ในกรณีนี้ จะว่าเกี่ยวกับการเมืองก็ใช่
แต่ว่าไม่ใช่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกลไกทางการเมือง
แบบที่พระมหาเหล่านั้นได้กระทำ
การแนะนำของพระมหาเหล่านั้น เป็นการกระทำที่มีผลทางการเมือง
คือสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นไปในทางการเมืองได้
แต่สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แค่ทรงสังเกตการณ์อยู่เฉย ๆ
มิได้เข้าไปทรงยุ่งเกี่ยว หรือเป็นเหตุให้เกิดผลทางการเมือง
แต่ผมขอบอกตรง ๆ อย่างหนึ่งนะครับ
การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ของสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์
เท่ากับว่าเ้ป็นการทรงละสถานภาพความเป็นขัตติยชาติไปแล้ว
จึงไม่ได้มีความเป็นเจ้าแผ่นดินมารองรับ
แล้วการที่ทรงเผยแผ่พระสัทธรรมนั้น
ไม่ได้ทรงทำในฐานะอดีตรัชทายาทแห่งกรุงกบิลพัสดุ์
แต่ทรงทำในฐานะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลกไม่เลือกหน้่า
คนที่มาฟังพระสัทธรรมเทศนา
ก็มิได้คิดว่ามาฟังการปราศรัยของอดีตรัชทายาทแห่งกบิลพัศดุ์
แต่คิดว่ามาฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สนว่าพระองค์เป็นอะไร ไม่ได้สนว่าพระองค์มีฐานะในอดีตอย่างไร
แล้วผมต้องเตือนอีกอย่าง ท่าทางคุณอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนบางประการ
พระพุทธศาสนาไม่ได้มีแค่เรื่องกฎแห่งกรรม
และเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่ได้มีแค่เฉพาะในพระพุทธศาสนา
วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยังมี "action = reaction"
ที่ไม่ได้เอามาจากพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา มีแก่นสารสาระมากกว่านั้นครับ
นั่นคืออริยสัจธรรมทั้ง 4 ประการ
ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความพ้นทุกข์ และทางให้ถึงความพ้นทุกข์
เย ธมฺมา เหตุปพฺพวา
เตสํ เหตุํ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ
เอวํ วาที มหาสมโณ
ธรรมใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตทรงแสดงเหตุเหล่านั้น
พร้อมทั้งความที่ธรรมนั้นดับ
พระมหาสมณะ มีปกติ ทรงสอนดังนี้