๑)วิธีการทำสนธิโดยการลบ (โลปะสระสนธิ)
ก่อนที่จะได้ศึกษาในเรื่องการทำสนธิโดยการลบ ควรทราบเรื่องการแยกสระออกจากพยัญชนะก่อน ซึ่งจะเกื้อกูลต่อการศึกษาสนธิในหัวข้ออื่นๆ ด้วย
การแยกสระออกจากพยัญชนะ คือการแยกเสียงสระตัวท้ายสุด ที่ศัพท์แรก เพื่อที่จะสามารถต่อกับศัพท์หลังได้ เช่น
ยสฺสินฺทริยานิ เมื่อจะแยกศัพท์ แยกได้เป็น ยสฺส อินฺทริยานิ ในที่นี้ ยสฺส มีสระตัวที่สุดศัพท์ คือ สระ อะ (ดังได้ศึกษากันมาในเรื่องอักษรภาษาบาลีแล้วว่า มีสระอยู่ ๘ ตัว คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) ดังนั้น ศัพท์ว่า ยสฺส จึงมีสระ อะ เป็นสระที่สุดศัพท์ เมื่อจะแยกออก ก็แยกได้เป็น ยสฺสฺ + สระ อะ (สฺ ตัวนี้จะไม่ออกเสียง เนื่องจากตัดสระออกไป จะออกเสียงไม่ได้ เวลาออกเสียง จะออกเสียงว่า เสอะ... หรือมีเสียง สึ.......ออกจากปลายลิ้นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อ สฺ ตัวนี้ จะประกอบกับศัพท์หลัง คือ อินฺทริยานิ จึงจะสามารถประกอบศัพท์ได้
แต่ข้อนี้พึงเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่แต่เพียงให้ลบสระที่สุดของศัพท์หน้า (หรือพูดง่าย ๆ ว่า ลบสระหน้า) เท่านั้น ยังมีแบบลบสระหลังอีก เช่น คำว่า จตฺตาโรเม แยกเป็น จตฺตาโร + อิเม ให้คงรูปสระหน้าไว้ แต่ลบสระหลัง คือ อิ สำเร็จเป็น จตฺตาโรเม
บางท่านอาจจะสงสัย ทำไมกฏเกณฑ์บาลีไวยากรณ์จึงไม่ค่อยตายตัวนัก บางทีประกอบศัพท์สองศัพท์ด้วยกัน แปลงตัวอักษรนั้นเป็นตัวอักษรนี้ได้ ลบโน่นยืดนี่ก็ได้ โดยไม่มีกฏเกณฑ์อะไรเลย ข้อนี้ขอให้เข้าใจว่า ในสูตรการศึกษาบาลีไวยากรณ์ในประเทศไทย ท่านให้เรียนตามแบบหนังสือบาลีไวยากรณ์ ดังนั้นครูบาอาจารย์ท่านจึงมักให้ถือตามแบบเรียนไปโดยไม่ต้องถาม ให้เรียน ๆ แล้วไปสอบเอาตามนี้ก็พอ (เรื่องนี้จะมีกล่าวถึงอีกในการศึกษาเรื่องนาม และวิภัตติ ในบทที่ ๕ ซึ่งมักมีคำถามที่นักศึกษาบาลีถามอาจารย์ แต่อาจารย์ไม่ตอบ) แต่ถ้าหากไปศึกษาบาลีใหญ่ จะมีกฏเกณฑ์ และวิธีการทำรูปอีกมากมายหลายแบบ ดังนั้นสำหรับบทเรียนบาลีในพันทิป ก็จะขอให้นักศึกษาได้รู้ไว้คร่าวๆ พอเข้าใจเท่านั้น ให้ทราบว่า บาลีคืออะไร แต่ละศัพท์เป็นมาอย่างไร อย่างคร่าว ๆ
กฎเกณฑ์การใช้โลปะสระสนธิ
๑. ลบสระหน้า
๑.๑ สระ(ของศัพท์)หน้าเป็นรัสสะ (มีเสียงสั้น คือ สระ อ อิ อุ) สระ(หน้าของศัพท์)หลัง เป็นทีฆะ (เสียงยาว) บ้าง เป็นสระที่อยู่พยัญชนะสังโยคบ้าง ให้ลบสระหน้า เช่น
ยสฺส + อินฺทริยานิ - สระหน้าเป็น อะ มีเสียงสั้น ศัพท์หลังมีพยัญชนะสังโยค คือ นฺท (ดูเรื่องพยัญชนะสังโยคในบทเรียนที่ ๓) ให้ลบสระหลังคือ ให้ลบสระหน้า จึงต่อศัพท์เป็น ยสฺสินทริยานิ
โนหิ + เอตํ - สระหน้าเป็นเสียงสั้น สระหลัง เป็นเสียงยาว ลบสระหน้า คือ อิ แล้วนำ หฺ ต่อศัพท์กับสระหลัง เป็น เห ต่อศัพท์ได้เป็น โนเหตํ
สเมตุ + อายสฺมา - สระหน้าเป็นเสียงสั้น สระหลัง เป็นเสียงยาว ลบสระหน้าคือ (อุ) เป็น สเมตฺ ต่อกับ อายสฺมา สำเร็จเป็น สเมตายสฺมา
๑.๒ สระหน้า และสระหลัง มีเสียงสั้นเหมือนกัน ให้ลบสระหน้าออก แล้วทำเสียงสระหลังให้ยาว (ทำ อ เป็น อา, ทำ อิ เป็น อี, ทำ อุ เป็น อู ) หรือ หากสระหน้าเป็นทีฆะ สระหลังเป็นรัสสะ ให้ลบสระหน้า แล้วทีฆะสระหลัง เช่น
ตตฺร + อยํ ลบสระหน้า จะเป็นรูป ตตฺรฺ+อ ลบสระหน้าแล้ว ทำให้สระหลังยาวขึ้น เป็น อายํ แล้วต่อศัพท์ด้วยกัน สำเร็จเป็น ตตฺรายํ
สทฺธา + อิธ สระหน้าเป็นทีฆะ (เสียงยาว) สระหลังเป็นรัสสะ แยกสระของศัพท์หน้าออกเป็น สทฺธฺ + อา ลบสระหน้าแล้ว ทีฆะสระหลัง จาก อิธ เป็น อีธ แล้วต่อศัพท์ สำเร็จรูปเป็น สทฺธีธ
๑.๓ สระหน้า และสระหลัง มีรูปไม่เสมอกัน คือ มีรูปต่างออกไป ข้อนี้ให้สังเกตว่า สระ อ และ อา อิ และ อี อุ และ อู เหล่านี้ เรียกว่า สระมีรูปเสมอกัน แต่ต่างกันที่ออกเสียงยาว และสั้น ส่วนสระที่ต่างกัน เช่น เอ และ โอ อย่างนี้เรียกว่า มีรูปไม่เสมอกัน ในกรณีที่สระหน้า และหลัง มีรูปไม่เสมอกัน ให้ลบสระหลัง หรือ หากสระหน้า มีนิคคหิต ให้แปลงนิคคหิตแล้ว ลบสระหลังเช่น
จตฺตาโร + อิเม - สระหน้าและหลังไม่เหมือนกัน ลบสระหลัง สำเร็จรูปเป็น
จตฺตาโรเม
อภินนฺทุ° + อิติ มีนิคคหิตอยู่ที่ศัพท์หน้า ให้ลบสระหลัง คือ อิ เหลือเพียง ติ
แล้วให้แปลงนิคคหิตเป็นพยัญชนะที่สุดวรรค ในที่นี้ พยัญชนะที่สุดวรรคของ ท
คือตัว น จึงเป็น อภินนฺทุนฺ + ติ เป็น อภินนฺทุนฺติ
การศึกษาเรื่องสนธิในข้อต่อ ๆ ไป ไว้ต่อกันในคราวหน้านะครับ
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 55 19:16:52