ก่อนปรินิพพานก็ทรงตรัสรับสั่งอีกว่า อานนท์   ธรรมก็ดี วินัยก็ดีที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วจักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายในกาลล่วงไปแห่งเรา  คิดว่าพุทธพจน์นี้คงมีในทุกพระไตรปิฏกนะ    ถ้าธรรมก็ดี วินัยก็ดีที่ตถาคตบัญญัติแล้ว แสดงแล้วแต่ไม่มีการบอกสอนสืบต่อไปอย่างถูกต้องทุกบทพยัญชนะ แล้วเราจะมีใครเป็นศาสดาของพุทธศาสนาต่อไป ควรแล้วหรือที่ท่านจะตำหนิสงฆ์หรือคารวาส ที่จะศึกษาแต่คำสอนของพระศาสดา บอกสอนถ่ายทอดแต่คำของพระศาสดาว่าเพี้ยน กระทำผิด จากคุณ : เนตังมม (เนตังมม) เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 54 23:31:05

ความคิดเห็นที่ 19 คุณsomkiat72  คห.6 ก็แปลกอีกอย่างนึงที่ คห 3 เป็นห่วงคำสอนอรรถกถา* กลัวคำของอรรถกถา จะหายไป แต่ผมเป็นห่วงคำของพระศาสดา จะหายไปมากกว่า หากคำสอนของพระศาสดา เลือนลางไป ลูกหลานเรา จะได้ฟังคำสอนที่มหาบุรุษ พร่ำสอนไว้ เป็นการยาก อีกประเด็นนึงผมไม่เคยกล่าวในที่ไหนๆว่า ไม่เห็นคุณค่าพุทธพจน์  *ที่ขีดเส้นใต้ผมไม่เคยใช้คำนั้นตั้งสติอ่านดีๆครับ กรุณาแสดงความจริงใจในการสนทนาหน่อยครับอย่าจงใจหรือไม่ได้ข่มใจก่อนเลือกใช้คำในการกร่อนคำพูดความเห็นตรงข้ามเลยครับ ต่อไปนี้ขอถามองค์ความรู้ที่เป็นพื้นฐานในการใช้วิเคราะห์ข้อมูลชั้นต่อไปครับ ด้วยความเคารพ อย่าเห็นเป็น อื่น ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องคุยกับบุคคลท่านที่มีภูมิปริยัติสูงมากมายแต่ขอแค่พื้นฐานระดับหนึ่งที่ผมเห็นแล้วว่าจะสามารถคุยต่อได้  ไม่ใช่คุยกับคนที่พึ่งศึกษาหรือแห่ตามทีวี หรือกระแสโฆษณามา  ผมเห็นว่าคุยกับบุคคลเหล่านั้นเสียเวลาพูดครับเพราะ พื้นฐานข้อมูลไม่พอที่จะคุยกัน 1.คุณเคยเรียน บาลี มาบ้างหรือไม่ครับ คุณsomkiat72 ถ้าเคยนานขนาดไหนอย่างต่อเนื่อง 2.ศึกษาพระไตรปิฎกนานขนาดไหนแล้วแบบจริงจัง 3.เคยบวชไหมครับ สำนักไหน นานเท่าไร 4.และเคยรู้ไหมครับว่า อรรถกถามีประโยชน์มากอย่างไรในการแปลพระไตรปิฎก 5..และเคยรู้ไหมครับที่พระไตรปิฎกแปลออกมาได้เพราะใช้ อรรถกถา 6.และเคยรู้ไหมครับว่า มากกว่า 60-70 % ของ อรรถกถา คือ พจนานุกรม  ไม่ใช่คำสอน  แต่เป็น คำอธิบายศัพท์ และบาลีไวยากรณ์ ที่เป็นองค์พุทธพจน์ 7.เคยรู้ไหมครับว่า อรรถกถาส่วนนึงพระพุทธองค์รับรอง เช่น พระสารีบุตรกถา พระมหากัจยานะ เป็นต้น เอาแค่นี้ก่อน  ตอนนี้คุณลองหาข้อมูล ประวัติ เถรวาท 18 นิกายไปก่อนว่า แต่ล่ะนิกายแยกออกไปเพราะอะไร ใน ราวปี พศ 200  จนถึง พศ 600 แยกเป็นมหายานในที่สุด  และในนิกาย1 หรือมากกว่านั้นมีแนวคิดไม่ต่างจากคุณเลย  คิดว่าคงได้ร่วมสนทนาต่อครับ เพื่อประโยชน์สาธารณะ จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 01:40:34

ความคิดเห็นที่ 20 พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ชัดเจนแล้วครับ....ผมสรุปให้ดังนี้ครับ ๑.ที่เข้าใจกันว่าให้เชื่อแต่...พุทธวจน....ผมเห็นว่าไม่ถูกครับ...ผมยังไม่เห็นมีในพระสูตรใดครับ... มีแต่ท่านกล่าวว่า..ให้...คบสัปบุรุต..คบบัญฑิต..คบกัลยาณมิต ๒.แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า..ใครเป็น..สัปบุรต..ใครเป็นบัญฑิต...ใครเป็นกัลยาณมิต..คำกล่าวในตำราตรงไหนที่ถูก...มีการตรวจสอบง่ายๆครับ..โดยใช้....หลักกาลามาสูตร.๑๐..ในการตรวจสอบครับ(ความจริงผมเข้าใจว่า..กาลามาสูตรมี ๑๑ ข้อ...เพราะผมไม่ปลงใจเชื่อแม้แต่ตำรา(มีการรวบรวมซึ่งอาจรวบรวมมาผิดก็ได้...ผ่านการแปลมาซึ่งอาจแปลผิดก็ได้)..แล้วข้อ ๑๑ คืออะไรมาดูกัน) " 1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย"ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย))..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน))..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)...."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ))..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน))..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา))..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย))..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" 10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ))..."ส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าอย่าเชื่อ..ในความหมายที่ถูกคือ..อย่าพึ่งเชื่อให้ตรวจสอบโดยการปฎิบัติ...โดยใช้ข้อ ๑๑ ในการตัดสินครับ(ข้อนี้เป็นข้อตัดสินครับ)" ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น".....ตรงนี้แหละครับเป็นข้อ ๑๑ ที่ผมว่า สรุป....ประเด็น ๑."ที่ตัวป้าติดใจมากที่สุดก็คือ ประโยคนี้แหละค่ะ "ทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น" "........ตรงนี้ผมเห็นว่าไม่จริงครับ..ดังที่ผมได้อธิบายข้างต้น ๒."ก็มีท่านที่แสดงความเห็นว่า "ปัญหาส่วนใหญ่ที่คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจคือ อย่าฟังคำคนอื่น ในส่วนนี้ถ้าสาวกท่านอื่นใช้คำของพระองค์ ในการเผยแผ่ธรรมมะ ก็รับฟังได้ถือเป็นคำของพระองค์ครับ" "......ตรงนี้ผมเห็นว่าไม่จริงครับ....เป็นเพราะว่าไม่เข้าใจหลักกาลามาสูตร..หรือ..ไม่ใช้หลักกาลามาสูตรมาตรจสอบ ๓."ตรงนี้ถ้าคิดว่าเป็นส่วนที่เข้าใจกันผิดมากมาย ก็ควรที่จะออกมาชี้แจงให้มากๆนะคะ เพราะ ที่ได้ยินมาคือลูกศิษย์ของพระอาจารย์หลายรูปและหลายคน ไปยึดติดกับ "อย่าฟังคนอื่น" มากเลย".. ...ตรงนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจครับว่า..จขกท. จะสื่อความหมายอะไรครับ....เลยไม่สามารถ...แสดงความเห็นได้ ผมเสนอให้...ชาวพุทธ..ไปพิจารณาครับ.. แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 06:35:01 จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 06:19:01

ความคิดเห็นที่ 21 1.ต่างคน  ต่างหน้าที่  ต่างจริต  ต่างแนวคิด ต่างปฏิปทา  เลือกสิ่งใดก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณา 2.พระไตรปิฎกสุดพิศาร  ปัญญาที่มืดบอดด้วยอวิชชาห่อหุ่มจะสามารถเข้าถึงธรรมแท้ได้โดยง่ายหรือ ? 3.ผู้ที่ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว  ล้วนเสมอกันในความบริสุทธิ์พุทโธแตกต่างกันเพียงอาภรณืประดับกาย  ธรรมทั้งหลายที่ท่านเหล่านั้นได้แสดงอาจแตกต่างกันไป ตามกาล ตามสถานที่ ตามวาระ ตามบุคคล ฯลฯ แต่ธรรมที่ท่านแสดงนั้นล้วนเป็นธรรมเดียวกัน  ออกจากจิตที่บริสุทธิ์พุทโธเสมอกัน โปรดพิจารณา... อนุโมทนาสาธุ  ขอทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จากคุณ : Cathode_tube เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 08:30:50

ความคิดเห็นที่ 22 มีผู้ที่สงสัยกันจัง เรื่อง ความรู้ทางด้านบาลี ก็ เรามีผู้เชี่ยวชาญ ชำนาญการแปลบาลี แปลให้เราแล้ว ทำไมเราจะต้องไปเรียนรู้การแปลบาลีอีก สำนักใหญ่ๆอย่าง มหาจุฬา มหามงกุฏ บาลีสยามรัฐ มหาเถระสมาคม มีผู้เชี่ยวชาญ เป็นผุ้สอนภาษาบาลี ให้กับพระ เปรียญ 1-9 แล้ว แล้วคนสอนบาลีเหล่านี้ เชื่อถือ ไม่ได้หรืออย่างไร ครับ แล้ว จะให้เราไปเรียนบาลีกับใคร ก็ เรียนกับท่านผู้ทรงคุณวุฒิในการแปล บาลีของสำนักต่างๆนี่แหละ เขาก็เเปลมาให้เราศึกษาอยู่แล้ว ยังสงสัยกันจังว่า รู้บาลีรึเปล่า คนเก่งๆในประเทศไทยเขาแปลมาให้แล้ว สำนักใหน แปลผิด ก็ เอามาเทียบกันได้นี่ครับ มีตั้งหลายสำนักอยู่ ถ้าผู้ทรงคุณวุฒิของทุกสำนักนัดกันแปลผิดหมด ก็ ไม่รู้ว่าจะไปเรียนบาลีกันทำไม ก็ในเมื่อ คนสอนยังแปลผิด จะให้เชื่อถือใคร หรือ สำนักใหน หรือจะให้ไปเรียนบาลีกับใครอีกครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 09:03:12

ความคิดเห็นที่ 23 ใช่ ครับ อย่างที่ คุณ Cathode_tube กล่าวได้ถูกต้องเลย ที่จริง จะมานั่งเถียงกันทำไม ถ้าใครอยากศึกษา คำสาวก อยากศึกษา อรรถกถา ก็ ศึกษาไป ใครอยาก ศึกษา แต่ คำพระศาสดา ก็ศึกษาไป ต่างคนต่างศึกษา ต่างคนต่างปฏิบัติ คนที่ ศึกษา คำสาวก ก็ ปฏิบัติ ตามคำสาวกไป คนที่ศึกษา คำพระศาสดา ก็ ปฏิบัติ ตาม คำสอนพระศาสดาไป เถียงกันไป เถียงกันมา จะได้ประโยชน์ อะไร ครับ ส่วนผม ขอ เลือกศีกษา และ ปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดา ครับ คำสอนของสาวก ที่สอนได้ดี ก็ มีอยู่ ที่สอนต่างจากคำสอนของพระสาสดา ก็ มีอยู่ พระที่บวชนาน 30-40 พรรษา ก็ ใช่ว่าจะสอนเก่ง บางที ไม่รู้เลยว่าพระศาสดา สอนไว้ว่าอย่างไรก็มี ฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่บวชนานแล้วจะสอนเก่ง ส่วนพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ เราก็ ยกไว้ในฐานะ ที่ควรเคารพกราบไหว้ นับถือ บูชา ท่านด้วยความเคารพ แต่คำสอน ก็ ศึกษาคำสอน ของพระศาสดา เพื่อให้ คำสอนของพระศาสดา ดำรงค์อยู่ สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ใช่ พอถึงยุกลูก หลาน เหลือแต่คำสอนของใครก็ไม่รู้ ไม่เหลือคำพระศาสดาอยู่เลย จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 09:28:16

ความคิดเห็นที่ 24 คหที่ 19 ต้องขออภัยหากผมเข้าใจผิดว่าท่านเป็นห่วงเป็นใยในคำอรรถกถา แม้ตัวท่านเองจะไม่ได้กล่าวมาตรงๆ ก็ตาม แต่ลักษณะการกล่าวของท่านที่กล่าวออกมาทำให้ผมเข้าใจว่ามีลักษณะเช่นนั้น และผมก็ไม่ได้บอกว่าท่าน ไม่เห็นคุณค่าพุทธพจน์ การศึกษาพระไตรปิฎกแบบจริงจัง นั้น ผมจะศึกษานานแค่ไหนก็ไม่สำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่าศึกษาแล้ว นำไปปฏิบัติตามที่พระองค์กล่าวสอนหรือเปล่า ส่วนพระสารีบุตร พระมหากัจจายนะ ที่พระองค์ทรงรับรอง นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ท่านรับรอง ส่วนที่พระองค์ไม่รับรองก็มี แต่ตอนนี้พระองค์ไม่อยู่แล้ว  ใครจะสามารถรับรองคำที่คนแต่งขึ้นมาใหม่ได้ นอกจากพระตถาคตเท่านั้น ก่อนปรินิพพานพระองค์ก็ได้ตรัสไว้แล้ว ว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยการล่วงไปแห่งเรา ย้ำอีกครั้งครับ พระองค์บอกว่า ที่เราแสดงแล้ว ไม่ใช่ที่สาวกแสดงแล้ว ท่านให้ใช้สิ่งที่ท่านแสดงเป็นศาสดาต่อไป เมื่อพระองค์สิ้นไป จากคุณ : somkiat72 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 09:39:08

ความคิดเห็นที่ 25 คห 22 ครับผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้นบอก ทำไมพวกนี้ถึงโง่กันอย่างนั้นครับ -------------------------------------------------- เขาเหล่านั้นคงบอกกันครับว่า ตลก  กลับไปอ่านใหม่ครับว่า  1.คุณเคยเรียน บาลี มาบ้างหรือไม่ครับ คุณsomkiat72 ถ้าเคยนานขนาดไหนอย่างต่อเนื่อง / อันนี้ไม่ตอบก็ไม่เป็นไรครับ เ้พราะิอ่านจากความเห็นก็รู้ได้ครับ ว่าคุณไม่ทราบโครงสร้างและความเป็นมาและ ที่สำคัญคุณไม่ทราบว่าคนที่แปลพระไตรปิฎกนั้นท่านเห็นคุณค่า อรรถกถา อย่างไร  พวกคุณต่างหากที่กำลัง ปรามาส พระสังฆรัตนะโดยรู้เท่าไม่ถึงการ 2.ศึกษาพระไตรปิฎกนานขนาดไหนแล้วแบบจริงจัง 3.เคยบวชไหมครับ สำนักไหน นานเท่าไร 4.และเคยรู้ไหมครับว่า อรรถกถามีประโยชน์มากอย่างไรในการแปลพระไตรปิฎก 5..และเคยรู้ไหมครับที่พระไตรปิฎกแปลออกมาได้เพราะใช้ อรรถกถา 6.และเคยรู้ไหมครับว่า มากกว่า 60-70 % ของ อรรถกถา คือ พจนานุกรม  ไม่ใช่คำสอน  แต่เป็น คำอธิบายศัพท์ และบาลีไวยากรณ์ ที่เป็นองค์พุทธพจน์ 7.เคยรู้ไหมครับว่า อรรถกถาส่วนนึงพระพุทธองค์รับรอง เช่น พระสารีบุตรกถา พระมหากัจยานะ เป็นต้น ข้อเสนอครับ  ลองให้ทางทีมวัดนาป่าพงมีมหาเปรียญสูงเข้าไปทำงานดูครับจะได้รู้มุมมองพระไตรปิฎกกว้างขึ้น เหตุการณ์สมมุติในอนาคต ถ้าภาษาที่มนุษย์ในพุทธศาสนาใช้ เป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยแล้วในขณะนั้นไม่มี อรรถกถา  คุณรู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น  ผมไม่แปลกใจว่าทำไมพระสัทธรรมถึงจะมีเหตุอันตรธานได้ในเวลาเพียง 5000 ปี(สาวกวาทะ)  เหตุการณ์เปลี่ยนผ่านทางภาษานี้เกิดขึ้นมาทุกช่วงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ บาลี สันสกฤต เทวนาครี พราหมี สิงหล ขอม ไทย  ก็บอกแล้วว่านั้นคือ ตำราพจนานุกรม พุทธพจน์  ไปเอาออกหรือตัดทิ้งได้อย่างไร  พอมองออกไหมครับว่าผู้ที่แปลพระไตรปิฎกจริง ๆ(ไม่ใช่แค่มหาเปรียญ)  จะคิดอย่างไร  มันโอละพ่อ พิลึกครับ จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 10:11:40

ความคิดเห็นที่ 26 ผมเห็นด้วยกับการจุดประเด็นของท่านพระอาจารย์ ในการทำให้ชาวพุทธเห็นคุณค่าและหันมาแยกแยะพุทธพจน์ออกมาให้ชัดเจน  ซึึ่งตรงนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่ในหมู่ผู้ปฏิบัติรู้ตรงนี้อยู่แล้ว ในสังคมเถรวาทถึงแม้จะมีจำนวนน้อยมากก็ตามที  โดยเถรวาทนั้นทราบอยู่แล้วว่าหลักคือพุทธพจน์ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา คือคัมภีร์ประกอบ การกำหนดการเรียนรู้แยกชั้นมาอยู่แล้ว  แต่ท่านทั้งหลายจะมาเหมาว่า ที่ปัญหาอลัชชี กระจายไปทุกย่อมหญ้า อย่างนี้ เกิดจากความสับสนขององค์ความรู้ จาก พุทธพจน์แท้ กับ แหล่งอรรถกถา หรือครับ    ผมว่า ข้อสรุปนี้ตีไม่ถูกปัญหา  ฉะนั้นผลที่จะออกมาโดยการระดมสรรพกำลังต่างๆเข้าไปแก้ย่อมไม่ใช้วิธีที่เหมาะควรเลย จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 10:20:54

ความคิดเห็นที่ 27 ความคิดเห็นหลายอันน่ารังเกียจมาก... ไม่เคารพในคำของศาสดาของตนเอง.. ไปตั้งศาสนาใหม่นะครับ... อานนท์ ! สาวกทั้งหลาย เรียกร้องหาศาสดา เพื่ความเป็นศัตรูไม่เรียกร้องเพื่อความเป็นมิตร เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ในกรณีนี้ ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์ เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จึงแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า “สิ่งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอทั้งหลาย และสิ่งนี้ก็เป็นไปเพื่อความสุขแก่พวกเธอทั้งหลาย” ดังนี้เป็นต้น, สาวกเหล่านั้นของศาสดา ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟังไม่ตั้งจิตกำหนดเพื่อรู้ทั่วถึง แต่แกล้งทำให้ผิดจากคำสั่งสอนของศาสดาไปเสีย. อานนท์ ! สาวกทั้งหลายอย่างนี้แลชื่อว่า ผู้เรียกร้องหาศาสดา เพื่อความเป็นศัตรูไม่เรียกร้องเพื่อความเป็นมิตร. อานนท์ ! สาวกทั้งหลาย เรียกร้องหาศาสดา เพื่อความเป็นมิตรไม่เรียกร้องเพื่อความเป็นศัตรู เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท  ! ในกรณีนี้ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้วจึงแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า“สิ่งนี้เป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอทั้งหลายและสิ่งนี้ก็เป็นไปเพื่อความสุขแก่พวกเธอทั้งหลาย” ดังนี้เป็นต้น,สาวกเหล่านั้นของศาสดา ย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตกำหนดเพื่อรู้ทั่วถึง และไม่แกล้งทำให้ผิดจาก คำสั่งสอนของศาสดา. อานนท์ ! สาวกทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่า ผู้เรียกร้องหาศาสดา เพื่อความเป็นมิตร ไม่เรียกร้อง เพื่อความเป็นศัตรู. อานนท์ ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงเรียกร้องหาตถาคต เพื่อความเป็นมิตรเถิด อย่าเรียกร้อง เพื่อความเป็นศัตรูเลย ถ้าเด็กแบบผมยังมีปัญญาเห็นธรรมตรงนี้ ผู้ใหญ่อย่างคุณๆควรพิจารณาตนเองใหม่ได้แล้ว อย่าเป็นขยะของศาสนา แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 54 13:41:41 จากคุณ : พุทธตัวจริง (A_Minor) เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 13:33:35

ความคิดเห็นที่ 28 จะฟังคำของสาวก ก็ฟังไป...แล้วแต่ระดับปัญญาของคน.. แต่การมากล่าวหาผู้อื่นเสียๆหายๆ มันต่ำมาก.... หากศึกษาธรรมของสาวกแล้วจะมีจิตทรามเช่นนี้ ควร reevaluate ซักหลายๆรอบนะครับ.. จากคุณ : พุทธตัวจริง (A_Minor) เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 13:45:20

ความคิดเห็นที่ 29 ้ขออนุญาตแนะนำ 2 กระทู้ 1. พระไตรปิฎกแปลไทย...ความหมายอาจตกหล่น (>>ลิงค์<<) 2. อรรถกถา เครื่องบอกความหมาย ... คำอธิบายอัตถะ คือพระบาลี (>>ลิงค์<<) จากคุณ : ปล่อย เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 14:01:45

ความคิดเห็นที่ 30 ใจเย็นๆกันนิดนึง... คุณเจ้าของกระทู้จะนับถือ จะเผยแผ่ จะยึดมั่นเทอดทูนคำสอนครูบาอาจารย์ก็เป็นสิทธิของคุณ เราไม่ว่ากัน (เท่าที่ผ่านมา คุณจะเห็นว่าเราจะไม่ว่าพวกคุณเลย มีแต่ฝ่ายคุณเดือดร้อนกันไปต่างๆนานา ที่มีคนอยากเรียนคำศาสดา) แต่ลูกศิษย์พระอาจารย์คึกฤทธิ์ก็สมัครใจว่าชาตินี้เกิดมา จะของมงายกับพระพุทธเจ้าสักชาติหนึ่ง ขอมอบความเชื่อมั่นไว้ในองค์พระศาสดา เอาให้มันรู้กันไปเลยว่า เรียนแต่คำศาสดา มันจะไม่พัฒนาไปสู่ความสิ้นทุกข์ แม้พระองค์จะบอกให้เราก้าวตามท่านลงไปในหล่มโคลน เราก็จะก้าวตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง หรือลังเลใจแม้แต่น้อย เพราะเราเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่า พระองค์เป็นครูผู้สอนเทวดาและมนุษย์ที่เยี่ยมยอดที่สุด ไม่มีใครยิ่งกว่า เชื่อว่าคำสอนของพระองค์ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้วสินเชิง ทรงเป็นผู้รู้แจ้งโลกกว่าใครๆในโลกนี้ และโลกไหนๆ จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 15:29:49

ความคิดเห็นที่ 31 ผมว่า คุณ aero.1 นั่นแหละครับ ตลก คนอื่นเค๊าจะนับถือ พระศาสดา จะศึกษา แต่คำพระศาสดา ก็เรื่องของเขา แต่ คุณ aero.1 ไม่ คิดจะศึกษา คำพระศาสดา ก็ไม่เป็นไร แต่เที่ยวกลับ มาโจมตีคนนั้น มาว่าคนนี้ ผมว่ามันตลกอยู่นะครับ คุณอยากศึกษา คำสาวก อยากศึกษา อรรถกถา คุณก็ศึกษา ของคุณไป เราจะศึกษา คำพระศาสดา เราก็ศึกษา ของเรา ต่างคนต่างศึกษา ต่างคนต่างปฏิบัติ ไป แต่นี่คุณกำลังพยายาม ให้เรา เห็นด้วยกับคุณ ที่ให้สนใจคำสาวก ซึ่งเราไม่เห็นด้วย ก็ต่างคนต่างศึกษาไปสิครับ คุณจะเรียน บาลี มา 10 ปี 20 ปี หรอ 30 ปี ผมไม่ทราบ คุณเก่งบาลี ก็ ดีแล้ว และขออุโมทนาด้วย ในการศึกษา บาลี แปลบาลีได้อย่างชำนาญ ผม แปลบาลีไม่เป็น ก็อาศัย ผู้เชี่ยวชาญ จาก มหามงกุฏ มหาจุฬา มหาเถระสมาคม เป็นผู้แปลให้ คุณจะว่าสำนักต่างๆเหล่านั้น แปลถูกหรือแปลผิด ผมไม่ทราบหรอกครับ คุณว่าให้มาศึกษา บาลี เพราะ กลัวสำนักต่างๆแปลผิด ก็ไม่เป็นไร ผมไม่คิดจะศึกษา บาลี หรอก ครับ มันเสียเวลาในการภาวนา ไปเปล่าๆ คุณอยากจะศึกษาบาลี ก็ ศึกษาของคุณไป แต่ไม่ใช่มาว่าคนอื่น ว่าไม่ศึกษาบาลีบ้าง มาถามคนอื่นว่า ศึกษาบาลี มากี่ปีบ้าง บวชมากี่ปีบ้าง ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้อง กับคุณตรงใหน ก็ งงเหมือนกันครับ ว่า คุณอยากทราบไป ทำไม จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:26:07

ความคิดเห็นที่ 32 คุณ aero.1 บอกว่า เชี่ยวชาญ บาลี ศึกษา พระไตรปิฏกมานาน แต่ แค่นี้ คุณก็พลาดแล้ว ครับ ที่ว่า ผมไม่แปลกใจว่าทำไมพระสัทธรรมถึงจะมีเหตุอันตรธานได้ในเวลาเพียง 5000 ปี(สาวกวาทะ) 5000 ปี พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสไว้เลย ครับ นี่คือ สิ่งที่คุณ ไปสนใจแต่ อรรถกถา จนไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้า ตรัสอะไรไว้บ้าง หรือ อะไร ที่พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสไว้ แต่ อรรถกถา นำมาพูดกันเอง นี่คือ ตัวอย่างครับ ที่คุณสนใจแต่คำสาวก จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 16:37:37

ความคิดเห็นที่ 33 ความคิดเห็นที่ 15 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน คุณ Somkiat72 อธิบายได้ละเอียดมากเลยครับ    ภิกษุ ท.!   บริษัทสองจำพวกเหล่านี้ มีอยู่, สองจำพวกเหล่าไหนเล่า สองจำพวก คือ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา นี้อย่างหนึ่ง, และปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา    ภิกษุ ท.!   บริษัทชื่อ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา เป็นอย่างไรเล่า?  ภิกษุ ท. !ในกรณีนี้คือ ภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด. เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ตถาคตภาสิตา-อันเป็นตถาคตภาษิต คมฺภีรา-อันลึกซึ้ง  โลกุตฺตรา-เป็นโลกุตตระ  สุญญตปฏิสํยุตฺตา-ประกอบด้วยเรื่องสุญญตา อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง  และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศืกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี เงี่ยหูฟังตั้งจิตเื่พื่อจะรู้ทั่วถึง และสำคัญไปว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. พวกเธอเล่าเรียนธรรมอันกวีแต่งใหม่นั้นแล้ว ก็ไม่สอบถามซึ่งกันและกัน ไม่ทำให้เปิดเผยแจ่มแจ้งออกมาว่า ข้อนี้พยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้. เธอเหล่านั้นเปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เปิดเผยไม่ได้   ไม่หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นได้ ไม่บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย  มีอย่างต่างๆได้.  ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา.    ภิกษุ ท.!  บริษัทชื่อ  ปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา  เป็นอย่างไรเล่า?   ภิกษุ ท.!  ในกรณีนี้คือ  ภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด,  เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอนมีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตเข้าไปรู้ทั่วถึง และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วน สุตตันตะเหล่าใด อันเป็นตถาคตภาษิต อันลึกซึ้ง มีอรรถอันลึกซึ้ง เป็นโลกุตตระประกอบด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมเข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.  พวกเธอเล่าเรียนธรรมที่เป็นตถาคตภาษิตนั้นแล้ว ก็สอบถามซึ่งกันและกัน ทำให้เปิดเผยแจ่มแจ้งออกมาว่า ข้อนี้พยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้. เธอเหล่านั้น เปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เปิดเผยได้ หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นได้ บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย มีอย่างต่างๆได้.  ภิกษุ ท.!   นี้เรียกว่าปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา.    ภิกษุ ท.!    เหล่าใดแล ปริษัท ๒ จำพวกนั้น.  ภิกษุ ท.! บริษัทที่เลิศในบรรดาบริษัททั้งสองพวกนั้น คือบริษัทปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา ทุก. อํ. ๒o/๙๑/๒๙๒ ที่ตรัสว่า ภิกษุ ท.!   บริษัทชื่อ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา เป็นอย่างไรเล่า?  ภิกษุ ท. !ในกรณีนี้คือ ภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด. เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ตถาคตภาสิตา-อันเป็นตถาคตภาษิต คมฺภีรา-อันลึกซึ้ง  โลกุตฺตรา-เป็นโลกุตตระ  สุญญตปฏิสํยุตฺตา-ประกอบด้วยเรื่องสุญญตา อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง  และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศืกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี เงี่ยหูฟังตั้งจิตเื่พื่อจะรู้ทั่วถึง และสำคัญไปว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. (๑) พุทธบุตร สมัยนี้ เช่น พระอาจารย์มั่น ฯ เช่นท่านพุทธทาส เป็นต้น และ ศิษย์ของภิกษุทั้งสอง ท่านใดเห็นตามหลักฐานฯ ว่า ตรงกับ " บริษัทชื่อ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา" (๒) บริษัทชื่อ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา เนื่องกับ "เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ตถาคตภาสิตา-อันเป็นตถาคตภาษิต คมฺภีรา-อันลึกซึ้ง  โลกุตฺตรา-เป็นโลกุตตระ  สุญญตปฏิสํยุตฺตา-ประกอบด้วยเรื่องสุญญตา อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, " ใช่หรือไม่?                                                    สรุป ข้อความ "ที่ตัวป้าติดใจมากที่สุดก็คือ ประโยคนี้แหละค่ะ "ทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น"" = บริษัทชื่อ อุกกาจิตวินีตาปริสาโนปฏิปุจฉาวินีตา ----- หรือไม่? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 17:30:34

ความคิดเห็นที่ 34 ป่วยการครับ ที่จะยกพระสูตรมาตอบ เพราะ เขาไม่สนใจ คำพระศาสดา ยกพระสูตรมาตอบ เขาก็ ไม่รู้เรื่อง หรอกครับ จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 18:07:00

ความคิดเห็นที่ 35 ความคิดเห็นที่ 12 หมายถึงที่ไหนบ้างครับ จากคุณ : โชติช่วงชัชวาล เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 18:24:08

ความคิดเห็นที่ 36 #31 ผมบอกไว้ตรงไหนเร่อ  แต่ คุณ aero.1 ไม่ คิดจะศึกษา คำพระศาสดา ------------------------------------------ #32 ผมบอกไว้ตรงไหนเร่อ คุณ aero.1 บอกว่า เชี่ยวชาญ บาลี ศึกษา พระไตรปิฏกมานาน  ------------------------------------------------------ #32 ก็วงเล็บไว้ให้แล้ว ว่า "สาวกวาทะ" เหตุอันตรธานได้ในเวลาเพียง 5000 ปี(สาวกวาทะ) ----------------------------------------------------- ส่วนเรื่องพระสูตรก็บอกแล้วว่าข้อมูลพื้นฐานคุณไปหากันมาก่อน(เถรวาท 18 นิกาย) ส่วนเรื่องตะโพน ต้องมีคุยถึงแน่นอน แล้วค่อยมาว่ากัน  ว่างๆ จะเข้ามาคุยด้วย เอบอกตั้งแต่ต้น นาาา   เรื่องที่ผมไม่ได้กล่า่วก็อย่าปรักปรำกันเลยครับ ทำไมชอบพูดกันจังว่า ผมยึดแต่แนวคำสอน อรรถกถา  ไม่เข้าใจครับ   จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 19:11:47

ความคิดเห็นที่ 37 #34 นี่ก็อีกอัน ไม่สนใจตรงไหน  ข้อความไหน  เพราะ เขาไม่สนใจ คำพระศาสดา ยกพระสูตรมาตอบ จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 19:14:56

ความคิดเห็นที่ 38 ผมบอกไว้ตรงไหนเร่อ // แต่ คุณ aero.1 ไม่ คิดจะศึกษา คำพระศาสดา // ถ้าคิดที่จะศึกษา คำ พระศาสดา ก็ ขออนุโมทนาด้วยครับ และคิดว่า คงไม่มาขัดแย้งกับคนที่สนใจศึกษา คำพระศาสดา อีกนะครับ ผมบอกไว้ตรงไหนเร่อ // คุณ aero.1 บอกว่า เชี่ยวชาญ บาลี ศึกษา พระไตรปิฏกมานาน อันนี้ ผมคาดเดาเอาครับว่า คุณ  aero.1น่าจะเชี่ยวชาญ ภาษา บาลี เอามากๆ เพราะเห็นถามคนอื่นว่า ศึกษามากี่ปี ก็วงเล็บไว้ให้แล้ว ว่า "สาวกวาทะ" // เหตุอันตรธานได้ในเวลาเพียง 5000 ปี(สาวกวาทะ) ครับ ก็ เห็นแล้วครับ แต่อยากจะย้ำให้เห็นอีกครั้ง ว่า ไม่ใช่ อรรถกถา หรือ สาวก ไม่มีข้อผิดพลาด สาวกพูดเรื่อง ที่พระศาสดา ไม่เคยตรัสไว้ ก็มี แล้ว ก็ พากันไปเรียน ในสิ่งที่พระศาสดาไม่เคยสอน ไม่เคยตรัสไว้กัน นี่เป็นเหตุ ให้ศาสนาเสื่อม ครับ เพราะเราชาวพุทธ ไม่สนใจ คำพระศาสดา แต่ไปสนใจในสิ่งที่พระศาสดา ไม่เคยสอน ไม่เคยตรัสไว้ ส่วนเรื่องพระสูตรก็บอกแล้วว่าข้อมูลพื้นฐานคุณไปหากันมาก่อน(เถรวาท 18 นิกาย) อันนี้ ก็เป็น ตัวอย่างที่ชัดเจน ที่ สาวก ไม่ศึกษา และ ไม่สนใจ คำพระศาสดา จึงแตกเป็น นิกายนั้น นิกาย นี้ ถ้า ทุกวัด สนใจ ศึกษา และ ปฏิบัติ ตามคำสอน ของพระศาสดา ทุกนิกาย จะ รวมเป็นหนึ่งเดียว และ ปฏิบัติ เหมือนกันหมดทุกวัด เพราะ มีมาตราฐานเดียวกันหมด คือ ศึกษา และ ปฏิบัติ ตาม คำสอนของพระศาสดา นี่ก็อีกอัน ไม่สนใจตรงไหน  ข้อความไหน // เพราะ เขาไม่สนใจ คำพระศาสดา ยกพระสูตรมาตอบ ถ้าคุณaero.1 สนใจ คำสอน ของพระศาสดา คงจะเห็น พระสูตรดังกล่าว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ ได้สั่งไว้ ว่าอย่าไปสนใจ คำสาวกที่แต่งขึ้นใหม่ ให้สนใจ ศึกษา แต่คำของพระองค์ จึงเป็น บริษัท ที่เลิศ ก็เห็น คุณ aero.1 มาแย้ง คนที่ศึกษา คำพระศาสดา อยู่ตลอด แต่ ถ้า คุณ aero.1 ก็ สนใจที่จะศึกษา คำสอนของพระศาสดา ก็ขออนุโมทนา ด้วย ครับ มาช่วย กันศึกษา และ เผยแผ่ คำพระศาสดา กันดีกว่า เพื่อ ให้คำพระศาสดา อยู่คู่กับ โลกนี้ ไป อีกนานเท่านาน ครับ หากมี ถ้อยคำ ที่ อาจจะ กล่าวล่วงเกิน ไปจากการคาดเดาของผมเอง ก็ ขออภัย มาณ.โอกาสนี้ ครับ จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 20:26:07

ความคิดเห็นที่ 39 ฟัง ถ่ายทอดสด พุทธวจน ค่ำวันเสาร์ http://media.watnapahpong.org จับใจความเท่าทีจะทำได้ ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ..................... พระอาจารย์คึกฤทธิ์  ท่านพยายามยกคำศาสดามาูพูดให้ถูกต้องมากที่สุด อย่าพยายามเชื่อท่านทันที ต้องนำไปตรวจสอบก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะท่านก็เป็นสาวก นำคำศาสดามาพูด ท่านอยากให้เรา และวัดต่างๆ ศึกษา และปฎิบัติตามพุทธวจน จะได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีแบ่งแยก เพราะแต่ละวัด แต่ละสาย การปฎิบัติก็ไม่เหมือนกันเพราะทำตามๆ กันมา และมีการบัญญัติเพิ่มเติมกันเองก็มี ในบางอย่างที่พระพุทธเจ้าห้ามก็ยังทำกันอยู่เป็นประจำก็มี ในส่วนอรรถกถาท่านว่ามีผิดอยู่มาก แต่งเติมเกินจากพุทธวจนก็เยอะ .............. ที่เหลือก็รอดูวีดีโอเต็มๆ เอานะครับ จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 22:17:15

ความคิดเห็นที่ 40 ความคิดเห็นที่ 39 กล่าวไว้ดีมากครับ   ข้อความนี้ เป็นสิ่งที่ชาวพุทธต้องตระหนักเสมอๆ ปัญหาเรื่องลัทธิประหลาดๆ คำสอนแหวกแนว คงหมดหรือลดไปครับ .................................................... "อย่าพยายามเชื่อท่านทันที ต้องนำไปตรวจสอบก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะท่านก็เป็นสาวก นำคำศาสดามาพูด ท่านอยากให้เรา และวัดต่างๆ ศึกษา และปฎิบัติตามพุทธวจน จะได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีแบ่งแยก เพราะแต่ละวัด แต่ละสาย การปฎิบัติก็ไม่เหมือนกันเพราะทำตามๆ กันมา และมีการบัญญัติเพิ่มเติมกันเองก็มี ในบางอย่างที่พระพุทธเจ้าห้ามก็ยังทำกันอยู่เป็นประจำก็มี ในส่วนอรรถกถาท่านว่ามีผิดอยู่มาก แต่งเติมเกินจากพุทธวจนก็เยอะ" แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 54 18:31:06 จากคุณ : misery เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 54 22:46:14

ความคิดเห็นที่ 41 # 38 คุณแดนดังฝั่งฝัน ผมบอกไว้ตรงไหนเร่อ // แต่ คุณ aero.1 ไม่ คิดจะศึกษา คำพระศาสดา //  ถ้าคิดที่จะศึกษา คำ พระศาสดา ก็ ขออนุโมทนาด้วยครับ และคิดว่า คงไม่มาขัดแย้งกับคนที่สนใจศึกษา คำพระศาสดา อีกนะครับ #38 ที่ขีดเส้น  ตรงไหนที่ผมกล่าวขัดแย้งกับพวกศึกษาคำพระศาสดาหรือ ?   ผมเพียงแต่เตือนพวก ปากพล่อย  ที่จะล้างหรือกร่อนอรรถและพยัญชนะ ในคัมภีร์อรรถกถาซึ่งคือปิฎกในพุทธเถรวาทเช่นกัน  พิจารณาให้ดีมันคนล่ะเรื่อง  และประเด็นที่เตือนก็คือ ชี้แจงให้เห็นว่า คุณของอรรถกถาคืออะไร  อ่านกันให้ดีๆ ก็ชี้ชัดแล้วใน คห19และ 25  คุณคิดเอาเองและ เสนอข้อความซึ่งเป็นการใส่ร้ายผู้อื่น ว่าเป็นผู้ไม่ฟัง คำพระศาสดา และพอผมชี้แจงคุณก็กล่าวคำขอโทษ  ถามว่าทำไม ไม่คิด ก่อนพูดก่อนเขียน ทำไมไม่คิดก่อนว่า เป็น สัจจะ หรือไม่ หากมี ถ้อยคำ ที่ อาจจะ กล่าวล่วงเกิน ไปจากการคาดเดาของผมเอง ก็ ขออภัย มาณ.โอกาสนี้ ครับ #38   และไม่มีเหตุไรเลยที่ผมจะต้องให้อภัยเพราะคุณแค่กล่าวเป็นแฟชั่นไม่ใช่จากเจตนาจริงๆ นอกจากคุณจะแก้ที่เหตุคือ ลบข้อความอันเป็นการ ใส่ร้ายผู้อื่นเสีย  อันนั้นต่างหากเป็นการแสดงความถูกต้อง จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 17:28:50

ความคิดเห็นที่ 42 ผมไม่ได้ คิดจะใส่ร้ายใคร ครับ แต่การกระทำของคุณ ทำให้ ผมคิดเช่นนั้น ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดของผมเอง ซึ่งผม ก็ ได้ขออภัยไปแล้ว ส่วน คุณ คิดจะผูก โกรธ พยาบาท ที่จะไม่ให้อภัย ก็ เป็น อกุศลจิต ของ คุณเอง ครับ แล้วแต่คุณก็แล้วกันครับ จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:24:25

ความคิดเห็นที่ 43 พระรัตนตรัยมี ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม  พระสงฆ์...  คิดบ้ายังไงจะตัดให้เหลือแค่ ๒ คือ พระพุทธ กับพระธรรม  งั้นหรือ ???  ถ้าไม่เชื่อพระสงฆ์แล้วใครจะถ่ายทอดสืบทอดหลักธรรม ??  พระสงฆ์ท่านก็แค่เอาหลักธรรมมาบรรยายพลิกแพลงแง่มุมต่างๆให้เข้าใจง่ายขึ้นในแต่ละยุคสมัยเท่านั้น  ซึ่งย่อมมีตรงบ้าง เพี้ยนบ้างคละเคล้าผสมกันไป  ก็พยายามหาทางแยกแยะกลั่นกรองเอา  ไม่ใช่จะไปตัดพระสงฆ์ทิ้งออกจากไตรรัตนะ   ใครที่คิดแบบนั้น นั่นแหละสมควรถูกตัดออกไปก่อน.. จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:30:48

ความคิดเห็นที่ 44 อาจจะไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ถกกันอยู่ (อย่างงงๆ) นี่ก็ได้ แต่จะพยายามประมวลว่าผู้ศึกษาพุทธวจนะ เจอการต่อต้าและกล่าวหานอย่างไรกันบ้าง คนที่ศึกษาพุทธวจนะถูกมองว่า - เป็นคนไม่เคารพ จาบจ้วงครูบาอาจารย์ - ทำให้พระไตรปิฎกในส่วนตั้งแต่อรรถกถาลงมาเสียหาย สาปสูญ - เลิกฟังครูบาอาจารย์ ไปศึกษากันเอาเองแบบงูๆปลาๆ - ไม่มีทางเข้าใจพุทธวจนะที่ตนศึกษาได้ โดยไม่พึ่งอรรถกถา - ไม่รู้ภาษาบาลี ไม่อาจแปลหรือรู้ได้ว่าแปลมาถูกหรือผิด - ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ - เป็นพวกชอบคอยจับผิดพระ ที่อาจจะปฏิบัติไม่ตรงกับธรรมวินัย แต่อนุโลมไปตามจารีตประเพณีหรือตามกาลสมัย เช่นการรับเงิน การทำเครื่องลางของขลัง ปลุกเสกทำน้ำมนต์ แสดงปาฏิหาริย์ - ไม่ยอมรับคำสาวกที่พระพุทธองค์ทรงรับรอง (แต่จริงๆแล้ว ถ้าพระศาสดารับรอง นั่นคือคำศาสดา ไม่ใช่คำสาวกอยู่ดี) ท่านอื่นๆมีอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:31:33

ความคิดเห็นที่ 45 ^ ^ คุณศิษย์พระป่า กระทู้ก่อนนี้ยังไม่สามารถสร้างความเข้าใจให้คุณได้อีกหรือ ว่างๆเชิญที่วัดดีไหม มีอะไรข้องใจจะได้ถามพระอาจารย์ท่านเสียเลย จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:34:26

ความคิดเห็นที่ 46 1 งั้นทีหน้าทีหลังควรใช้ปัญญา อ่านให้ทั่วก่อนคิด ก่อนเขียน น่ะ และก็อีกล่ะไม่ทราบคงไม่ค่อยใช้ภาษาไทยหรือครับ  ตรงไหนที่แสดงความ อาฆาต ?  และไม่มีเหตุไรเลยที่ผมจะต้องให้อภัยเพราะคุณแค่กล่าวเป็นแฟชั่นไม่ใช่จากเจตนาจริงๆ นอกจากคุณจะแก้ที่เหตุคือ ลบข้อความอันเป็นการ ใส่ร้ายผู้อื่นเสีย  อันนั้นต่างหากเป็นการแสดงความถูกต้อง จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:37:01

ความคิดเห็นที่ 47 คห 44  ถ้าคุณจะสรุปประเด็นคำๆนี้  ควรเป็นดังนี้หรือครับ อาจจะไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ถกกันอยู่ (อย่างงงๆ) นี่ก็ได้ แต่จะพยายามประมวลว่าผู้ศึกษาพุทธวจนะ เจอการต่อต้าและกล่าวหา ควรแก้เป็น "ผู้ที่ศึกษาพุทธวัจนะ โดยไม่เอาปิฎกส่วนอรรถกถา"   หรือควรเป็น "ผู้ที่ศึกษาจากสถาบันพุทธวัจนะ" เพราะพวกคุณพยามเหมาว่า ความคิดเห็นที่ตรงข้าม เป็นพวกไม่เอา พุทธพจน์ โดยทั้งกระทู้กล่าวกันแต่อย่างนี้ตลอด  ไม่เข้าใจ เพื่อนผมเป็นลูกศิษย์ พอจ หลายคนไม่เห็นมีอาการ พุทธวัจนะของฉัน อย่างนี้เลย   และไม่อยากเห็นว่าเป็นความคลาดเคลื่อนจากความสามารถทางการเข้าใจภาษาไทยเลยจริงๆ  จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:45:22

ความคิดเห็นที่ 48 #46 เขียนถึง #42 จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:47:21

ความคิดเห็นที่ 49 ใจเย็นๆ ครับ..ใจเย็นๆ เหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อย่าได้มีวาทะที่เจือไปด้วยอกุศลซึ่งกันและกันเลยครับ จิตจะเศร้าหมองกันเปล่าๆ ว่าแต่วันนี้...มีใครเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 บ้างหรือยังครับ ถ้ายัง...ก็อย่าลืมกันนะครับ ขอให้ความเจริญแห่งธรรมเกิดขึ้นกับทุกคน แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 54 21:14:04 จากคุณ : IamPakti เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:11:44

ความคิดเห็นที่ 50 สรุป แล้ว ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ศิษย์ พระป่า ครับ การที่ ให้ ชาวพุทธ มาสนใจ ศึกษา คำพระพุทธเจ้า ไม่ได้หมายความว่า จะตัดพระสงฆ์ ออกไป แต่ การศึกษา ธรรมะ หรือ เผยแพร่ ธรรมะ ควรใช้ คำพระพุทธเจ้า มาถ่ายทอดบอกสอน แล้วคนถ่ายทอดบอกสอนคำพระพุทธเจ้า ก็ คือใครละครับ ก็ คือ พระสงฆ์ นั่นเอง ที่เป็น ผู้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ แล้ว นำคำพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า มาถ่ายทอดบอกสอน ไม่ได้ ตัดพระสงฆ์ ออกตรงใหนเลย ส่วน จะเอาหลักธรรม ตนเอง ที่คิดเอง หรือคนอื่นคิด มันก็ จะเป็นการทำให้ คำสอนของพระพุทธเจ้า ถูกลบเลือนไป ในไม่ช้า จะเป็นเหตุให้ ศาสนา เสื่อมไปทีละเล็กละน้อย เหมือนการเล่นเกมส์ กระซิบ ถ้าเพี๊ยน นิดเดียว พอถึงยุค ลูกหลาน มันจะเพี๊ยนไปมาก แล้วก็ จะไม่เหลือ คำพระศาสดา ให้ รุ่นลูกหลาน ได้สืบทอด ไปรุ่นต่อรุ่น อธิบาย มาตั้งนาน น่าจะเข้าใจบ้างนะครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:13:10

ความคิดเห็นที่ 51 #49 คุณIamPakti  อย่าได้มีวาทะที่เจือไปด้วยอกุศลซึ่งกันและกันเลยครับ จิตจะเศร้าหมองกันเปล่าๆ  ว่าแต่วันนี้...มีใครเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 บ้างหรือยังครับ เอถ้าคุณจะกล่าวถึง Aero.1 มีวาทะเจือ อกุศล  หรือดำเนินการหรือความคิด  นอก มรรค 8 ตรงไหนครับ ที่ว่ามา มรรคมีองค์8  ถ้าตั้งไว้ชอบแล้ว ไม่ต้องไปจัดกระทำหรอกครับ จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:18:40

ความคิดเห็นที่ 52 และไม่มีเหตุไรเลยที่ผมจะต้องให้อภัย ผม บอกตรงใหน ครับ ว่าคุณ อาฆาต และก็อีกล่ะไม่ทราบคงไม่ค่อยใช้ภาษาไทยหรือครับ  ตรงไหนที่แสดงความ อาฆาต ? ผมว่า คุณ ไม่เข้าใจ ภาษา ไทยมากกว่า นะครับ ผมบอกแค่ ถ้า คุณไม่ให้อภัย ก็ แล้วแต่คุณ ครับ จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:22:56

ความคิดเห็นที่ 53 #50 คุณรักเธอเกินฟ้าดินบรรยาย  ผมว่าคุณแหละที่ไม่พยายามเข้าใจประเด็นนี้เลย(ไม่ใช่อะไรเลย) การจะบอกกล่าวธรรมของพระองค์แล้วจะบัญญัติ ว่าตนเป็น สาวกผู้เลิศ(เลิศจริงๆ น่ะๆ ไม่ใช่หลอกๆ) เห็นทีต้องบอกกล่าวและฟังเป็นภาษาบาลี กระมัง  เพราะเปรียบเหมือน คุณอ่านหนังสือที่เขียนโดยภาษาอังกฤษฉบับแปลและหนังสือเล่มนั้นบอกต้องบอกกล่าวให้ไม่ผิดเพี้ยนถึงจะเรียกว่าผู้ถ่ายทอดอันเลิศ ผมถามคำนึงว่า คุณอ่านที่แปลแล้วแล้วถ่ายทอด คุณว่า เลิศ ตามนัยยะหรือ และในขณะเดียวกันคุณก็บอกว่า ผู้แปลนั้นน่ะ สู้ผู้เขียนไม่ได้หรอกอย่าไปฟังผู้แปล  ผมว่าอย่างนี้ประหลาดมากๆ ถ้าจะให้เลิศจริงผู้อ่านต้อง อ่านจาก ภาษอังกฤษ original printed ในภาษาที่ผู้เขียนๆนั้นแหละ และถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาดั่งเดิม  นั้นอันนั้นเลิศ แต่นี้คุณเล่นไม่เอา ฉันจะเอาที่แปลแล้วนี้แหละ  เท่านั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ 1.ห้ามฟังคำอธิบายโดยผู้เรียนภาษานั้นอย่างชำนาญการ  แม้กระทั้งผู้อธิบายไว้ตั้งแต่สมัยผู้เขียนมีชีวิตก็ตาม 2.นอกจากนั้นยังไม่พอยังต้องลบข้อ อธิบายศัพท์คำแปลทั้งหมดด้วย 3.นอกจากนั้นยังไม่พอ ยังบัญญัติตนเป็นผู้ถ่ายทอดอันเลิศเท่านั้น(ใครอื่นอย่าแหลม) 4.พวกอื่นที่ไม่มีแนวคิดเดียวกับคุณ  คุณก็สถาปนาเป็น ผู้ไม่เอา original printed  โห อันนี้แรงงงง ผมว่า 4 ข้อนี้ก็ทำให้ผู้ที่ศึกษาอย่างแจ่มแจ้งรับไม่ได้ครับ  และข้อสำคัญ เป็นการลดคุณค่าของเจตจำนงค์หลักของสถาบันพุทธวัจนะในการแยกชัดพระพุทธวัจนะ และชี้ชัดให้สังคมเห็นคำสอนที่แท้จริง(ซึ่งเจตนานี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งและยินดีสนับสนุนเต็มที่) แต่ทว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา  การที่แนวคิดนี้ถูกออกนอกถึงขนาดจะลบ ตัด แยก ปิฎกส่วนกอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา (แยก)ออกไปนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายวัตถุประสงค์หลักของสถาบันฯอย่างยิ่ง จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:43:29

ความคิดเห็นที่ 54 บาลี สยามรัฐ มหาจุฬา มหามงกุฏ เขา ก็เป็น ผู้แปล เราไม่เอาผู้แปล ยังไง ครับ เราเอาผู้แปล อยู่ แต่เรา ไม่เอา คำแต่งใหม่ ก็เท่านั้นเอง ถ้า แปล คำพระพุทธเจ้า ถ่ายทอด บอกสอนคำพระพุทธเจ้า เราเรียน เราศึกษา ก็ ศึกษา ที่เขาแปล นั่นแหละครับ เราไม่เอาคนแปลตรงใหน อธิบาย ไป ก็ เท่านั้น ขอ จบ เพียงเท่านี้ แล้วกัน ครับ อธิบายไป ก็ ไม่มีประโยชน์ อะไร ต่างคนต่างศึกษาดีกว่า จบ ครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:49:30

ความคิดเห็นที่ 55 บาลี สยามรัฐ มหาจุฬา มหามงกุฏ เขา ก็เป็น ผู้แปล เราไม่เอาผู้แปล ยังไง ครับ เราเอาผู้แปล อยู่ แต่เรา ไม่เอา คำแต่งใหม่ ก็เท่านั้นเอง ถ้า แปล คำพระพุทธเจ้า ถ่ายทอด บอกสอนคำพระพุทธเจ้า เราเรียน เราศึกษา ก็ ศึกษา ที่เขาแปล นั่นแหละครับ เราไม่เอาคนแปลตรงใหน อธิบาย ไป ก็ เท่านั้น ขอ จบ เพียงเท่านี้ แล้วกัน ครับ อธิบายไป ก็ ไม่มีประโยชน์ อะไร ต่างคนต่างศึกษาดีกว่า จบ ครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:49:56

ความคิดเห็นที่ 56 #52 อย่าหาว่าผมสอนภาษาไทย หรือ อภิธรรม คุณเลยน่ะครับ  อาฆาต มาจาก อาการจิต ที่ ผูกโกรธ และพยาบาทไว้  ถ้าคุณเขียนโดยไม่มีคำว่า "ผูก" อันนั้นเป็นลักษณะจิต ที่ไม่มีเจตสิต ตัวอาฆาตอยู่  แต่คุณ ผนวก ครับว่า ผูกไว้ ครับ  และการอ่อนต่อการศึกษาด้านภาษาหรืออื่นๆ นี่ปหละนำมาซึ่งปัญหาในกระทู้นี้ตั้งแต่ต้น คือ พูดไม่รู้้ภาษา (บาลี -ไทย)  ความคิดเห็นที่ 42    ผมไม่ได้ คิดจะใส่ร้ายใคร ครับ แต่การกระทำของคุณ ทำให้ ผมคิดเช่นนั้น ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดของผมเอง ซึ่งผม ก็ ได้ขออภัยไปแล้ว ส่วน คุณ คิดจะผูก โกรธ พยาบาท ที่จะไม่ให้อภัย ก็ เป็น อกุศลจิต ของ คุณเอง ครับ แล้วแต่คุณก็แล้วกันครับ จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน   เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 20:24:25  จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:50:48

ความคิดเห็นที่ 57 อธิบายไป ก็ เสียเวลาเปล่า สรุป คือ ไม่พยายามเข้าใจอะไรเลย ขอ ไม่อธิบายแล้วครับ ต่างคนต่างศึกษาไปแล้วกัน จบ ครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:51:23

ความคิดเห็นที่ 58 อืม...ไปกันใหญ่แล้วครับ...เอวังด้วยประการฉะนี้ ขอให้ความเจริญแห่งธรรมเกิดขึ้นกับทุกคนครับ จากคุณ : IamPakti เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:53:12

ความคิดเห็นที่ 59 # 55 ผมไม่แปลกใจหรอกที่คุณชวนให้จบประเด็น 1 อธิบาย ไป ก็ เท่านั้น ขอ จบ เพียงเท่านี้ แล้วกัน ครับ อธิบายไป ก็ ไม่มีประโยชน์ อะไร ต่างคนต่างศึกษาดีกว่า จบ ครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย  เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:49:56  จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:53:51

ความคิดเห็นที่ 60 ความเห็น 47 ................................................................................................................. ถูกต้องเลย เพราะเราศึกษาแต่พุทธวจนะ ไม่เอาปิฎกอรรถกถา เพราะถ้าเอาอรรถกถามาศึกษาก็ไม่ใช่ศึกษาพุทธวจนะน่ะสิ จะว่าไปก็คล้ายๆอาหารจานใหญ่ที่มีของมีส่วนผสมหลายอย่างคละกันอยู่ คนหนึ่งเขาอยากเลือกตักแต่ส่วนที่เขาอยากจะรับประทานหรือส่วนที่เขาคิดว่ามันจะดีต่อร่างกายของเขา แต่อีกคนบอกไม่ได้ จะรับประทานอาหารจานนี้คุณต้องตักทั้งหมดห้ามเลือก อันนี้มันก็ดูจะไม่ถูกต้องนะคุณ ไม่ได้คิดจะทะเลาะกับใครๆเลย แต่กระทู้นี้เริ่มต้นชื่อกระทู้ก็เหมือนจุปธูปเรียกคนที่เรียนพุทธวจนะกับพระอาจารย์คึกทธิ์เข้ามา พอเข้ามาแล้วก็โดนสับๆๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอลากลับไปตามทางที่มาดีกว่า  ไม่เกิดประโยชน์อะไรที่จะมาเถียงกันไปมา กี่กระทู้ๆ ก็เรียกให้เข้ามาถูกสับๆๆอย่างนี้มาตลอด วนไปเวียนมายังงี้ ไม่ไปไหน หากไม่พร้อมจะรับฟังเหตุผลของคนที่ถูกเรียกเข้ามาถาม ก็อย่าเรียกอีกเลย ตลอดมาพอคุณๆถามๆมา เราก็ตอบ โดยยกพุทธวจนะ พระสูตรขึ้นอธิบาย เพราะเราไม่อยากใช้ความเห็นตนเอง แต่ก็ถูกเข้าใจไปในทางลบ และยังคิดไปเอง ว่าตัวเองถูกกล่าวหาว่าไม่ศึกษา...อ้าว ความรู้สึกมันก็ห้ามไม่ได้ซะด้วย ไม่ได้ต้องการให้คุณรู้สึกอย่างนั้นหรอก มันไปสะกิดใจคุณเอง เพราะแต่ละพระสูตรเป็นคำพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น คุณไม่เชื่อพระสูตรก็คือไม่เชื่อศาสดา ขัดแย้งกับศาสดา ยิ่งเถียงยิ่งเข้าเนื้อ เพราะคำพระศาสดาเปรียบเหมือนแสงของดวงอาทิตย์ เมื่อใดดวงอาทิตย์ขึ้น เมื่อนั้นคำสอนอื่นๆเปรียบเหมือนแสงหิ่งห้อย มันจะอับแสงไปโดยอัตโนมัติ เราบอกแล้วว่าคุณชอบอรรถกถาเราก็ไม่ว่าคุณ แต่เราจะศึกษาคำศาสดามันก็เรื่องของเรา เพราะพระศาสดาตรัสว่า เมื่อเข้ามาสู่ธรรมวินัยนี้แล้วถ้าใครไม่ศึกษาก็ให้เราตั้งใจว่าเราจะศึกษา  พระองค์ไม่ได้บอกให้เราไปว่าคนไม่ศึกษาเลยนะ แต่บอกให้เราศึกษาของเราเอง ใครไม่ศึกษาก็เรื่องของเขา   เราศึกษาเพราะเราต้องการรีบฉวยโอกาสทองฝังเพชรที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วมีศรัทธาได้พบสัตบุรุษได้เข้าไปหาไปนั่งใกล้เงี่ยโสตลงฟังซึ่งธรรมทรงจำธรรมนั้นไว้พิจารณาใคร่ครวญธรรมนั้น แล้วเราก็พบว่าธรรมนั้นทนต่อการเพ่งพิสูจน์ฉันทะความพอใจจึงเกิดขึ้น เราจึงมีอุตสาหะ พยายามหาสมดุลแห่งธรรมและตั้งตนไว้ในธรรม ทั้งหมดนี้เรารู้เฉพาะตน เป็นพยานในตนเอง ไม่ต้องอาศัยคำคนอื่นในการเชื่อ เอวัง!!! จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:57:08

ความคิดเห็นที่ 61 ผม ก็ ไม่แปลกใจ ครับ ที่ ไม่มีใครจะอธิบายให้คุณเข้าใจ ได้ ก็ ขอจบเหมือนกันครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 22:05:48

ความคิดเห็นที่ 62 ปล. ที่ชวนให้เอวัง ก็เพราะพระศาสดาตรัสอีกเหมือนกันว่า กาีรพูดนั้นต้องพูดแต่เรื่องจริงแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจผู้ฟัง ก็ให้เลือกกาละที่จะพูด แต่นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่กาลเสียแล้ว จบดีกว่า จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 22:05:59

ความคิดเห็นที่ 63 ถึง คุณ aero1  / Mrs_Mr_Ms/คุณ ศิษย์พระป่า จากคห39 ซุ้มเฟื่องฟ้า นำ การตอบคำถามของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่อยู่ในwebนี้ ช่วงเวลา 1:08 http://media.watnapahpong.org/video/91SASRBBMXBX/สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์-26-มีค-2554 เราอยากทราบว่าคุณมีคิดเห็นอย่างไรในสิ่งที่พระอาจารย์ตอบคำถามเกี่ยวกับทำไม ท่านพอจ บอกสอนโดยใช้คำพระศาสดาเท่านั้น และเหล่าพุทธบริษัทต้องศึกษาเล่าเรียนเฉพาะคำของศาสดา เมื่อคุณได้ฟังพอจ ตอบคำถามแล้วอยากทราบจริงๆ ว่าท่านเข้าใจหรือไม่อย่างไร สำหรับเราเห็นด้วยอย่างมากไม่ควรสนใจอรรถกาเพราะมันทำให้เราสับสนจริงๆ เราเจอมาด้วยตนเอง มีกระทู้หนึ่งที่ เกี่ยวกับพระรดน้ำมนต์แล้วพระธาตุตก ข้อมูลจากอรรถกาทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจพระพุทธองค์ไปอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งในพุทธวจนะไม่มีข้อมูลนั้นด้วย ดังนั้นเราตัดปัญหาศึกษาเฉพาะคำของศาสดาจะดีกว่า  ทุกคำถามจะมีคำตอบเอง เพราะคำของพระองค์ไม่ขัดแย้ง สอดรับกันไม่ว่าจะต่างทีหรือเวลา ความหมายแนวทาง ปฎิบัติของพระองค์จะไปในแนวทางเดียวกัน เราเชื่อว่าเก่งๆและมีพระรัตนตรัยในใจแบบพวกคุณสามารถศึกษาได้ดีแน่นอน และคุณจะเป็นกำลังสำคัญของพระศาสดาในการสืบทอดพระธรรมและวินัยที่พระองค์ได้แสดงและบัญญัติแล้ว ส่งต่อไปอย่างถูกต้องทุกบทพยัญขนะไปยังรุ่นต่อๆไป   อีกครั้งอยากทราบจริงๆ ว่าจากฟัง พอจ แล้วพวกคุณเข้าใจในแนวทางบอกสอนของท่านไหม จากคุณ : เนตังมม (เนตังมม) เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 22:25:23

ความคิดเห็นที่ 64 จะรับประทานอาหารจานนี้คุณต้องตักทั้งหมดห้ามเลือก  ใครบอกอีกล่ะว่าห้ามเลือก เพียงแต่  ปัญญาพร้อมหรือไม่ที่จะเลือกต่างหาก  ถ้าพร้อมคุณจะไปกินเปลือทุเรียน ใครจะห้ามคุณ เข้ามาแล้วก็โดนสับๆๆ  สับอย่างไร  มีแต่ให้ปัญญา ผมต่างหากที่ควรจะกล่าวคำนั้นว่าโดย สับๆ เป็นผู้ไม่เอาพุทธพจน์  ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลและปราศจากข้อมูล เป็นการถูกใส่ร้ายอย่างยิ่ง  เพราะแต่ละพระสูตรเป็นคำพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น อันนี้คงต้องวงเล็บด้วยว่า คำพระองค์ที่คุณเข้าใจจากการแปลอีกต่อนึง เราบอกแล้วว่าคุณชอบอรรถกถาเราก็ไม่ว่าคุณ แต่เราจะศึกษาคำศาสดามันก็เรื่องของเรา  ไม่เป็นไรครับเรื่องนี้ แต่อย่าไปกล่าวว่าคุณศึกษาคำตถาคตเพียงผู้เดียว  มันดูโอ้อวดเกินตัวไปมาก ธรรมวินัยนี้แล้วถ้าใครไม่ศึกษาก็ให้เราตั้งใจว่าเราจะศึกษา ที่เข้ามาคุยนี่ก็ศึกษาพุทธพจน์ทั้งนั้นแหละ แหม ยกตนแต่เพียงฝ่ายเดียวเลย ฟังแล้วก็คิดเป็นอื่นไม่ได้จริงนอกจาก  หลงตัวเองแต่ฝ่ายเดียวหรือไม่ครับ? ผู้ศึกษาที่แยกแยะออกระหว่างถูกผิดมีไม่น้อย ไม่เห็ฯเข้ามาบอกว่า ให้ตัด อรรถกถาเลย และจากการวิเคราะห์ผมก็ไม่สงสัยเลยว่า หลายท่านอาจผิดหวังหรือผิดสำแดงจาก แหล่งอื่นมาพอพบเจอความหวังใหม่ก็กระโดดไม่ลืมหูลืมตา  แต่นั้นไม่สำคัญเพราะเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล  แต่การเข้าไปศึกษาแล้วมองผู้อื่นที่ไม่ได้มีแนวคิดเช่นตนเป็นพวกไม่เอาพุทธพจน์  อันนี้  ไม่แมนเลย มันเป็นอุปกิเลส ยกตนข่มท่าน  ระวังจะเจอตอครับ กระทู้นี้ผมไม่เคยมีสักแวบนึงที่คิดว่าจะไม่คุยต่อ เพราะผมคิดเสมอว่าคุยกับหมู่พวกเถรวาท โดยการนำของภิกษุลัชชีบุคคล  แต่เหตุที่ต้องแถลงยืดยาวเพราะเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้วในพระศาสนาที่ผ่านมา จึงขยายความให้เห็นถึง ความเป็นไปของแง่มุมทางทิฏฐิ ที่เป็ฯอันตรายต่อพระสัทธรรมเช่นกัน เพียงแต่ที่กล่าวมาผู้รู้หรือวิญญูชนย่อมเข้าใจและสามารถรู้ถึงสารัตถประโยชน์ที่พึงได้รับ  สาธุ  ยินดีที่ได้ร่วมสนทนาครับ ปล ลืมบอกไป ผมพึ่งสนทนาเรื่องนี้แบบเต็มรอบก็กระทู้นี้เป็นที่แรก  และยังยกประเด็นไม่หมดเลย ยังมีประเด็นสำคัญอื่นอีกที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นยังไม่ได้กล่าวถึงอีก 2 ประเด็นใหญ่  แต่ทว่าองค์ประกอบและเหตุ-ปัจจัย ยังไม่มีครบ ไม่มีโอกาสเข้าไปกล่าวถึง เอาไว้มีโอกาสจะนำมาเสนอต่อ จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 22:43:09

ความคิดเห็นที่ 65 อืมมม จริงด้วย ป่วยการ อธิบาย เอวัง ด้วย เช่นกัน จากคุณ : แดนดังฝั่งฝัน เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 22:55:50

ความคิดเห็นที่ 66 ดีครับถ้าภูมิยังไม่ถึง การกล่าวใน พระสัทธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ควรอย่างยิ่ง อย่าตามกระแส เอาแต่พูดๆๆๆ ไป  นิ่งเสียแหละดีแล้วครับ  ไม่เป็นภัยต่อตัวเอง ในพระศาสนานี้ข้อธรรมที่ผนวกอุปกิเลสที่ใช้ในการร่วมสนทนา เป็นเหตุให้วิบัติมานักต่อนักแล้ว(ทั้งกายและจิต)  และเป็นอันตรายใหญ่เวลากล่าวอะไรต้องสำรวมวาจา คิดก่อนพูดครับ  อันตรายจริงๆ เห็นมาเยอะแล้ว  ควรมีอินทรีย์สังวรครับ การให้ร้ายผู้ที่พูดที่อยู่ในทาง เช่น เป็นพวกไม่เอาพุทธพจน์ อันนี้แรง จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 23:07:25

ความคิดเห็นที่ 67 ........ .....เอวัง จากคุณ : IamPakti เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 23:52:10

ความคิดเห็นที่ 68 คห.64 ไม่ต้องตอบอะไรที่คุณว่าซึ่งซ้ำประเด็นเก่าๆอีก ยกเว้นเรื่องเดียวที่ว่า "แต่การเข้าไปศึกษาแล้วมองผู้อื่นที่ไม่ได้มีแนวคิดเช่นตนเป็นพวกไม่เอาพุทธพจน์  อันนี้  ไม่แมนเลย มันเป็นอุปกิเลส ยกตนข่มท่าน  ระวังจะเจอตอครับ" ขอขอกว่า ไม่มีตรงไหนเลยที่เป็นการยกตนข่มท่าน หรือว่าแยกพวกเอาหรือไม่เอาพุทธพจน์ คุณปรุงแต่งเอาเองทั้งนั้น และอีกอย่างหนึ่งคุณก็พูดถูกที่ว่า "ไม่แมน" เพราะดิฉันเป็นผู้หญิงค่ะ เข้ามาแก้ไขอีกเรื่องคือ "คิดว่าตัวเองศึกษาพุทธพจน์แต่เพียงผู้เดียว" อันนี้ผิด เพราะจริงๆแล้วมันคือ "คนหลายหมื่นคนหรือมากกว่านั้น ศึกษาพทธพจน์" ต่างหาก แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 09:03:54 จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 09:00:58

ความคิดเห็นที่ 69 "งั้นทีหน้าทีหลังควรใช้ปัญญา อ่านให้ทั่วก่อนคิด ก่อนเขียน" โดยคุณ Aero.1 แล้วนี้หรอครับการใช้ปัญญาของท่าน? พยากรณ์ผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริง แล้วศาสดาให้เราพยากรณ์ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ "เป็นทิฐิของทหารบก  ที่คำสั่งเป็นเรื่องต้องปฏิบัติตามเท่านั้น" โดยคุณ Aero.1 จากคุณ : พุทธตัวจริง (A_Minor) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 09:20:54

ความคิดเห็นที่ 70 เห็นว่า ท่าน aero.1 ชอบ พุทธพจน์ เหมือนกัน ก็เลยยกมาให้อ่านครับ อ่านช้าๆ ค่อยๆทำความเข้าใจ ไปด้วยนะครับ         [๒๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ  บริษัทที่ดื้อด้านไม่ได้รับการสอบถามแนะนำ ๑ บริษัทที่ได้รับการสอบถามแนะนำไม่ดื้อด้าน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่ดื้อด้านไม่ได้รับการสอบถามแนะนำเป็นไฉน ภิกษุในบริษัทใดในธรรมวินัยนี้ เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่ตถาคตภาษิตไว้ซึ่งลึกล้ำ มีอรรถอันลึกล้ำ เป็นโลกุตระ ปฏิสังยุตด้วยสุญญตธรรม ไม่ตั้งใจฟังให้ดี ไม่เงี่ยหูลงสดับ ไม่เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อจะรู้ทั่วถึง อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นไม่เข้าใจธรรมที่ตนควรเล่าเรียนท่องขึ้นใจ แต่เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีได้รจนาไว้เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร มีในภายนอก ซึ่งสาวกได้ภาษิตไว้ ย่อมตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เงี่ยหูลงสดับ เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อจะรู้ทั่วถึงอนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นย่อมเข้าใจธรรมที่ตนควรเล่าเรียน ท่องขึ้นใจ ภิกษุเหล่านั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ไม่สอบสวน ไม่เที่ยวไต่ถามกันและกันว่า พยัญชนะนี้อย่างไร อรรถแห่งภาษิตนี้เป็นไฉน ภิกษุเหล่านั้นไม่เปิดเผยอรรถที่ลี้ลับ ไม่ทำอรรถที่ลึกซึ้งให้ตื้น และไม่บรรเทาความสงสัยในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายอย่างเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้เรียกว่าบริษัทดื้อด้านไม่ได้รับการสอบถามแนะนำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่ได้รับการสอบถามแนะนำไม่ดื้อด้านเป็นไฉน ภิกษุในบริษัทใดในธรรมวินัยนี้เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีรจนาไว้เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร มีในภายนอกเป็นสาวกภาษิต ไม่ตั้งใจฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูลงสดับ ไม่เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อจะรู้ทั่วถึง   อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นไม่เข้าใจธรรมที่ตนควรเล่าเรียน ท่องขึ้นใจ แต่ว่า เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่ตถาคตภาษิตไว้ ซึ่งลึกล้ำ มีอรรถลึกล้ำ เป็นโลกุตระปฏิสังยุตด้วยสุญญตธรรม ย่อมตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเงี่ยหูลงสดับ เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และภิกษุเหล่านั้นย่อมเข้าใจธรรมที่ตนควรเล่าเรียน ท่องขึ้นใจ ภิกษุเหล่านั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมสอบสวนเที่ยวไต่ถามกันและกันว่า พยัญชนะนี้อย่างไร อรรถแห่งภาษิตนี้เป็นไฉน ภิกษุเหล่านั้นย่อมเปิดเผยอรรถที่ลี้ลับ ทำอรรถที่ลึกซึ้งให้ตื้น และบรรเทาความสงสัยในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายอย่างเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลายบริษัทนี้เรียกว่า บริษัทผู้ได้รับการสอบถามแนะนำ ไม่ดื้อด้าน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกเหล่านี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาบริษัท ๒ จำพวกนี้ บริษัทที่ได้รับการสอบถามแนะนำ ไม่ดื้อด้าน เป็นเลิศ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน  เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมเล่าเรียนพระสูตรอันเรียนกันมาผิดลำดับ ด้วยบทและพยัญชนะที่ตั้งไว้ผิดแม้อรรถแห่งบทและพยัญชนะที่ตั้งไว้ผิดย่อมมีนัยผิดไปด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย  นี้เป็นธรรมข้อที่ ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ     อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ว่ายาก ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็นผู้ว่ายากเป็นผู้ไม่อดทน ไม่รับคำพร่ำสอนโดยเคารพ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นธรรมข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ     อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ภิกษุนั้นไม่บอกพระสูตรแก่ผู้อื่นโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านั้นมรณภาพลง พระสูตรย่อมมีรากขาดสูญ ไม่มีที่พึ่งอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ     อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ เป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อนเป็นหัวหน้าในการก้าวลง ทอดธุระในวิเวก ไม่ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง หมู่ชนผู้เกิดมาภายหลังย่อมดำเนินตามอย่างภิกษุเหล่านั้น แม้ชนผู้เกิดมาภายหลังนั้น ก็เป็นผู้มักมาก มีความประพฤติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าในการก้าวลง ทอดธุระในวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง  เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้   ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น    เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนพระสูตรอันเรียนกันมาดี ด้วยบทและพยัญชนะอันตั้งไว้ดี แม้อรรถแห่งบทและพยัญชนะที่ตั้งไว้ดี ย่อมมีนัยดีไปด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๑ ย่อมเป็นไป เพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ     อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็นผู้ว่าง่าย เป็นผู้อดทนรับคำพร่ำสอนโดยเคารพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อ ความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ อีกประการหนึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นพหูสูต เล่าเรียนนิกาย ทรงธรรม  ทรงวินัย ทรงมาติกา ภิกษุเหล่านั้นบอกพระสูตรแก่ผู้อื่นโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านั้นมรณภาพลง พระสูตรย่อมไม่ขาดมูลเดิม ยังมีที่พึ่งอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือนเพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ     อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ เป็นผู้ไม่มักมากไม่ประพฤติย่อหย่อนทอดธุระในการก้าวลง เป็นหัวหน้าในวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง หมู่ชนผู้เกิดมาภายหลังย่อมดำเนินตามอย่างภิกษุเหล่านั้นแม้หมู่ชนผู้เกิดมาภายหลังเหล่านั้น ก็เป็นผู้ไม่มักมาก ไม่ประพฤติย่อมหย่อน ทอดธุระในการก้าวลง เป็นหัวหน้าในวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง   ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นธรรมข้อที่ ๔ ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน  เพื่อความไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม ฯ [๓๕๕]  ดูกรอานนท์  ก็เหล่าสาวกย่อมเรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นข้าศึก  ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นมิตรอย่างไร  ดูกรอานนท์  ศาสดาในธรรมวินัยนี้  เป็นผู้อนุเคราะห์แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล  อาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า  นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ  นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ  เหล่าสาวกของศาสดานั้นไม่ฟังด้วยดี  ไม่เงี่ยโสตสดับ  ไม่ตั้งจิตรับรู้และประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา   ดูกรอานนท์  อย่างนี้แลเหล่าสาวกชื่อว่าเรียกร้อง  ศาสดาด้วยความเป็นข้าศึก  ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นมิตร  ฯ [๓๕๖]  ดูกรอานนท์  ก็เหล่าสาวกย่อมเรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นมิตรไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นข้าศึกอย่างไร  ดูกรอานนท์  ศาสดาในธรรมวินัยนี้เป็นผู้อนุเคราะห์  แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล  อาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า  นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ  นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ  เหล่าสาวกของศาสดานั้น  ย่อมฟังด้วยดี  เงี่ยโสตสดับ  ตั้งจิตรับรู้และไม่ประพฤติ  หลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา   ดูกรอานนท์  อย่างนี้แล  เหล่าสาวกชื่อว่าเรียกร้องศาสดาด้วยความเป็นมิตร  ไม่ใช่เรียกร้องด้วยความเป็นข้าศึก  ฯ ดูกรอานนท์ เธอทั้งหลายจะพึงประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ได้ด้วยประการใด เรากล่าวอย่างนี้กะเธอทั้งหลาย ด้วยประการนั้นเธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย เมื่อยุคบุรุษใดเป็นไปอยู่ กัลยาณวัตรเห็นปานนี้ขาดสูญไป ยุคบุรุษนั้นชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของบุรุษเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ได้ด้วยประการใด เรากล่าวอย่างนี้กะเธอทั้งหลายด้วยประการนั้นเธอทั้งหลายอย่าได้ชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายของเราเลย. จากคุณ : จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 10:35:34

ความคิดเห็นที่ 71 # 70 คุณจะเสนออะไรเร่อ  สรุป ประเด็นมาดักว่ามั่ง อย่าให้เห็นเป็นการ ฟรัดกระทู้เลย  ยกอย่างนี้ใครๆ ก็ยกได้ คุณจะเสนออะไรล่ะ แล้วถ้าจะเสนอมั่งล่ะ  อ่ะไปอ่านกันดีๆ ล่ะ  ค่อยๆ อ่านน่ะ ที่นี่ www.84000.org แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 11:44:23 จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 11:43:57

ความคิดเห็นที่ 72 #69 อะไรคือพยากรณ์?  และหากจะกล่าวเรื่องพยากรณ์พระองค์ห้ามไว้เมื่อไรอย่างไรที่ไหนเร่อ? "พยากรณ์ผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริง แล้วศาสดาให้เราพยากรณ์ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่" แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 11:51:35 จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 11:49:28

ความคิดเห็นที่ 73 # 68  จ๊าาา  ไม่มีประเด็นอื่นเพิ่มจ๊าาา  คุณไม่ยกตนก็ดีแล้ววว ฉะนั้นไม่ควรกล่าวว่าคนที่คุณเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับคุณทั้งหมด เป็น พวกไม่เอา พุทธพจน์อีกเลย จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 12:00:43

ความคิดเห็นที่ 74 ....ไปบอกพระคึกฤทธิ์ ด้วยว่า ถ้าไม่เชื่อ อรรถกถา ไม่เชื่อพระสงฆ์ นั่นก็แสดงว่าพระคึกฤทธิ์ ควรไม่เชื่อความเป็นพระของตนเองด้วย ควรจะสงสัยตนเองด้วย  ว่าตนเองเป็นพระจริงไหม?   เพราะการบวช ก็บวชได้โดยพระสงฆ์บวชให้  และพิธีบวช  คำสวดญัตติในการบวช ก็เอามาจากอรรถกถา ไม่ใช่เอามาจากพระไตรปิฏก .. ถ้าอรรกถาไม่มีความน่าเชื่อ  พระทั้งหมดก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นพระจริง (รวมทั้งพระคึกฤทธิ์เองด้วย)   พระภิกษุทุกๆรูปในเมืองไทย กว่า ๒๕๐,๐๐๐ รูป   ขณะนี้ ล้วนเป็นพระปลอม  ทั้งนั้น.... จากคุณ : ศิษย์พระป่า เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 13:06:44

ความคิดเห็นที่ 75 ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมมีอยู่ในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. ก็โลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรม ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดงบัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นนั้น คืออะไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ รูปเป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ฯลฯ กระทำให้ตื้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนกกระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น.... จากคุณ : นาคสะดุ้ง เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 14:04:56

ความคิดเห็นที่ 76 เก็บตกประเด็นสำคัญ อ้างถึง aero.1 #53 ใจความว่า ถ้าจะให้เลิศจริงผู้อ่านต้อง อ่านจาก ภาษอังกฤษ original printed ในภาษาที่ผู้เขียนๆนั้นแหละ และถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาดั่งเดิม  นั้นอันนั้นเลิศ แต่นี้คุณเล่นไม่เอา ฉันจะเอาที่แปลแล้วนี้แหละ  เท่านั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ 1.ห้ามฟังคำอธิบายโดยผู้เรียนภาษานั้นอย่างชำนาญการ  แม้กระทั้งผู้อธิบายไว้ตั้งแต่สมัยผู้เขียนมีชีวิตก็ตาม 2.นอกจากนั้นยังไม่พอยังต้องลบข้อ อธิบายศัพท์คำแปลทั้งหมดด้วย 3.นอกจากนั้นยังไม่พอ ยังบัญญัติตนเป็นผู้ถ่ายทอดอันเลิศเท่านั้น(ใครอื่นอย่าแหลม) 4.พวกอื่นที่ไม่มีแนวคิดเดียวกับคุณ  คุณก็สถาปนาเป็น ผู้ไม่เอา original printed  โห อันนี้แรงงงง ผมว่า 4 ข้อนี้ก็ทำให้ผู้ที่ศึกษาอย่างแจ่มแจ้งรับไม่ได้ครับ  และข้อสำคัญ เป็นการลดคุณค่าของเจตจำนงค์หลักของสถาบันพุทธวัจนะในการแยกชัดพระพุทธวัจนะ และชี้ชัดให้สังคมเห็นคำสอนที่แท้จริง(ซึ่งเจตนานี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งและยินดีสนับสนุนเต็มที่) แต่ทว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา  การที่แนวคิดนี้ถูกออกนอกถึงขนาดจะลบ ตัด แยก ปิฎกส่วนกอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา (แยก)ออกไปนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายวัตถุประสงค์หลักของสถาบันฯอย่างยิ่ง จากคุณ : aero.1   เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:43:29  คุณรักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย เห็นแย้งว่า ความคิดเห็นที่ 54    บาลี สยามรัฐ มหาจุฬา มหามงกุฏ เขา ก็เป็น ผู้แปล เราไม่เอาผู้แปล ยังไง ครับ เราเอาผู้แปล อยู่ แต่เรา ไม่เอา คำแต่งใหม่ ก็เท่านั้นเอง ถ้า แปล คำพระพุทธเจ้า ถ่ายทอด บอกสอนคำพระพุทธเจ้า เราเรียน เราศึกษา ก็ ศึกษา ที่เขาแปล นั่นแหละครับ เราไม่เอาคนแปลตรงใหน  อธิบาย ไป ก็ เท่านั้น ขอ จบ เพียงเท่านี้ แล้วกัน ครับ อธิบายไป ก็ ไม่มีประโยชน์ อะไร ต่างคนต่างศึกษาดีกว่า จบ ครับ จากคุณ : รักเธอเกินกว่าฟ้าเดียวบรรยาย  เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 21:49:30  ถูกใจ : somkiat72 คำว่า ไม่เอาผู้แปล  ส่วนสำคัญหมายถึง  คัมภีร์อัตถกถา ที่เขียน(ไม่ใช่แต่ง)โดยอัครสาวก เช่นพระสารีบุตร เป็นต้นนั้น เป็นการแปลพระพุทธพจน์  จากภาษาบาลี แปลขยายความโดยใช้ภาษาบาลีอธิบาย คุณสามารถเทียบจากหนังสือพจนานุกรม อย่างภาษาอังกฤษ ที่เขาแปล อังกฤษเป็นอังกฤษไว้ ฉะนั้นผมจึงกล่าวว่า คุณไม่เอาผู้แปล  คุณอ่านหนังสือแปลแต่คุณบอกไม่เอาผู้แปล  เพราะผู้แปลสู้ผู้เขียนไม่ได้  อันนั้นคือระดับต้น เมื่อมีการแปลบาลีเป็น ไทย  ผู้แปลยุคปัจจุบัน(ประมาณ 60 ปีมานี้)  ก็อาศัย ข้อความอธิบาย บาลีเป็นบาลีนั้นแหละเป็นพื้นฐานในการแปลเป็นภาษาไทย  ลองตรองดูเถิด จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 14:22:08

ความคิดเห็นที่ 77 ...... จากคุณ : เงาของพระจันทร์ เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 14:28:14

ความคิดเห็นที่ 78 i like พุทธวจน............i love พุทธวจน......... and i love Buddha I had been follow  พุทธวจน in the past....and i still following พุทธวจน at the present and also will follow พุทธวจน in the future แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 15:50:13 จากคุณ : เห็นถูกต้องย่อมเบื่อหน่าย (รู้จริงย่อมเบื่อหน่าย) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 15:44:00

ความคิดเห็นที่ 79 ขอโทษทุกๆท่านด้วยนะคะ ที่ตั้งกระทู้ไว้แล้วไม่ได้มาตอบ ก็เพราะป้าไม่สามารถเข้าถึงเนทเวิรค์ได้ทุกวัน กว่าจะออกมาหน้าจอได้ก็อาทิตย์ละสองสามครั้ง ยืนยันค่ะ ว่าชอบที่ พระอาจารย์คึกฤทธิ์พยายามทำให้ชาวพุทธเข้าใจพุทธวจนะมากขึ้น แต่ไม่เห็นด้วยกับการ แอนตี้คำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ ป้าใช้คำว่าแอนตี้เลย เพราะพระที่รู้จักกันชอบเถียงก่อนเลยว่า "เลือกเอาระหว่างพุทธวจนะกับคำของสาวก" เถียงกันชนิดที่ว่า "หลวงปู่มั่นคือใคร กับพระพุทธเจ้าใครสำคัญกว่ากัน" ป้าตกใจมากเลยว่าทำไมเค้าเป็นได้ถึงขนาดนั้น เพราะเค้าตีความคำของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ผิดรึเปล่า?? [i'"ทรงกำชับให้ศึกษาปฏิบัติเฉพาะจากคำของพระองค์เท่านั้น อย่าฟังคนอื่น"[/i] ตกลงประโยคนี้มาจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์นะคะ? ป้าคิดว่าผู้ที่เข้ามาตั้งข้อสงสัยพระอาจารย์คึกฤทธิ์คือผู้ที่เคารพพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์ พอๆกับพระอรหันต์ในระดับสาวกและครูบาอาจารย์  แล้วป้าก็เชื่อว่าคำสอนที่ออกมาจากทั้งสองแหล่งเป็นคำสอนเดียวกันเหมือนที่เราไม่สามารถแยกน้ำทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิกกับน้ำทะเลของมหาสมุทรแอตแลนติค เพราะเรากำลังพูดถึงพระรัตนตรัยกันอยู่ทุกคน ป้าไม่เห็นด้วยกับการปฏิเสธคำสอนในระดับชั้นสาวกเพียงเพราะผู้นั้นอ่านไม่เข้าใจเอง ปฏิบัติไม่ถึงเลยตัดทางเลือกนั้นทิ้ง คุณๆที่อ้างว่า "ขอเลือกเดินตามพระพุทธวจนะอย่างเดียวจะไปลงเหวก็ยอม" ป้าว่าไม่ลงเหวหรอกแต่จะติดหงึกเพราะพุทธวจนะคือวิทยานิพนธ์ของพระพุทธเจ้านะคะ ป้าไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สิม หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ซึ่งภาวนาจนเป็นพระอรหันต์แล้ว บอกให้อ่านพุทธวจนะอย่างเดียว ทุกท่านสอนให้วางตำราพุทธวจนะเก็บใส่เก๊ะก่อนให้เก็บไว้ก่อนเมื่อปฏิบัติไปแล้วผ่านแล้วค่อยกลับมาตรวจดูอีกทีค่ะ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ซึ่งเคยแม้แต่วิจารณ์ครูบาอาจารย์ของตนเองคือหลวงปู่ชา ท่านปฏิบัติได้ถึงไหนแล้วล่ะคะ?? จากคุณ : Mrs_Mr_Ms เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 18:08:55

ความคิดเห็นที่ 80 เรื่องการแอนตี้คำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ นี่ จริงๆ มาจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองนะครับคุณป้า (ดูพระสูตร คหที่ ๖) พระองค์ตรัสไว้เองว่า  ถ้าเป็นคำที่คนแต่งขี้นใหม่ หรือคำสาวก เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้แล้ว เราควรจะปฏิบัติตามที่ท่านบอกสอน ใช่ไหมครับ --------------------------------------------------------------------------------------- ส่วนที่คุณป้ากล่าวว่า  "คุณๆที่อ้างว่า "ขอเลือกเดินตามพระพุทธวจนะอย่างเดียวจะไปลงเหวก็ยอม" ตรงนี้พระองค์ก็ตรัสไว้เหมือนกันว่า พระอริยบุคคลจะปฎิบัติตามพระองค์ แม้พระองค์จะก้าวลงไปในหล่มก็ตาม ดังพระสูตร ดูกรภัททาลิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นอริยบุคคลชื่ออุภโตภาควิมุต  ปัญญาวิมุต  กายสักขี ทิฏฐิปัตตะ สัทธาวิมุต ธรรมานุสารี สัทธานุสารี เราพึงกล่าวแก่ภิกษุอย่างนี้ว่า มาเถิดภิกษุ เราจะก้าวไปในหล่ม ดังนี้ ภิกษุนั้นพึงก้าวไป หรือพึงน้อมกายไปด้วยอาการอื่น หรือพึงกล่าวปฏิเสธบ้างหรือ? ไม่มีเลย พระเจ้าข้า. (มัชฌิม.มัชฌิม.๑๓/๑๓๑/๑๖๔) เห็นได้ว่า แม้พระอริยบุคคล ก็ทำตามพระองค์ แม้พระองค์จะก้าวเท้าไปในหล่มก็ตาม สำหรับตัวผมเองแล้ว แม้จะไม่ได้เป็นอริยบุคคลก็ตาม ก็จะก้าวตามพระองค์ ครับ ---------------------------------------------------------------------------------------- ส่วนครูอาจารย์ที่ท่านให้เก็บตำรา ก็อาจจะเป็นเทคนิคของท่าน และที่คุณป้ากล่าวว่า พอปฏิบัติแล้วค่อยกลับมาดูอีกที ถ้าปฏิบัติถูกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปฎิบัติผิด เมื่อกลับมาดูแล้วก็ควรปฎิบัติให้ถูก ตามที่พระองค์บอกสอน ไว้ แต่ปฎิบัติผิดแล้วไม่แก้ไขหรือไม่กลับมาดู แล้วนำไปสอนต่อ ผมกลัวจะพาให้ผิดต่อๆ กันไป ครับ และสำหรับคนที่เวลามีน้อย เพราะผ่านวัยมานาน นำไปปฏิบัติแล้วค่อยกลับมาดู ถ้าปฏิบัติถูกก็ไม่เป็นไร แต่ปฎิบัติผิด อาจจะไม่ทันกลับมาดู เสียชีวิตก่อน ไม่มีโอกาสแก้ไขให้ถูก จะเสียโอกาสในการได้อัตภาพความเป็นมนุษย์ และเสียโอกาสที่พบคำสอนพระศาสดา ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขี้นได้ยากครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 19:25:14 จากคุณ : somkiat72 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 19:23:23

ความคิดเห็นที่ 81 สงสัยคุณป้าคงยังไม่เคยพบความขัดแย้งกันในคำสอนของสาวก เลยไม่เข้าใจในประเด็นนี้ครับ จากคุณ : นามรูป เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 21:41:32

ความคิดเห็นที่ 82 คุณป้าเข้าไปที่ web ข้างล่างนี้ซึ่งเป็นพระไตรปิฎกที่พระและคราวาสใช้กันโดยทั่วไป  http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=2397&Z=2459 แล้วป้าจะเห็นข้อความตามข้างล่างนี้ แต่เรายกมาเพียงข้อเดียวจากภัยห้าข้อที่พระองค์ทรงกล่าวเตือนให้พุทธบริษัทให้ระวังในภัยนี้เพราะเป็นเรื่องที่เราสนทนากัน  ลองตรวจดูได้ว่า  จะได้รู้ว่าคำพูดที่พอจ คึกฤทธิ์พูดนั้นไม่ใช่คำของท่าน แต่เป็นคำของพระพุทธองค์และมีอยู่ในพระไตรปิฎกทุกเล่มของไทย   พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ๙. อนาคตสูตรที่ ๓             [๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ ยังไม่บังเกิดใน ปัจจุบัน แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้น เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้น ภัยในอนาคต ๕ ประการเป็นไฉน คือ                         อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่ อบรมปัญญา พระสูตรต่างๆ ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นสูตรลึกซึ้ง มีอรรถลึกซึ้ง เป็นโลกุตระ ประกอบด้วยสุญญตาธรรม เมื่อพระสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ ก็จักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยโสตลงสดับ จักไม่ตั้งจิตเพื่อรู้ จักไม่ใฝ่ใจในธรรม เหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน แต่ว่าสูตรต่างๆ ที่นักกวีแต่งไว้ ประพันธ์เป็นบท กวี มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะสละสลวย เป็นพาหิรกถา เป็นสาวกภาษิต เมื่อพระสูตรเหล่านั้น อันบุคคลแสดงอยู่ ก็จักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อรู้ จักฝักใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน เพราะเหตุดังนี้ แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการ ลบล้างวินัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตข้อที่ ๔ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้ว พึง พยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ ------------------------------------------------------------------------------ อันนี้เป็นพระสูตรที่ 2 ทรงกล่าวไว้     ป้าเข้า web นี้แล้ว http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=16&A=7046&w=อาณิสูตร ป้าจะเจอข้อความนี้เป็นคำของพระพุทธองค์ตรัสไว้เช่นกัน ไม่ใช่คำของพอจ คึกฤทธิ์แน่นอนเพราะมันอยู่ในพระไตรปิฎกทุกเล่มของไทยเช่นกัน พระองค์ตรัสถึงความอันตราธานขาดสูญในคำของพระองค์จะมีได้เพราะเหตุแบบนี้   พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๗. อาณิสูตร             [๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่า ทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมา โครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มี อักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จัก ปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ             [๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขา กล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบ ด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่ง จิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ -------------------------------------------------------------------------------- ป้าเชื่อหรือยังว่าทั้งหมดไม่ใช่คำของพอจ คึกฤทธิ์แต่งขึ้น จริงๆแล้ว พอจ ใข้พระไตรปิฏกฉบับบาลีสยามรัฐ แต่เรายก web นี้เพราะทุกคนคงใช้กันทั่วไปเพื่อจะได้ไม่ต้องสงสัยในการแปลผิดแปลถูกเพราะ วัดนาป่าพงไม่ได้แปลweb นี้แน่นอน เข้าใจหรือยังว่าทำไมเราไม่ควรศึกษาคำสอนของสาวกไม่ว่าจะใคร แต่นับถือในครูอาจารย์ในเรื่องปฎิปทา แต่คำสอนมีเพียงหนึ่งเดียวคือ คำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น พระองค์ทรงเตือนไว้ตั้งแต่พระองค์ยังทรงอยู่และวันนี้มันก็เป็นดังที่พระองค์ทรงกล่าวเตือน ------------------------------------------------------------------------------- กลับมาแปลพระสูตรข้างบนให้ฟังด้วยนะคะว่าเข้าใจว่าอย่างไร และหวังว่า ป้าจะได้ไม่เข้าใจพอจ คึกฤทธิ์ผิดว่าท่านพูดเอง  กลับมาตอบด้วยนะหลังอ่านแล้วว่าคิดอย่างไร -------------------------------------------------------------------------- แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 54 22:39:39 จากคุณ : เนตังมม (เนตังมม) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 21:41:58

ความคิดเห็นที่ 83 ขอลบครับผมไม่้ยุ่งด้วยดีกว่า แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 09:21:52 จากคุณ : The fox in the stock เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 08:29:21

ความคิดเห็นที่ 84 ความเห็นที่80 ของคุณsomkiat72 ความเห็นที่82 ของคุณเนตังมม เรื่องการแอนตี้คำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ นี่ จริงๆ มาจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองนะครับคุณป้า (ดูพระสูตร คหที่ ๖) พระองค์ตรัสไว้เองว่า  ถ้าเป็นคำที่คนแต่งขี้นใหม่ หรือคำสาวก เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน ช่วยบอกได้มั้ยคะว่า คำสอนของชั้นสาวก เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ผิดแผกจากพุทธพจน์อย่างไร เห็นด้วยนะคะว่า คำสอนอย่างของพระธัมมชโย เข้าข่ายที่ว่า "คำสาวกเธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน" ได้โปรดอย่านำคำของพระพุทธเจ้า มาเหมาพระสุปฏิปันโนเข้าไปรวมกับพระอลัชชี ทั้งคุณsomkiat72 และ คุณเนตังมม น่าจะเป็นคนที่มีปัญญาทั้งทางโลกทางธรรมสูงในระดับหนึ่ง ควจจะแยกแยะน้ำดีดับน้ำเสียออกนะคะ อยากให้พิจารณาเรื่องพุทธบริษัทสี่ กับใบไม้ในกำมือแะลใยไม้ในป่าด้วยค่ะ พระอาจารย์คึกฤทธิ์มีข้อวัตรปฏิบัติที่น่าเคารพ ไม่มีข้อด่างพร้อยเหมือนพระที่ไม่ใช่พระไปแล้วหลายคนตามที่เป็นข่าว ความเห็นมุมมองของท่านนั้นป้าไม่เชื่อว่าออกมาเพื่อลาภสักการะ ไม่เหมือนพระบางคนที่อาศัยพุทธพจน์เพื่อหาลาภศรัทธา อยากให้ช่วยดูแลท่านด้วย อะไรที่ควรรับฟังก็อยากให้รับฟังบ้าง อย่ามองว่าคนที่ออกมายกมือเถียงเป็นศัตรูไปเสียทั้งหมด ไม่ชอบเลยค่ะที่ว่าโยนให้คนที่ออกมาเถียง "เห็นสาวกดีกว่าพระพุทธเจ้า" พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์ เช่นเดียวกับ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว โปรดพิจารณาด้วยค่ะ จากคุณ : Mrs_Mr_Ms เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 09:09:36

ความคิดเห็นที่ 85 โปรดฟังการตอบข้อข้องใจของท่าน ในลิงค์นี้ ประมาณช่วงเวลาที่ 01.08.18 ............................................................................................................... http://media.watnapahpong.org/video/91SASRBBMXBX/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-26-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84-2554 จากคุณ : lovely beagle เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 09:15:58

ความคิดเห็นที่ 86 1 พระอาจารย์คึกฤทธิ์มีข้อวัตรปฏิบัติที่น่าเคารพ ไม่มีข้อด่างพร้อยเหมือนพระที่ไม่ใช่พระไปแล้วหลายคนตามที่เป็นข่าว  ไม่แน่เสมอไปครับ  การมีทิฎฐิเช่นนี้ล่อแหลมกับการที่จะออกนอกทางสุดๆเช่นกัน และหากจะกล่าวเรื่องวินัย  ผมก็เห็นว่าหมู่คณะของท่านอาจ ไม่สมบูรณ์ในเรื่องใหญ่เรื่องนึง และมีผลคล้ายกับที่ คห 74 กล่าวไว้ คือเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ อุปสมบทวิธี กล่าวคือการบวชลูกศิษย์ในสำนักท่านถูกตาม อุปสมบทวิธีหรือไม่? บวชจากสำนักไหน?  เพราะท่านได้ออกจาก  หนองป่าพงไปแล้ว  การบวชจึงอาจจะต้องอาศัย อลัชชีในพื้นที่ หรือไม่? (ได้ข่าวว่าต้องไปบวชกับพระในพื้นที่นั้น)  ฉะนั้นหากศึกษาให้ลึกถึงเหตุแห่งความเป็นพระ  ก็อาจจะสงสัยได้ ว่า บวชติดไหมเนี่ย ?  ในความเห็นส่วนตัวหากท่านยังอยู่ในสาขาหนองป่าพง  จะไม่เกิดปัญหานี้ ย่อมเป็นที่มั่นใจมาก ว่า กุลบุตรที่เข้ามาบวชที่สำนักนี้ ย่อมบวชจากหมู่สงฆ์ที่คุณสมบัติพร้อม...เพราะพระพุทธพจน์ตรัสสั่งห้าม เรื่องนานาสังวาสไว้ แต่นี้ท่าน ทิ้งสำนักตน(หนองป่าพง)  ซึ่งตรงนี้นึกถึงคุณของ พระอาจารย์ท่านคือ ท่านพระอาจารย์เลี่ยม(วัดหนองป่าพง)  ท่านพระอาจารย์อนันต์(วัดมาบจันทร์)  ท่านพระอาจารย์เปียก(กทม)  ท่านพระอาจารย์ตั๋น(วัดบุญญาวาส)  ออกมาให้กุลบุตรบวชในอุปัชฌาย์อื่น    ประเด็นนี้จึงควรชี้แจง  และทางแก้ไม่ใช่ให้รอจนท่านมีหรือได้รับ การแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์    ที่กล่าวมาเป็นเงื่อนปมของตำนานที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสมัยต่างๆที่ผ่านมาตลอดของพุทธศาสนา ตั้งแต่ พศ 200 คือเรื่องนี้  จะเทียบเคียงในยุคใกล้ๆ เช่นราวปี 2522 กรณี สันติอโศก เมื่อมีการสงสัยเรื่องอธิกรณ์หลายๆ เรื่องและยึดในความเห็นตน โดยไม่ฟังครูอาจารย์ที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบมาก่อน  ในที่สุด พระวินัย เปรียบดั่งงูกินหาง วนมาที่เรื่องแรก กัณท์แรก คืออุปสมบทวิธี  อย่างที่ สันติอโศกเคยเป็น จน ต้องแตกออกไปในที่สุด (เหตุเพราะสันติอโศกใช้วิธีหัก พรบ คณะสงฆ์ เพื่อตั้งตนเองเป็น อุปัชฌาย์) เพราะเมื่อมีผู้สงสัยในเรื่อง ความเป็นพระหรือไม่  เจ้าสำนักต้องหาทางออกให้ แต่ท่านจะรอจนกว่าท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์ ซึ่งอาจสายเกินไป  อย่าได้เป็นอย่างประวัติศาสตร์ เลย เพราะพระพุทธองค์ตรัสเรื่องความเป็นอุปัชฌาย์ไว้นั้นคือพรรษา 10 (และองค์ประกอบอื่นๆ)  คณะสงฆ์ไทย ใช้อำนาจการแต่งตั้งเป็นหลัก  ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เพราะเป็นมติคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นคำสั่งจากกฎหมายของประเทศชาติด้วย ทีนี่หากจะถามว่าแล้วที่สุดปัญหาจะต้องเดินสู่ สภาพความเป็นเยี่ยงนี้ เป็นอย่างนี้แล้ว  ถามว่า มีทางแก้ไหม? ก็ต้องตอบว่า  ต้องกลับไปดูเหตุที่ทำให้ท่านปักลึกลงทิฎฐินี้ ว่าคืออะไรแล้วแก้ที่ตรงนั้น  โดยส่วนตัวผู้เขียน รู้อยู่ว่าคืออะไร  แต่ท่านจะฟังหรือไม่นี่สิ ปัญหาอีกข้อนึ่ง จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 10:26:07

ความคิดเห็นที่ 87 คำถามเพิ่ม คำขอบวชเป็น พุทธวัจจนะ หรือไม่?  เอสาหัง  อุกาสะ ก็ดีมีไหม?  ถ้ามี อยู่เล่มไหน หน้าไหน ข้อที่เท่าไร จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 10:44:15

ความคิดเห็นที่ 88 เดี๋ยว ขอ ตอบข้อสงสัย ของคุณป้าMrs_Mr_Ms ก่อน นะครับ 1. ไม่ใช่ว่า พระอาจารย์ หรือ พระวัดที่วัดนาป่าพง จะเป็นคนสั่งเองว่า คำสาวก อย่าไปฟัง แต่เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้า ที่ได้สั่งเอาไว้ ให้ศึกษาแต่คำของท่าน เพื่อป้องกันศาสนาเสื่อม เพื่อให้คำสอนของพระองค์ มีมาตราฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ดั่งที่พระสารีบุตร พระอานนท์ เวลา คนมาถามธรรมะ พระ อานนท์ พระสารีบุตร ก็ จะตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้อย่างนี้ เป็นต้น ฉะนัน ไม่ใช่ วัดนาป่าพง ต้องการให้ เป็นแบบนี้หรอกครับ แต่เป็น คำสั่ง ของพระพุทธเจ้าที่ได้สั่งไว้ และ ให้ศึกษา และปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ได้ ตรัสไว้ว่า พวกเธออย่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายในกัลยาณวัตรของเราเลย เพราะพระองค์ กลัวว่า คำสอน ของพระองค์และศาสนา จะเสื่อม เลยตรัสไว้แบบนี้ 2.ข้อนี้ ที่จริง ผมไม่ค่อยอยากจะตอบ คุณป้า เพราะคุณป้ามีศรัทธา ต่อ พระสงฆ์ สุปฏิปันโณ โดย เฉพาะสายอาจารย์มั่นมาก ซึ่ง ผม ก็ เป็นเช่นเดียวกันกับคุณป้า คือ เคารพ และศรัทธา ต่อ พระป่า สายอาจารย์มั่น มากเช่นกัน แต่ ที่คุณป้า ถามมาว่าช่วยบอกได้มั้ยคะว่า คำสอนของชั้นสาวก เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ผิดแผกจากพุทธพจน์อย่างไร ผมจะยกตัวอย่าง เท่าที่ ผมพอจะยกได้ นะครับ ผมเคยอ่านหนังสือ หลวงปู่มั่น เล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง ซึ่งเป็น การถอดเทป คำถามจาก พระอาจารย์รูปหนึ่ง ( ผมจำชื่อท่านไม่ได้แล้วครับ ) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ผมได้ให้ คนอื่นไปแล้ว มีคำถามหนึ่ง ซึ่ง ผมจำคำถามไม่ได้แล้วนะครับ เกี่ยวกับ บุคคล 9 จำพวก ซึ่ง พระอาจารย์มั่น ตอบ ไม่ตรงกับ พระศาสดา ซึ่ง หนังสือ เล่มนั้น ไม่อยู่แล้ว ผมจึงจำไม่ได้ ในคำตอบของพระอาจารย์มั่น แต่ตอบไม่ตรงกับพระศาสดาอย่างแน่นอน ส่วน ท่านอื่นๆ ก็ มี เช่น คำสอนของ หลวงปู่เทศน์ บอกว่า จิต อย่างหนึ่ง ใจ ก็ อย่างหนึ่ง มิใช่ อย่างเดียวกัน พระศาสดา ตรัสว่า จิต มโน วิญญาณ คือ อันเดียวกัน คำสอน ของหลวงปู่ ชา ว่า โสดาบัน มีภพ ที่ 8 แต่ พระพุทธองค์ ตรัสไว้ ว่า โสดาบันเกิดอีก ไม่เกิน 7 ชาติ และมีอีก หลายๆวัด ที่ สอน ไม่ตรง กับพระศาสดา เพราะ ไม่ศึกษา คำพระศาสดา เช่น วัดที่ ให้ดูลูกแก้ว สอนให้ไป ดุสิต บุรี วัดที่ สอน ให้ เขย่าฌาน วัดที่สอน ยกมือยกไม้ วัดที่ ให้ดูความเจ็บปวดซึ่ง พระพุทธเจ้า ไม่เคยบอกให้ ดู ความเจ็บปวด แต่ ให้ ดู ปิติ ดับ และ สุขดับ อุเบกขาดับ ให้เดินสลับนั่ง ไม่ใช่ให้ทน  วัดที่ บอก ไปพบ พระพุทธเจ้า บนชั้นนั้นชั้นนี้ ซึ่ง พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่าจะไม่มีใครเห็นพระองค์อีก หลังจากที่พระองค์ ปรินิพพาน แล้ว วัดที่สอนให้ดูจิต แล้วให้ไหลตามอารมณ์ไป ซึ่ง พระพุทธเจ้า สอนให้ ละนันทิ วัดที่รดน้ำมนต์ รับเงินทอง สายอาจารย์ มั่น ก็ เยอะ ครับ อย่าให้ ผมเอ่ยชื่อวัดเลย ปลุกเสกพระเครื่อง สายอาจารย์มั่น ก็ มี ซึ่ง พระพุทธเจ้าสั่งห้ามไว้ ไปวัดนั้น ก็ สอนอย่างนึง ไปอีกวัดนึง สอนอีกแบบนึง วัดป่าบ้านตาด ลงอุโบสถ กับ วัดหนองป่าพงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ ถามว่า ถ้า พระพุทธองค์ยังอยู่ ท่านจะให้ ทำแบบนี้หรือไม่ นี่คือ ไม่ได้ ศึกษา พุทธวจน ว่า พระพุทธเจ้า สั่งไว้อย่างไร บ้าง นะครับที่จริงยังมีอีกมาก แต่ขอยกตัวอย่างเพียงเท่านี้ ครับ ผมมิได้อยากจะยกข้อผิดพลาด จากวัดต่างๆมาให้ฟัง แต่เห็นคุณป้าถามมา ก็เลยต้องตอบให้ฟัง ครับ จากคุณ : จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 11:54:20

ความคิดเห็นที่ 89 สำหรับ คำถาม ท่าน aero.1  ท่านเป็นคนที่มี ภูมิความรู้สูง ผมคงตอบคำถามท่านไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากท่านมีข้อสงสัย ก็ขอเรียนเชิญ ไปที่วัดนาป่าพง ถามดดยตรงกับพระอาจารย์เลยจะดีกว่า นะครับ ซึ่งผมเข้าใจสิ่งที่ท่านถามมา แต่ก็ ไม่กล้าตอบประเด็นที่ท่านสงสัย ผมพอจะจับใจความได้ดังนี้เช่น 1 ทำไม ต้อง นำ คำอรรถกถา ออก ซึ่ง คำอรรถกถา ก็ มีประโยชน์ เป็นเหมือนดั่ง พจนานุกรม ที่ ใช้ บาลี อธิบายบาลี เหมือนที่ ภาษาอังกฤษ อธิบาย ภาษาอังกฤษ เป็นต้น 2 เรื่องการแปล บาลี ให้ศึกษา คำบาลี โดยตรง 3.เรื่อง การอุปสมบท 4. เรื่อง อื่นๆ อีกมากมาย หาก ท่าน aero.1 มีข้อ สงสัย ขอให้ ไปถาม ท่านอาจารย์ โดยตรงจะดีกว่า จะมาถาม คณะศิษย์ วัดนาป่าพง ซึ่ง ถ้าท่านไปที่วัด ท่านน่าจะได้ความรู้ และ ได้คำตอบ กลับมา ครบถ้วน สมบูรณ์ มากกว่าจะมาถามที่นี่ครับ ด้วยความเคารพนับถือ จูปีเตอร์ เทพแห่งดาวพฤหัส จากคุณ : จูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:19:13

ความคิดเห็นที่ 90 #89  คุณจูปีเตอร์เทพแห่งดาวพฤหัส ผมถามใช่ว่าจะสงสัย  แต่ถามเพื่อให้ได้มุมมองเพิ่ม ให้ ท่านที่เป็น "พุทธวัจนะของฉัน" ได้พิจารณา มุมมองที่อาจถูกมองข้ามไป และไม่คิดว่าภูมิสูงส่งแต่อย่างใด เพียงแต่ เงื่อนปมที่กล่าวมีลักษณะสลับซับซ้อนที่เกิดจากโครงสร้า่งทั้งหมดของพระศาสนาที่โยงใยกันอยู่และมีสัมพันธภาพถึงกันหมด  ทั้งพระวินัยพระสูตรและอภิธรรม และอนุโมทนากับคุณด้วยตครับที่ มีและเคารพ "สัจจะ" อันเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะสามารถเห็นธรรม ส่วนเรื่องที่คุณยกธรรมที่อาจคลาดเคลื่อนของ พ่อแม่ครูอาจารย์มา(เฉพาะท่านที่เป็นลัชชีภิกษุ) น่าจะยกมาให้ชัดทั้งวรรคตอนน่ะครับผู้ที่มองอีกมุมนึงอาจอธิบายได้ว่า พ่อแม่ครูจารย์ ท่านหมายถึงอะไร  และประเด็น แม้พระอรหันต์ก็อาจพูดผิดได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฟังไม่ได้เลย หรือห้ามว่าอย่าไปฟัง  อันนี้เป็นการขัดกันกับคำสอนของพระพุทธองค์อันมีรากจากการเข้าใจพระสูตรคลาดเคลื่อน ว่าเป็นคำสั่งของพระองค์ ว่าห้ามฟัง  แต่ในขณะเดียวกันการสอนโดยใช้คำของพระองค์ล้วนๆ ย่อมเลิศแท้  แต่ไม่ได้หมายเอาว่า ฟังใครไม่ได้เลย  ซึ่งนัยยะนี้จะขยายความเมื่อโอกาสมาถึงต่อไป ส่วนการเข้าหาอาจารย์ ผมก็ไป และมีผู้พยายามพาไปหาท่านหลายรอบ (ตั้งแต่ปี 2547)  แต่ดูแล้วไม่น่าจะมีโอกาสได้คุยกันอย่างที่คิดไว้  ก็ได้แต่กราบท่าน ถวายภัตราหารท่าน และนั่งฟังเฉยๆ และยิ่งปัจจุบันท่านดังมากเกินกว่าที่จะเข้าไปคุยได้อย่างสงบๆ  ขออยู่ที่พันทิพย์นี่ล่ะ  ด้วยความเคารพในท่านอาจารย์อย่างสูง จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 12:56:47

ความคิดเห็นที่ 91 ท่านถูกนิมนต์ไปถ่ายทอดพุทธวจนะ บ่อยครั้งมากๆติดๆกัน แต่ท่านก็มีเวลาบ้างนะครับ อย่างเช่นคำวันเสาร์ ควรไปถามเองเลย เพราะจะได้ความกระจ่างอย่างถ่องแท้ เพราะท่านคล่องแคลวในคำศาสดามาก ลูกศิษย์อาจจะตอบไม่ได้ไปทั้งหมดหรอกครับ หากท่านจะไป จะอนุโมทนาบุญมาก มั่นใจว่าต้องเกิดประโยชน์อย่างมหาศาล จากคุณ : พุทธตัวจริง (A_Minor) เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 13:56:47

ความคิดเห็นที่ 92 ซุ่มอ่านมานาน ก็เข้าใจทั้งมุมมองของ คุณ aero.1 และ มุมของศิษย์ของ พอจ คึกฤทธิ์ค่ะ เราก็เป็นคนนึงที่ศรัทธา พอจ คึกฤทธิ์ แต่เราก็ไม่ปิดก้นที่จะรับฟังคำสอนจากครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ แต่ฟังแล้วก็น้อมนำมาพิจารณา ถ้าไปในแนวทางเดียวกับพระพุทธเจ้าของเราเราก็รับไว้ค่ะ แต่ถ้าไม่ใช่ หรือแตกต่าง เราก็เลือกที่จะเชื่อพุทธวจน เชียร์ให้คุณ aero.1 ไปพบ พอจ คึกฤทธิ์ อีก 1 เสียงค่ะ ไม่ใช่แค่คุณได้รับความกระจ่างกว่ามาถามคนในนี้ แต่เผื่อ พอจ จะได้แง่คิดดีๆจากคุณด้วยค่ะ รวมทั้งมาเผยแพร่ให้ทุกคนในนี้ได้รับฟังด้วยก็ดีค่ะ เราว่าคุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความคิดดี ที่จะจรรโลงพระศาสนาของเราให้อยุ่ไปนานๆ ไม่ได้คิดอคติแต่อย่างใ แค่ต้องการเตือนสติทุกคนใช่ไหมคะ จริงๆแล้วท่านไม่ได้เข้าพบยากอย่างที่คุณคิดค่ะ ไปวันอาทิตย์เช้าก็ได้ส่วนใหญ่ท่านจะอยู่ค่ะ หรือเช็คตารางกิจนิมนต์ได้ที่ www.watnapp.com ค่ะ ได้ความยังไงมาขยายให้ฟังในนี้ด้วยนะคะ อยากทราบค่ะ เอาใจช่วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 15:47:06 จากคุณ : ยัยก้อย เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 15:43:50

ความคิดเห็นที่ 93 เจอ #74 กับ #87 เข้าไป      อยากให้กิฟ แต่หมดนานแล้ว  แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 16:44:12 จากคุณ : ชาล้นถ้วย เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 16:41:44

ความคิดเห็นที่ 94 #92 คุณยัยก้อย ผมไม่ได้เป็นฝ่ายที่สร้างความคิดใหม่ถ้าจะพูดก็พูดด้วยความเมตตา  ที่หวังให้เกิดประโยชน์  และในหลายๆ กระทู้ที่คุยกันในกลุ่ม "พุทธวัจนะของฉัน" ก็ไม่ค่อยเข้า วันนี้ก็ลองเซริจดู  ดูแต่เฉพาะความเห็นของคุณ  ก็อนุโมทนาที่คุณส่วนใหญ่จะยก พระสูตรขึ้นมาโพส เป็นเรื่องดีแต่...  และกระทู้นี้ได้แสดงหลายๆ ประเด็นที่ยังไม่มีการกล่าวใน โต๊ะศาสนานี้  จึงเป็นข้อมูลส่วนเพิ่มเติมให้คุณกลับไปพิจารณา  หรือจะนำcopy ถวายท่านอาจารย์ก็จะดีมาก  เพราะจากที่ดูข้อมูลที่คุณยก น่าจะใกล้ชิดท่านอาจารย์พอสมควร และข้อความที่ผมกล่าวว่า "ส่วนการเข้าหาอาจารย์ ผมก็ไป และมีผู้พยายามพาไปหาท่านหลายรอบ (ตั้งแต่ปี 2547)  แต่ดูแล้วไม่น่าจะมีโอกาสได้คุยกันอย่างที่คิดไว้  ก็ได้แต่กราบท่าน ถวายภัตราหารท่าน และนั่งฟังเฉยๆ และยิ่งปัจจุบันท่านดังมากเกินกว่าที่จะเข้าไปคุยได้อย่างสงบๆ"   ไม่ได้หมายถึงท่านเข้าพบยากหรอก  แต่ปัญหาคือท่านอยู่ในแวดวงศิษย์มากมายการไปกล่าวแย้งอย่างนั้น  คุณว่าจะเข้าใจกันไหม  ไม่ใช่จะกลัวแต่มันใช่ฐานะหรือ?  เปรียบดั่งถ้าผมมีเพื่อนคนนึ่ง ซึ่งคุณพ่อเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย แต่อาจติดเหล้า แล้วเพื่อนมาขอร้องว่า  คุณๆ aero.1 ช่วยไปสืบและถ้าท่านติดเหล้าจริงๆ คุณช่วยบอกให้คุณพ่อผมรู้ทีเถอะ บอกท่านในห้องบรรยายนั้นแหละ ว่าติดเหล้ามันไม่ควร  คุณว่ามันเหมาะไหม? จากที่กล่าวผมไม่ได้เป็นฝ่ายที่สร้างความคิดใหม่ถ้าจะพูดก็พูดด้วยความเมตตา ทางที่ดีคุณเองควรที่จะ เอาข้อมูลที่คุณมีทั้งหมดเข้า มหาเถรสมาคม รับรองท่านยินดีคุยกับคุณเสมอ :)  ถ้าไม่กล้าไปจะให้ผมชี้ช่องให้ก็ได้  เอาใจช่วยเสมอ สู้ๆน่ะครับ เอาไปให้ครบน่ะครับ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ วาระแห่งชาติทั้งนั้น สวด 150 ข้อ ฉันมื้อเดียว ไม่ฟังครูอาจารย์ ตัดอรรถกถา  สู้ๆ ครับ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 54 20:09:40 จากคุณ : aero.1 เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 19:52:28

ความคิดเห็นที่ 95 สำหรับคำถามของ   คุณป้า "ช่วยบอกได้มั้ยคะว่า คำสอนของชั้นสาวก เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ผิดแผกจากพุทธพจน์อย่างไร" คุณป้าต้องศึกษาพุทธพจน์เพื่อจะได้หาคำตอบสำหรับคำถาม เนื่องจากเราก็ไม่ได้ศึกษาหรือในคำสอนของท่าน และอยากบอกว่าไม่รู้จัก หลวงปู่สิม หลวงปู่มั่นเห็นแต่รูปรู้ว่าเป็นอาจารย์หลวงตาบัวแต่ไม่เคยเห็นคำสอน หลวงปู่ดลย์เคยอ่านหลวงปู่ฝากไว้ /หลวงพ่อชาได้อ่านอัตชีวประวัติท่านก็เลยรู้จัก หลวงตาบัวผ้าป่าช่วยชาติไม่เคยได้ฟังธรรม แต่ก็ได้อ่านอัตชีวประวัติท่าน สิ่งที่น่านับถือคือปฎิทาในการปฎิบัติของท่านและเอาไว้เปรียบเทียบ อย่างเช่นวัดป่าบ้านตาด กับ วัดธรรมกาย หลวงปู่ดุลย์เรื่องปฎิปทา ถ้าท่านคือพระอรหันต์ก็ไม่เคยพูดหรือแสดงอะไร หลวงพ่อชาเรื่องปฎิปทา เคร่ง และมีเมตตา ชอบท่านนะ จากที่อ่านอัตชีวประวัติ พระที่ป้าเอยนามมาเป็นที่รู้จักก็แค่ชั่วอายุคนของรุ่นนั้นๆ หลังจากนั้นก็ไม่รู้จักแล้ว  เราอยากถามว่ารุ่นหลานป้าจะให้ หลานศึกษาคำของพระรูปไหน จริงๆแล้วในทำเนียบพระอรหันต์ก็มีมากกว่านี้อีก ป้าจะแนะนำให้หลานหรือเหลนศึกษาคำสอนของพระรูปใดที่ป้านับถือเพื่อสืบทอดพระสัทธรรมต่อไป เราคงได้แค่แลกเปลี่ยนในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบอกสอน  ก็แล้วแต่ว่าใครจะเลือกเอา แต่สำหรับเราจะเลือกพิมพ์หนังสือคำสอนพุทธวจนและพุทธประวัติจากพระโอษฐ์เพื่อให้ชาวพุทธได้ศึกษาและเข้าใจว่ากว่าจะทรงตรัสรู้ได้นั้นพระองค์ทรงลำบากแค่ไหนใน6ปีที่ทรงหาหนทางหลุดพ้นเพื่อให้เราชาวโลกได้พบทางพ้นทุกข์และถ่ายทอดส่งต่อสู่ลูกหลานให้ศึกษาหลักธรรมและวินัยที่ทรงบัญญัติและสีบทอดพระสัทธรรมต่อไป จากคุณ : เนตังมม (เนตังมม) เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 54 20:13:17

ความคิดเห็นที่ 96 ไม่ทราบว่าท่านเอาหลักอะไร มาบอกว่านี่นั่นคือพุทธวจนะ (ทั้งๆที่ ในพระสูตรก็บอกว่า "ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้") และที่พระไตรปิฎกแม้นในพระสูตร ก็มีคำของพระสาวก แล้วการที่ไม่นำพาพระสูตรเหล่านั้น มีผลกระทบอะไรบ้าง ท่านทราบหรือเปล่า นี่เป็นการติดอยู่ในหลักเหตุเดียวผลเดียว หรือไม่ จากคุณ : เป็ดจิ๋ว เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 08:57:08

ความคิดเห็นที่ 97 ใช้หลักมหาปเทส 4 ในการตรวจสอบครับ คำของพระองค์ย่อมไม่ขัดแย้งกัน  ถ้าขัดแย้งกันย่อมไม่ใช่้ำคำของพระองค์ ไม่ว่าใครจะนำคำตรัสของพระองค์มาเล่าต่อก็ตามย่อมตรวจสอบได้ โดยการใช้หลักมหาปเทส 4ความย่อดังนี้ 1.ภิกษุ กล่าวอย่างนี้ว่าได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า 2.ภิกษุ กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีสงฆ์อยู่พร้อมด้วยพระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้น 3.ภิกษุกล่าวอย่างนี้ว่าในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่จำนวนมาก เป็นพหูสูตร เรียนคำภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้น 4.ภิกษุ กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้น มีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่รูปหนึ่ง เป็นพหูสูตร เรียนคำภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับเฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้น หากมีคนอ้างมาจาก 4 ข้อ ด้านบนว่า“นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา” พระองค์ให้กระทำดังนี้ เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม  ยังไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย ถ้าบท และพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุนี้รับมาผิด” เธอทั้งหลายพึงทิ้งคำนั้นเสีย ถ้าบท และพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำรัสของพระผู้มีระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุนั้นรับมาด้วยดี” เธอทั้งหลาย พึงจำมหาปเทส.. นี้ไว้ ------------------------------------------------------- เราใช้หลักตรงนี้ในการตรวจสอบครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 54 09:52:31 จากคุณ : somkiat72 เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 54 09:39:26