ความคิดเห็นที่ 1 ก่อนจะได้รับ พุทธพยากรณ์นั้น  แค่ความตั้งใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่ ตั้งใจ กัน ห้าปีสิบปี ร้อยปี เพราะเป็นความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่นัก ท่านต้องคิดในใจ นับเป็นล้านล้านชาติ คือ ระหว่าง 7-28 อสงไขย มหากัป จึงจะได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้า สักพระองค์หนึ่ง  แล้วได้เปล่งวาจา ต่อพระพักตร์ พระพุทธเจ้า ทั้งยังต้องเปล่งวาจานี้ ต่อพระพุทธเจ้า อีกนับพระองค์ไม่ถ้วน คือต้องได้เปล่งวาจา นับเป็นล้านๆชาติเช่นกัน ช่วงนี้ใช้เวลาประมาณ 9-36 อสงไขย มหากัป บุญบารมี จึงจะมากพอที่จะได้ รับพุทธพยากรณ์   ในชาติที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ นั้น ท่านต้องเป็นเพศชาย เป็นนักบวช มีการทำความดี จนได้ฌานแล้ว และมีความพร้อมที่จะบรรลุธรรม พ้นทุกข์ เป็นพระอรหันต์เจ้าได้ในทันที เมื่อมีองค์ประกอบเช่นนี้แล้ว  ด้วยความที่ท่านทำบุญตั้งความปรารถนามาก่อน ท่านก็จะมีความปรารถนา ในพุทธภูมิ ท่านจะเอ่ยปากต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า ขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล เมื่อนั้น จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นนิยตพระโพธิสัตว์  จะเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลอย่างแน่นอน  หลังจากนี้ ท่านจะมาขอเปลี่ยนมาล้มเลิกทีหลัง ไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะพุทธพจน์ ของพระพุทธเจ้า เที่ยงแท้ เป็นหนึ่งไม่มีสอง เมื่อได้พุทธพยากรณ์ แล้ว นั้นคือ ท่านตัดโอกาสตนเอง จากความพ้นทุกข์ ในชาตินั้น จากการได้รับฟังธรรม หน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ท่านยังตัดโอกาสแห่งการได้พ้นทุกข์ หรือ อรหัตผล  ของตนเอง จากการได้รับการแสดงธรรมจนพ้นทุกข์ จากพระสาวก หรือจากการแสดงธรรม โดยพระพุทธเจ้าอีกมากมายในอนาคตกาล  เพราะท่านจะต้องบรรลุธรรม ในชาติสุดท้าย ด้วยตนเอง เพื่อที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประกาศพระศาสนานำคน จำนวนมากให้พ้นทุกข์   ตามตำรากล่าวว่า นับแต่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์ ท่านต้องสร้างบารมี 30 ทัศ  บารมี 30 ทัศนี้  มีสิบชนิดได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ( การออกบวชหรือถือศีลแปด ) ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และ อุเบกขา  บารมีทั้งสิบนี้ สร้างด้วยความลำบาก ครบสามระดับ  สร้างโดยการสละวัตถุ ทรัพย์ เป็นขั้นต้น ด้วยเลือดเนื้อและอวัยวะ เป็นขั้นกลาง และด้วยการสละชีวิต เพื่อให้บารมีนั้นๆ สำเร็จ  เป็นขั้นสุดท้าย เมื่อสร้าง ครบทุกชนิด ในสามระดับนี้ แล้ว จึงรวมได้เป็น บารมี 30 ทัศ นั่นเอง   ระหว่างที่สร้างบารมี ท่านก็ต้อง ชดใช้กรรมไปด้วย เพราะการเกิดเป็นคน ก็ทำกรรมดีและชั่วไปด้วยกันอีก  ทั้งหมดนี้ เป็นเวลา นานมากมาย แทบจะนับไม่ได้ คือนานถึง  ถึง 4-16 อสงไขย กับแสน มหากัป เวลาที่ต่างกันระหว่าง สี่ กับ สิบหกอสงไขยนี้  ขึ้นกับว่า กรรมที่ท่านได้สั่งสมมา จะอำนวยให้ท่านเป็นพระพุทธเจ้า แบบ มีปัญญา หรือ ศรัทธา หรือความเพียร เป็นตัวนำ จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:12:40

ความคิดเห็นที่ 2 พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตะโพธิสัตว์ แล้ว ท่านจะใช้เวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย  ระหว่างนี้ เมื่อพบพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ท่านก็มักจะทำความดี บูชาพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น  และจะได้รับพุทธพยากรณ์ซ้ำๆ จากทุกพระองค์มาตลอด  จนถึง ชาติที่ท่านจะได้บรรลุธรรม เป็นพระพุทธเจ้า โดยพระองค์เอง พระศรัทธาธิกะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ทุกอย่างจะเหมือนกัน เพียงแต่ระยะเวลาที่ต่างกันคือ หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ท่านจะต้องสร้างบารมี  8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงจะเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ต้องสร้างบารมี  16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เพียง 1 มหากัป ก็เป็นเวลานาน นับร้อย หรือพันล้านปี คือเวลานับตั้งแต่ มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลก  จนถึงเวลาที่มนุษย์ทุกคนสาบสูญตายไปจนหมดโลก อาจจะด้วยสงคราม แผ่นดินไหว น้ำท่วมโลก พระอาทิตย์มาใกล้โลกไหม้หมด หรือจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่  แต่ละกัป ก็อาจจะสั้นยาวไม่เท่ากันก็ได้ อสงไขย มีผู้คำนวณประมาณว่า   คือจำนวน  1 แล้วมีเลขศูนย์ตามหลัง ถึง 140 ตัว 1 อสงไขยมหากัป คือ ร้อยล้านล้าน...( ล้าน ทั้งหมด ยี่สิบสามครั้ง ) มหากัป จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:13:32

ความคิดเห็นที่ 3 พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตะโพธิสัตว์ แล้ว ท่านจะใช้เวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย  ระหว่างนี้ เมื่อพบพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ท่านก็มักจะทำความดี บูชาพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น  และจะได้รับพุทธพยากรณ์ซ้ำๆ จากทุกพระองค์มาตลอด  จนถึง ชาติที่ท่านจะได้บรรลุธรรม เป็นพระพุทธเจ้า โดยพระองค์เอง พระศรัทธาธิกะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ทุกอย่างจะเหมือนกัน เพียงแต่ระยะเวลาที่ต่างกันคือ หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ท่านจะต้องสร้างบารมี  8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงจะเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก ต้องสร้างบารมี  16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เพียง 1 มหากัป ก็เป็นเวลานาน นับร้อย หรือพันล้านปี คือเวลานับตั้งแต่ มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลก  จนถึงเวลาที่มนุษย์ทุกคนสาบสูญตายไปจนหมดโลก อาจจะด้วยสงคราม แผ่นดินไหว น้ำท่วมโลก พระอาทิตย์มาใกล้โลกไหม้หมด หรือจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่  แต่ละกัป ก็อาจจะสั้นยาวไม่เท่ากันก็ได้ อสงไขย มีผู้คำนวณแล้ว  คือจำนวน  1 แล้วมีเลขศูนย์ตามหลัง ถึง 140 ตัว 1 อสงไขยมหากัป คือ ร้อยล้านล้าน...( ล้าน ทั้งหมด ยี่สิบสามครั้ง ) มหากัป จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:13:58

ความคิดเห็นที่ 4 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกับพระสาวกอย่างไร ตอบว่า ความสุข ความสบายไม่ต่างกันเลย คือพ้นทุกข์ ตัดการเกิดแก่เจ็บตายแก่ตนได้เท่ากัน สิ่งที่ต่างกันคือ ในชาตินั้น ท่านจะเป็นบรมครู เป็นพระบรมศาสดา และจะนำพาคนและเทวดาพรหมทั้งปวง ให้ตัดบ่วงวัฏสงสาร พ้นทุกข์ไปด้วย ได้อย่างมากมายกว่าเท่านั้นเอง  จะว่าไปแล้ว เสมือนกับว่า ท่านยอมสร้างบารมี ด้วยการทำดี เกิดแก่เจ็บตาย เจอสิ่งเลวร้าย นับชาติไม่ถ้วน ประมาณเท่ากับดาวบนท้องฟ้า  เพื่อจะตัดการเกิดแก่เจ็บตายแก่ผู้อื่น นำผู้อื่นให้พ้นทุกข์ นั่นเอง ถ้าถามว่า ใครน่าสงสารที่สุด คน ยากจนเข็ญใจ คนพิการ คนหลงผิด คนทำบาปกรรมโกงบ้านเมือง หรือสัตว์ทัั้งหลาย ในความเห็นของหลวงพี่  ก็จะตอบกว่าไม่ใช่ ผู้ที่น่าสงสารที่สุดในโลกนี้ คือพระโพธิสัตว์นั่นเอง จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:14:54

ความคิดเห็นที่ 5 อุบาสก เธอต้องไปเล่าย้ำให้ดีนะว่า เมื่อเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ท่านไม่เคยสอนให้ใครเป็นพระโพธิสัตว์อีกเลย  เพราะทรงทราบว่า การเกิดแต่ละครั้งเป็นทั้งความทุกข์ และความเสี่ยง คือเมื่อเกิด ต้องรับกรรม ที่เคยทำมายาวนาน เป็นพุทธันดร หรือเป็นอสงไขยกัป อย่างที่ผู้ใดก็ป้องกันไม่ได้ และทุกครั้งที่เกิด ก็เสี่ยงที่จะทำบาปกรรม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีพระเมตตาที่ประมาณไม่ได้    ด้วยความเมตตา ที่รู้แจ้งชัด ถึงความทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะทรงสอนและเร่งให้ไม่ประมาททั้งสิ้น  ให้รีบทำความเพียร  ให้รีบดับทุกข์  ด้วยการละความชั่ว มีศีล อบรมสติ สมาธิ พิจารณา ร่างกายและจิตใจ ว่า เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง  ทุกขัง เป็นทุกข์ และอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราของเรา ที่จะทำตามใจตามอำนาจของเราได้ คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา จึง เร่งรัดให้ทำความเพียร  ไปสู่การดับทุกข์ ตัดภพชาติ สันโดษ ปล่อยวางความยึดมั่นทั้งปวง พระสงฆ์ที่งดงาม และซื่อตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์ คือ พระสงฆ์ที่นำคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์มาสอน และประพฤติตน ตามพระธรรมวินัย มีศีล มีวินัยที่ครบถ้วน เช่นไม่รับเงินทอง เป็นของตน  ไม่มีการซื้อขาย มีความสันโดษ ไม่สะสม ไม่คลุกคลี กับ หมู่คณะ   มีความอดทน ต่อความลำบาก มีความเพียร  มี มักจะอยู่ป่า หรือที่สงัดเงียบ อยู่วิเวก ทำสมาธิ และจงกรมเป็นวัตรเป็นประจำ เป็นต้น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ไม่เพียงแต่นำพระธรรมมาสู่ทุกคนยังเป็นเลิศแห่งเนื้อนาบุญของ คนจำนวนมากอีกด้วย จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:15:41

ความคิดเห็นที่ 6 ทำไม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ทรงสอน ให้ต้องรีบดับทุกข์  เพราะ การเกิด เป็นทุกข์ เราต้องทรมาน อึดอัด ในมดลูกถึงเก้าเดือน ตอนคลอด ศีรษะทารกจะถูกบีบ เหมือนโดนบีบขมับ จนกะโหลกยาวตามช่องคลอด ร่างกายก็โดนบีบรัด  ทั้งหมดนี้ประมาณ หนึ่งวัน  เมื่อคลอดออกมา ก็ต้องมาหายใจ ทางปอด โดน ดูดเสมหะ เจ็บมาก โดนตี โดนตัดสายสะดือ ยิ่งกว่านั้น เราต้องรับกรรม ช่วงแรกทันที บางคนพิการ บางคนกำพร้า บางคน ยากจน บางคนโดนทิ้ง บางคนร่ำรวย เป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้เอง ต้องมาจากกรรมที่เราเคยทำมาทั้งสิ้น   ยังไม่นับโอกาสที่จะเกิดเป็นสัตว์ ซึ่งมีมากกว่าคนมาก จากนั้น เราจะโตขึ้นมา  เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็โดนตัณหาพาไป ให้รักชอบพอเพศตรงข้าม อกหักบ้าง สมหวังบ้าง จากนั้นบางคนมีลูก ความสุขทุกข์ กลายเป็นของไม่แน่นอนทุกนาที เพราะขึ้นกับลูก ลูกสุข ลูกยิ้ม เราสุข ลูกร้อง ลูกเจ็บ  ลูกป่วย  เราทุกข์  ลูกตาย เราเศร้า อยากตายตาม เป็นห่วงลูก  ลูกพิการ เราทุกข์หนัก อยากจะขอพิการแทน  เราจะทรมานบันเทิง อย่างนั้น จนลูกโต บางคนลูกโตแล้ว ก็มาติดหลานอีก ทรมานทุกข์สุขไปกับหลานอีก จากนั้นเราแก่  ความแก่เป็นทุกข์  เราเริ่มร่างกายเสื่อม ทุกอย่างไม่ดี เหมือนเดิม  ความเจ็บเป็นทุกข์ จากร่างกายที่งดงาม เป็นร่างกายที่ทรมาน ด้วยความเจ็บปวด ฟันไม่ดี ปวดฟัน เหงือกก็ไม่ดี  เข่าไม่ดี ปวดเข่าปวดหลัง ปวดทั้งตัว ร่างกายจะนำแต่ทุกข์มาให้  ได้ข่าวเพื่อน ฝูงคนที่เรารัก ก็เริ่มแก่ เริ่มเจ็บ เริ่มทยอยตายจากพลัดพรากกันไป  เราก็ทุกข์เพราะแก่  ต่อมาก็เจอความตาย ความตายเป็นทุกข์  สัตว์บางตัว ถูกฆ่า อย่างทารุณ ในโรงฆ่าสัตว์ ยิ่งเป็นทุกข์  ต้องยืนรอ ต้องมองเห็น ต้องเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ เกิดมาแล้วนับล้านล้านชาติ และไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่า วันหนึ่งบุญเรามากพอ ได้ฟังพระธรรม คำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เริ่มที่จะสู้กับกิเลสตัณหา และ ฝึกตน ตามแนวทางแห่ง   “มรรค”  อันเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะบรรลุธรรม จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:16:59

ความคิดเห็นที่ 7 พระพุทธองค์ สละตน ด้วยภพชาติอันยาวไกล เพื่อสร้างพระศาสนา ให้คนได้พ้นทุกข์ตัดภพชาติได้  พระองค์ สละตนช่วยเหลือแก่คนที่พระองค์เอง ก็อาจจะไม่รู้จัก แต่เขาเหล่านั้น จะได้รับ พระศาสนาที่วางระบบไว้อย่างดี  ได้รับพระธรรมที่ปลูกฝังไว้อย่างดี พระพุทธองค์ ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้อื่น  ด้วยเลือดเนื้อและน้ำตา ของพระองค์ นับล้านล้านชาติอย่างนี้เอง อุบาสก ครับ ผมจะนำไปเล่าให้ทุกคนฟังตามนี้ เพื่อ เป็นการบูชาคุณพระพุทธองค์ และปฏิบัติ เผยแพร่แนวทางที่ถูกต้อง รักษาพระธรรมวินัยที่ดีงามครับ จบเรื่อง กว่าจะเป็นสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:19:11

ความคิดเห็นที่ 8 อนุโมทนา.......สาธุ จากคุณ : รักษาจิต เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:50:52

ความคิดเห็นที่ 9 หลวงพี่   ได้สิ  เธอฟังนะ  ก่อนที่จะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ในอดีตชาติอันยาวไกล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็จะเป็นคนธรรมดา คำเช่น ^นี้  เป็น มิจฉาทิฏฐิ คือ สัสสตทิฏฐิ  ที่กั้น มรรค ผล ไหม พุทธบริษัท ของ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา รักษา "ธรรม ที่ตรัส วินัยที่บัญญัติ" สืบไว้ สอบทานได้  จาก พระไตรปิฎก ท่าน จขกท  มี ความเห็น เป็นประการใดครับ ว่าด้วย "หลวงพี่" (ที่กล่าว ในฐานะ พุทธบุตร ของ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ หรือ ในฐานะ?  ว่า --)   ได้สิ  ---- เธอฟังนะ  ก่อนที่จะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ในอดีตชาติอันยาวไกล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็จะเป็นคนธรรมดา /////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////// หมายเหตุ นิพเพธิกสูตร ตรัสไว้ว่า เจตนา คือกรรม เพราะว่า บุคคลมีเจตนาแล้ว  ย่อมกระทำซึ่งกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา  ด้วยใจ ฯ พระพุทธเจ้า  ตรัสธรรม ไม่ขัดกันได้ฯ ธรรมทั้งปวง อนัตตา  --อนัตตา คือ --- ไม่มี อัตตา ในธรรมที่ไม่ใช่อัตตา ตกลง ชาวพุทธใด จะ ยืนยันว่า----- พระพุทธเจ้า มี อัตตา (ตามคำ "หลวงพี่") คือ --ในอดีตชาติอันยาวไกล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็จะเป็นคนธรรมดา ?                 -- อย่าลืม  พระพุทธเจ้าพระองค์นี้  ยังทรงยังอยู่ --- ท่าน จขกท --เห็นว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นี้  ยังทรงยังอยู่ ใช่ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 08:58:57

ความคิดเห็นที่ 10 มีอะไรในใจคั่งค้างเรื่องพระโพธิสัตว์ ก็พูดออกมาตรงๆเลยครับ อย่าทำแบบที่คุณเขียนไว้ " เป็นเพราะผมเอง ผมเคยมีจุดยืนที่ไม่แน่นอน  ขี้เกียจอธิบาย และกลัวบาปกรรม ชอบปล่อยวาง เลยตั้งใจแต่จะเผยแพร่พระธรรมครับ" ถ้าถามว่า ใครน่าสงสารที่สุด คน ยากจนเข็ญใจ คนพิการ คนหลงผิด คนทำบาปกรรมโกงบ้านเมือง หรือสัตว์ทัั้งหลาย ในความเห็นของหลวงพี่  ก็จะตอบกว่าไม่ใช่ ผู้ที่น่าสงสารที่สุดในโลกนี้ คือพระโพธิสัตว์นั่นเอง " ผมเห็นคุณอธิบายเป็นนิทานได้ยาวเหยียด  อธิบายตอบคำถามสั้นๆก็น่าจะทำได้  ไม่ใช่หรือครับ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 09:23:34 จากคุณ : Bitter Coffee เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:21:51

ความคิดเห็นที่ 11 พระโพธิสัตว์ ไม่แสดงตนให้ใครรู้เด็ดขาด  นอกจากได้รับพยากรณ์จากพระพุทธองค์ จากคุณ : กุ๊กเทวดา เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 09:29:06

ความคิดเห็นที่ 12 #11 ผมเจอเพียบเลยครับ ทั้งนิยตและอนิยตโพธิสัตว์ จากคุณ : เพื่อมหาชน เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:07:42

ความคิดเห็นที่ 13 พี่หมอเขียนกระทู้ที่ดีจังค่ะ อ่านแล้วเห็นถึงความลำบากของพระบรมศาสดา ขออนุโมทนา ในกุศลเจตนาค่ะ จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 10:13:48

ความคิดเห็นที่ 14 เขียนได้ดีครับ  อ่านความเสียสละเพื่อผู้อื่นที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์แ้ล้วทำให้นึกถึงบุคคลท่านนึงในประเทศไทยคือ เจ้าสัว CP ซึ่งประกอบธุรกิจค้าเนื้อสัตว์เกือบทุกประเภท วันนึง ๆ มีสัตว์นับล้านชีวิตในธุรกิจของเจ้าสัวที่ต้องสังเวยชีวิตเพื่อให้ผู้คนหลายล้านชีวิตกินอิ่มหลับสบาย  หมูนับไม่ถ้วน ไก่นับไม่ถ้วน ปลานับไม่ถ้วน (ทั้งปลาซีพี ปลานิล และปลาดุก)  สรุปคือผมมองเห็นความเสียสละของเจ้าสัวนะครับ (รวมถึงนักธุรกิจท่านอื่น อาทิเช่น เจ้าสัวเบทาโกร  เจ้าสัวสหฟาร์ม เป็นต้น) ... ^^ จากคุณ : หน้าม้าคุง ... ฮี้ฮี้ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 12:49:30

ความคิดเห็นที่ 15 คห 14 เสียสละ ถ้าแบบที่พูด ก็คือ เจ้าสัวต้องให้ฟรีน่ะครับ ไม่คิดเงิน แบบนั้น เออ เสียสละจริงๆ ................................................... ชอบ บทความของ จขกท ครับ จากคุณ : wkiet เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 13:58:52

ความคิดเห็นที่ 16 Source ของนิทานนี้มาจากแหล่งใดคะ  หรือว่าพี่จักรแก้วเขียนเอง แล้วพี่จักรแก้วคิดว่าตัวเองเปนพระโพธิสัตว์ด้วยมั้ยคะ อยากรู้ค่ะ   ช่วยกลับมาตอบด้วยนะคะ ไม่ควรจะ "ขยัน"  ตั้งกระทู้แล้วทิ้ง  ใครถามไรก็ไม่ตอบ  ไม่สน เพราะพฤติกรรมจะไม่ต่างจาก "อ้าซ่า"  ผู้แจ้งเกิดด้วยวิธีแบบนี้  ประหนึ่งบอทมาตั้งกระทู้ อย่างกระทู้นี้  คุณวิวและข้าพเจ้ามีถามไว้  ก็ไม่ยักกะยอมตอบเลยค่ะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11961789/Y11961789.html จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 14:27:59

ความคิดเห็นที่ 17 น้อง smiling girl ครับ พี่ได้ขออภัยในการตอบคำถามไปแล้ว ว่า จะไม่ตอบในบางเรื่อง เพราะเรามีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นได้ครับ ในชีวิตจริงของเราก็เช่นกัน พี่ไม่จำเป็นต้องตอบทุกเรื่อง พี่จะเลือกของพี่เองครับ จุดประสงค์ เพื่อเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธองค์ นั้นคือสิ่งที่ต้องการ กระทู้ในห้องศาสนา มีได้หลากหลาย ของพี่ จะนำธรรมะมาเล่าเป็นนิทานนั่นเองครับ นิทาน นั้น ให้เลือกเฟ้นธรรมที่เหมาะที่ดี แก่เรา อาจจะไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ จะเห็นด้วย จะไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น จะให้ความเห็นเพิ่มเติมก็ได้ บางคำถามที่พี่คิดว่า เหมาะสม ดี มีประโยชน์ และในเวลาอันสมควร ถูกกาล และถูกใจพี่ที่พี่อยากจะตอบ พี่จะตอบเองครับ ต้องขออภัยสำหรับท่านที่ถามกันมาด้วยนะครับ พี่จะยึดหลักนี้ไว้เสมอ นับแต่นี้ไปครับ จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 14:41:04

ความคิดเห็นที่ 18 " ขี้เกียจอธิบาย" แต่มีเวลามานั่งเขียนนิทาน  ขยันตั้งกระทู้แต่ไม่ตามตอบ ย้อนแย้งชะมัด O_O หรือเหตุผลเดียวกับยกมือไหว้ตากล้องเวลาถ่ายรูปอะแหละ เอาเลย แล้วแต่ท่านหัวหน้าพรรคสําลักบุญท่านจะสะดวกแล้วกัน ดีไม่ตอบว่า "กรูอินดี้" แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 15:28:09 จากคุณ : Yogi Playgirl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 15:19:04

ความคิดเห็นที่ 19 Source ของนิทานนี้มาจากแหล่งใดคะ  หรือว่าพี่จักรแก้วเขียนเอง ^ ^ ตรงนี้พี่จักรแก้ว "ควร" จะตอบนะคะ หากพี่ไปนำข้อความของใครเขามา  พี่จะไม่ให้เครดิตเลยหรือ  มารยาทพื้นฐานเลยค่ะ จรรยาบรรณมีไดในทุกวงการ สาขาอาชีพนะคะพี่ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 15:36:40

ความคิดเห็นที่ 20 หากพี่จักรแก้วจะทำตัวเปนก้อนเมฆสีเทาๆ  ลักกะปิดลักกะเปิด  ชิวๆ ตามใจฉานน โอกาสที่พี่จะเปียกปอนเพราะเม็ดห่าฝน เผลอๆ เจอฟ้าฟาดเอาด้วย   ก็ย่อมมีได้  ตามประสาของธรรมชาตินะคะ   :-) จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 15:39:20

ความคิดเห็นที่ 21 เพิ่งเห็น    ===>   กรูอินดี้   <====     จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 15:42:03

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่องนี้พี่ยินดีตอบได้ เรื่องของอุบาสก เป็นเรื่องที่พี่เรียบเรียงเอง โดยอาศัยความรู้จากแนวพระไตรปิฎกสิครับ เป็นนิทานนี่ พี่ก็ต้องเรียบเรียงเอง ถูกมั้ย นำธรรมพระพุทธเจ้า มาเผยแพร่ ความดีงาม ถ้าพึงมี เป็นของพระพุทธองค์ ผู้สละตนเอง มายมายคณานับ เพื่อตั้งพระศาสนาอันนำคนให้พ้นทุกข์ ส่วนตัวบุคคลต่างๆในนิทานจะมีจริงหรือไม่ ไม่ขอตอบนะครับ แนวนิทานอุบาสก เพื่อ เพื่อให้ได้เลือกธรรมที่เหมาะกับตนเอง เลือกเฟ้นธรรม (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม โดยมีหลักคิดว่า การให้ความรู้ เป็นสิ่งมีค่า ที่ทำให้รู้เท่าทัน ความไม่รู้ทั้งปวงนั่นเองครับ จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 17:30:50

ความคิดเห็นที่ 23 อุบาสก เธอต้องไปเล่าย้ำให้ดีนะว่า เมื่อเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ท่านไม่เคยสอนให้ใครเป็นพระโพธิสัตว์อีกเลย  เพราะทรงทราบว่า การเกิดแต่ละครั้งเป็นทั้งความทุกข์ และความเสี่ยง คือเมื่อเกิด ต้องรับกรรม ที่เคยทำมายาวนาน เป็นพุทธันดร หรือเป็นอสงไขยกัป อย่างที่ผู้ใดก็ป้องกันไม่ได้ และทุกครั้งที่เกิด ก็เสี่ยงที่จะทำบาปกรรม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีพระเมตตาที่ประมาณไม่ได้    ด้วยความเมตตา ที่รู้แจ้งชัด ถึงความทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะทรงสอนและเร่งให้ไม่ประมาททั้งสิ้น  ให้รีบทำความเพียร  ให้รีบดับทุกข์  ด้วยการละความชั่ว มีศีล อบรมสติ สมาธิ พิจารณา ร่างกายและจิตใจ ว่า เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง  ทุกขัง เป็นทุกข์ และอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราของเรา ที่จะทำตามใจตามอำนาจของเราได้ คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา จึง เร่งรัดให้ทำความเพียร  ไปสู่การดับทุกข์ ตัดภพชาติ สันโดษ ปล่อยวางความยึดมั่นทั้งปวง พระสงฆ์ที่งดงาม และซื่อตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์ คือ พระสงฆ์ที่นำคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์มาสอน และประพฤติตน ตามพระธรรมวินัย มีศีล มีวินัยที่ครบถ้วน เช่นไม่รับเงินทอง เป็นของตน  ไม่มีการซื้อขาย มีความสันโดษ ไม่สะสม ไม่คลุกคลี กับ หมู่คณะ   มีความอดทน ต่อความลำบาก มีความเพียร  มี มักจะอยู่ป่า หรือที่สงัดเงียบ อยู่วิเวก ทำสมาธิ และจงกรมเป็นวัตรเป็นประจำ เป็นต้น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ไม่เพียงแต่นำพระธรรมมาสู่ทุกคนยังเป็นเลิศแห่งเนื้อนาบุญของ คนจำนวนมากอีกด้วย จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 17:43:16

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วพี่จักรแก้ว  มีรวมนิทานพิมพ์เป็นหนังสือ  มั้ยคะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 17:56:50

ความคิดเห็นที่ 25 ตอนนี้ ยังไม่คิดครับ ต่อไป ผมก็ไม่แน่ใจ นัก   ผมอยากจะตอบคำถามคุณเซน แต่ผมไม่สามารถจริงๆ คือผมขอยอมรับว่า ผมไม่ค่อยเข้าใจคำถามคุณเซนเสมอมานะครับ อย่างไรก็ตาม ผมนับถือคุณเซนอยู่เสมอครับ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 18:09:19 จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 18:07:36

ความคิดเห็นที่ 26 ยังมีธรรม ของพระพุทธเจ้าที่ ผมคิดจะเผยแพร่ยังมีอยู่ครับ จากคุณ : จักรแก้ว เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 18:09:57

ความคิดเห็นที่ 27 ธรรมะของพระพุทธองค์ก็ประเสริฐสมบูรณ์ในเนื้อหาอยู่แล้ว   ไม่เห็นจะต้องมาแต่งนิทานโยงพระโพธิสัตว์ไรนี่เข้าไปอีกเลย   แต่งนิทานแล้วก็ต้องมาตามเช็คอีกว่าพูดข้อหลักข้อธรรมได้ถูกต้องมั้ย  จะคลุมเคลือเป็นเฆมสีเทาๆ แบบพฤติกรรมยอดนิยมหรือเปล่าก็ไมทราบ  เสียเวลาแย่เลยอ่ะ   แล้วตกลงใครคือพระโพธิสัตว์คะ   หลงเจ๊โบท็อกซ์ หรือว่า ตัวพี่จักรแก้ว   ?!? ถ้าพี่เป็นโพธิ์  ข้าน้อยจะเปนไอ้เจีย  ถือกระบอง  ฟาดแหลก  หนุกดี   . จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 18:34:44

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้า คุณยิ้ม อยากเป็นเฮ้งเจีย ขอเสนอให้ ยึดมั่นในพระรัตนตรัย และไม่แสวงหาบุญเขตนอกพระศาสนา อันเป็นการส่งเสริมมิจฉาทิฐิ อันพระบรมศาสดา จัดว่าทางแห่งความเสื่อมของอุบาสก ในหานิสูตร (ลองหาอ่านนะ) จริงๆดิฉันก็เคยไปศึกษา พระคัมภีร์ ด้วยความสนใจอยากรู้อยู่ ช่วงหนึ่งของชีวิต แต่ตอนนี้ บอกได้คำเดียวว่า พระไตรรัตน์เป็นสรณะเดียวของดิฉัน สรณะอิ่นไม่มีอีก จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 20:10:36

ความคิดเห็นที่ 30 เอาตัวเองให้รอดทาง"ธรรม"ก่อนดีกว่าไหม จขกท. เห็นแล้วเพลีย แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 20:38:45 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 20:37:28

ความคิดเห็นที่ 31 พี่โพธิ์ว่าไงคะ   ช่วยเข้ามาตอบน้องเจีย ด้วยค่ะ   :-) . จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 20:41:19

ความคิดเห็นที่ 32 ไม่เกี่ยวกับ กระทู้ แค่มีเรื่องจะบอก ว่า "เชื่อแล้วละอากาศร้อน ทำให้คนเสียสติ" จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 20:43:09

ความคิดเห็นที่ 33 #28   พูดถึงคัมภีร์อะไรหรือคะ   งงค่ะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 21:29:37

ความคิดเห็นที่ 34 #28 ผมสงสัยแค่ ย่อหน้าสุดท้าย เขาพยายามจะบอกอะไรหรอ ไม่เห็นมีใครถาม จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 21:39:23

ความคิดเห็นที่ 35 #คุณยิ้ม พระคัมภีร์ไบเบิ้ล แบบหุ้มหนังดำขอบทองซื้อจาก คจ ความหวัง ที่มีพระพัทธะสัญญาเดิม  จากปฐมกาล อพยพ  เลวีนิติ. กันดารวิถี. เฉลยธรรมบัญญัติ ไปจนถึงมาลาคี และ พันธะสัญญาใหม่ ตั้งแต่ มัทธิว มะระโก  ลูกา  ยอห์น กิจการ ไปจนถึงวิวรณ์ ลองไปโบสถ์ ทั้ง แป๊ปติส เพ็นเทครอส  คาทอลิก  แตกต่างกันอย่างไร  (ปัจจุบันได้นำไบเบื้ลไปคืนพระเจ้า ไม่ได้เก็บไว้) #34 ไม่ได้มีใครถาม แต่ แค่เคยอ่านและทราบว่า คุณยิ้ม เป็นพุทธ แต่ยังไปโบสถ์สม่ำเสมอ  ถวายเงินทำบุญกับโบสถ์ ในบางครั้ง เพราะฉะนั้นขอแนะนำ เพิ่มการยึดมั่นในพระรัตนตรัยและไม่แสวงหาบุญเขตนอกพระศาสนา  เป็นการแสดงความหวังดี อย่างมิตร   เพื่อให้คุณยิ้มเจริญ ในพระศาสนาของพระบรมศาสดามากขึ้น แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 22:29:25 จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 22:27:18

ความคิดเห็นที่ 36 ตอบไม่ตรงประเด็น น้ำท่วมทุ่งไปไหนครับ จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 22:30:32

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่มีประเด็นค่ะ แค่เมื่อศึกษาพระพุทธศาสนามากขึ้น  ทำวิปัสนากรรมฐาน แล้วมั่นใจในพระศาสนาแล้ว  จึง เอหิปัสสิโก เรียกให้มาดู พระธรรมเป็นคุณอัศจรรย์ดุจของประหลาดที่ควรเชิญชวนให้มาชมและพิสูจน์ หรือท้าทายต่อการตรวจสอบ จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 22:51:35

ความคิดเห็นที่ 38 #35  ...  เพิ่มการยึดมั่นในพระรัตนตรัยและไม่แสวงหาบุญเขตนอกพระศาสนา  ... ^ ^ สิ่งเหล่านี้คุณปรุงแต่งไปเองนะคะ  อย่าเพิ่งยึดมั่นในความคิดของตนเองเลยค่ะ เวลาทำบุญ คุณเลือกทำเฉพาะกับคนไทย เฉพาะกับคนพุทธ เฉพาะกับศาสนาพุทธเท่านั้นเหรือ อันเมตตาอารีย์ จะมีใครบังคับก็หาไม่  แล้วต้องมีพรหมแดน มีข้อจำกัดด้วยกระนั้นหรือ การที่คนพุทธเข้าโบสถ์บ่อยๆ  อย่าเพิ่งไปปรุงแต่งสรุปเอาเองเลยค่ะ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่เฮติ  เราก็ช่วยไปเยอะนะคะ   พวกเขาไม่ใช่คนไทย นับถือพุทธหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  แต่เขาเปนเพื่อนมนุษย์เหมือนกันกับเราๆ นี่แหละค่ะ การยึดมั่นในคำสอนของพระศาสดาเรามีแน่นอนอยู่แล้ว  ยึดมั่นแต่ไม่ยึดติดค่ะ :-) จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:07:34

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่มีประเด็นก็ดีแล้วครับ แต่ถ้าผมเป็นคุณยิ้ม คงแอบสงสัย ว่า นี่ฉันเจริญในพระศาสนาไม่มากพอ ถึงขนาดให้คนเอามาเป็นประเด็นนำเสนอเลยหรอ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะแบบคุณ จิกกัดเก่งดีนะครับ จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:11:33

ความคิดเห็นที่ 40 " ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกพระศาสนา " หมายถึง ไม่แสวงหาเพื่อที่จะทำบุญกับพวกนอกศาสนาก่อน   แต่ไม่ได้หมายถึงไม่ให้ทำบุญกับคนอื่นเลย   แต่การไม่แสวงหาคือการที่ทำบุญกับเขตบุญนี้(ภิกษุ)ก่อนศาสนาอื่นนะ  แต่ให้ทานเพราะเป็นการอนุเคราะห์ช่วยเหลือคนจน  คนที่เดือดร้อน  เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม  คนนั้นเขาก็นับถือศาสนาอื่น   ไม่ใช่พุทธ    แต่เราก็ช่วยเหลือไม่ ให้เขาลำบาก  ให้อาหาร  เสื้อผ้า  ยารักษาโรค  และเงินได้ค่ะ ทว่ามิใช่ประกอบด้วยความเห็นผิดที่จะไปบำรุงศาสนาอื่นๆ จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:14:16

ความคิดเห็นที่ 41 บุญ มี แยกแยะว่า มีนอกมีใน มีก่อนมีหลัง ด้วยหรือครับ คุณกอบัวสวรรค์ผู้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:19:54

ความคิดเห็นที่ 42 คุณบัวเขาคงไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะคุณพร้อม ทีแรกยิ้มก็มีแอบคิดเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา คุณบัวคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นมังคะ ว่าแต่คุณกอบัวก็พอเถิดค่ะ  คุณยิ่งเขียนยิ่งเพี้ยนไปกันใหญ่   คุณรู้ได้อย่างไรว่าเราทำบุญกับพวกนอกศาสนาก่อนที่จะทำบุญกับเขตบุญของพุทธ เราเกิดในเมืองไทยนะคุณ ตั้งแต่เด็กก็ไปวัดกับแม่ทำสารพัดบุญตามที่แม่บอก หิ้วปิ่นโตไปถวายหลวงตา จนคนที่วัดเข้าใจว่าเปนลูกหลานของหลวงตา ตอนนั้นน่ะ ยังไม่รู้จักเล๊ยยยว่า คริสต์ อิสลาม คือ อะไร แล้วจะมาปรุงแต่งว่าเราทำบุญกับเขตนอกศาสนาก่อนได้อย่างไร     อาการ "เห่อธรรม" นี่  ตามจิตตนเองทันหรือเปล่าคะ   ส่วนที่หวังดีก็ขอขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 23:25:33 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:24:25

ความคิดเห็นที่ 43 ว่าแต่พี่โพธิ์ไปไหนล่ะเนี่ย  ทิ้งกระทู้อีกแล้ว   ช่วยมาตบตีกับน้องเจียหน่อยเร๊ววว  รอนานแล้วนะ   . จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:28:44

ความคิดเห็นที่ 44 ผมเข้าใจผิดมาตั้งนาน ว่าบุญไม่แบ่งแยก เข้าใจผิด มานาน ว่าบุญประกอบด้วย ทาน ศีล ภานา ง่ายๆคือ การให้โดยชอบ การประพฤติชอบ การคิดชอบ เพิ่งรู้ จาก คุณกอบัวสวรรค์ผู้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ว่าแยกแยะ ว่า ก่อนหลัง ในนอกด้วย จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:28:47

ความคิดเห็นที่ 45 เนื่องจากคุณยิ้ม เคยรื่อง ตั้งกระทู้เบาๆๆ  ที่เธอไปโบสคริสต์ เพราะชอบบรรยากาศ  ท  เห็นเธอมาตั้งนาน ตั้งแต่ พอมีห้องศาสนามาไม่นาน  เธอก็เข้ามาเล่น ไม่เคยทักทาย  รู้ว่าเธออยู่ ตปท ไปโบสถ์มานาน เพราะเธอเคยเขียน  แต่ เมื่อจะคุยด้วยต้องหาประเด็น  เพราะ พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่     การจะทำบุญนอกศาสนาบางทีก็กลับกลายเป็นการทำลายศาสนาของตนเองไปก็มี  ถ้าขาดการพิจาราณาอย่างรอบคอบ   พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ฉลาดย่อมเลือกก่อนจึงให้  แถมชาวคริสต์ ขยันประกาศข่าวประเสริฐ     ดังพุทธวจนที่ว่า   การขาดสรณะองปุถุชนเหล่านั้น     ย่อมมีโทษ    มีความเศร้าหมองและอำนวยผลที่ไม่น่าปรารถนา      การขาดสรณะที่ไม่มีโทษ    ก็ไม่มีผล   เพราะหาวิบากมิได้.    ส่วนการไม่ขาดสรณะว่าโดยผล     ก็ย่อมอำนวยผลที่น่าปรารถนาอย่างเดียว ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ      ชนเหล่านั้นละกายมนุษย์ไปแล้ว     ก็จักไม่เข้าถึงอบายภูมิ  จักทำหมู่เทพให้บริบูรณ์   ดังนี้. ปล.ดิฉันถือศีลห้าเป็นวัตร  และมิได้มาเพื่อก่อ วาจาทุจริต มิได้มีเจตนาจิกกัด    ... คุณพร้อมคะ แนะนำให้ กำหนด (โกรธหนอค่ะ) หากมีสิ่งให้คุณขุ่นใจ  ดิฉันขออภัย ณ.ที่นี้  ราตรีสวัสดิ์ จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:31:34

ความคิดเห็นที่ 46 อุ๊ย!!!!!! มีการดูจิตกันด้วย ตายละ แค่ test ว่า สมราคาคุยไหม กลายเป็นคนมีโทสะเสียละ สงสัยอากาศมันคงร้อนไปนิด จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:40:01

ความคิดเห็นที่ 47 ให้ดีเก็บความคิดไว้กับตนเองดีกว่านะคะ  อย่าเผยแพร่บอกต่อเลยค่ะ   อ่านแล้ว แลจิตใจคับแคบ ชอบก๊ลลล คริสต์เขาจะประกาศข่าวอันประเสริฐก็เรื่องของเขาสิ ไม่ควรจะไปมองเขาแบบอคติเลยนะคะ พุทธเปนศาสนาแห่งปัญญา มีเหตุมีผล ไปสื่อสารอะไรแบบนี้ อาจพาให้ศาสนาพุทธดูแย่ก็เป็นได้ค่ะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:44:03

ความคิดเห็นที่ 48 สังเกตไหม คุณยิ้ม คนที่ศรัทธาและยึดมั่นในพระพุทธศาสนามากเกินพอดี จะมี EGO ประหลาดๆ ทำนองว่า - เพราะฉันศรัทธา แล้ว ฉันปฏิบัติ ฉันจึงดีกว่า เหนือกว่า - อะไรที่ไม่ใช่ที่ฉันศรัทธา ผิดเสมอ กระทบไม่ได้ - แนวความคิดแบบแบ่งแยก ของฉัน ของเธอ เหนียวแน่น และพร้อมจะกล่าวโทษสิ่งที่ไม่ใช่ของฉัน ตัวอย่าง เช่น จ้องทำลาย(ของฉัน)บ้าง โจมตี(ของฉัน)บ้าง - ไม่ค่อยย้อนกลับดูตัวเอง เพราะถือว่าดีกว่าอยู่แล้ว เหมือนยิ่งปฏิบัติ ยิ่งมียางเหนียว แห่งความดี ความเหนือ รัดคลุมรอบกาย ทั้งๆที่พุทธศาสนา สอนให้เราละ สอนให้เราวาง ***** ไม่ได้มีเจตนา แขวะใครนะครับ แค่สังเกตเห็น ถ้ากระทบกระเทือนใครก็ต้องขออภัย ณ ที่นี้  ***** แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 55 23:56:15 จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:54:27

ความคิดเห็นที่ 49 มาให้กิ๊ฟท์ คคห.ที่ห้าและหกนะครับ เขียนดี ผมชอบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับชาววัดธรรมกายที่มีความรู้สึกดีๆกับเจ้าของกระทู้ จะได้อ่าน และพิจารณาว่าขัดกับที่วัดท่านสอนหรือไม่ อย่างไรเสีย ผมเชื่อว่าชาววัดธรรมกาย อย่างน้อยๆต้องได้ทำทานบ่อยๆแน่ ยังไงเสีย อย่าลืม อธิษฐานบารมีนะครับ ขอให้ทุกท่านๆ มีสัมมาทิฏฐิ โดยไวทุกๆท่านครับ อีกนิดนะครับ ขอสนทนากับคุณprom888 ชื่อพร้อมหรือครับ ผมอ่านว่าพรหมมาตั้งนาน ผมคิดว่า ในคคห.ที่48 นั้น ถ้าจะให้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตร ควรระบุ ให้คุณกอบัวสวรรค์ได้อ่าน แล้ว พิจารณา ตรงๆ น่าจะดีกว่านะครับ ถ้าการเรียนรู้ตัวเองเทียบได้กับการปีนภูเขา สูงขึ้นเป็นลำดับๆ คน ที่ขึ้นที่สูงกว่า ย่อมทราบเส้นทางที่ผ่านขึ้นมาได้ดีกว่าคนที่เริ่มทีหลัง หรือคนที่หลงทางมาก่อน จะให้เขาเห้นวิวไกลๆเหมือนเรานั้น เป็นไปไม่ได้หรอกครับ อย่างไรก็ดี ถ้าเขาประกอบด้วย ทาน ศีล ภาวนา แล้วปีนขึ้นเขาได้ถูกทาง ซํกวัน ทุกคนจะเห็นวิวเดียวกันทั้งนั้นแหละครับ แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 55 00:20:47 จากคุณ : สามล้อรอรัก เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 23:55:10

ความคิดเห็นที่ 50 พื้นฐาน คือ การเรียนรู้ รู้จักตน ไม่มีพื้นฐานข้อนี้ อย่าว่า จะขึ้นเขาเลย ลืมตามองดูโลกยังลำบาก อย่ามาโม้เสียให้ยาก ว่าขึ้นเขาสูง จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 01:33:10

ความคิดเห็นที่ 51 การไม่รู้จักตน นั่นคือ การมองไม่เห็นสิ่งใด เมื่อเรารู้เท่าทันตน เมื่อนั่นเราจะเข้าใจคน โลกที่เคยรู้สึกว่า ข้อบกพร่องอยู่ที่คนอื่น ความไม่ดีทั้งหลาย คือคนอื่น มันจะเปลี่ยนไป เมื่อไหร่ที่รู้จักตนดีพอในระดับหนึ่ง แล้วเข้าใจ ว่า เราเขาล้วนไม่ต่างกัน โจร ขโมย ฆาตกร กับเรา ความดีของเราเขา ความเลวของเราเขา แทบไม่ต่างกัน มีเพียงเส้นบางๆแบ่งกั้นไว้ เมื่อคุณเข้าใจตน ก็จะเข้าใจคน คุณก็จะเข้าใจโลก เมื่อไหร่ที่คุณเข้าใจโลก  เมื่อนั้นจะมองเห็นธรรม จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 01:58:43

ความคิดเห็นที่ 52 สุดท้าย ท้าย สุด ขอบอกว่า คำว่า ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา มีสองความหมาย ๑. หมายถึง ไม่แสวงหาในสิ่งที่เป็น บุญเขต นอกพระพุทธศาสนา เพราะผู้ที่เป็นบุญเขตของโลก คือ พระภิกษุสงฆ์ ๒. หมายถึง ไม่แสวงหาวิธีการทำบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา เช่น เชื่อว่า ถ้าได้บริจาคเงินมาก ๆ จะได้บุญมาก ๆ บริจาคเงินน้อยได้บุญน้อย หรือเชื่อว่าการจะได้บุญจริง ๆ ต้องไปทำที่วัดนั้นวัดนี้เท่านั้น หรือเชื่อถือในการทำบุญแบบแปลกๆ เช่นเชื่อในวิธีการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา แก้กรรม พูดง่าย ๆ ก็ืคือ ไม่ไปแสวงหาวิธีการทำบุญที่นอกหลักพระพุทธศาสนานั่นเอง   เป็นคำสอนที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกจริง    ที่เขียนก็ไม่เจตนา จะบอกมิใช่ฉันดี ฉันสูง  ฉันเก่ง  แต่เป็นการบอกว่ารู้ไหมว่า,,,  และการไปนั้นอาจขาดไตรสรณคมณ์  หากไปศรัทธา พระเจ้า จากคุณ : กงจู้ต้าถัง (กอบัวสวรรค์) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 06:56:32

ความคิดเห็นที่ 53 ธรรมทั้งหลายทั้งปวง  ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คุณกอบัวสวรรค์คงจะหวังดีต่อคุณยิ้ม แต่ความหวังดี  บางครั้งต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า  เขาต้องการรับฟังไหม หรือเขามาขอความช่วยเหลือจากคุณไหม  เวลาเหมาะสมไหมเป็นต้น บางที..การวางตัวอยู่เฉยๆกลับสามารถดึงดูดให้ผู้คนมาสนใจธรรมะ มากกว่าการยัดเยียดข้อธรรมได้ดีกว่า ดังเช่น  พระสารีบุตรเมือครั้งพบพระอัสสชิเป็นครั้งแรก  เป็นต้น ปล.  ผมเห้นด้วยกับคุณพร้อมมากๆ  รู้จักตนนี่แหละคือธรรมที่แท้จริง ไม่ทราบว่าผมจำผิดหรือป่าวที่จขกท.เอาข้อธรรมที่หลวงปู่จามมาแปะไว้ จากคุณ : Bitter Coffee เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 07:53:16

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบพระคุณค่ะ ที่เข้าใจ ตอบรูปข้างบน  ใช่ค่ะ  จขกท จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 08:18:12

ความคิดเห็นที่ 55 เฮ้อออ   จะ "เห่อธรรม"  ไปถึงไหนคะ  ใครในที่นี้เคารพพระเจ้างั้นหรือคะ จะเขียนอะไร  ใช้ปัญญาดูหน่อยเป็นไร  มันเหมาะกับกาลหรือไม่ การพยายามนำเสนอความรู้ทางธรรมที่คุณคิดว่าตัวเองมี  ที่คุณคิดว่าใช่ เห็นอัตตา  เห็นความอยากของตัวเองบ้างมั้ยคะเนี่ย ท่าน Bitter คะ  เรื่องหวังดีนี่ยิ้มเข้าใจได้  ซาบซึ้งและขอบคุณอยู่ค่ะ   แต่จะมาหวังดีกับสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นทำไมล่ะคะ เพราะไปคิดเอง ปรุงแต่งเอง แล้วก็มาจิจ๊ะแจ้วๆ แบบนี้  มันหัววงแหวนไปหน่อยอ่ะค่ะ ธรรมใดๆ ก็ดีทั้งนั้น  แต่ต้องพิจารณาเลือกใช้ให้ "เหมาะแก่กาล" ไม่งั้นไปที่ไหน เห่อธรรมขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เปน "วงแตก" ล่ะค่ะ อย่างน้อยๆ  "หยุด คือ ตัวสำเร็จ"   เชื่อว่าธรรมข้อได้สอนกลายๆ ให้หันกลับมาพิจารณาที่ตนเองนะคะ เวลาสนทนากับใคร เมื่อบรรยากาศไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์ ไม่คาดหวัง เคยมีธรรมข้อนี้ผุดขึ้นมาในใจบ้างหรือไม่ เพราะเท่าที่สังเกตดูออกจะเป็นคนใจร้อน ไม่ยอมใคร ฉันไม่ผิด ฉันหวังดี ต่อความยาว ฯลฯ เราก็เป็นนะคะ แต่อย่างน้อยให้รู้ traits ของตนเองและเรียนรู้ที่จะเท่าทันกับมันบ้าง แบบนี้แหละประเสริฐนัก   (เราเองก็ยังทำได้ไมดีเท่าไหร่  อิอิ) ยิ่งศึกษาธรรม ยิ่งต้องเห็นความไม่ดี/ความชั่ว เห็นกิเลส เห็นอกุศลต่างๆ ของตัวเองสิ ไม่ใช่ยิ่งศึกษา ยิ่งอัตตาฟองฟู จ้องแต่จะแสดงธรรมท่าเดียว หนึ่งในเหตุผลของความหวังดี เบื้องหลังคือคิดว่าทำแล้วได้บุญหรือเปล่า ตอบตัวเองไปค่ะ กิเลสอย่างหยาบ อย่างละเอียดของตนเองเป็นอย่างไรก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกด้วย อีกครั้ง คือ หวังดีก็ขอบคุณค่ะ แต่อย่ามาปรุงแต่งย้ำเขียนในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ไม่ได้คิด โอเคนะคะ . แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 55 11:08:37 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 11:04:55

ความคิดเห็นที่ 56 มีเมตตานำ ทำทานได้ทุกที่  ให้ได้ทุกศาสนา ทั้งวัตถุสิ่งของ  ทั้งแผ่ส่วนบุญ ทั้แเผ่มตตา ให้ได้ทั้งคน สัตว์ ตั้งแต่นรกภูมิ ยันพรหมโลก การให้ทาน แผ่ส่วนบุญ แผ่เมตตา ถ้ามาจากจิตที่รู้สึกน้อมไปสู่การให้ อันไม่มีประมาณ ไม่ใช่ให้ เพื่อได้มา ให้ได้กว้างขวางไม่มีประมาณ ไม่ติดที่เชื้อชาติ ภพ ศาสนา ต้องแยกแยะว่า การให้แบบนี้ ไม่ได้หวังผลรับกลับ จึงไม่เกี่ยวกับ การแสวงหาเขตบุญภายนอกพระศาสนา นอกจากใครสักคน สามารถยกคำอ้าง ที่น้องยิ้ม เคยแสดงว่า น้องยิ้มได้ทำทาน ได้เคยให้ไปด้วยหวังผลบุญได้กลับมา จากศาสนานั้นๆ มิฉะนั้น คือ การกล่าวตู่ต่อกัน   อนึ่ง การยกพระธรรมใดๆมาแสดง โปรดเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมด้วย ไม่ควรนำมามาแสดง เพียงเพื่อสนับสนุน ทิฐิความเห็นตน แต่ไม่เหมาะสมแก่กาล จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 11:24:43

ความคิดเห็นที่ 57 โอว กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ใช้เวลาหลายอสงไขยเลยหรือครับ ไปหาข้อมูลมา 1 อสงไขย เท่ากับ 10 ยกกำลัง 140....มากกว่าอายุของโลกเราอีกมั้งเนี่ย โอเค เชื่อแล้วว่าเป็นยาก ^_^ จากคุณ : Tiger Ton เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 12:12:47

ความคิดเห็นที่ 58 ยิ่งพูดยิ่งเข้าตัว ทัศนคติมีปัญหา นั่นก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญกว่า คือยอมรับได้ไหม ว่ากำลังมีปัญหา จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 14:54:28

ความคิดเห็นที่ 59 กลับมาอ่านอีกที รู้สึกว่า #52  น่าสนใจแฮะ คุณกอบัว ช่วยยกพระสูตรที่ว่าไว้แบบนั้นมาให้ดูหน่อย   ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 15:56:47

ความคิดเห็นที่ 60 ถึงคุณยิ้ม ดิฉันลองไปค้น ในคลังกระทู้ พบ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/11/Y11281760/Y11281760.html ลองไงดูเองไหมคะ ดิฉันเจตนาดี แต่กลับเป็นคนใจแคบ มีทัศนคติที่ไม่ดี  เห่อธรรมทั้งๆที่อยากให้ ชาวพุทธทุกคน เป็นอุบาสกที่ดี อุบาสิกาที๋ดี เจริญในพระธรรม ในกระทู้ที่หามา มีทั้งท่านศิษย์พระป่า ท่านโชโฮกุน ท่านฐานาฐานะ ทีแตกฉานในพระไตรปิฎก ไปถามท่านที่เอ่ยนาม มาเถิด จากคุณ : กงจู้ (กอบัวสวรรค์) เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 19:54:53

ความคิดเห็นที่ 61 ทำไม พระพุทธเจ้าทรงห้าม ก็เพราะถ้าทำบุญในศาสนาอื่นแล้ว ก็มีโอกาสไปอยู่ร่วมในศาสนานั้นในอนาคตตามกรรมที่ทำ  จิตไปผูกแล้ว ซึ่งศาสนาอื่นไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้จริง และมีโอกาสเป็นมิจฉาทิฏฐิด้วยครับ แต่ถ้าทำในพระพุทธศาสนาแล้วด้วยกรรมนั้นย่อมส่งผลให้มีโอกาสได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า  นอกจากนี้พระพุทธเจ้า ทรงแสดงพระสูตรว่าด้วยความเสื่อมของอุบาสก อุบาสิกา ๓ ประการ (ทุติยปริหานิสูตร)  ดังนี้ ๑.ไม่ค่อยได้เห็นพระ ๒.ประมาทการฟังธรรม ๓.ไม่สำเหนียกในอธิศีล (ไม่มีศีล) ๔.มากด้วยความไม่เลื่อมใสศรัทธาในพระภิกษุเถระ ปานกลางและพระบวชใหม่ ๕.ฟังธรรมด้วยจิตคิดจับผิด ๖.แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา ๗.ขวนขวายชักชวนในการแสวงหาบุญนอกพระพุทธศาสนา นี้คือความเสื่อม อันไม่ใช่ทางเจริญรุ่งเรืองในพระธรรมวินัย   จบได้แล้วมั้งคะ พอแล้วมั้ง  ไปสวดมนต์ดีกว่า จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 21:14:35

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณค่ะ คุณกอบัว  เราได้อ่านแล้วและจับประเด็นของกระทู้นั้นมาสอง คคห. ที่น่าสนใจ เดี๋ยวจะได้พูดใน คคห. ถัดไป แต่ในส่วนโต้กันไปมาอยู่นี้  ต้องขอย้ำกับคุณกอบัวว่า "จับประเด็นให้ถูก" นะคะ หากจะมีความขุ่นมัว น้อยใจ หรือใดๆ ในทางไม่แช่มชื่น  ขอให้โยนทิ้งไปก่อน ถือเป็นโอกาสที่ดี ที่คุณและเราจะได้สื่อสารเพื่อความเข้าใจต่อกัน ไปในทางที่ถูกที่ควร จุดของคุณกอบัว คือ ๑.  เจตนาดี หวังดี ๒.  อยากให้ชาวพุทธทุกคน เป็นอุบาสกที่ดี อุบาสิกาที๋ดี เจริญในพระธรรม โดยเริ่มจาก ความคิดเห็นที่ 28 ถ้า คุณยิ้ม อยากเป็นเฮ้งเจีย ขอเสนอให้ ยึดมั่นในพระรัตนตรัย และไม่แสวงหาบุญเขตนอกพระศาสนา อันเป็นการส่งเสริมมิจฉาทิฐิ อันพระบรมศาสดา จัดว่าทางแห่งความเสื่อมของอุบาสก ในหานิสูตร (ลองหาอ่านนะ) จริงๆดิฉันก็เคยไปศึกษา พระคัมภีร์ ด้วยความสนใจอยากรู้อยู่ ช่วงหนึ่งของชีวิต แต่ตอนนี้ บอกได้คำเดียวว่า พระไตรรัตน์เป็นสรณะเดียวของดิฉัน สรณะอิ่นไม่มีอีก จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 55 20:10:36   ตามด้วยบางตอนของหลาย คคห. ที่ทำให้เราอ่านแล้วงง เกิดคำถาม #35 …ถวายเงินทำบุญกับโบสถ์ ในบางครั้ง เพราะฉะนั้นขอแนะนำ เพิ่มการยึดมั่นในพระรัตนตรัยและไม่แสวงหาบุญเขตนอกพระศาสนา… #40 …ทว่ามิใช่ประกอบด้วยความเห็นผิดที่จะไปบำรุงศาสนาอื่นๆ… #45 …การจะทำบุญนอกศาสนาบางทีก็กลับกลายเป็นการทำลายศาสนาของตนเองไปก็มี… … ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ… #52 ….ที่เขียนก็ไม่เจตนา จะบอกมิใช่ฉันดี ฉันสูง  ฉันเก่ง  แต่เป็นการบอกว่ารู้ไหมว่า,,,  และการไปนั้นอาจขาดไตรสรณคมณ์  หากไปศรัทธา พระเจ้า จุดของเราคือ ๑.  รู้ว่าหวังดี ๒.  งงกับข้อความ #28 "...ไม่แสวงหาบุญเขตนอกพระศาสนา อันเป็นการส่งเสริมมิจฉาทิฐิ..."  ว่าใคร  ทำไมอยู่ๆ มาพูดเรื่องนี้ ๓.  งงหนักขึ้นกับข้อความ "...ถวายเงินทำบุญให้โบสถ์ .... เพิ่มความยึดมั่นในพระรัตนตรัย...เห็นผิดไปบำรุงศาสนาอื่นๆ ...ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ... แต่เป็นการบอกว่ารู้ไหมว่า และการไปนั้นอาจขาดไตรสรณคมณ์  หากไปศรัทธา พระเจ้า..." ๔.  คำถามจึงมีตามมาว่า ทำไมถึงใช้คำว่า "ถวายเงินทำบุญให้โบสถ์  ใครไม่ยึดมั่นในพระรัตนตรัย  ใครเห็นผิดไปบำรุงศาสนาอื่นๆ  ใครไม่เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ  ใครไปศรัทธาพระเจ้า " ว่าใครวะ  เมื่อสื่อสารกับเราอยู่ แบบนี้ก็ต้องหมายถึงเราอ่ะดิ การที่เราอยากเป็นไอ้เฮ้งหรือน้องเจียไรเนี่ย  เราก็แค่ขำๆ กะพี่จักรแก้วเท่านั้น เราจะเพี้ยนเอากระบองไปเที่ยวตีใครได้ไง  ถ้าทำก็เจอสวนอ่ะดิ   การที่เราบริจาคให้โบสถ์ ทำไมคุณถึงตีความว่า "ถวายเงินทำบุญให้โบสถ์" เข้าไปใช้สถานที่ของเขา ไปนั่งเก้าอี้เขา รับแอร์รับฮีทเตอร์ของเขา ควรจะช่วยบำรุงสถานที่นั้นๆ บ้างหรือเปล่าคะ  สถานที่ก็ต้องค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเช่นเดียวกันนะคะ  ไปโรงแรม ไปรีสอร์ท จ่ายได้  แต่กับศาสนสถานกลับจะเอาเปรียบเขาหรือคะ ... ไม่ได้ถวายเงินทำบุญ เพราะไม่ได้จะเอาบุญ  แต่เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของสถานที่จากการเข้าไปใช้ของเราค่ะ หากคุณกอบัวเคยอ่านกระทู้ของเรา  น่าจะเห็นนะคะว่า เราตั้งกระทู้ถามเรื่องทางธรรม >95%  ถามเกี่ยวกับโบสถ์ เรื่องทางคริสต์นี่น้อยมากๆ ค่ะ แล้วว่าก็ว่าเถอะ  ที่เมกาคุณหาวัดไทยได้ง่ายๆ หรือคะ  แต่ละรัฐพื้นที่ไม่พี่ก็น้องของประเทศไทยเลยนะคะ  ยิ่งในยุโรปก็ไม่ต้องพูดถึง  แล้วเราไปโบสถ์เพื่อไปหาความสงบ ไม่ได้จะไปหาพระเจ้าค่ะ life style ของฝรั่ง ก็ทำอะไรเสียงดังฟังชัด เรายังไม่ใช่นักปฎิบัติขั้นเทพที่จะรวมจิตได้ในภาวะแวดล้อมที่อื้ออึง ประเด็นคือ คุณยังไม่รู้เลยว่าเจตนาของเราที่มีต่อโบสถ์นั้นคืออะไร  ความหวังดีของคุณจึงอยู่บนพื้นฐานที่คุณคิดเอาเอง และไม่ถูกกาล ที่ใช้คำว่า "เห่อธรรม" ก็เพราะเหตุผลของความหวังดีเคยเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน เตือนเพื่อนซะวงแตกไปสามสี่รอบ เตือนเพราะหวังดีนี่แหละ ก็รักเพื่อนนี่  เพื่อนกันต้องเตือนกัน  กว่าจะรู้ตัวว่าเจอกิเลสเล่นงานด้วยอาการ "เห่อธรรม"  ก็ทำเพื่อนๆ เครียดไปหลายยกเลยค่ะ     เขียนซะยาวเหยียด  เผื่อว่าคุณจะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องโต้กับไปมาซะหลายความเห็น  ก็เพราะรู้ว่า "คุณหวังดี" นี่แหละค่ะ  จึงได้เขียนเยอะขนาดนี้ เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่เขียนอะไรได้ยืดย้วยแบบนี้ หวังว่าจะไม่ขุ่นเคืองนะคะ แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 55 21:50:50 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 21:41:53

ความคิดเห็นที่ 63 ไม่เลย  เอาไปเลยสามกิฟท์   การถวายเงินบำรุงโบสถ์ เมื่อไปแล้วให้ โบสถ์ก้อใช้เงินนั้นสอนเรื่อพระเจ้า ที่เป็นนิรันดร์ เท่ากับส่งเสริมมิจฉาทิฐิ   การไม่ไปก้อไม่ต้องให้ค่ะ   ใครก้อตามไปฟังคำสอนอื่นๆ หากศรัทธาไม่มั่นคงแล้วอาจหลงผิด คิดปรามาส พระพุทธเจ้า อย่างคริสเตียนใหม่ บอกพระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทาง  แต่พระเยซูพระองค์จะช่วย  หากอธิษฐานในนามพระองค์  หรือ พลอยไลลา บอกเบื่อพิธีกรรม...ในกระทู้ของพลอย ตั้งใจกระตุกให้คิด กลายเป็นขัดขาไป สุดท้าย  My apology if I misunderstand this matter. ราตรีสวัสดิ์ จากคุณ : กอบัวสวรรค์ เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 22:03:56

ความคิดเห็นที่ 64 เราเกือบจะเปลี่ยนไปนับถือคริสต์ก็หลายหน ไม่รู้เป็นไง  เจอชวนบ่อยมาก  ทั้งหมดเข้ามาด้วยเหตุผลพระเจ้าต้องการช่วย เคยยืนอยู่ในกลุ่มออกกำลังกาย ร่วมสามสิบคน   เธอคนนี้ก็ดิ่งมาหาเราโดยเฉพาะ  เราก็เห็นว่าเขาคุยกะเราคนเดียวจริงๆ เธอบอกว่า พระเจ้าบอกเธอให้มาหาเรา พระเจ้าต้องการเรา ...  อืมมม  มันก็แปลกดี ... เราคุยได้หมด บอกเธอว่าจะรับฟัง  แต่ขอให้รู้ไว้ก่อนนะว่าเรานับถือพุทธ ไม่เปลี่ยนแปลง ก็คุยกันได้  เธอก็ทำหน้าที่ตามที่พระเจ้าบัญชาไป  เสร็จแล้วก็ไม่ตื้อไม่ไรกับเราอีกเลย เจอกันก็คุยเรื่องทั่วไป  ไม่คุยเรื่องศาสนา  เป็นเพื่อนกันได้ จะบอกว่า เราชอบหลายๆ อย่างในทางคริสต์  แต่ไม่เคยนำไปสู่การเปลี่ยนศาสนาได้เลย จุดตัด ก็คือ เราไม่เชื่อในพระเจ้า  แต่เราเชื่อในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณกอบัว  สบายใจได้แล้วนะคะ  :-) (ตอนนี้คงจะเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไมเรางงๆ กับความหวังดีของคุณ) จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 22:04:34

ความคิดเห็นที่ 65 ศาสนาใคร  ก็ศาสนาใครนะคะ   คุณควรจะเคารพในความเชื่อที่แตกต่าง ไปว่าเขาว่ามีมิจฉาทิฐิได้อย่างไร  ก็เขาเชื่อของเขาแบบนั้น  เขาไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้าเหมือนคุณ  เขาก็มีสิทธิ์กับชีวิตกับทางเลือกของเขา จะสุดโต่งไปไหนจ๊ะ แม่คู๊ณณณณ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 22:08:06

ความคิดเห็นที่ 66 พลอยเขาก็มีสิทธิ์กับชีวิต กับความเชื่อของเขา  ไปพูดถึงเขาทำไม คุณคิดว่าคุณดีกว่าพลอยหรือ ??? ศรัทธาของคุณมั่นคงหรือเปล่าเราไม่รู้   รู้แต่อาการหนัก  คลั่งศาสนาแบบนี้น่ะ จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 22:10:56

ความคิดเห็นที่ 67  ความคิดเห็นที่ 60    ถึงคุณยิ้ม ดิฉันลองไปค้น ในคลังกระทู้ พบ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/11/Y11281760/Y11281760.html ลองไงดูเองไหมคะ ดิฉันเจตนาดี แต่กลับเป็นคนใจแคบ มีทัศนคติที่ไม่ดี  เห่อธรรมทั้งๆที่อยากให้ ชาวพุทธทุกคน เป็นอุบาสกที่ดี อุบาสิกาที๋ดี เจริญในพระธรรม ในกระทู้ที่หามา มีทั้งท่านศิษย์พระป่า ท่านโชโฮกุน ท่านฐานาฐานะ ทีแตกฉานในพระไตรปิฎก ไปถามท่านที่เอ่ยนาม มาเถิด จากคุณ : กงจู้ (กอบัวสวรรค์)  เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 19:54:53  คุณกอบัวสวรรค์ กล่าวไว้ว่าอย่างนี้ อื่ม.....ฟังดู น่าสงสาร แต่  ความคิดเห็นที่ 63    ไม่เลย  เอาไปเลยสามกิฟท์   การถวายเงินบำรุงโบสถ์ เมื่อไปแล้วให้ โบสถ์ก้อใช้เงินนั้นสอนเรื่อพระเจ้า ที่เป็นนิรันดร์ เท่ากับส่งเสริมมิจฉาทิฐิ   การไม่ไปก้อไม่ต้องให้ค่ะ   ใครก้อตามไปฟังคำสอนอื่นๆ หากศรัทธาไม่มั่นคงแล้วอาจหลงผิด คิดปรามาส พระพุทธเจ้า อย่างคริสเตียนใหม่ บอกพระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทาง  แต่พระเยซูพระองค์จะช่วย  หากอธิษฐานในนามพระองค์  หรือ พลอยไลลา บอกเบื่อพิธีกรรม...ในกระทู้ของพลอย ตั้งใจกระตุกให้คิด กลายเป็นขัดขาไป สุดท้าย  My apology if I misunderstand this matter. ราตรีสวัสดิ์ จากคุณ : กอบัวสวรรค์  เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 22:03:56  แล้วจะไม่ให้คิดว่าทัศนคติมีปัญหา ได้อย่างไร คำถามเดิมเลยนะครับ ทัศนคติมีปัญหา ว่าเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญ กว่า คือรู้ตัวหรือไม่! จากคุณ : promp888 เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:12:25

ความคิดเห็นที่ 68 จากกระทู้นี้   http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/11/Y11281760/Y11281760.html                        แสวงหาเขตบุญนอกศาสนา เป้นยังไง แล้ว การแสวงหาเขตบุญภายในศาสนาอย่างเดียว ดีจริงหรือครับ ช่้วยอธิบายตรงนี้ให้ละเอียดหน่อย จากคุณ     : kikirara ------------------------------ ความคิดเห็นที่ 3 หมายถึง ...ถ้านับถือศาสนาพุทธ  เมื่อต้องการบุญ ก็ให้ทำบุญเฉพาะในศาสนาพุทธ เท่านั้น ...  ถ้าคุณนับถือศาสนาอื่นๆก็ทำนองเดียวกัน  คุณก็มุ่งทำบุญเฉพาะในศาสนานั้นๆของคุณ.. แต่ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับการช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ ตามหลักมนุษยธรรมที่ควรช่วยเหลือกัน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะนับถือศาสนาไหน .. แต่ไม่ใช่หมายถึงช่วยเพื่อการทำบุญ  แต่เพื่อความถูกต้องที่สมควรช่วยตามหลักจริยธรรม มนุษยธรรม เท่านั้นเอง   แต่ยังไงก็ตาม ก็จะยังได้บุญมาเองตามธรรมชาติจากการช่วยเหลือนั้นๆ จากคุณ     : โขตาน ------------------------------- ความคิดเห็นที่ 5 . . . บุญกิริยาวัตถุ แปลว่า หลักแห่งการบำเพ็ญบุญ หรือ ที่ตั้งแห่งการทำบุญ บุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง คือ ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา หมายความว่า วิธีหรือหลักแห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดโดยย่อแล้วก็มีเพียง ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล และภาวนา แต่ถ้าขยายความให้กว้างออกไป บุญกิริยาวัตถุมี ๑๐ ประการ คือ ๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา ๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ๕. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ ๖. ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม ๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง ผมว่า  ดีจริงครับ   ที่ต้องใช้ วัตถุ ก็เพียงข้อ ๑  เท่านั้น  ที่เหลืออยู่ที่ใจหมดครับ  ซึ่งหาในศาสนาอื่นไม่มี ผมถือว่า ผมโชคดีมากครับ  ชาตินี้ จากคุณ     : เฉลิมศักดิ์1 ----------------------------- ความคิดเห็นที่ 6 หมายถึง ...ถ้านับถือศาสนาพุทธ  เมื่อต้องการบุญ ก็ให้ทำบุญเฉพาะในศาสนาพุทธ เท่านั้น ...  ถ้าคุณนับถือศาสนาอื่นๆก็ทำนองเดียวกัน  คุณก็มุ่งทำบุญเฉพาะในศาสนานั้นๆของคุณ..... จากคุณ : โขตาน   -------- การอธิบายอย่างที่ว่านี้ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดนะครับ คุณโขตาน แท้ที่จริง คำว่า "ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระศาสนา" และ "กระทำบุญในพระพุทธศาสนา" นี้ หมายถึง   การกระทำความดี "ตามหลักทางพระพุทธศาสนา"  (ซึ่งมีหลายประการ และไม่ได้จำกัดเฉพาะการทำบุญกับพระสงฆ์เท่านั้น) อุบาสกอุบาสิกาที่ดี  จึงควร "กระทำความดีตามหลักพระพุทธศาสนา" เช่น การทำความดี ที่จะอำนวยประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เป็นต้น แต่ถ้าอุบาสก อุบาสิกา ผู้ใด  "แสวงหาบุญนอกพระศาสนา" ในข้อนี้  หมายถึงการทำสิ่งที่เป็นความดีนอกหลักพระพุทธศาสนา  เช่น ความดีที่ศาสนาอื่นบอก แต่แท้จริงไม่ใช่ความดีตามกฏธรรมชาติ เช่นว่า การบููชายัญ โดยการฆ่าคน แล้วเชื่อว่าเป็นความดี  หรือการทรมานร่างกายตนเองโดยเชื่อว่าเป็นยอดตบะที่เทวดาจะมาอำนวยอำนาจผลพิเศษให้ เป็นต้น  (ถ้าในเมืองไทย น่าจะรวมถึง การขอโชคขอลาภจากสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาแปลก ๆ ด้วย) แต่ก็นั่นแหละว่า  เมื่อจะทำบุญในทางที่เป็นการให้ การบริจาคทาน ท่านก็แนะนำว่า ควรให้ ใน "บุญเขต" คือผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ  เช่น พระสงฆ์ผู้มีศีล เป็นต้น  ถ้าหากไปให้ไปบริจาคกับพวกอัญญเดียรถีย์(ผู้ไม่มีศีล ไม่มีกัลยาณธรรม) ก็เป็นบุญ แต่ไม่เป็นบุญที่มีผล มีอานิสงส์มาก จากคุณ     : chohokun ---------------------------- คคห. จากท่านโขตาน  ท่านเฉลิมศักดิ์1  ท่านchohokun  ....  เป็นสามคคห. ที่น่าสนใจ และนำมาขยายต่อประเด็นที่เวิ่นเว้ออยู่นี้ ท่านโขตาน  กล่าวถึง  "เมื่อต้องการบุญ"   หรืออีกนัยหนึ่งคือ  เจตนาจะทำบุญ ท่านเฉลิมศักดิ์  กล่าวถึง  "บุญกริยาวัตถุ๑๐"  ==>  ที่ต้องใช้ วัตถุ ก็เพียงข้อ ๑  เท่านั้น  ที่เหลืออยู่ที่ใจหมดครับ  ซึ่งหาในศาสนาอื่นไม่มี ท่านchohokun ==> แท้ที่จริง คำว่า "ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระศาสนา" และ "กระทำบุญในพระพุทธศาสนา" นี้ หมายถึง   การกระทำความดี "ตามหลักทางพระพุทธศาสนา" อุบาสกอุบาสิกาที่ดี  จึงควร "กระทำความดีตามหลักพระพุทธศาสนา" เช่น การทำความดี ที่จะอำนวยประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เป็นต้น อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใด  "แสวงหาบุญนอกพระศาสนา" ในข้อนี้  หมายถึงการทำสิ่งที่เป็นความดีนอกหลักพระพุทธศาสนา  เช่น ความดีที่ศาสนาอื่นบอก แต่แท้จริงไม่ใช่ความดีตามกฏธรรมชาติ เช่นว่า การบููชายัญ โดยการฆ่าคน แล้วเชื่อว่าเป็นความดี  หรือการทรมานร่างกายตนเองโดยเชื่อว่าเป็นยอดตบะที่เทวดาจะมาอำนวยอำนาจผลพิเศษให้ เป็นต้น  (ถ้าในเมืองไทย น่าจะรวมถึง การขอโชคขอลาภจากสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาแปลก ๆ ด้วย)                                                    สิ่งหนึ่งที่เห็นได้บ่อยๆ ในห้องศาสนา คือ ด้วยข้อความเดียวกัน  ต่างกันที่คนอ่าน  การตีความ  และสื่อสาร ย่อมแตกต่างกันออกไป หลายครั้ง แม้กระทั่งยกพระสูตรมาตั้งไว้  ผู้ที่ยกพระสูตรมาเองกลับตีความพระสูตรผิดเพี้ยน จึงไม่แปลกที่คุณกอบัวจะมีอาการกลัวคริสต์ขึ้นสมอง  ตีความซะสุดโต่งไปแบบที่เห็นในกระทู้นี้  ลากไปถึงคนที่สาม  หรือสิ่งที่ไม่ได้กล่าวไว้ในกระทู้นี้ ด้วยข้อความเดียวกันจากสามท่านที่ยกมานี้  เราอ่านแล้วไม่ได้รู้สึกไปแบบที่คุณห่วงใย เตือนภัย เลยล่ะค่ะ กลับไปอ่านใหม่นะคะ  โดยเฉพาะคำว่า ความดีที่ศาสนาอื่นบอก แต่แท้จริงไม่ใช่ความดีตามกฏธรรมชาติ  เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่จิตใจคับแคบ  ท่านทรงมีแต่เมตตา  สนทนาธรรมกับคนนอกศาสนาได้อย่างไรรังเกียจ หรือยกองค์ท่านว่าดีกว่าใคร ความดีตามกฎธรรมชาติ  ได้แก่ อะไรบ้าง  ไปใช้ปัญญาตรองดู  ความดีหลายๆ ข้อก็มีสอนตรงกันทางพุทธ คริสต์ และอิสลาม ขนาดเขียนซะยาวเหยียด  ก็ยังมาต่อด้วยคำว่า  ตั้งใจกระตุกให้คิด กลายเป็นขัดขาไป  หันกลับไปกระตุกทิฎฐิมานะและอคติในใจของตนเองจะดีกว่านะคะ  คุณสมบัติพื้นฐานในการเคารพคน  เคารพสิทธิ์  เคารพความต่าง  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความดีตามธรรมชาติทั้งสิ้นค่ะ ไม่ได้เป็นการขัดขาอะไรเลยค่ะ  ที่เขียนๆ อยู่นี้  เพราะดูคุณจะยึดมั่นกับอคติของตนเอง  มีการมาบอกว่า  การถวายเงินบำรุงโบสถ์ เมื่อไปแล้วให้ โบสถ์ก้อใช้เงินนั้นสอนเรื่อพระเจ้า ที่เป็นนิรันดร์ เท่ากับส่งเสริมมิจฉาทิฐิ   การไม่ไปก้อไม่ต้องให้ค่ะ   ลากยาวเลยนะคะ  ชีวิตจริงเที่ยวเจ้ากี้เจ้าการคนอื่นหรือเปล่า  ใครเขาจะไปไหน สิทธิ์ของเค้าค่ะคุณ เช่นกันกับให้เงินไปแล้ว  เขาจะเอาไปใช้ทำอะไรก็เรื่องของเขาค่ะ คุณเห็นว่าพุทธดีที่สุด   คนอื่นเขาก็คิดว่าศาสนาของเขาดีเช่นกันนะคะ  จะหายไปจากกระทู้ ไม่มาต่ออีกก็ดี  หรือจะกลับมาต่อก็ได้  แต่เราพอแค่นี้แหละ.... (เชื่อว่าหวนกลับมาอ่านแน่นอน  ยอมซะที่ไหน  สไตล์มันฟ้อง อิอิ) ขอให้การศึกษาและปฎิบัติธรรมของคุณเป็นไปด้วยปัญญา และคลายทิฎฐิมานะของตนลงได้ในเร็ววันนะคะ nite nite แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 55 23:41:28 จากคุณ : Smiling-girl เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:25:08

ความคิดเห็นที่ 69 #61 "ก็เพราะถ้าทำบุญในศาสนาอื่นแล้ว ก็มีโอกาสไปอยู่ร่วมในศาสนานั้นในอนาคตตามกรรมที่ทำ จิตไปผูกแล้ว ซึ่งศาสนาอื่นไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้จริง และมีโอกาสเป็นมิจฉาทิฏฐิด้วยครับ" ^^ ไม่จริงหรอกครับ ทำบุญ สร้างกุศลกรรม ไม่ว่ากับใครก็ดีทั้งนั้น พระพุทธเจ้าสรรเสริญครับ แม้กระทั่งทำบุญอย่างไม่ตั้งใจกับสิ่งมีชีวิตพวกหนอนแมลงในท้องร่องท่อระบายน้ำ ด้วยการเทเศษอาหารทิ้งแล้วสัตว์เหล่านั้นได้อาศัยเป็นอาหาร ก็ยังได้บุญได้กุศลมหาศาลนัก นี่พระพุทธเจ้าบอกไว้เองเลยครับ นับประสาอะไรกับการทำบุญกับมนุษย์ด้วยกันเองถึงแม้กับคนต่างศาสนาก็ตาม จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:36:54

ความคิดเห็นที่ 70 #63 "..การถวายเงินบำรุงโบสถ์ เมื่อไปแล้วให้ โบสถ์ก้อใช้เงินนั้นสอนเรื่อพระเจ้า ที่เป็นนิรันดร์ เท่ากับส่งเสริมมิจฉาทิฐิ   การไม่ไปก้อไม่ต้องให้ค่ะ.." ^^ นี่ก็ไม่จริงเหมือนกันครับ ทำบุญกับโบสถ์คริสต์ กับสุเหร่า กับพุทธนิกายเซ็น ไม่ว่าทำกับใครก็ดีทั้งนั้นและถือเป็นสัมมาทิฏฐิครับ พระพุทธเจ้าสอนไว้เมื่อไหร่กันว่า ให้ทำบุญกับพุทธบริษัทด้วยกันเท่านั้น หรือ การทำบุญกับผู้อื่นที่มิใช่พุทธบริษัทเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เคยเห็นนะครับ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน พระอรหันต์ทั้งหลายก็ไม่ได้สอนแบบนี้ จากคุณ : ทุกวินาที เขียนเมื่อ : 20 เม.ย. 55 23:45:54

ความคิดเห็นที่ 71 โอ้โห..กลับมาอีกที ซัดกันนัว เพราะอี-โก้  E-โง่ ของแฟนคลับแท้ๆ หัวหน้าพรรคนะกรรเชียงไปเล่านิทานต่อนานละ ความคิดเรื่องนาบุญนอกศาสนา ก็อีกหนึ่งของทัศนะคติคับแคบของพวกขี้เห่อ แถมจะด่าตรงๆ ก็ไม่กล้าใช้แอบๆ ซุกคําเน็บๆ "ตั้งใจกระตุกให้คิด กลายเป็นขัดขา" ดูเอาเหอะ นอกจากจะไร้ความจริงใจแล้วยังไร้จุดยืนขนาดไหน มีการให้กิ๊บหลังตบหัวซะด้วย^_^ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 02:08:28 จากคุณ : ตกลงจะเป็นโพธิสัตย์หรืออีสปดี (Yogi Playgirl) เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 02:02:10

ความคิดเห็นที่ 72 ผมว่าคุณกอบัวเข้าใจคุณยิ้มผิดมโหฬารไปแล้วครับ พื้นฐานที่บุคคลควรมีคือการเคารพสิทธิส่วนบุคคลของคนๆอื่น ไม่ควรไปด่วนคิด  ด่วนตัดสินใจในการกระทำของเขา ศาสนาพุทธนี้ถือว่าเป็นศาสนาที่ใจกว้างที่สุดเท่าที่ผมเจอมา แม้กระทั่งศีลนี้ก็เช่นกัน  เป็นสิ่งที่ท่านให้เราศึกษาไม่ใช่ข้อห้ามบังคับ แต่เป็นความเต็มใจของเราๆท่านๆที่จะกระทำ ผมคิดว่าคุณกอบัวคงเคยศึกษาพุทธประวัติตอนที่พระพุทธองค์แนะนำให้ท่านอุบาลี  อดีตสาวกพวกนิครนถ์ให้ยังคงบิณฑบาตแก่พวกนิครนถ์ต่อไป  ก่อนที่ท่านจะเป็นพระโสดาบัน  ท่านอุบาลียังประหลาดใจมาก  คุณลองไปหาอ่านดู กรณีคุณยิ้มไปทำบุญให้กับโบสถ์  เจตนาเธอไม่ได้หวังได้บุญ(ในความคิดของคุณ)แต่เป็นความเอื้อเฟื้อที่มีต่อเจ้าของสถานที่   และเท่าที่ผมรู้จักคุณยิ้มมา   คนขี้สงสัยแบบนี้นับถือศาสนาอื่นไม่ได้หรอกครับ  มีแต่พุทธเท่านั้นที่ยอมให้ตั้งคำถามได้  แต่พุทธเราก็มีหลายๆจริต  อย่างคุณกอบัวก็เป็นศรัทธาจริต  บางครั้งจึงไม่เข้าใจคนแบบคุณยิ้มได้  แต่เราสามารถให้ความเคารพซึ่งกันและกันได้นี่ครับ ปล.  สำหรับผมแล้ว  ข้อมูลในพันทิปเป็นข้อสะกิดใจ  แต่ไม่สามารถเป็นแหล่งอ้างอิงได้นะครับ  เพราะเป็นที่แสดงความเห็นส่วนบุคคล  บุคคลที่คุณยกมาคุณก็ไม่ทราบเบื่องหลังความประพฤติเขานะครับ  จะเอามาเป็นสรณะไม่ได้เช่นกัน ปล. 2 ใบปลิวที่ผมแปะให้  ผมต้องการสื่อว่าแม้ครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่าให้ศึกษาตน  จึงจะมีธรรมมาก  คุณกลับไม่เก็จแฮะ ปล. 3 ผมล็อกอินใหม่ๆครับ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 09:40:07 จากคุณ : Bitter Coffee เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 09:25:45