ความคิดเห็นที่ 1 ข้อความ ที่หน้า ๕๒ ฯลฯ ตอบว่า   ข้าพเจ้าเห็นว่า จะเป็นอรรถกถา  ที่ขบพระพุทธภาษิตไม่แตกแล้ว  ก็เลยถือตามกันมา จึงมีทางคัดค้านได้   ไม่ คมคายชัดเจน เหมือนที่แสดงแก่พระสารีบุตร ซึ่งจะไม่มีทางคัดค้านได้  หมายถึง กิเลสนิพพานโดยตรง (แล้วจะเสนอ ข้อความหน้า ๕๑ ฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 07:06:02

ความคิดเห็นที่ 2 หน้า ๕๑ ถามว่า    ตามที่ข้าพเจ้าฟังมาว่า   สอุปาทิเสสนิพพานนั้น (ไม่มีคำว่า "ธาตุ" ต่อท้าย "สอุปาทิเสสนิพพาน" --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) ได้แก่พระอรหันต์ที่ยังมีฃีวิตอยู่ อนุปาทิเสสนิพพาน (ไม่มีคำว่า "ธาตุ" ต่อท้าย "อนุปาทิเสสนิพพาน" --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง)นั้น   ได้แก่พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว (นิพพาน ตรงนี้คือ  นิพพานหลังจากตายแล้ว --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) ถ้าเช่นนั้น ท่านคงหมายถึงเศษนามรูป เนื้อแลกระดูกที่เหลืออยู่นี้เอง ตอบว่า         ไม่ใช่ ถ้าเศษเนื้อกระดูกที่หมดแล้วว่าเป็น อนุปาทิเสสนิพพาน เช่นนั้นใครๆ ตาย ก็คงเป็นอนุปาทิเสสนิพพานได้เหมือนกัน เพราะเนื้อแลกระดูกชีวิตจิตใจก็ต้องหมดไปเหมือนกัน ถามว่า   ถ้าเช่นนั้น นิพพานทั้ง ๒ อย่างนี้ (ไม่ใช่ นิพพานธาตุ ๒  ตามที่ตรัส  ที่มีคำ  "ธาตุ"  ต่อท้าย --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) จะเอาอย่างไหนเล่า? ตอบว่า    เรื่องนี้มีพระพุทธภาษิต  ตรัสอนุปาทิเสสติพพานแก่พระสารีบุตร ในอังคุตรนิกาย นวกนิบาต  หน้า ๓๑ ความสังเชป ว่า วันหนึ่งเป็นเวลาเช้าพระสารีบุตรไปเที่ยวบิณฑบาต มีพวกปริพพาชกพูดกันว่า  ผู้ที่ได้บรรลุสอุปาทิเสสนิพพาน ตายแล้วไม่พ้นนรก กำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบายทุคติวินิบาต  ครั้นพระสารีบุตรกลับจากบิณฑบาตแล้ว  จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  กราบทูลถามตามเนื้อความที่พวกปริพพาชกเขาพูดกันอย่างนั้น  (ซึ่ง ผิด  เพราะ ยังมี อวิชชา --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง)  พระผู้มีพระภาค (จบความหน้า ๕๑) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 09:34:40

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อความจากหน้า ๕๑ หน้า ๕๒ ตรัสว่า  สอุปาทิเสสบุคคล ๙ จำพวก  (ตรัสคำว่า บุคคล  ต่อท้าย สอุปาทิเสส --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) คือ พระอนาคามี ๕ จำพวก  (ดู อานิสงส์ ๗ อย่างของอานาปานสติ  คือ บรรลุอรหัตตผลทันที หรือไม่เช่นนั้น บรรลุอรหัตตผลในกาลมรณะ  หรือไม่เช่นนั้น บรรลุ อนาคามี ๕ ชื่อ  --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) พระสกิทาคามี จำพวกหนึ่ง พระโสดาบัน ๓ จำพวก ตายแล้ว  (อะไร ตาย ? กำหนด ตาม สัมมาทิฏฐิ ๒ ด้วย --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) พ้นจากนรก กำเนิดดิรัจฉาน เปตรวิสัย อบายทุคติวินิบาต   (ดู อัสสุตวตาสูตร   กายนี้ประกอบด้วยมหาภูติธาตุ ๔ อันตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง  มโนบ้าง  วิญญาณบ้าง --- ที่ ตายแล้ว  จาก  สังโยชน์ ๑๐  ตามภูมิธรรมนั้นๆ  คือขั้น พระอนาคามี สกิทาคามี พระโสดาบัน  --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) ธรรมปริยายนี้ (สอุปาทิเสสบุคคล ๙ จำพวก  กับ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ - อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ) ยังไม่แจ่มแจ้ง แก่ภิกษุ  ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา  (ครั้งพุทธกาล  ก่อน มี อรรถกถา วิสุทธิมัคค์ อภิธัมมัตถสังคหะ สอุปาทิเสสบุคคล ๙ จำพวก --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) เลย เพราะได้ฟังธรรมปริยายนี้แล้ว  จะประมาท  (ฟัง สอุปาทิเสสบุคคล ๙ จำพวก --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) แล ธรรมปริยายนี้  เราแสดงด้วยความประสงค์ จะตอบปัญหาที่ถามใน สอุปาทิเสสสูตร นี้ (สูตร คือ  ว่าด้วย สอุปาทิเสส --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) ไม่ได้ตรัสถึงอนุปาทิเสส  (บุคคล  ว่ามีกี่ จำพวก  --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) แต่พอสันนิษฐานว่า  (พระอาจารย์มั่น  ท่าน สันนิษฐานกระมัง  --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) อนุปาทิเสส  คงแสดงเป็นส่วนของพระอรหันต์ (ความต่อจากนี้  อ่าน ที่ กระทู้) คือ ข้อความข้างล่าง ********************************************************* ถามว่า  ถ้าเช่นท่านก็หมายความถึง สังโยฃน์ คือกิเลสที่ยังมีเสษเหลืออยู่ว่า เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน  (ไม่มีคำว่า "ธาตุ" ต่อท้าย "สอุปาทิเสสนิพพาน" --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) ส่วนสังโยชน์ที่หมดแล้วไม่มีส่วนเหลืออยู่ คือ พระอรหันต์ ว่าเป็น อนุปาทิเสสนิพพาน (ไม่มีคำว่า "ธาตุ" ต่อท้าย "อนุปาทิเสสนิพพาน"--- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) ตอบ   ถูกต้อง ถามว่า   ถ้าเราพูดอย่างนี้ คงไม่มีใครเห็นด้วย  คงว่าเราเข้าใจผิด  ไม่ตรงกับเขา   เพราะเป็นแบบสั่งสอนกันอยู่โดยมากว่า   สอุปาทิเสสนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่   อนุปาทิเสสนิพพานของพระอรหันต์ที่นิพพาน (ตายเข้าโลง -- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) แล้ว? ตอบว่า   ข้าพเจ้าเห็นว่า จะเป็นอรรถกถา  ที่ขบพระพุทธภาษิตไม่แตกแล้ว  ก้เลยถือตามกันมา  (ดูนิพพานธาตุ ๒  ที่ตรัส -- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) จึงมีทางคัดค้านได้   ไม่ คมคายชัดเจน เหมือนที่แสดงแก่พระสารีบุตร (ตามที่ปรากฎในหน้า  ๕๑) ซึ่งจะไม่มีทางคัดค้านได้  หมายถึง กิเลสนิพพานโดยตรง (เย็น เพราะ สัมมาวิมุตติ -- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 09:48:03

ความคิดเห็นที่ 4 ระวังเดี๋ยวนี้มีหนังสือที่แต่งเองแล้วไป"ยัดใส่ปาก"ครูบาอาจารย์ ?  ...ยุคนี้ มีหนังสือแปลกๆออกมามากมาย  ซึ่งสมัยก่อนไม่เคยเห็น  เพิ่งโผล่มาในไม่กี่ปีนี้ มากผิดสังเกต  ... ซึ่งเป็นหนังสือที่อ้างว่าหลวงปู่ครูบาอาจารย์ได้เทศนาไว้ หรือทำนายไว้  อย่างนั้นอย่างนี้ ... ...คาดว่า มีคนบางคน อยากจะเสนอแนวคิดของตนเอง แต่เพราะตนเองไม่มีเครดิตทางธรรมะมาก่อน  จึงเอาแนวคิดนี้ไปแต่งเรียบเรียงขึ้นมา  แล้วอ้างว่า  นั่นเป็นคำสอนของครูบาอาจารย์   ..ซึ่งครูบาอาจารย์ที่โดนพวกนี้ "ยัดใส่ปาก" (ขอโทษขออนุญาตใช้คำที่มองเห็นภาพชัดๆ  แต่ไม่ใช่ขาดความเคารพใดๆ) มักจะเป็นหลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในอดีตที่ล่วงลับไปแล้ว  เช่น  หลวงปู่มั่น  หลวงพ่อฤาษีลิงดำ  ฯ เป็นต้น ...กรุณาคลิกดูลิ้งค์ข้างล่างนี้ ซึ่งเกี่ยวกับการสนทนาธรรมระหว่างหลวงปู่มั่นกับพระธรรมเจดีย์(จูม) แล้วดูที่ข้อสังเกตของคนที่มาคอมเม๊นต์ที่ใช้ชื่อว่า  ธัมมนัตา   ซึ่งตั้งข้อสังเกตได้ดีมาก  โดยส่วนตัวผมก็มีความเห็นตรงกับที่ ธัมมนัตา  ให้คอมเม๊นต์มานั่นแหละ   (และผมก็ไม่เชื่อว่านั่นคือการสนทนาธรรมกันระหว่างหลวงปู่มั่นกับเจ้าคุณธรรมเจดีย์จริงๆ  เพราะลักษณะการสนทนา และการใช้ถ้อยคำแบบตำราแบบนั้น คงไม่ใช่ลักษณะของพระป่าในยุคนั้นแน่ๆ แทบจะฟันธงได้เลย)... ...ขอให้ทุกๆท่าน พึงระวังหนังสือหรือบทความทำนองนั้นด้วย ลิ้งค์  http://board.palungjit.com/f63/หลวงปู่มั่นสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์-217239.html (ใครช่วยทำเป็นภาพให้ที  หน้านั้นทั้งหมดของลิ้งค์ข้างบน   ..ผมทำไม่เป็น) แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 54 13:35:26 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 54 13:02:04 จากคุณ : โขตาน  เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 12:55:56 http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/11/Y11390878/Y11390878.html จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 14:52:33

ความคิดเห็นที่ 5 คง ประมาณว่า เขา ก็ นำมา ประดิษย์ ประดอยใหม่ ทำให้ อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ทำให้ อ่านแล้ว เนียนขึ้น หรือเปล่า ครับ เพราะ ถ้า เอามา แบบ ดุ้นๆ เลย ก็กลัวว่า คน อ่านจะไม่เข้าใจ เป็น แบบ นี้ ได้หรือเปล่า ครับ ------------------------------------------------------------ เห็น บาง ตำรา ก็ อ้าง ว่า อย่างนี้ กัน มาก นะครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 16:05:01

ความคิดเห็นที่ 6 คคห 4 เสนอ แบบที่เสนอแล้ว จะ ไม่ เสนอ  อื่น ไปจากที่เสนอแล้ว "บ้างหรือ?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 22:19:56

ความคิดเห็นที่ 7 คคห 5 เสนอ แบบที่เสนอแล้ว จะ ไม่ เสนอ  อื่น ไปจากที่เสนอแล้ว "บ้างหรือ?" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 22:20:27

ความคิดเห็นที่ 8 หนังสือเล่มที่ผมได้มา (๓ เล่มฟรีๆ  ผู้ให้บอกว่าทำบุยเล่มละ 20 บาท  จากความจำ)  นี้ (๑) ไม่อ้างอิง  ที่มา หรือหลักฐานว่า "ภิกษุทั้งสองท่าน แสดงธรรมไว้ที่ไหน เมื่อไหร่" ฯ (๒) นำเสนอโดย "ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม" (๓) ธรรมสภา --- น่าจะอยู่ที่แถวๆ ถนนปิ่นเกล้าฯ เกือบถึงพุทธมณฑล ส่วนสถาบันบันลือธรรม ไม่ทราบที่ตั้งของสถาบันฯ ประเด็นกระทู้  "ไม่มี" แค่ เสนอ เป็น ข้อมูลฯ ว่า  "พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต   ตอบ ปัญหาธรรม" ไว้ อย่างไร? จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 22:28:38

ความคิดเห็นที่ 9 ทีนี้ (๑) ยก บุคคลคือ ""พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต "  กับ "พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ไว้เสีย ฯ (๒) พิจารณา "ธรรมะ  ที่ ปรากฎนั้น" ว่า ----- สอดคล้องกับ "หลักฐานปฐมภูมิ"  คือ "พระบาลีพุทธภาษิตในไตรปิฎก"   หรือไม่อย่างไร? ก็จะสอดคล้องกับ " ธรรม วินัย  ที่ตถาคตแสดงบัญญัติไว้ดีแล้ว  จักเป็นศาสดาของพวกเธอในกาลที่เราล่วงไปแล้ว" (มหาปรินิพพานสูตร) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 22:34:13

ความคิดเห็นที่ 10 คคห หลังไมค์ ดังนี้ -------------------------------------------------------------------------------------------- 1. สอุปาทิเสสบุคคล ๙ จำพวก ก็คือ พระเสขะ (แต่ละประเภท) ที่ยังคง กำจัด/ทำลายสังโยชน์ (ฉันทราคะ ในเบญจขันธ์) ได้ไม่หมด นั่นเอง … พิจารณา  จาก คคห 2 ตอบว่า    เรื่องนี้มีพระพุทธภาษิต  ตรัสอนุปาทิเสสติพพานแก่พระสารีบุตร ในอังคุตรนิกาย นวกนิบาต  หน้า ๓๑ และ พิจารณา  จาก จูฬสุญญตสูตร ด้วย "ยถาภูตสัมมัปปัญญา" ของท่านเอง ส่วน จะ สอดคล้อง ตรงกับ ที่ผม "รู้หมาย+รู้สึก" (ด้วยอะไรก็ตาม)  หรือไม่นั้น                      --- อย่าเอามาเป็นประมาณ เพื่อความไม่ประมาท ---- เพราะ "พระบรมศาสดา ยังทรงยังอยู่" = ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ฯ ********************************************************** 2. - ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๗/๙๓. เข้าใจว่า พระพุทธวจนะ ท้ายพระสูตร ตรัสถึง สภาพจิต ๒ ลักษณะ และเนื่องกับ นิพพานธาตุ ๒ ลักษณะ ด้วย ใช่หรือไม่ ? - เพราะเป็นจิตที่ดำรงอยู่ จิตจึง ยินดีร่าเริงด้วยดี ^^ สภาพจิตแบบสอุปาทิเสสนิพานธาตุ เวทนายังไม่ดับเย็น (ความสิ้นไปแห่งกิเลส ๓ สมบูรณ์แล้ว) หลังจากนั้น ... เมื่อเวทนา ของ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ไม่เพลิดเพลินแล้ว … vvvv - เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตจึง ไม่หวาดสะดุ้ง ; เมื่อไม่หวาดสะดุ้ง ย่อม ปรินิพพาน (ดับรอบ) เฉพาะตน นั่นเทียว. ^^ สภาพจิตแบบอนุปาทิเสสนิพานธาตุ เวทนาดับเย็นสนิท                                         ข้อ 1 ^^^ นี้ พิจารณา  จูฬสุญญตสูตร  (สำนวนแปลใดนั้นเอง  เช่น ของมหาจุฬาฯ ฯ) พิจารณา  "ที่ตรัส" -- อตัมมยตา ไว้ ในพระสูตรนั้น พิจารณา  "ฯลฯ   เมื่อ จุตูปปาตะไม่มี (ทิฏฐิ ตัณหา ไม่อาสัยแล้ว  และ อาการ คือ --- ยังมีจิตอนุเสติในสิ่งใด  ก็ นิโรธแบบ อกุปปะ แล้ว) อะไรๆ ก็ไม่มีในโลกนี้  (อะไรๆ ก็) ไม่มีในโลกอื่น  (อะไรๆ ก็)  ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ (อริยสัจ  และ ไตรลักษณ์แบบของพระพุทธเจ้าด้วย) (เอเส วันโต  ทุกขัสสะ)                                       ดังนั้น (ทำไม ไม่ เพ่งเองว่า) สอุปาทิเสสนิพพานบุคคล  อนุปาทิเสสนิพพานบุคคล ก็ดี สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ  อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ  ก็ดี ล้วน เนื่องกับ "พระอรหันต์  ตาม จูฬสุญญตสูตร"  เป็นต้น                                             สรุป ข้อที่ 2 เมื่อ ท่าน  เพ่ง โดยรอบด้านอย่างทั่วถึง (สันทัสเสตัพพะ / จากความจำ) + เพ่ง ถึงใจความในด้ายลึก "ด้วย ยถาภูตสัมมัปปัญญา  ไม่ขัดกับ กาลามสูตร" (โอสาเรตัพพะ) สิ่งที่ท่านถาม --- ท่าน จะ "รู้หมาย + รู้สึก"  ได้เอง  + ไม่ประมาทด้วย ว่า  สอดคล้อง ตรงตาม ที่ตรัสไว้ หรือไม่   ส่วน จะ สอดคล้อง ตรงตาม "ที่ผม" รู้หมาย+รู้สึก" (ด้วยอะไรก็ตาม)  หรือไม่นั้น                      --- อย่าเอามาเป็นประมาณ เพื่อความไม่ประมาท ---- จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 08:47:21

ความคิดเห็นที่ 11 3. นิสสรณิยธาตุ ๓ ประการ คือ เนกขัมมะ อารุปปะ นิโรธ เนกขัมมธาตุ > ธรรมฝ่ายสังขตะ เป็นธรรมที่สลัดออกซึ่งกาม ยังต้องอาศัย นิโรธธาตุ เพื่อความพ้นไป                        ข้อความที่ น่าจะรัดกุมยิ่งกว่า ที่เสนอข้างบน  น่้าจะดังนี้ เนกขัมมธาตุ > ธรรมฝ่ายสังขตะ เป็นธรรมที่สลัดออกซึ่งกาม คือ สังกัปปราคะ (ตามนิพเพธิกสูตร) ยังต้องอาศัย "ทางสายกลางอันเป็นอริยะ" เป็น คู่มือ" คือเหตุ  นำไปสู่ ผล คือ วิมุตติ ความหลุดพ้น --- หรือ -- เพื่อ ออกไปพ้น (โดยภาษาฯ) ส่วน นิโรธธาตุ --- เป็น อสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือ ธรรมที่ พ้นไปจาก สังขตธรรมทั้งปวง ไม่ปรุงแต่งอะไรๆ  รวมทั้ง ตัวมันเอง (อนัตตา) ********************************************************** อรูปธาตุ > ธรรมฝ่ายสังขตะ เป็นธรรมให้ก้าวล่วงรูปทั้งหลาย ยังต้องอาศัยนิโรธธาตุ เพื่อความพ้นไปอรูปธาตุ ข้อนี้ (อรูปธาตุ)  ก็ ทำนองเดียวกับ "เนกขัมมธาตุ) อรูปธาตุ > ธรรมฝ่ายสังขตะ เป็นธรรมให้ก้าวล่วงรูปธาตุ (โดยเฉพาะ ทางมนายตนะ  ที่เนื่องกับ สมาธิที่สูงกว่าสามัญธรรมดา) ทั้งหลาย ยังต้องอาศัย "ทางสายกลางอันเป็นอริยะ" เป็น คู่มือ" คือเหตุ  นำไปสู่ ผล คือ วิมุตติ ความหลุดพ้น --- หรือ -- เพื่อ ออกไปพ้น (โดยภาษาฯ) ส่วน นิโรธธาตุ --- เป็น อสังขตธาตุ อสังขตธรรม คือ ธรรมที่ พ้นไปจาก สังขตธรรมทั้งปวง ไม่ปรุงแต่งอะไรๆ  รวมทั้ง ตัวมันเอง (อนัตตา) ********************************************************** นิโรธธาตุ > ธรรมฝ่ายอสังขตะ เพราะเป็นธรรมที่ระงับธรรมฝ่ายสังขตธรรมทั้งปวง                             ข้อนี้  พิจารณา  ให้ ทั่วถึง ฯ เช่น พิจารณา --- มี นิืโรธธาตุ  (พิจารณาตามจูฬสุญญตสูตร ที่ตรัสว่า สิ่งที่มีอยู่ นี้มีอยู่)                                                 ส่วนที่ตรัสว่า นั่นสันติ(เอตัง สันตัง)   นั่นประณีต (เอตัง ปณีตัง) ได้แก่ (ยทิทัง) "สัพพ สังขาร สมโถ สัพพูปธิ  ปฏินิสัคโค   ตัณหักขโย  (นิพพาน คือ เย็น หรือ ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะโมหะ  เพราะ ตัณหานิโรธ  ไวพจน์นิพพาน คำหนึ่งใน ๓๒ คำคือ ตัณหักขโย  จากความจำ) วิราโค  (วิราคะ ไวพจน์หนึ่งของ นิพพาน) นิโรโธ  (ปฏิจจฯสาย สมุทโย  ดับไม่เหลือ  เพราะ อวิชชาดับ ฯ) นิพพานัง (นิพพานธาตุ ๒)      ธรรมข้างบน  กับ  นิืโรธธาตุ (นิสสรณฺยธาตุ)-------  อย่างไร? --- แน่ ? (แน่ ด้วย ปัญญาขั้นไหน?)                        ท่าน ต้อง พิจารณาเอง ด้วยความไม่ประมาท จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 09:09:00

ความคิดเห็นที่ 12 รบกวนครูช่วยตรวจสอบความเข้าใจและความถูกต้องด้วย ... ---------------------------------------------------------------------------------------------                          ขอคารวะ ที่ท่าน ยกย่องผม ในฐานะ ครู                                                    แต่ จะอนุโมทนายิ่ง ถ้าท่าน ไม่ยึดมั่น "ครู"  เพราะ "บรมครู ของเรา  ยังทรงยังอยู่" ขอให้ เอา เยี่ยง พระสารีบุตร  ที่รับใช้ บรมครู  หรือ พระศาสดาของท่าน  ในขณะที่  แสดงความไม่ยึดมั่น "ครูแห่งพุทธวงศ์" ของท่าน คือ พระอัสสชิ  ที่ คือ พุทธทาส ของพระบรมศาสดา  ด้วยการ ไม่นอนหันเท้าไปยังทิศที่ ครูของท่าน  รับใช้พระบรมศาสดาอยู่ ---------------------------------------------------------------------------------------------                                              สรุป ความถูกต้อง  ของ "บุคคล" ใดๆ  --- ย่อม ต้องสอดคล้องกับ "สอุปาทิเสสบุคคล ๙ จำพวก"  + อนุปาทิเสสบุคคล ๑"  (กำหนด ตาม อัสสุตวตาสูตร)  มิใช่หรือ ครับ                                หรือ  ถูกต้องตามที่ตรัสไว้ว่า"             ธรรม วินัยที่แสดงบัญญัติไว้ดีแล้ว  จักเป็นศาสดาของพวกเธอฯ (นั่นเอง) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 09:20:45

ความคิดเห็นที่ 13 ตามความเข้าใจผม ตอนนี้ นะครับ สอุปาทิเสสบุคคล    --  คนที่ยังมี อุปาทาน อนุปาทิเสสบุคคล -- คน(หรือเปล่า) ที่ ไม่มี อุปาทาน สอุปาทิเสสนิพพาน  -- นิพพาน(นิพาน คือ เย็น เพราะไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ ) ที่ยังมี อุปาทาน อนุปาทิเสสนิพพาน -- นิพพาน ที่ไม่มี อุัปาทาน จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:24:51

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องนี้มีพระพุทธภาษิต  ตรัสอนุปาทิเสสติพพานแก่พระสารีบุตร ในอังคุตรนิกาย นวกนิบาต  หน้า ๓๑ ------------------------------------------------------------------------------------------ (เพิ่ง) ดูใน พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มสีฟ้า เล่มที่ ๒๓ (มาเมื่อบ่ายนี้)                                      จากความจำ บุคคล (ตามที่ลัทธิอื่นกล่าวถึง) สอุปาทิเสส (นั้น ตามพุทธปัญญา ที่ตรัสแก่พระสารีบุตรทรงกำหนดไว้) ๙ จำพวก คือ พระอนาคามี ๕ จำพวก  (ดู อานิสงส์ ๗ อย่างของอานาปานสติ  คือ บรรลุอรหัตตผลทันที หรือไม่เช่นนั้น บรรลุอรหัตตผลในกาลมรณะ  หรือไม่เช่นนั้น บรรลุ อนาคามี ๕ ชื่อ  --- ความในวงเล็บตรงนี้ผม เสนอเอง) พระสกิทาคามี จำพวกหนึ่ง พระโสดาบัน ๓ จำพวก ^^^^ ข้างบน ล้วนเนื่องกับ "มรรค ๔ ผล ๔"  คือ อนาคามิมรรค ผล  ๕ / พระสกิทาคามี ๑ / พระโสดาบัน ๓ กำหนด  ที่ "กายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูตธาตุ ๔  อันตถาคตเรียกว่า  จิตบ้าง  มโนบ้าง   วิญญาณบ้าง" (อัสสุตวตาสูตร) หรือ คือ "บุรุษนี้ประกอบอยู่ด้วยธาตุทั้งหลาย ๖ ประการ" คือ --- สอุปาทิเสสบุคคล กับ  อนุปาทิเสสบุคคล ----- นั่นเอง (ใช่หรือไม่?  พิจารณาเอง) ^^^^ บุคคล คือ " "กายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูตธาตุ ๔  อันตถาคตเรียกว่า  จิตบ้าง  มโนบ้าง   วิญญาณบ้าง" (อัสสุตวตาสูตร)"   จึงเนื่องกับ "สอุปาทิเสส"  ๙  ประเภท                           ทั้งหมด (น่าจะ) เนื่องกับ คคห 3  ตามที่อ้างฯ -------------------------------------------------------------------------------------------- ส่วน นิพพานธาตุธาตุ ๒  คือ  สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ  กับ  อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ตรัสไว้อีกพระสูตรนั้น (นิพพานธาตุธาตุ ๒ ) ล้วนเนื่องกับ  พระอรหันต์ (บุคคล)   ซึ่ง พระอรหันต์ (ที่เนื่องกับ นิพพานธาตุ ๒) ตามที่ตรัสนั้น   "อดีต" (ดูอานิสงส์ ๗ ประการของอานาปานสติ ตาม คคห 3) ก็ คือ พระอนาคามี ๕ จำพวก   --- ที่ ผ่าน สกิทาคามี ๑  และ ผ่าน โสดาบัน ๓  มาแล้ว  (กำหนดที่ อัตตภาพหนึ่งนั้น) **********************************************************                                         ดังนั้น ที่ คคห 13 เสนอ สอุปาทิเสสนิพพาน "ธาตุ"  -- นิพพาน(นิพาน คือ เย็น เพราะไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ ) ที่ยังมี อุปาทาน ---- จึง ไม่ ถูกต้อง  กระมัง อนุปาทิเสสนิพพาน "ธาตุ" -- นิพพาน ที่ไม่มี อุัปาทาน ---- จึง ไม่ ถูกต้อง  กระมัง ********************************************************** จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:58:52

ความคิดเห็นที่ 15 ตามที่ คคห 13 เสนอ สอุปาทิเสสนิพพาน "ธาตุ"  -- นิพพาน(นิพาน คือ เย็น เพราะไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ ) ที่ยังมี อุปาทาน ---- จึง ไม่น่าจะ ถูกต้อง  กระมัง อนุปาทิเสสนิพพาน "ธาตุ" -- นิพพาน ที่ไม่มี อุัปาทาน ---- จึง ไม่น่าจะ ถูกต้อง  กระมัง จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:59:26

ความคิดเห็นที่ 16 นิพพาน เป็น ขณะ ตามที่ ท่่าน พุทธทาส เคยเสนอ ไว้ (จากความจำ) เป็น อย่างไร ครับ ไม่แน่ใจว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือเปล่า ครับ --------------------------------------------------------------------- ก็  ตอนที่ จิตนี้ พ้น วิเศษ จาก ราคะ โทสะ โมหะ  แต่ ยังมี อุปทาน ได้ ไม่ใช่หรือครับ จึง กลับไปมี ราคะ โทสะ โมหะ อีก แต่ การที่ ไม่ที ราคะ โทสะ และ โมหะ แล้ว ก็ ไม่เกิด อุปทาน ขึ้นอีก ก็ เลยไม่กลับไปมี ราาะโทสะโมหะ อีก เลย เพราะ ไม่มี อุปทาน เพราะ ไม่มีอะไร จุงใจได้แล้ว ---------------------------- ก็ พระ โสดาบัน สกิทาคามี และ อนาคามี นั้น ไม่มี อุปทาน แล้ว อย่างนั้น หรือครับ แล้ว พระ อรหันต์ นั้น ยังมี อุปทาน อย่างนั้น หรือครับ จากคุณ : a235 เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 14:29:36

ความคิดเห็นที่ 17 คคห 16 นิพพาน เป็น ขณะ ตามที่ ท่่าน พุทธทาส เคยเสนอ ไว้ (จากความจำ) เป็น อย่างไร ครับ ไม่แน่ใจว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือเปล่า ครับ --------------------------------------------------------------------- ท่านพุทธทาสแปล  พระสูตร ที่ตรัสแก่ ภิกษุทั้งหลาย ทรง ตอบ ปัญหาของจอมแห่งเทวดา ท้าวสักกะ  ที่โลกมนุษย์ เขาคิฌชกูฎ ฯ ที่ทูลถาม ปัญหาธรรมะ ในธรรมวินัยของพระองค์ คือ เรื่อง ----- "ปรินิพพานในทิฏฐธรรม" (ทิฏฐธรรมนิพพาน  มั๊ง)                                              แปลพระสูตรนั้นไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้มี อุปาทาน ---- ตามคำว่า วิญญาณัง โหติ ตทุปาทานัง - วิญญาณอันตัณหาในอารมณ์คือรูป เป็นต้น อาศัยแล้ว--- ย่อมไม่ ปรินิพพานในทิฏบธรรม (นิพพานคือเย็นจากตัณหาฯ รอบคือปริ --แปลว่า ? ค่อย ว่ากัน) ********************************************************** นิพพาน เป็น ขณะ ตามที่ ท่่าน พุทธทาส เคยเสนอ ไว้ (จากความจำ) เป็น อย่างไร ครับ                 ก็ ตาม  ที่ ท่านพุทธทาสแปล  พระสูตรข้างบนนั้น  มั๊งครับ ดู พระบาลี --- สูตรที่ ๑  โลกกามคุณวรรค สฬายตนสังยุตต สฬาฯ สํ ๑๘/๑๒๘/๑๗๘ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 55 07:37:46

ความคิดเห็นที่ 18 ก็  ตอนที่ จิตนี้ พ้น วิเศษ จาก ราคะ โทสะ โมหะ  แต่ ยังมี อุปทาน ได้ ไม่ใช่หรือครับ จึง กลับไปมี ราคะ โทสะ โมหะ อีก -------------------------------------------------------------------------------------------- กิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ อุปกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ (จูใทุกขันธสูตร) ตกลง คำนำหน้า "ราคะ โทสะ โมหะ"  คือ กิเลส  - อุปกิเลส  (ดุจอาคันตุกะจรมานั้น) ---- น่าจะ เนื่องกับ  "อุปาทาน  กับ  อุปธิ"  ---- เช่น แต่ ยังมี จิต อนุเสติในสิ่งใด (ตามที่ตรัสตอบท้าวสักกะ) สิ่งนั้น  ย่อมเป็นอารมณ์เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ   เมื่ออารมณ์มีอยู่ (ให้ จิตที่ยังอนุเสติ -- อนุเสติ คือ ขณะแห่งอาการที่ จิตปักฝังลงไป ใน อารมณ์นั้น คือ รูป เสียง ฯ ---- ( วิญญาณนั้นคือ อุปาทาน มั๊ง) ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี ----  (วิญญาณนั้นคือ อุปาทาน มั๊ง) เพราะมี วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมี นามรูป  (ใหม่  ที่ ต่อมาจาก นามรูป ที่ ยังมี จิต อนุเสติในสิ่งใด  มั๊ง) เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย  จึงมี สฬายตนะ (ใหม่  ที่ ต่อมาจาก นามรูป ที่ ยังมี จิต อนุเสติในสิ่งใด  มั๊ง) เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย  จึงมี ผัสสะ (ผัสสะ ๒ ใหม่  ที่ เป็นปัจจัยให้ มี เวทนาขึ้น  และ วิญญาณใหม่ ก็ ตั้งอยู่ที่ เวทนานี้ ดู วิญญาณบิติ ๔) เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย  (โดยยังไม่ต้อง มีผัสสะ ก็ได้) จึง มี เวทนา (ยังไม่ต้อง  มีเวทนาก็ได้ --- เพราะ นี้คือ  กฎอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปาโท  ตาม พุทธศาสตร์ ที่ทรง ตั้งขึ้น หลัง ตรัสรู้ (ด้วยพุทธวิชชา) เพราะ ปริวิตก ปฏิจจสมุปบาท สายเกิด สายดับ --------------------------------------------------------------------------------------------- --- โดยยังไม่ต้อง มีผัสสะ ก็ได้ --  หมายถึง --- การ ตามดู ตามเห็น อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ด้วย  ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ของพระอรหันต์ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ---  ด้วย  อานาปานสติ  ที่สมบูรณ์แล้ว  ที่เนื่องกับ สติปัฏฐานทั้งสี่ที่สมบูรณืแล้ว  --หรือ คือ สัมมาญาณะ ตามสัมมัตตะ ๑ๆ ข้อที่ ๙  (มั๊ง) -------------------------------------------------------------------------------------------- เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย  จึงมี ตัณหา  (ได้แก่ สมถะด้วย วิปัสสนาด้วย --กำลัง  เห็นแจ้ง ตรงตามที่ตรัสว่า --- วิญญาณอันตัณหาในอารมณ์ คือ เวทนา กิริยาที่รู้สึกได้ (ยังไม่ต้องเลยไปยัง รู้สึกต่อสิ่งเร้าฯ  รวมทั้ง ) ที่มีอยู่ในขณะนั้นๆ ต่อ รูป  เสียง ฯ ธัมมารมณ์  วิญญาณ นั้น คือ อุปาทาน ----  เห็น  ทุกข์อริยสัจ ขันธ์ คือ วิญญูปาทานักข์ ----- ตามด้วย เห็น อนิจจัง   ทุกขัง  อนัตตา ฯลฯ สรุป ก็  ตอนที่ จิตนี้ พ้น วิเศษ จาก ราคะ โทสะ โมหะ  แต่ ยังมี อุปทาน ได้ ไม่ใช่หรือครับ (คง) ใช่ ในขั้น  พระโสดา สกิทาคา  อนาคา จึง กลับไปมี ราคะ โทสะ โมหะ อีก จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 55 08:23:51

ความคิดเห็นที่ 19 แต่ การที่ ไม่ที ราคะ โทสะ และ โมหะ แล้ว ก็ ไม่เกิด อุปทาน ขึ้นอีก ก็ เลยไม่กลับไปมี ราาะโทสะโมหะ อีก เลย เพราะ ไม่มี อุปทาน เพราะ ไม่มีอะไร จุงใจได้แล้ว ---------------------------- ก็ พระ โสดาบัน สกิทาคามี และ อนาคามี นั้น ไม่มี อุปทาน แล้ว อย่างนั้น หรือครับ ^^^^ ไม่มีอุปาทาน  ขั้น อกุปปะ  (แต่ยังมี อุปธิ) จึง ยังมี อุปาทานกลับกำเริบใหม่ ได้อีก ๗ ครั้ง (โสดา)  ๕ ครั้ง อนาคา  "มั๊งครับ" แล้ว พระ อรหันต์ นั้น ยังมี อุปทาน อย่างนั้น หรือครับ ^^^^ ไม่มีอุปาทานถาวร (อกุปปะ)  ไม่มี อุปธิ เหลือ  เมื่อ คือ พระอรหันต์อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ --------------------------------------------------------------------------------------------- แล้ว จะไม่ถามหรือครับว่า พระอรหันต์สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ  ยัง มี อุปธิ เหลือหรือไม่? ถ้าไม่ถาม น่าจะแปลว่า  ท่าน กำหนดหมายรู้ได้เอง แล้ว  ขออนุโมทนา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 55 08:28:45