[๑๐๘] พระนครสาวัตถี. ฯลฯ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงเปล่งอุทานว่า
ภิกษุน้อมใจไปอย่างนี้ว่า ถ้าว่าเราไม่พึงมี ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี การปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้.
ฯ
[๑๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วแล ผู้ใดเห็นพระอริยเจ้า
ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ได้รับการแนะนำดีในอริยธรรม
ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับการแนะนำดีในสัปปุริสธรรม
ย่อมไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่พิจารณาเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ฯลฯ
เธอย่อมทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันไม่เที่ยง ตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง.
ฯ อันเป็นทุกข์ ตามความเป็นจริงว่า เป็นว่าทุกข์.
ฯ อันเป็นอนัตตา ตามความเป็นจริงว่า เป็นอนัตตา.
ฯ อันปัจจัยปรุงแต่ง ตามความเป็นจริงว่า อันปัจจัยปรุงแต่ง.
ย่อมทราบชัดตามความเป็นจริงว่า แม้รูป แม้เวทนา แม้สัญญา แม้สังขาร แม้วิญญาณ จักมี.
ย่อมทราบชัดตามความเป็นจริงเช่นนั้น เพราะเห็นความเป็นต่างๆ
แห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.
ดูกรภิกษุ เมื่อภิกษุน้อมใจไปอย่างนี้แลว่า ถ้าว่าเราไม่พึงมี ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี ปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.