ความคิดเห็นที่ 1     ก่อนอื่นขออธิบายคำศัพท์สองคำอย่างง่ายๆ    “มูนาฟิก”  หมายถึง ผู้ที่สับปรับตลบตะแลง พูดอย่างหนึ่งทำอีกอย่างหนึ่ง  หรือ คำ ที่หยาบคายคือ  “ลิ้นสองแฉก”      “กาเฟรฺ”   หมายถึง “ผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจต่อหลักการของอิสลาม”   แต่ถ้าใช้เป็นคำหยาบคือคำที่เรียกว่า “ผู้สกปรกและมีจิตใจไม่สอาด” ซึ่งเป็นคำสพประมาทที่หยาบคาย ใช้ในสังคมมุสลิมไทย เราระหว่างมุสลิมด้วยกัน, และที่ใช้เรียกผู้อื่นในสังคมเดียวกันหรือนอกสังคมที่ไม่ได้นับถืออิสลาม ส่วนมากมักจะเติม คำว่า “ไอ้พวกกาเฟร” จัดว่าเป็นคำ หยาบคาย ที่ใช้เรียก Non-Muslims     ขอให้สมาชิกทุกๆท่านถือว่าเรื่องของกระทู้นี้เป็นการศึกษา เรื่องราวของสังคมมุสลิมไทยที่ มองดูภายนอกดูเหมือนอย่างว่า ถือศาสนาเดียวกันอย่าง สงบสุข แต่ ถ้าทราบหลักความศรัทธาภายในสังคมมุสลิมไทยว่าแตกต่างกันอย่างไรระหว่างกลุ่มเล็กๆ ไปจนถึงระดับผู้รู้ทางศาสนาด้วยกัน ว่ามีความเห็นแตกต่างกันอย่างไรแล้ว จะเห็นว่า เป็นสังคมที่ไม่เข้ากันเลยมีการแตกแยก เป็น กลุ่มต่างๆ ผู้รู้ก็มีการประกวดความรู้กัน, บางครั้งถึงกับท้าต่อยท้าตีกัน, แสดงความเป็นนักเลงกันอย่างเต็มที่   เรื่อง “ลิงสังหารโหดลิงที่ ผิดประเวณี ด้วยการปาด้วยหิน”  นั้นอธิบายได้ง่ายๆ  ด้วยข้อความสั้นๆ   1.    การสังหารโหดด้วยหินไม่มีในหลักการของอิสลาม เกิดจาก คำกล่าวของ ท่านอุมัร ที่อ้างว่า ท่านได้ยินท่านศาสนทูตมูฮัมมัดอ่านบัญญัติอัลกุรอานในเรื่องการลงโทษด้วยการ Stoning แต่ท่านอุลมาต่างๆ ไม่เชื่อคำ ของท่าน อุมัร และไม่จัดเข้าไว้ในการรวบรวมอัลกุรอาน เพราะท่านอุมัร “ได้ยินอยู่คนเดียว”      2. เมื่อไม่มีใครเชื่อ ก็มีการสร้างเรื่องโกหกเป็นเรื่องเล่าว่า “เคยบันทึกไว้แต่แพะมันกินไปหมด ตามฮาดีษที่อ้างมาแล้ว        3.  เมื่อโกหกแล้วต้องโกหกต่อไปเพื่อปกปิดการโกหกครั้งแรก โดยสร้างเรื่องโกหก และจัดเข้าไว้ใน “ซอเฮี๊ยะฮาดีษ” ว่า มีพ่อค้า ร่วม มือกับฝูงลิงป่า รุมกันปาหินใส่ลิงตัวเมิยที่มีชู้     ผมเอาเรื่อง"ลิงป่า" นี้มาเล่าเป็นเรื่องขบขัน แสดงความโกหกของคนในสมัยนั้นซึ่งเรื่องนี้มาภายหลังถูกอ้างว่า เกิดก่อน ที่จะมีศาสนาอิสลาม     เป็นการ รวบรวม และ จัดระดับฮาดีษที่ผิดพลาด,ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของการรวบรวม “ซอเฮี๊ยะฮาดีษ” และนำเรื่องราวเช่นนี้ มาประหารชีวิตมุสลิมด้วยกัน ซึ่งเกินจากขอบเขตของอิสลาม      ผมไม่เคยอ้างทางวิชาการว่า "การ Stoning ที่มุสลิมทำกัน   นั้น มาจากการสอนของลิง" แต่ที่นำฮาดีษนี้มา ก็เพื่อแสดง   ความโง่และความงมงาย ของคนบางกลุ่มที่ เชื่อในเรื่องนี้ ว่า Stoning เป็นหลักการของศาสนาอิสลาม     แต่เมื่อมีการท้วงติงเช่นนี้,ผมฉุกคิดได้ว่าเรื่องนี้มัน ต้องมาจากการสอนของลิงป่าอย่างแน่ๆ, มิฉนั้นมุสลิมกลุ่มนั้น คงไม่ทำการสังหารที่ป่าเถื่อนเช่นนั้น   แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 08:58:58 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 08:32:47

ความคิดเห็นที่ 2                 ผมขออ้างอิงความคิดเห็นของคุณกรองคำ ที่ นำเอาหลัก การฟัตวาและหลักการปฏิบัติของ "มุสลิมลัทธิวะฮาบีย์" ในซาอุดิอารเบีย    ที่ยังเป็นหลักปฏิบัติอยู่ในปัจจบันนี้ เนื่องจาก ฮาดีษนี้ยังอยู่ในบันทึกและใน Circulation ในสังคมมุสลิม อยู่ ทั้งในประเทศไทยและแถบต่างๆของโลก(นอกจากในอเมริกาเท่านั้น)  ฮาดีษบทนี้ไม่มีการยกเลิกด้วยเหตุผลใดๆทั้งสิ้น เนื่องจาก  การบันทึกฮาดีษนั้นไม่มีการจดบันทึก วันเวลาไว้ ว่าเหตุการเกิดขึ้นเมื่อใด แล้วแต่ผู้บอกเล่า ความคิดเห็นที่ 54 MsgStatus(Msv[54], 54); ในเมื่อเรื่องราวสาวยาวลงมา อย่างไม่มีทีท่าว่าจะถึงจุดสรุป-ลงตัว หรือ ลาโรง แต่กลับแตกประเด็นออกไปด้วยอารมณ์ส่วนตน~ระหว่างบุคคล ไปฉะนี้ ...ก็จึงต้องขออนุญาต ยกข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาแสดงไว้ เพื่อ/เผื่อจะสร้างความเข้าใจที่น่าจะตรงกันได้ในสังคมมวลรวมนี้-อย่างน้อยระดับ ๑ ถ้าถอดความตามใจความ/ความหมายอันสำคัญของ คำสั่งสอนจากหะดิษ ที่ยกมาไว้ในกรอบข้างล่างนี้  ด้วยความรู้จริงและถี่ถ้วน คือไม่ละเว้นใจความสำคัญใดๆนั้นๆ  และยึดถือความหมายใดๆนั้นๆตามที่ปรากฏอยู่ ด้วย*ตาชั่งในจิตสำนึกแท้* เราท่านทั้งหลายย่อมจะได้มองเห็นภาพแท้จริงในอดีตของบ้านเมืองนั้นๆได้ว่า มีสุนัขบ้าน [ที่เลี้ยงไว้ใช้ดูแลปศุสัตว์ :ความคิดเห็นที่ 15] และมีสุนัขป่า (หมาจิ้งจอก~หมาป่าทะเลทราย /Fennec Fox, Desert fox-ที่กลายพันธุ์ไปกับสุนัขเลี้ยง-ที่หลงเข้ามาหาอาหาร) อยู่ในบ้าน/ในเขตรั้วบ้าน/ในคอกปศุสัตว์-ในหมู่บ้าน ~ ในชุมชนของเมืองนั้นๆ จริง/ถูกต้องตามข้อมูลใน คห.ที่ ๔๖   [คัดมาจากคำ ฟัตวา จากเว็บทางการของ ราชอาณาจักรซาอุดี อาเรเบีย @ Kingdom Of Saudi Arabia ]    Fatwas of Nur `Ala Al-Darb Browse by Volume Number > Volume 9 > Book of Salah > Adhkar and supplications said during Salah and after Taslim > Woman passing behind a worshipper's Sutrah[158] Q: I listened to an episode of this program in which his Eminence Shaykh `Abdul-`Aziz ibn Baz answered the questions of the audience. One of his answers to a question was regarding the passing of a black dog (Part No. 9; Page No. 342) and a woman in front of the person offering prayer, in which he stated that this invalidates the prayer. I request you to ask his Eminence Shaykh about the nature of this passing. If a man offers prayer while having a Sutrah (barrier placed in front of a person praying) in front of him and a woman passes behind the Sutrah, is he obligated to repeat the prayer? What is the ruling on a woman passing in front of men when it is very crowded, particularly, in Al-Haramayn (the Two Sacred Mosques: the Sacred Mosque in Makkah and the Prophet's Mosque in Madinah)?  Please answer these questions. Thank you. A: The ruling on passing in front of the person offering prayer has been previously stated more than once in this program. The Messenger (peace be upon him) said: If the one offering prayer does not have something as high as the back of a saddle in front of him, then his prayer becomes invalid by the passing of a donkey, a woman and a black dog. Recorded by Imam Muslim in his Sahih, in the Hadith narrated on the authority of Abu Dhar (may Allah be pleased with him). He also recorded to the same effect a Hadith narrated on the authority of Abu Hurayrah (may Allah be pleased with him), in which the word "black" is not mentioned while talking about the dog. It is also recorded by Abu Dawud and Al-Nasa'y and a group of narrators from the Hadith of Ibn ‘Abbas as a Hadith Marfu` (a Hadith narrated from the Prophet with a connected or disconnected chain of narration), in which the woman is specified as the woman who has reached the age of puberty. Therefore, it is concluded from these Hadiths. (Part No. 9; Page No. 343) and from others denoting the same meanings that the prayer will be invalidated by the passing of any of these three: an adult woman who has reached the age of puberty; any type of donkey; namely, the domesticated donkey which people used to bring water, to ride and to load it with their goods; and the third one is a black dog. It was said: O Messenger of Allah, what is the difference between a red dog, a yellow dog and a black dog? He (peace be upon him) replied: Indeed, the black dog is a Satan This is evidence that this ruling applies only to these three categories, and that if one of them passes between the person offering prayer and his Sutrah, then the prayer will be invalidated, whether it is an optional prayer or an obligatory prayer. If this happens between a man and his Sutrah or between a woman and her Sutrah, the prayer will be invalidated. But if the passage was in front of the Sutrah; namely, in front of it in the direction of the Qiblah (Ka`bah-direction faced in Prayer), then the prayer will not be invalidated. The prayer will be invalidated if it happens between the one offering prayer and the Sutrah. By the same token, if there is no Sutrah and the passing happens far away from the person who is offering the prayer by a distance of more than three arms, then the prayer will not be invalidated. The invalidation of the prayer happens if the passing happens within a distance of three arms or less in front of the person who is offering prayer, if there is no Sutrah. This is the most reliable opinion of the scholars. However, some people of knowledge differed in this case and said that the prayer will not be invalidated, but its perfection will not be achieved, but it will still be valid. O Messenger of Allah, what is the difference between a red dog, a yellow dog and a black dog? He, the Messenger of Allah, (peace be upon him) replied : Indeed, the black dog is a Satan สำหรับคำถามที่มีว่า *ก็ไม่เข้าใจ มันเกี่ยวข้องกับห้องศาสนายังไง* - นั้น... ถ้าจะยกเป็น อุปมา~อุปมัย ขึ้นมาว่า "เพราะสมัครใจเล่นสาดน้ำสงกรานต์ด้วยกันแต่ไม่ยอมเปียก" จะกินกับวิทยปัญญาโดยสำนึกของ สังวรณ์กรรมข้อที่ว่า *ทีเขา-ทีเรา* จาก *ตาชั่งในจิตสำนึกแท้* ของสาธุชนสมาชิกฯห้องศาสนาทุกคนทุกท่านบ้างหรือไม่ ? ขอเสนอ ๑ ตัวอย่างของ อุปมา~อุปมัย ที่เทียบกรณีเช่นนี้ไว้กับ การเล่นสาดน้ำสงกรานต์ด้วยกัน PANTIP.COM : Y10748455 ทำไมชาวพุทธต้องเคารพรูปปั้น? จากมุสลิม  [คลิกอ่านเนื้อหา เพื่อพิจารณา&ไตร่ตรองว่า it's equal to_or not ก็ยัง/ย่อมได้อยู่ โดยเฉพาะกับประเด็นที่ว่า ทำ ในสิ่งที่ศาสนาไม่ได้สอน นั้นน่ะ-นะ] ปล ๐. นำเรียนท่านเยาฯที่นับถือ อ้างถึง ความคิดเห็นที่ 33 กระทู้นี้      เนื้อหาโดยรวมใน คห.๓๓ พิจารณาทั่วแล้วก็เกรงว่าการชี้แจงจะเหมือนกับที่ท่านฯเคยเทียบเหตุ-ผลเชิง อุปมา~อุปมัย ไว้ใน คห.หนึ่งที่กระทู้ กระดูกพรุน*      จากข้อมูล ฮิญาบ >เป็นสาเหตุ ๑ ของโรคกระดูกพรุน ... นั้นท่านเยาฯก็ได้ยกแย้งขึ้นว่า งั้นพระสงฆ์ปลงผม >ก็เป็นสาเหตุ ๑ ของโรคมะเร็งได้สิ? "มันเหมือนการบอกว่า พระโกนหัว โดนแสงเยอะๆ จะทำให้เป็นเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง พอถามหาว่าจริงเท็จอย่างไร ท่านตอบว่า ผมพูดกันเล่นๆในวงสนทนา" http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12045426/Y12045426.html#27 กรองคำ จึงนำเรียนมาเพื่อขอให้ท่านเยาฯ_[ทั้งที่ไม่อยากใช้คำแบบนี้กับท่านฯเลย-ว่า]_โปรดพิจารณาให้หนักแน่นกว่านี้-ตามเนื้อหาของกรณี และให้เป็นเรื่องๆไป - นะครับ  และโอกาสนี้ กรองคำ ก็มีของฝากแก่ท่านเยาฯ ด้วยความนับถือกันอยู่ ๑ สำนวน  เป็น สังวรณ์ธรรม จาก อุโฆษกวีแห่งสยามประเทศท่าน ๑ o วังเวง o ของ คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ปล ๑. นำเรียนท่านแมทท์ โปรดสอบถาม-หาข้อมูลจากพื้นที่ในโซน FL/ or anywhere else nearby,look for Black Guide Dog that's allowed into mosque area ด้วยเถิด กรองคำ นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ La.มาบ้างหรือไม่เพราะนานมากแล้ว  และเมื่อติดต่อถามเพื่อนมุสลิมที่ Baton rouge,La. เธอก็บอกว่า *ไม่เคยเห็นมุสลิมใช้ Guide Dogs สีดำ or dark shaded เลย*  ซึ่งอาจจะมี-แต่เธอยังไม่เคยเห็นก็ได้ ? Masjid Al Rahman 285 E. Airport Ave., Baton Rouge, LA, 70806 tel.(225) 924-0070 GARMIN ASTRO 320 + 3 DC 40 COLLAR DOG TRACKING COLLARS (Al-Jameel Masjid, Chicago) ปล ๒. นำเรียนท่าน SalaDin (A.TheRipper94) หากท่านฯหาคลิป Guide Dog-ที่มีสีออกโทนเข้มหรือดำจริง/หรือมองว่า-ชี้ว่า *นี่ก็คือหมาดำ* ที่ศาสนิกอิสลามใช้นำทางไป-เข้าไปในมัสยิดขึ้นมาแสดงไว้ด้วย  ก็คงจะสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นมาในกระทู้นี้ได้อีกระดับ ๑ -นะครับ ปล สุดท้าย. อัลเซเชี่ยนชั้นยศ จ่า.นย. ที่คุ้นเคยกันดีอยู่ทุกวันนี้  ทั้งๆที่เขามีขนสีดำน้อยกว่าสีน้ำตาลแดงเข้ม  เขาก็ยังถูกคนในพื้นที่งานชี้บอกว่า *มันเป็นหมาดำ ๆ-ไม่ให้เข้าชายคาบ้าน* *เพิ่มเติมข้อมูลสำคัญ และปรับปรุง link ให้ถูกต้อง อีกครั้ง ๑ First guide dog allowed into British mosque [May read it] http://www.disabilitynow.org.uk/latest-news2/old-news/first-guide-dog-allowed-into-british-mosque ฺBUT... Dogs are still banned from mosque prayer-rooms... ...because they are thought to be too unclean. จากคุณ : กรองคำ เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 20:55:51 ถูกใจ : mce, AvijJA จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 08:44:52

ความคิดเห็นที่ 3       คำอธิบายหรือการฟัตวาในกรอบที่คุณกรองคำ นำมาอ้างอิงนั้น ถูกต้องตาม ฮาดีษและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางการศาสนาอิสลามของซาอุดิอารเบีย และยังคงใช้กันอยู่ในปีจจุบันนี้ และเป็นไปไม่ได้ว่า บทความนี้จะผิดพลาด เนื่องจาก ฮาดีษดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไป ตามคำอ้างอิงของ ล๊อกอิน แคโรท, เนื่องจากว่า แคโรทขาดความเข้าใจ  ในวิธีการอธิบายฮาดีษเท่ากับ นักวิชาการของซาอุดิอารเบีย จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 08:54:27

ความคิดเห็นที่ 4 บังเอิญผ่านมาเกิดข้อสงสัย 2 ประเด็น 1. กาเฟร แปลว่า ผู้ปฏิเสธคำสอนตอนสมัยท่านศาสดามุฮัมมัด wiki ให้ความหมายว่า The word kāfir is the active participle of the root K-F-R "to cover". As a pre-Islamic term it described farmers burying seeds in the ground, covering them with soil while planting. Thus, the word kāfir implies the meaning "a person who hides or covers". According to Oxford Dictionary of Islam the word 'Kafir' means: 'Unbeliever. First applied to Meccans who refused submission to Islam, the term implies an active rejection of divine revelation. However, there is disagreement about whether Jews and Christians are unbelievers, they have generally received tolerant treatment from Muslim governments. In Islamic parlance, a kāfir is a word used to describe a person who rejects Islamic faith, i.e. "hides or covers [viz., the truth]". แต่ ท่านแมทท์ ให้ความหมายว่า "“กาเฟรฺ”   หมายถึง “ผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจต่อหลักการของอิสลาม”" ไม่ทราบว่าข้อมูลใน wiki ผิดพลาดหรือเปล่า 2. ประเด็นฮะดีษ การบันทึกฮะดีษผู้บันทึกจะรายงานว่าได้ยินมาจาก บุคคล ก. ว่าได้ยินจาก บุคคล ข. เรื่อยไม่จนถึงผู้ที่ได้ยินหรืออยู่ในเหตุการณ์เรื่องราวนั้นๆ โดยทุกบุคคลที่เกี่ยวข้องจะถูกตรวจสอบประวัติความน่าเชื่อถือ มิใช่หรือ และย่อมบอกถึงช่วงเวลาได้ จากคุณ : ฟาโรห์ ณ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 09:15:42

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ ฟาโรห์ ณ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา   ความหมายที่คุณนำมาเสนอนั้นถูกต้องครับ ที่ผมอธิบายอย่างสั้นๆว่า 1. "“กาเฟรฺ”   หมายถึง “ผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจต่อหลักการของอิสลาม”" เป็นการรวบรัดอย่างสั้นๆ   First applied to Meccans who refused submission to Islam, the term implies an active rejection of divine revelation. หมายถึงชาวมะกะห์ยั้งขาดความเข้าใจหลักการของอิสลาม และเกิดความต่อต้านหลักศรัทธา ถ้าเราจะให้ตรงเพ่งเช่นนั้นก็ดีครับ ขอบคุณ... 2. เหตุผลของคุณฟังดูมันก็น่าจะพอเข่าใจได้  แต่ความเป็นจริงมันไม่อย่างนั้น ซิครับ  เราบอกไม่ได้ว่า  "ท่านรอซูล นั่งหรือ ยืนปัสสาวะ"  มีมาก่อน  "การฆ่าสุนัขดำ"หรือหลังจากการฆ่าสุนัขดำ  คุณพอจะบอกได้ไหมว่า  ฮาดีษบทใดมาก่อนกัน วันใดเวลาใด?  ไม่ต้องไปหาหรอกครับเสียเวลา ไม่ทราบแน่ๆ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 09:37:36

ความคิดเห็นที่ 6   ผมหามาให้เท่าที่ผมอ่านมาทั้งหมดเลยครับ Definition of Kufur. Kufur, in Arabic comes from the root word that means hiding and concealing something. In terms of Islamic doctrine it means “ not believing in Allāh and His Messenger, whether that is accompanied by denial or it is not accompanied by denial but rather doubt, or turning away from faith out of jealousy or arrogance, or because one is following whims and desires that prevent one from following the message. Kufur is the attribute of everyone who rejects something that Allāh has commanded us to believe in, after news of that has reached him, whether he rejects it in his heart without uttering it, or he speaks those words of rejection without believing it in his heart, or he does both; or he does an action which is described in the texts as putting one beyond the pale of faith.” [Majmu’ al-Fatawa, 12/335; Al-Ihkam fi Usul al-Ahkam by Ibn Hazam, 1/45.]   จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 09:51:25

ความคิดเห็นที่ 7 ศาสนาอิสลามแตกต่างจากศาสนาอื่นเพราะเรามีระบบสายรายงาน และระบบตรวจสอบสายรายงานอีกทีตั้งแต่ยุคแรกๆแล้วครับ ไม่ใช้เพิ่งมี เพราะความกลัวของมุสลิมกลัวว่าการปฎิบัติของพวกเค้าจะไม่เหมือนท่านศาสดา ประกอบกับเริ่มมีฮาดิสปลอมเกิดขึ้นหลังจากศาสดาเสียชีวิต มุสลิมยุคแรกจึงพัฒนาระบบตรวจสอบสายรายงาน และระบบรับรองผู้รายงานและตรวจสอบผู้รายงานอีกชั้นหนึ่งและยังมีการตรวจสอบผู้ตรรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง แบบว่่าละเอียดกว่าวิถีตรวจสอบที่ใช้กันในงานวิชาการยุคปัจจุบันซะอีก  แต่มุสลิมยุคปัจจุบันสวนใฆญ่ไม่ค่อยเครงครัดในเรื่องนี้ ยกเว้นมุสลิมกลุ่ม แนวกลับสูรากฐานดั้งเดิมที่ยังเครงครัดในเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มผู้มีการศึกษาและเริ่มใด้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทยยุคปัจจุบัน                                   เป็นหนังสือที่ใช้สอนในคณะวิทยาลัยอิสลามศึกษา มอ.ปัตตานี โดย ผศ. อับดุลเลาะ การีนา ศึกษาชีวประวัติและเงื่อนไขของอิมามหะดีษกุตุบุสสิตตะฮฺ (ทั้งหกเล่ม) http://my-friends-islam.** ไม่ใช่ลิควิด **/2011/10/blog-post_31.html คุณแมทท์อย่าคิดว่าคนโบราณจะคิดไม่เป็นนะครับ อย่ายึดติดกับประวัติศาสตร์วิวัฒนาการสายตรงแบบตะวันตก เกินไปนะครับ ลองศึกษาข้อมูลจากหลายๆด้านก่อนที่จะเชื่อเรื่องอะไร อย่าศึกษาเพียงด้านเดียว จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:09:34

ความคิดเห็นที่ 8 http://my-friends-islam.** ไม่ใช่ลิควิด **/2011/10/blog-post_31.html เข้าไปในกูเกิล แล้วพิมพ์คำว่า "ศึกษาชีวประวัติและเงื่อนไขของอิมามหะดีษกุตุบุสสิตตะฮฺ (ทั้งหกเล่ม)" จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:11:21

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าจะศึกษา อิสลาม ควรศึกษาจากงานวิชาการของมุสลิมแนวกลับสู่รากฐานบริสุทธิ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:20:51

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ ใจนิ่ง  คุณใจนิ่งว่า "การเจ็บป่วยของมุสลิม" เป็นการล้างบาป หรือไม่ครับ? ..... วันเวลาที่ดีที่สุดในการกรอกเลือดคือ วันที่  17, 18, 19  (หะดีษรายงานโดยอบูดาวูด)  ทำไมวันที่  และอีก 27 -28 วัน ถึงกรอกเลือดไม่ได้เพราะอะไรหรือครับ? แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 10:29:03 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:23:02

ความคิดเห็นที่ 11 คุณแมทท์ผมแนะนำว่าคุณน่าจะลองเข้าไปอ่านเว็บนี้บางนะ ไม่ใช้เอาแต่อ่านข้อมูลจากเว็บชาวคริสต์ ลองอ่านข้อชี้แจงของนักวิชาการฝังมุสลิมบ้าง   http://www.call-to-monotheism.com/inc/searchresults?s=hadith%20%20&ss=hadith%20%20&n=285431 จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:27:01

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ ใจนิ่ง  ยังไม่ได้ตอบผมเลย? ผมถามเพิ่มไปอีกหน่อยครับลองอ่านดู จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:30:44

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับคนไม่ดีก็อาจจะเป็นการลงโทษ  สำหรับคนดีการเจ็บป่วยก็คือการทดสอบซึ่งการทดสอบถ้าเค้าสามารถอดทนได้เค้ากะจะได้ลบล้างบาป ท่านบนีกว่าลว่า “ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ดีต่อเขา พระองค์จะทรงทดสอบเขาด้วยเภทภัยบ้าง” (รายงานโดยบุคคอรย์และมุลิม) “แท้จริงบรรดาผู้ที่ถูกทดสอบหนักหน่วงที่สุดคือบรรดานบี จากนั้นก็คือผู้ที่ใกล้เคียงกับพวกเขา และผู้ที่ใกล้เคียงรองลงมา บ่าวทุกคนจะถูกทดสอบตามระดับการยึดมั่นในศาสนา(ความศรัทธา)ของเขา ถ้าหากเขายึดศาสนาไว้มั่นคงการทดสอบก็จะหนักหน่วง และถ้าเขายึดศาสนาไว้เพียงเบาบางก็จะถูกทดสอบตามนั้น การทดสอบจะเกิดขึ้นกับบ่าวอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งมันจะปล่อยให้เขาเดินเหินบนแผ่นดินโดยไม่มีบาปใดๆ ติดตัวอีก(เนื่องจากถูกลบล้างด้วยการผ่านการทดสอบแล้ว)” (อัต-ติรมิซีย์ : 2398, อัน-นะสาอีย์ : 7481, อิบนุ มาญะฮฺ : 4023) “แท้จริงแล้ว เมื่ออัลลอฮฺรักชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด พระองค์ก็จะทรงทดสอบพวกเขา ใครที่อดทน(พอใจกับการทดสอบ)เขาก็จะได้รับความโปรดปราน และใครที่ไม่อดทน(ไม่พอใจกับการถูกทดสอบ)เขาก็จะได้รับความไม่พอใจจากพระองค์” (อะห์มัด 5:427-428, อัต-ติรมิซีย์ : 2396, อิบนุ มาญะฮฺ : 4031) จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:44:03

ความคิดเห็นที่ 14 "วันเวลาที่ดีที่สุดในการกรอกเลือดคือ วันที่  17, 18, 19  (หะดีษรายงานโดยอบูดาวูด) ทำไมวันที่  และอีก 27 -28 วัน ถึงกรอกเลือดไม่ได้เพราะอะไรหรือครับ?" สวนที่สองผมไม่ทราบครับ  ต้องลองไปถามนักวิชาการมุสลิมดู  ถึงสถานะของตัวบทหรือมีตัวบทอื่นเกียวข้องหรือไม่   ถ้าคุณแมทท์ต้องการทราบจริงๆก็ลองถามในเว็บ mureed.com ดู จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:54:09

ความคิดเห็นที่ 15 คุณเห็นไหมว่า เรื่องราวของ ฮาดีษส่วนมากเกี่ยว กับ "การเชื่อโชคลางเสีมากกว่า เรื่องความศรัทธาในอัลลออ์ อีกตัวอย่างหนึ่ง .  อาการไข้ตัวร้อนมาจากส่วนหนึ่งของไฟนรก ซึ่จะชำระล้างบาปของผู้ป่วย ดังนั้นเมื่อมีอาการนี้ก็ให้ประคบเย็น (หะดีษรายงานโดยอิบนุมาญะฮฺ)  นี่ก็คือเรื่องของ ..การเชื่อในโชคลาง คุณจะเห็นว่าเรื่องราวที่คุณนำมาลงนั้น ส่วนมากไม่กินกับปัญญาเลย  มุสลิมเรารุ๋งเรืองทางการแพทย์ ก่อนที่ ฮาดีษนี้จะถูกรวบรวมขึ้นมา 300 กว่าปี   พอตำราแพทย์แขนงของคุณออกมา  วิชาการแพทย์หนีไปประเทศตะวันตกหมด  และผมบอกให้คุณฟังด้วย เรื่องราวการแพทย์ที่คุณนำมาลงในสมัยนี้นั้น  คนจะตาบอดกันหมด เนื่องจาก ถ้า ตามืดมัวแล้ว รอนัยตาใหม่ในสวรรค์  และส่วนมากนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพมา  ระวังเด็กๆจะจำไปใช้ผิดๆ และเจ็บป่วยมากขึ้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 10:58:52

ความคิดเห็นที่ 16 ที่ผมไม่เข้าไปขัดคอเพราะเห็นว่า คุณชอบโพสต์ โดยไม่เข้าใจสิ่งที่มาโพสต์และ เห็นว่าในสมัยนั้น  เราแก้อาการเจ็บป่วยด้วยการให้กำลังใจคนไข้  ถ้าตัวร้อนเพราะไฟนรก ก็ให้ใช้น้ำเย็นค่อยชะโลมตัว  แต่ถ้าผมจะแนะนำให้เดี๋ยวจะหาว่า เอาของ ฮะรอม มาสอน  ใช้น้ำ เย็น 1 สว่น + แอลกอฮอลล์ 1 ส่วน  แล้วชะโลมคนไข้  แอลกอฮ ฮอลล์ จะดูดความร้อนแฝงในตัวและระเหยออก ทำให้คนไข้ไม่เป็น นิวมอเนีย ถ้าใช้น้ำเย็นรดหัวเส้นเลือดในสมองอาจจะแตกใด้   ที่ผมอธิบายนี้กลัวว่าชาวบ้านอ่านของคุณแล้วเอาไปใช้ จะเป็นอันตรายมากกว่าผลที่ได้รับ, คุณคงไม่ยอมให้ใช้แอลกอฮล์ เพราะ ฮารอม? แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 11:13:32 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 11:10:20 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 11:08:26

ความคิดเห็นที่ 17 อาการไข้ตัวร้อนมาจากส่วนหนึ่งของไฟนรก ซึ่จะชำระล้างบาปของผู้ป่วย ดังนั้นเมื่อมีอาการนี้ก็ให้ประคบเย็น (หะดีษรายงานโดยอิบนุมาญะฮฺ) ---------------------------------------------------------------------------------------------------- ถูกต้องแล้วนี่ครับ ตอนผมเด็กๆ พอมีไข้ตัวร้อน คุณแม่ก็เอาผ้าชุบน้ำประคบที่หน้าผาก ปัจจุบันนี้ก็มีเจลลดความร้อนไว้แปะที่หน้าผากของเด็กเวลามีไข้ หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ใช้เจลลดความร้อนเท่ากับผมทำตามซุนนะห์ นะนี่ ภูมิใจจัง จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 11:50:26

ความคิดเห็นที่ 18 วันเวลาที่ดีที่สุดในการกรอกเลือดคือ วันที่  17, 18, 19  (หะดีษรายงานโดยอบูดาวูด) ---------------------------------------------------------------------------------------------- ตามประโยคข้างต้น หมายความว่า ถ้าจะกรอกเลือด ดีที่สุดให้ทำในวันที่ 17 ,18,19 ไม่มีตรงไหนบอกเลยว่าห้ามทำวันอื่นๆ หรือทำวันอืนๆไม่ได้ และไม่มีตรงไหนเลยในฮาดิษนี้บอกว่า เป็นการบังคับให้มุสลิมต้องกรอกเลือด ผมว่าตัวผมเองอ่านภาษาไทยแตกนะ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 12:02:29

ความคิดเห็นที่ 19 คุณghanee.s   สวัสดีครับ  ใกล้เดือนบวชแล้วนะครับอย่าลืมอ่านอัลกุรอานให้มากๆเรื่องนี้ผมไม่ได้ท้วงติง อะไรนอกจาก การอ้างถึงไฟนรก แต่ในทางตรงกันข้าม ผมแนะนำวิธีให้ถูกต้อง, แม้แต่การใช้น้ำ กลีเซอลอลแช่เย็นที่คุณกล่าวถึง ก็มีส่วน ผสมของ แอลกอฮอล์กับน้ำ  เรื่องนี้เขาใช้กันตั้งแต่นมนานก่อนอิสลามครับ  คุณเคยเห็นการรักษาและป้องกันเชื้อโรค โดยการใช้ไฟ หรือ เหล็กเผาไฟจี้ไปที่แผลไหม?  เป็นการป้องกันการ Infection ได้  แต่ ฮาดีษห้ามใช้ไฟ  มันก็นน่าแปลก   คุณกานีส อธิบายให้ผมฟังซิครับ อย่ารักษาโรคด้วยยาพิษ เพราะจะถูกให้ดื่มอีกในนรก (หะดีษรายงานโดยบุคอรี, มุสลิม, ติรฺมีซี, นาซาอี) นี่คือเหตุผลในปัจจุบันนี้หรือในเมื่อ1400 ปีมาแล้ว ในสมัยนี้เขาใช้พิษงูรักษาพิษงูคร้บ และมียาอีกหลายอย่างที่ทำจากสารพิษ ซึ่งผมจะไม่กล่าวเรื่องนี้ แต่จะกล่าวในแง่ความศรัทธา  ถ้าคนไข้ถูกงูกัด ไม่ยอมให้หมอรักษาด้วยพิษงู เพราะศรัทธาต่อฮาดีษ แล้วมันก็จะไม่ดีใช่ไหม?  สุนัขบ้ากัด,บาทยักต์  เหล่านี้ ใช้พิษแก้พิษ    ผมกล่าวในแง่ความศรัทธาครับถ้าคนไข้ในปัจจุบันปฏิบัติตามฮาดีษแล้วผลจะเป็นเช่นไร? เดือนบวชใกล้เข้าใมแล้ว อย่าลืมครับ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 12:22:40 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 12:19:02

ความคิดเห็นที่ 20 สวัสดีครับ พี่แมทท์ สบายดีนะครับ ขอบคุณที่แนะนำให้อ่านกุรอ่าน ผมยินดีครับ การนะสิหัสแบบนี้ ผมปลาบปลื้มมากครับ สิ่งที่อยู่ในฮาดิษ จะไม่เป็นปัญหาเลยครับ ถ้า เข้าใจหลักเกณ ของ ชาริอะห์ ในเรื่องคำสั่งใช้และ ห้าม ซึ่งมีอยู่ ห้า สถานะด้วยกัน อันประกอบด้วย วายิบ = จำเป็นต้องทำ สุนัต = สนับสนุนให้กระทำ ฮาล้าล หรือ ฮาโรส = อนุญาตให้กระทำ มักโระห์ = ไม่สนับสนุนให้กระทำ ฮารอม = ห้ามกระทำ แล้วยัง มี รูระบายให้อีก ซึ่ง เรียกว่าดอรูเราะห์ = สิ่งใดที่เป็นความยากลำบากก็เป็นที่อนุมัติ ดังนั้น 1)ไม่อนุญาตให้รักษรโรคด้วยวิธี จี้ด้วยเหล็กเผาไฟ (หะดีษรายงานโดยบุคอรี) คอมมอนเซนต์มากๆเลย ก็ถ้าเป็นแผล มียาฆ่าเชื้อโรคอยู่แล้ว มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆ มีคลินิกใกล้บ้าน มันก็ถูกแล้วที่จะห้ามจี้แผลด้วยไฟ  ถ้าลูกของผมมีแผล ถ้าหมอคนไหนจะจี้ไฟแผลลูกของผมละก็ ผมตะเพิดออกจากบ้านแน่ๆ ถ้าเดินป่า หลงป่า เกิดเป็นแผลขึ้นมา ก็ใช้ รูระบายดอรูเราะห์ได้นี่ครับ จุดไฟจี้แผลเลย ไม่มีปัญหานี่ครับ 2)อย่ารักษาโรคด้วยยาพิษ เพราะจะถูกให้ดื่มอีกในนรก (หะดีษรายงานโดยบุคอรี, มุสลิม, ติรฺมีซี, นาซาอี) ผมว่าผมอ่านภาษาไทยแตกนะ เขา"ห้ามดื่มยาพิษรักษาพิษ" นะ 2.1 เซรุ่ม รักษาพิษงูนะ มีสภาพเป็นยาพิษหรือเปล่าละครับ เวลาใช้เข้าใช้วิธีดื่มหรือเปล่า 2.2 ยาที่ทำจากพิษ มีสภาพเป็นพิษหรือไม่ 2.3 มียาตัวอื่นที่สามารถรักษาได้เหมือนกันหรือไม่ ท้ายที่สุด ถ้ามันจำเป็น ก็หารูระบายอีก ดอรูเราะห์ จัดไปเลย คนที่ตามฮาดิษ เวลาถูกงูกัด ก็รักษาด้วยเซรุ่มทั้งหมดนั่นแหละครับ เวลาที่ถูกสุนัขกัด ก็ไปให้หมอฉีดยากันทุกคนนั้นละครับ ไม่มีไครบ้าจี้อย่างที่พี่ว่าสักคน และก็ถูกหลัการตามศานาด้วย ไม่ขัดกับ ฮาดิษที่ยกมาทั้งหมดด้วย วิชาการศาสนามีถึง 18 วิชานะพี่ แค่เข้าใจวิชา อูซูลุ้ลฟิกส์ แค่วิชาเดียว ก็ไม่มีปัญหากับสิ่งที่พี่บอกมาแล้ว ดังนั้นในหลักศรัทธาแล้ว ตามฮาดิษ ไม่มีปัญหาแต่ประการใด ปล แอลกอฮอล์ เขาห้ามทานนะพี่ ไม่ได้ห้ามใช้ รถของผมก็เติมก้าซโซฮอลล์ ปล 2 ถ้าพิสูจน์ว่าเครื่องยนต์ดีเซล ใช้น้ำมันหมู แล้วแรงที่สุด ดีที่สุด ผมก็จะเติมครับ ^^ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 13:30:07

ความคิดเห็นที่ 21 อ่านถึงตรงนี้ผมยังเห็นด้วยในประเด็นของลุงแมทท์ทุกอย่าง และวันนี้ผมขอเป็นผู้ฟัง แต่ผมขอฝากไว้สองเรื่องคือ -เรื่องแรก ถึงแม้ ฮะดิษจะจดด้วยคน ตรวจสอบด้วยคน .."ซึ่งถึงตอนนี้ผมเองยังเชื่อว่าไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับอัลกุรอาน" แต่ต้องยอมรับจริง่วา เรื่องฮะดิษ หรือ การนำฮะดิษ มาใช้ฟังรากลงในสังคมไทยนานมาก และ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ... ไม่ใช่เรื่องประเด็นว่า จำเป็นใช้ได้หรือ ใช้ไม่ได้ แต่ประเด็นคือ "เชื่อว่าเป็นสิ่งที่นบีทำจริงๆ ซึ่งหมายความว่า เรื่องนั้นเทียบเท่าสิ่งที่อยู่ในอัลกุรอาน" ดังนั้นในมุมมองผมเป็นการยากมาก ถึงมากที่สุดที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้ในวงกว้างของโลกมุสลิม เอาแค่ในประเทศไทย.. เพราะฮะดิษ(ทั้งที่ดี และ ทั้งไม่มีสารัตถะ ในมุมมองผม)กับวิถีชีวิตของมุสลิมที่นี่ หลอมรวมกันไปแล้วบางอย่างกลายเป็น ประเพณี วัฒนธรรม การบอกให้เลิกก็เหมือน การบอกให้ประเทศไทยเลิกเล่นสงกานต์ เลิกลอยกระทง  เพราะมันเชื่อมโยงกันไปหมด -เรื่องที่สอง คือ อย่างที่ทราบ ถึงมุสลิมที่นี่จะมีมุมมองต่างๆกันออกไป ถ้าสังเกุตบางท่าน ถึงแม้จะเชื่อในระบบฮะดิษ แต่ก็ยังมี ฮะดิษที่ต่างกัน เช่นความเชื่อในเรื่อง การละหมาดสุริยะคลาส หรือในประเด็นอื่นๆ..ดังนั้น ผมเองอยากย้ำ กับลุงแมทท์ และพี่น้องมุสลิมที่นี่ว่า อย่า ตีกันนะครับ เอาแค่แลกเปลี่ยนความเห็น อาจมีคำแรงๆ บ้าง ผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ขอแค่อย่าให้จิตใจ ขณะพิมพ์ เต็มไปด้วยความเกลียด ความอาฆาตกันก็พอ เพราะไม่ว่าอย่างไรนั่นไม่ใช่แนวทางในการเผยแผ่ แลกเปลี่ยน หรือ ทำความเข้าใจหลักการทางศาสนาอิสลามร่วมกัน  ขอให้ ไว้ไมตรีกันด้วย เพราะแต่ก่อน ผมเองก็มอง น้องเกาะ และ คุณแคโรท ว่า สายโหดเหี้ยม ใจหิน ผิดมนุษย์ (เพราะเชื่อเรื่องปาหิน)แต่ระยะเวลาที่ผ่านๆมาการได้พูดคุย เฝ้าดูแลกเปลี่ยน รวมทั้งการได้พูดคุยกับมุสลิมบ้านเกิดอีกครั้ง ก็เข้าใจได้ว่า ต่างคนต่างมีวิถีของตัวเอง และ มีความศรัทธาในรุปแบบของตัวเอง เอาเข้าจริงก็ไม่มีใครเลวร้ายอะไร  อย่างน้องเกาะเป็นคนรักแมว  คนรักสัตว์ ผมว่าให้ไปรวมวงแจมปาหินใส่ชู้ คงทำไมลงหรอกครับหรืออย่าไปว่าตีหมา หรืออะไรเลย รวมทั้งคุณแครอทถึงแม้จะเป็นสายโหด ... แต่ผมก็สัมผัสด้านดีหรือ ด้านคนปกติในหลายๆโพสอยู่เรื่อยๆ  ...ดังนั้น ต่างคนต่างความเชื่อ แต่ขอให้ไวไมตรีกัน อย่าใช้ความเกลียดชังพิมพ์ใส่กันก็พอ เพราะไม่ใช่แนวทางของอิสลาม หรือศาสนาแห่งสันติ ศาสนาการแลกเปลี่ยนสิ่งที่เลวด้วยสิ่งที่ดีกว่า ผมขอโพสเดียวที่เหลือจะนั่งฟังและไม่ร่วมวงสนทนา ยกเว้นถ้าอยากถกเรื่องนี้ผมจะเปิดประเด็นเองนะครับ จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 14:08:15

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ ghanee.s  ผมชอบใจตรงที่คุณเข้าใจการใช้แอลกอฮอลล์ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตเราได้ อย่างดี เรื่องการจี้ด้วยไฟนั้นเขาใช้ในป่า หรือในที่ปราศจาก แอนติเซพติค, ยามฉุกเฉิน สำหรับแผลสดเท่านั้น,  ซึ่งเป็นเจตนาของผมที่จะกล่าว  คุณเป็นมุสลิมที่ศรัทธาต่อ ฮาดีษโดยเหตุผม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี  มุสลิมบางกลุ่มไม่ยอมแม้จะแตะต้อง ชแลค ที่ใช้ทาเฟอร์นิเจอร์  คุณพูดถึงเรื่องน้ำมันหมู ผมละอดขำไม่ได้ ในสมัยก่อนเขาใช้แทนจารบีกัน  มีมัสยิดหนึ่งใน Arizona เขาฟัตวาว่า "อัลกุรอานห้าม กินเนื้อหมู" แต่ ซุบกระดูกหมู โอเค...เหมือนอย่างห้ามดื่มเหล้าแต่ ดื่มเหล้าข้าวเหนียว(ข้าวหมาก)ได้ อย่าซีเรียสนะครับ เปรียบให้ดูเท่านั้น  และเน้นนะครับ.."ผมไม่ได้บอกว่า เนื้อหมู มุสลิม ทานในยามปกติได้" เดี๋ยวผมจะถูกเอาชื่อไปอ้างอิงอีก. คุณควรอธิบายทุกๆรายการ "ยา" ของคุณใจนิ่งเนื่องจากเป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่นอีกมากทีเดียว ปล. สลามฯ  ครับคุณยอร์ฮะรี  รับรองได้ครับกระทู้นี้จะไม่มีการตอบโต้ในความหยายคายใดๆทั้งสิ้น จะเป็นไปตามกฏของพันทิป และ ให้โอกาสผู้ต่างศรัทธาเข้าใจ หลักการของอิสลาม ตามความเข้าใจของ มุสลิมกลุ่มต่างๆในสังคมไทยเรา  ทั้งที่รับฮาดีษและไม่รับฮาดีษ ถ้ามีเหตุผลอย่างคุณ กานีส แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 16:24:07 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 16:17:19 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 16:14:57

ความคิดเห็นที่ 23 มนุษย์ทุกคนนั้นอัลเลาะห์สร้างมาให้ไม่สมบูรณ์แบบหรอกครับ และด้วยความไม่สมบูรณ์แบบอัลเลาะห์ก็ใช้ให้เรามีและตั้งเจตนาที่ดี และยังใช้ให้เราศึกษาหาความรู้ และก็ยังใช้ให้มนุษย์ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ  และได้ใช้ให้เรานำสิ่งทั้งหมดนั้นมาปรึกษาหารือกัน แน่นอนตลอด 1400 ปีที่ผ่านมา นักวิชาการในโลกอิสลาม มีความตั้งใจ ทุ่มเทเสียสละ ใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ในการรักษาอิสลามให้บริสุทธิ์ ด้วยกับเทคนิคต่างๆที่คิดค้นขึ้นผ่านทางวิชาการต่างๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอิสลามที่บริสุทธิ์เหมือนดั่งที่ท่านศาสดาถ่ายทอดยังคงอยู่ได้และสืบทอดต่อไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใดไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใดไม่ว่ากรณีใหม่ๆอะไรจะเกิดขึ้น หลักคำสอนเหมือนที่ศาสดาสอนก็จะยังคงทันสมัย และสามารถประยุกค์ใช้ได้เสมอ ไม่ว่านักวิชาจะมีความเห็นต่างกันอย่างไรกับฮาดิษ ไม่ว่านักวิชาการจะมีมุมองในแต่ละฮาดิษต่างกันอย่างไร ไม่ว่านักวิชาการจะมีวิธีนำเอาฮาดิษมาใช้ต่างกันขนาดไหน แต่นักวิชาการที่ทุ่มเททุกอย่างในชีวิตเพื่ออิสลามทั้งหมดนั้น ตลอด 1400ปีที่ผ่านมาแทบจะทั้งหมด ต่างก็ยอมรับในวิชาการด้านฮาดิษ และใช้ฮาดิษเป็น tool ตัวหนึ่งในการรักษาอิสลามที่บริสุทธิ์ถ่ายทอดต่อไป แทบจะหาไม่ได้เลยในโลกอิสลามที่ปฏิเสธฮาดิษนะครับ เราจะบอกหรือว่า นักวิชาการ ตลอด 1400 ปี มีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ตามที่อัลเลาะห์สั่ง เราจะบอกหรือว่า นักวิชาการ ตลอด 1400 ปี ไม่ใช้สติปัญญาตามที่อัลเลาะห์สั่ง เราจะบอกหรือว่า นักวิชาการ ตลอด 1400 ปี ไม่ศึกษาหาความรู้ เราจะบอกหรือว่า นักวิชาการ ตลอด 1400 ปี ไม่ปรึกษาหารือกัน เราจะบอกหรือว่า นักวิชาการ ตลอด 1400 ปี ขี้เกียจเห็นแก่ตัวขาดความทุ่มเทในงานการศาสนา ในเมื่อท่านเหล่านั้น ทุ่มเทเสียสละและปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้ แล้วทำไมจะไม่ประทานความสำเร็จมาให้ละ ด้วยกับเทคนิคยอดเยี่ยมในการพิจารณาระดับความน่าเชื่อถือของการสอบกลับของ วิชาการฮาดิษซึ่งผมพิจารณาเอง และด้วยกับการยอมรับของนักวิชาการที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่ออิสลามของนักวิชาการตลอด 1400 ปีที่ผ่านมา ผมว่าผมเดินได้ถูกทาง และเชื่อมั่นเกินร้อยครับ ถ้าจะว่านักวิชาการเหล่านั้นผิด ก็คงต้องมาพิจารณาตัวเองว่าเราทุ่มเทมุ่งมั่นได้กระผีกเดียวของเขาไหม อะไรละที่ทำให้เรามั่นใจว่าเราถูกเขาผิด อย่าลืมนะอัลเลาะห์สร้างเราทุกคนมาไม่สมบูรณ์ ตะแกรงหลายชั้นย่อมสามารถกรองสิ่งแปลกปลอมได้ดีกว่าครับ นับถือ จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 16:22:48

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ  ghanee.s มีนักวิชาการของมุสลิมเขียนบทความให้มีการสะสาง ตรวจสอบฮาดีษที่แปลกปลอมและขัดกับหลักศรัทธาของอิสลาม เสียที เพื่อความเข้าใจที่ดี และโยนทิ้งฮาดีษที่เป้นอันตรายต่อสังคมออกไปจาก Cicirculation ในสังคมมุสลิม เช่นบทความ ของ  Dr. M. Zuhdi Jasser,the President and founder of the American Islamic Forum for Democracy (AIFD). แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 16:34:03 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 16:32:36

ความคิดเห็นที่ 25 เรียน พี่แมทท์ พี่แมทท์หมดห่วงได้เลยครับ วิชาการด้านศาสนาอิสลามปัจจุบันสามารถประยุกต์ให้ครอบคลุมทุกปัญหาได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตครับ รวมทั้งการใช้งานฮาดิษด้วย คนที่มีปัญหา ก็แค่ไล่ให้ไปเรียนก็จบแล้วครับ เพียงแต่ว่าหลังจากใช้หลักวิชาการแล้วผลมันจะถูกใจเราหรือเปล่าเท่านั้นครับ นับถือ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 16:53:25 จากคุณ : ghanee.s เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 16:49:11

ความคิดเห็นที่ 26 ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณแมทท์ จะชี้ทางสว่างให้ 2 login(ชาย1 หญิง1) ได้นะครับเพราะ เท่าที่ผมคุยๆมา 2 ท่านนี้มัก เข้าข้างผู้ก่อการร้าย และนิยมชมชอบการใช้กฏหมายโหด เช่นตัดมือตัดเท้า จากคุณ : mce เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 20:59:38

ความคิดเห็นที่ 27 จนตอนนี้ mce  ก็ยังบอกไม่ได้ว่า มุสลิม ในนี้ เข้าข้างผู้ก่อการร้าย ยังไง แบบใหน ได้แต่ พูดพล่อยๆ ใส่ร้าย ปรักปรำ มุสลิมหลายๆคน ในนี้ (ยกเว้น จขกท ) เป็นประจำ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 21:13:44

ความคิดเห็นที่ 28 ghanee.s นึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีกอ่ะ จากคุณ : ยูซุฟ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 21:19:36

ความคิดเห็นที่ 29 จ๊าก มีคนเฝ้ามอนิเตอร์กระทู้แมทท์ด้วย ตอบแบบมาไวไปไวดีจังเลย จากคุณ : ยูซุฟ เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 21:22:41

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าเป็นบันทึกสายรายงานโดย บูคอรี  ผมมั้นใจในสถานะของฮาดิสแต่ถ้าเป็นท่านอื่นๆๆผมไม่แน่ใจ เพราะตำราซอเฮียห์บูคอรีถือเป็นตำราที่มีการบันทึกที่รัดกุมที่สุดแล้วรองจากกรุอาน เท่าที่รู้มา  สวนท่านอื่นๆๆเราก็ต้องดูสถานะไปว่าอูลามานักฮาดิสเค้าจัดให้อยูในสถานะใหน แท้ ดี สายรายงานอ่อน หรือปลอม  แนะนำนะครับ เล่มนี้คุณแมทท์ควรอ่าน เข้าไปในกูเกิล แล้วพิมพ์คำว่า "ศึกษาชีวประวัติและเงื่อนไขของอิมามหะดีษกุตุบุสสิตตะฮฺ (ทั้งหกเล่ม)" http://my-friends-islam.** ไม่ใช่ลิควิด **/2011/10/blog-post_31.html จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 21:28:45

ความคิดเห็นที่ 31 ต่างศาสนิกต้องพิจารณา จะเอาความรู้อิสลาม  จากผู้ที่กล่าวว่าอิสลามไม่ได้ห้ามดื่มเหล้า  เหตุผลเพราะไม่มีคำว่าห้ามดื่ม มีแต่เพียงสั่งให้ออกห่างหรือห่างไกล  อย่างนั้นหรือ    ซึ่งไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้น คำสั่งที่ไม่ให้เข้าใกล้ หรือให้ออกห่าง  หญิงที่มีประจำเดือน  จะหมายความว่าอย่างไร    สามีสามารถมีเพศสัมพันธ์ขณะภรรยามีประจำเดือนได้อย่างนั้นหรือ   ซึ่งไม่ใช่ สุดท้าย  บรรดาผู้ที่ใช้หลักตรรกะว่า  ถ้าไม่มีปรากฎเป็นคำๆ ในอัลกุรอ่าน  ถือว่าไม่ใช่อิสลาม   ในที่สุดพวกเขาก็จะกล่าวว่า พวกเขาสามารถแต่งงานกับย่าหรือยายของตนเองได้    ซึ่งไม่ใช่ เหมือนกับที่พวกเขากล่าวว่า อิสลามไม่ได้สั่งให้คลุมศีรษะหรือผม  เพราะไม่มีปรากฎในอัลกุรอ่าน   เป็นคำๆ  ว่าศีรษะหรือผมในเรื่องผ้าคลุม     ************************************************************************************************** การศึกษาอิสลาม  อาจจะแบ่งคร่าวๆ ได้ 2 ประเภท คือ 1. ศึกษาเพื่อให้ได้ข้อบัญญัติหรือข้อปฏิบัติ  ข้อห้าม ข้อใช้    อันนี้ต้องอ้างอิงไปถึงหลักฐานที่เป็นตัวบททั้งหมด และใช้สติปัญญาอยู่ในกรอบของตัวบทหลักฐานนั้นด้วย     จะใช้สติปัญญาอย่างเดียวหรือใช้นำหน้าหลักฐานตัวบทไม่ได้    มิฉะนั้นก็จะผิดพลาดและคลาดเคลื่อนเหมือน  จขกท 2. ศึกษาเพื่อให้ได้เห็นถึงหลักวิทยาศาสตร์หรือวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับหลักปฏิบัติหรือศาสนกิจ   อันนี้ต้องใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่แน่นอน  แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นว่าสติปัญญานั้นก็ต้องอยู่ในกรอบของทฤษฎีวิทยาศาสตร์นั้นเอง ปล.  ความไม่รอบรู้ในตัวบทหลักฐานศาสนาทั้งหมด   แต่ถ้ามีเจตนาบริสุทธิ์ก็สามารถศึกษาอิสลามให้เข้าใจได้     แต่ถ้าเจตนาไม่บริสุทธิ์ศึกษาเพื่อโจมตี  ก็ไม่ยากเลยเพียงแค่แยกศีกษาที่ละส่วนไม่ดูบริบท ไม่ประมวลทั้งหมด  ก็จะเจอคำที่มีความหมายติดลบ เพียงแค่นี้ก็จะนำมาใช้โจมตีได้ดังที่ตนเองมุ่งหมายไว้แล้ว และอัลลอฮจะตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย  อย่างสาสม  ในความดีความชั่วของบ่าวทุกคน   พระองค์ทรงยุติธรรม   อามีน แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 55 23:13:47 จากคุณ : abubilal เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 23:11:49

ความคิดเห็นที่ 32 คุณabubilal   กรุณาอย่ากล่าวเท็จ ..     ถ้าคุณเขียนกล่าวหาผมโปรดอย่าหลบหน้าไป อยู่คุยกัน เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ คุณจะได้เข้าใจ ศาสนาอิสลาม ได้ดีขึ้นกว่านี้  คุยกับผมอย่างที่ คุณghanee.s คุยกับผมอย่างสุภาพ และมี  เหตุผล  ตามอัลกุรอานสอนไว้ ถ้าคุณคิดว่าอัลกุรอาน ยังมี   ความสำคัญ ต่อชีวิตคุณอยู่   ผมมีความรังเกียจที่จะ คุยกับผู้หยาบคาย  ถ้าคุณกล่าวหาผม   แล้วคุณต้องกล้าที่จะ อธิบายว่า ผมโกหกอย่างไรเพื่อความเข้า   ใจที่ถูกต้อง    ถ้าคุณเป็นคนมีเหตุผลและมีความรู้ทางสาสนาอิสลามดีแล้ว ช่วยให้คำอธิบายต่อผม ตัวต่อตัว จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 08:13:42

ความคิดเห็นที่ 33 เอาลิงค์มาให้ดูค่ะ ว่ามันมาจาก กระทู้ใหน ความคิดเห็นที่ 52 MsgStatus(Msv[52], 52); อ่านความเห็นแมทท์แล้ว นึกถึงเรื่องลิง แมทท์ตั้งกระทู้ประหนึ่งว่า คำสั่งเรื่องการลงโทษด้วยก้อนหิน มาจากลิง ทั้งๆที่ ไม่เกี่ยวกันเลย เข้าคู่กันดี มุนาฟิก กับกาเฟรฺ คนพวกนี้ชอบมากในการร่วมมือกันเพื่อทำลายอิสลาม จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 16:11:44 ถูกใจ : Ms.Kohlanta เผื่อใครอยากอ่านต่อ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12080564/Y12080564.html   จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 20:27:12

ความคิดเห็นที่ 34 แปลกแต่จริง กระทู้ที่ไร้เนื้อหาเชิงลึกที่สอดคล้องกับที่จั่วหัวไว้แบบนี้ ไร้ความเป็นวิชาการ ไร้ความน่าสนใจแบบนี้ ก็เป็นกระทู้แนะนำได้เหมือนกันเนอะ??? ตั้งชื่อกระทู้เรียกคนอ่านที่หวังจะได้เรียนรู้จากภายในระหว่างนิกายต่างๆจริงๆ สุดท้ายเอาเข้าจริงก็ดึงเข้าความเชื่อเดิมๆของลัทธิปฏิเสธฮาดีษของตนเอง เข้าเรื่อง stoning อีกแล้ว...ขอเรียกว่า "บ่อนทำลายศาสนาอิสลามจากภายใน ด้วยมุขเก่าๆเดิมๆของ แก๊งค์มุสลิมกำมะลอ" น่าจะตรงตัวกว่าครับ ข้อมูลเดิมๆที่ยกมาเขาหักล้างมาหมดแล้วเป็นสิบๆกระทู้นี้ลุงแมทท์???  ไม่เบื่อบ้างหรือ? จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 11:28:47

ความคิดเห็นที่ 35 ผมเองก็แปลกใจ ทำไมจึงเป็นกระทู้แนะนำไปได้ คิดว่าเป็นเพราะรูปการ์ตูนประกอบก็ได้ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 22:40:49 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 22:39:56 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 15:53:28 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 15:51:29

ความคิดเห็นที่ 36 คราวนี้ มากัน ครบทีม ห้องศาสนาคงสนุกมากขึ้น จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 22:56:50

ความคิดเห็นที่ 37 ความเชื่อที่แตกต่างกันในสังคมมุสลิมไทย.. ความมุ่งหมายของกระทู้นี้ตามที่กล่าวไว้แล้วว่า เพื่อแนะนำ  การศรัทธาและการปฏิบัติ ภายใน นิกาย, มัสหับ และ กลุ่มต่าง ของมุสลิมในประเทศไทย  ซึ่งจะนำมาเสนอเป็นตอนๆไป  ตอนนี้ ขอเสนอ กลุ่มอัซซาบิกูน(แนวหน้า) หลังจากอุดมการณืแล้ว  จะเป็นการ คอมเม้นต์ ทำความเข้าใจเกียวกับกลุ่มอัซซาบิกูน http://my-friends-islam.** ไม่ใช่ลิควิด **/2011/10/blog-post_31.html  อะไรคืออุดมการณ์ของกลุ่มอัซซาบิกูน(แนวหน้า) 1. ยึดถือปรัชญาที่ว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ล้วนพัฒนาเปลี่ยนผ่านการต่อสู้ระหว่างสัจธรรมและความเท็จ ดังนั้นอุดมการณ์หลักของกลุ่มคือการหักล้างขัดแย้งต่อสู้ถล่มความเท็จในสังคม เช่น ชีอะฮฺ คริสต์ พุทธ ประชาธิปไตย มาร์กซิสต์ เฟมินิสม์ ฯลฯ ซึ่งเรายึดถือทฤษฎีของกลุ่มที่เรียกว่า วิวรณ์ธรรมปฏิพากย์ (Dialectical Revelationism) 2. ไม่ยึดถือนโยบายสมานฉันท์กับความเท็จ ดังนั้นกลุ่มจึงปฏิเสธการเสวนาอย่างสมานฉันท์กับศาสนาอื่นทั้งหมด แต่กลุ่มเน้นโต้แย้งศัตรูอิสลามเพื่อให้สัจธรรมปรากฏ และกลุ่มเชื่อว่าอิสลามเท่านั้นที่ถูกอย่างเดียว 3. เชื่อว่าเป้าหมายและงานศาสนาอันดับ 1 ของรอซูลคือต่อสู้เพื่อให้มนุษย์รับอิสลามหักล้างความเท็จ ซึ่งสอดคล้องกับความจริงที่ว่าในอิสลามเรื่องเตาฮีดคือเรื่องอันดับหนึ่ง ดังนั้นการทำงานของกลุ่มจึงยึดนโยบายว่าปลดปล่อยมนุษย์จากความทุกข์ยากสู่การศรัทธาพระเจ้า หะดีษที่ทางกลุ่มยึดถือเป็นหัวใจ หลัก قَالَ رَسُوْلُ اللهِ صَلىَ اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ أُمِرْتُ أنْ أُقَاتِلَ النَاسَ حَتَّى يَقُوْلُوا لاَ اِلهَ اِلاَّ اللهُ ท่าน รอซูลุลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า “ฉันถูกใช้ให้ต่อสู้(ด้วยดาบ)กับผู้ที่เป็นภัย จนกว่าเขาจะกล่าว ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ บันทึก โดยท่านอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 1312 4. เชื่อในทฤษฎีใบมีด หมายถึง มนุษย์นั้นถูกสร้างมาเพื่อต่อสู้กับความเท็จและรับใช้พระเจ้า เสมือนใบมีดที่ต้องใช้งานฟาดฟันสิ่งที่ต้องการ ดังนั้นการมุ่งแต่ทำงานเพื่อสร้างอีมานกันถ่ายเดียวแต่ทอดทิ้งการต่อสู้ให้มนุษย์รับอิสลาม จึงเปรียบเสมือนการลับมีดการดูแลมีดอย่างเดียวโดยไม่เคยเอามีดมาใช้งาน ดังนั้นกลุ่มจึงไม่เคยมองว่าการทำงานศาสนาสำหรับชาวมุสลิมนั้นเป้าหมายของมันคือทำงานเพื่อสร้างกระบวนการอีมาน แก่มุสลิมกันเอง หากแต่เป้าหมายหลักของการมีญะมาอะฮฺคือสู้เพื่อให้มนุษย์รับอิสลามตามอย่างท่านนบี แต่กระบวนการตัรบียะฮฺนั้นคือกระบวนการพื้นฐานของกลุ่มเท่านั้นไม่ใช่งานหลักของศาสนา แต่เป็นงานประจำพื้นฐานของญะมาอะฮฺเสมือนการลับใบมีดแต่มิใช่ลับใบมีดกันทั้งปีชาติ ดังนั้นทางกลุ่มจึงมองว่าปัญหาของโลกมุสลิมคือการทิ้งการต่อสู้เพื่อเตาฮีด 5. เน้นการศึกษาอิสลามเชิงวิภาษและตรรกะวิทยาเพื่อปกป้องอิสลาม 6. สมาชิกในกลุ่มจะต้องถูกฝึกเพื่อสร้างความถนัดเฉพาะด้านไป ไม่ยอมรับการทำงานศาสนาแบบลอยๆหาความชัดเจนไม่ได้ว่าทำงานด้านอะไร? 7. ปฏิเสธการทำงานที่เป็นองค์กรและทางการใหญ่โต เนื่องจากสร้างปัญหาความล่าช้าของระบบการทำงาน 8. กลุ่มเชื่อว่าบุคลิกภาพท่านนบี ศ็อลฯ มีสองด้านเสมอ มีทั้งด้านที่สุภาพและด้านบู๊ ปัญหาของสังคมมุสลิมคือเน้นด้านสุภาพของท่านนบีด้านเดียวจนเลยเถิดเป็นความหน่อมแน้มจนพวกเขาไม่สามารถที่จะกล้าหาญตอบโต้กับ ศัตรูอิสลามดังนั้น สมาชิกกลุ่มจะต้องมีความบู๊และ พร้อมกล้าหาญตอบโต้ศัตรูเสมอ 9. ไม่ยึดติดกับผู้รู้คนใดๆทั้งสิ้นในสังคม ดังนั้นกลุ่มจึงไม่ใช่เด็กเชคริฎอ เด็กของอ.มุรีด หรือของอ.ปราโมท ศรีอุทัย ใดๆทั้งสิ้น แต่กลุ่มให้เกียรติและเคารพผู้รู้ 10 เน้นการประนีประนอมระหว่างพี่น้องมุสลิมกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาความแตกแยกระหว่างซุนนะฮฺกับอะชาอิเราะฮฺ และปัญหาคิลาฟียะฮฺ โดยการให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขาและไม่ตัดสินพวกเขาว่าเป็นอะฮฺลุลบิดอะฮฺ                                                  ************** แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 23:44:27 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 23:42:43

ความคิดเห็นที่ 38 คำอธิบายโดยสังเขป ถึงความหมายของศัพท์ในศาสนาอิสลาม มุสลิมในความหมายที่เป็นคำว่า มอบตน,ยอมจำนน และมนุษย์ในฐานะที่เป็นเคาะลีฟะห์ อย่างไร อธิบาย  มุสลิมในความหมายของคำว่า มอบตน, ยอมจำนน นั้น มีความคือว่า บุคคลที่เข้ารับอิสลามนั้นจะมีสภาพ ยอมจำนน ให้แก่อัลลอฮฺ และยอมจำนนทุกสภาพที่เกิดขึ้นว่ามาจากบททดสอบของพระผู้เป็นเจ้านั้นคือ อัลลอฮฺ   ส่วนคำว่า มอบตน นั้น คือ ยอมสละชีวิตทั้งร่างกายจิตวิญญาณและทรัพย์สินให้แก่ อัลลอฮฺ เพื่อให้เป็นการแสดงความจงรักภักดี  และเพื่ออิสลามของพระผู้เป็นเจ้า การยอมจำนน แด่อัลลอฮฺนั้นจะครอบคลุมในหลักพื้นฐาน 3 ประการ คือ 1.อะกีดะห์ 2.ชะรีอะห์ 3.อัคลาค ซึ่งทั้ง 3 ประการข้างต้นนั้นคือ เป้าหมายสูงสุดที่อิสลามและพระผู้เป็นเจ้านั้นทรงพึ่งพอพระทัย เมื่อเราสังเกตของความหมายข้างต้นจะเห็นว่า บุคคลที่เข้ารับอิสลามจะมีสภาพที่ยอมจำนนยอมมอบตนให้แก่อัลลอฮฺโดยทันทีไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้นซึ่งความหมายของคำๆนี้นั้นมีความที่กว้างแต่นัยยะของคำนั้นมี ความหมายที่กำชับและชัดเจน การที่มุสลิม ยอมจำนน,ยอมมอบตน ให้แก่อัลลอฮฺนั้นเพื่อแสดงจุดยืนของมุสลิมว่ามุสลิมนั้นยอมจำนนถวายชีวิตเพื่ออัลลอฮฺได้ไม่ใช่ ยอมพลีชีพเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งในอิสลามนั้นบุคคลที่ต้องปกป้องสุดชีวิตนั้นมีเพียง ท่านรอซูล เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้คือเป้าประสงค์ของคำว่ายอมจำนน,ยอมมอบตนเพื่ออิสลามเท่านั้น ซึ่งในอัลกุรอานได้กล่าวว่า ความว่า บรดดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเข้าไปอยู่ในอิสลามโดยทั้งหมดและจงอย่าตามก้าวเดินของไซยฏอน แท้จริงนั้นคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า (อัลกุรอาน ซูเราะห์ อัลบากอเราะฮฺ อายะ 208) ความว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺ อย่างแท้จริงเถิดและพวกเจ้าจงอย่าตายนอกจากเจ้าในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้น้อบน้อม (มุสลิม) เท่านั้น (อัลกุรอาน ซูเราะห์ อาลิอิมรอน อายะ 102) ซึ่งในอายะดังกล่าวจะสอดคล้องกับความหมายของอิสลามโดยตัวของมันเองอย่างชัดแจ้ง ประเด็นต่อมา การที่มนุษย์ในฐานะของเคาะลีฟะห์  ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าอัลลอฮฺ ได้ทรงให้มนุษย์ปกครองพื้นแผ่นดินในระบบของเคาะลีฟะห์ และเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องมีความประพฤติที่ดี มีความคุณธรรม มีความรู้ในเรื่องของศาสนาและเรื่องของดุนยาด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารบ้านเมืองบนพื้นแผ่นดินที่อัลลอฮฺทรงมอบให้มนุษย์ปกครองเพื่อจะได้เป็นบททดสอบของมนุษย์ว่าจะเมื่อพระผู้เป็นเจ้ามอบหมายให้มนุษย์ มนุษย์จะปกครองด้วยความยุติธรรมหรือไม่ สิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่นบีอาดัมจนถึงยุคสุดท้ายของโลก(วันกิยามะห์) ที่มนุษย์ได้ปกครองบริหารพื้นแผ่นดินด้วยความยุติธรรมและไม่ยุติธรรมบ้าง เมื่อเรารู้ว่าเคาะลีฟะห์นั้นคือ ผู้นำ เมื่อบุคคลใดขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์บรรดามนุษย์จะต้องเชื่อฟังในสิ่งที่เคาะลีฟะห์ให้กระทำแต่หากเคาะลีฟะห์ให้กระทำสิ่งใดที่ขัดต่ออิสลามเราสามารถที่จะไม่ทำตามคำสั่งของเขาได้ ซึ่งในประวัติศาสตร์อิสลามหลังจากที่ท่านนบีมูฮัมหมัดได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺนั้น อิสลามได้มีเคาะห์ลีฟะห์มากมายเหลือเกิน แต่เคาะลีฟะห์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเคาะลีฟะห์ที่มีคุณธรรมและมีคุณสมบัติที่อิสลามได้กำหนดนั้น มีเพียง 4 ท่านด้วยกัน คือ ท่านอบูบักร ท่านอุมัร ท่านอุษมาน ท่านอลี เป็นต้น ซึ่งทั้ง 4 เคาะลีฟะนี้นั้นได้รับการยอมรับจากโลกมุสลิมว่าเป็นผู้นำตัวอย่างที่มุสลิมจะต้องมีให้ได้ในโลกปัจจุบันนี้เพื่อให้ก้าวขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์บริหารปกครองพื้นแผ่นดินให้มีความยุติธรรมและขจัดสิ่งต้องห้ามต่างๆที่เกิดในปัจจุบัน ส่วนการได้มาของเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องได้มาโดย การเลือกตั้งมิใช่การแต่งตั้ง ซึ่งมีระบุในหะดีษของอิหมามมุสลิม บทที่ 33 หน้า 327 หะดีษบทที่ 1790  (ฉบับแปลไทย โดย จารึก เซ็นเจริญ และมุฮัมมัด พายิบ แปล) แต่ผู้เขียนจะไม่ยกตัวบทหะดีษเพราะตัวบทของหะดีษยาวซึ่งอาจจะไม่พอกับการเขียนในข้อเขียนนี้แต่หากไม่แน่ใจก็สามารถเปิดดูตามทีผู้เขียนได้บอกหลักฐานของตัวหะดีษได้ข้างต้น ประเด็นต่อมา การได้มาของเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้นเพราะอะไรหรือเพราะอัลลอฮฺ แต่งตั้งมนุษย์ที่เป็นมุมินเท่านั้นมนุษย์ที่ปฏิเสธความศรัทธา (กาฟิร) ไม่สามารถที่จะขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์อิสลามได้ จริงอยู่ที่มนุษย์เป็นเคาะลีฟะห์ แต่เงื่อนไขของการเป็นเคาะลีฟะห์นั้นจะต้องดำรงอยู่ในอิสลามและสามารถนำประชากรมุมินไปสู่แนวทางของอิสลามได้โดยปลอดภัย ต่อมา เมื่อสามารถหาบุคคลที่ขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะได้แล้วนั้น หากเคาะลีฟะห์เป็นบุคคลที่อยุธิรรมหรือทำให้บรรดาผู้ศรัทธาเกิดความขัดแย้งในอัลกุรกล่าวว่าเมื่อเจ้าเกิดความขัดแย้งจงกลับไปหาอัลลอฮฺและรอซูล นี่ !! แหละคือจุดยืนของอิสลามที่มีต่อระบบของเคาะลีฟะห์เมื่อมนุษย์เกิดความขัดแย้งกันจงกลับไปหาอัลลอฮฺและรอซูล จริงอยู่ที่อัลกุรอานกล่าว จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ เชื่อรอซูล และเชื่อฟังผู้นำ  แต่เมื่อเราเกิดความขัดแย้งต่อผู้นำอัลกุรอานสั่งให้เรากลับไป อัลลอฮฺและรอซูล อัลกุรอานไม่ได้บอกว่าให้กลับไปหาผู้นำ นี่แหละคือความประเสฐิของอัลกรุอานที่ถูกประทานลงมาเพื่อเป็นทางนำให้แก่มวลมนุษย์ชาติ และหากเราสังเกตสังคมปัจจุบัน มุสลิมเราในหมู่บ้านในตำบล เป็นต้น มีจำนวนไม่น้อยที่ก้าวขึ้นมาเป็น ผู้ใหญ่บ้าน นายก อ.บ.ต. เป็นต้น แต่เมื่อก้าวขึ้นรับต่ำแหน่ง แทนที่จะเป็นแบบอย่างให้แก่ประชาชนให้ท้องถิ่นกลับทำตัวงี่เง่า ไร้ประโยชน์  โกงบ้านโกงเมือง ซึ่งเมื่อเรามองดูข้างต้น นากยก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ล้วนเปรียบเสมือนเคาะลีฟะห์หน่วยเล็กๆที่จะพัฒนาก้าวขึ้นไปเป็นเคาะลีฟะห์ของอิสลามได้ แต่กลับทำตัวไม่ได้เรื่องจนไม่สามารถพัฒนาอิสลามไปเจริญก้าวหน้าสวนทางกลับกันมัวทำให้อิสลามกลับตกต่ำลงไปทุกที สิ่งนี้แหละทีเราต้องช่วยกันพัฒนาการเป็นเคาะลีฟะห์ ปลูกฝังจิตวิญญาณของอิสลามตั้งแต่เยาวชนเพื่ออนาคตข้างหน้าเราจะได้มีเคาะลีฟะห์ของคนต่อไปให้จงได้ ท้ายนี้การที่มุสลิมจะก้าวขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะห์นั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้อง มอบ ตนให้แก่อัลลอฮฺและยอมจำนนในสิ่งที่อิสลามได้บอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีในอิสลามและสามารถนำบรรดามุนมินไปสู่ความสัจธรรมที่เป็นจริง เหมือนคำที่ว่านี้คือ เมื่อความจริงมาปรากฏความเท็จย่อมมลายหายสิ้นไป             เขียนโดย เพื่อนอิสลาม อัซซาบิกูน ที่ 12:22 0   แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 55 00:06:06 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 55 00:00:28 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 23:52:28 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 23:52:02

ความคิดเห็นที่ 39 หลังจากการเปลี่ยนท่าที ผมนึกว่าจะมีข้อมูลลึกและกว้างกว่านี้ให้สมกับชื่อกระทู้ ถ้าหมดแค่นี้ก็น่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เรียนรู้สังคมมุสลิมจากภายใน ของกลุ่ม อัซซาบิกูน แบบผิวๆ" มากกว่านะครับ จขกท. จากคุณ : laliklalee เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 55 10:19:25