#48 การที่ สมัยก่อน คุณ 13th friday เคยเป็นคนที่ ไม่เชื่อเรื่องการว่ายตายเกิดชาติก่อนชาติหน้า
ภายหลังได้พยายามทำความเห็นให้ถูกตรงมากขึ้น พยายามละความเห็นว่า ตายแล้วขาดสูญออกไป
สิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีแล้วนะครับ
สำหรับคำว่า ดับทุกข์นั้น คำว่าทุกข์ในพุทธศาสนานี้ มีความกว้างขวางมาก
ไม่ใช่แค่เพียงการละความไม่สบายใจต่างๆ แล้วก็ถือว่าเสร็จกิจ
แต่ทุกข์ในพุทธศาสนานี้ กินความไปถึง
การเกิดแก่เจ็บตาย การเวียนว่ายตายเกิด
การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การได้ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
และแม้แต่ รูปนามกายใจ ที่มีความแตกสลายดับไปทุกขณะนี้ ก็ถือว่าเป็นทุกขัง ทั้งสิ้น
การจะยังความดับทุกข์ให้ถึงโดยสิ้นเชิงนั้นจะต้องเป็นไปด้วย พระอริยมรรคทั้ง ๔
และจะต้องมี ความเพียรที่ยิ่งยวดอย่างแรงกล้าเกิดขึ้นก่อนเป็นเบื้องต้น
-----------------------------------------------
ซึ่งความเพียรที่แท้จริงนี้ จะต้องเกิดขึ้นด้วย ความสลดใจ ในวัฏฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
มี "สังเวควัตถุ" อันได้แก่ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เป็นที่ตั้ง
ดังนั้น คนที่มีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่า ตราบใดที่ยังมี อวิชชา อยู่
ก็ยังไม่พ้นไปจาก ปฏิสนธิและภพชาติชรา
คนเหล่านี้ ก็ย่อมทราบได้ชัดถึง ภัยและความน่าเบื่อหน่ายของสังสารวัฏฏที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้
พร้อมทั้งยังได้ตระหนักถึง สังเวควัตถุอีกประการ มีทุกข์ ในอบายภูมิ เป็นต้น
ดังนั้น กัมมัสสักตาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกเรื่องกฏแห่งกรรมบาปบุญนรกสวรรค์ภพชาติ
จึงเป็นของมีค่า ไม่ใช่ของที่ต้องน่ารังเกียจเลย
-----------------------------------------------------
สิ่งที่เป็นความเห็นผิดสุดโต่ง ตรงข้ามกับตายแล้วสูญ
คือความเห็นผิดว่าจิตเที่ยงเป็นอมตะอัตตา ไม่มีการเกิดดับ
เช่น เมื่อตายลงแล้ว ก็ดวงวิญญาณล่องลอยออกจากร่างนั่นแหละ
ไปเกิดใหม่ในร่างใหม่
อย่างนี้จึงถือว่าเป็นความเห็นผิด ที่ต้องละ
และละได้ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น
----------------------------------------------------
การที่พระพุทธองค์ไม่ทรงตอบคำถามในเรื่อง โลกนี้โลกหน้า
ในเฉพาะบางกรณีนั้น ก็เพราะสมณะพราหมณ์บางกลุ่มที่มาถาม
ในชุดคำถามส่วนนั้น มีความเห็นผิดว่ามี อัตตาวิญญาณ อยู่นั่นเอง
แต่ตามปกติแล้ว พระพุทธองค์ ทรงสรรเสริญคุณ ของ
สัมมาทิฏฐิทั้งในระดับกฏแห่งกรรมการเวียนว่ายตายเกิด
ทั้งในระดับวิปัสสนา หรือโลกุตตรธรรม เสมอ
อย่างเช่น การแสดงธรรมโดยทั่วไป ที่เรียกกันว่า อนุปุพพิกถานั้น
พระพุทธองค์ ก็จะเริ่มกล่าวไล่ไปจาก
ทานกถา (กล่าวถึงทาน)
สีลกถา (กล่าวถึงศีล)
สัคคกถา (กล่าวถึงสวรรค์)
กามาทีนวกถา (กล่าวถึงโทษแห่งกาม)
เนกขัมมานิสังสกถา (กล่าวอานิสงส์แห่งการออกจากกาม)
--------------------------------------------------
ก็สังสารวัฏฏนี้ เราได้วนเวียนว่ายตายเกิดมานับอสงไขยได้ไม่ถ้วน
หากจะปรารถนา้พ้นไปจากวัฏฏสงสาร แต่เรากลับยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ชัดในวัฏฏสงสาร
แล้วเราจะพ้นไปจากวัฏฏสงสารนี้ได้อย่างไร ?
การจะมีปัญญารู้เรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องรอให้ตายก่อน แล้วจึงรู้
แต่ ต้องเพียรเจริญ สติปัฏฐาน เจริญ สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน ต่างหาก
ถึงแม้จะไม่ได้ ปุพเพนุวาสานุสติญาณ อันเป็นญาณระลึกได้ถึงอดีตชาติด้วยอภิญญาก็ตามที
แต่คนทุกคน เมื่อเจริญภาวนากรรมฐานกำหนดรู้ในรูปนามจริงๆ
ก็ย่อมต้องได้เห็นความเป็น เหตุ เป็นปัจจัย ของ
นาม ที่เป็นปัจจัยแก่ นาม
นาม ที่เป็นปัจจัยแก่ รูป
หรือ
รูป ที่เป็นปัจจัยแก่ นาม
ตามจริง ตามที่เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เรียกว่าเกิดปัญญาที่ชื่อ นามรูปปัจจยปริคหญาณ หรือ ธรรมฐีติญาณ
ถ้าปฏิบัติได้รู้เห็นเช่นนี้จริง ย่อมหมดสงสัยในชาติก่อนชาติหน้า
เพราะได้เข้าใจด้วย ปัญญาของตนตามจริง ในเรื่องความเป็นเหตุปัจจัยของนามรูปแล้ว
ผู้นั้น ย่อมเกิดสัมมาทิฏฐิ รู้ว่าชาตินี้มีชาติหน้ามี
และเข้าใจถูกในหลักพระไตรลักษณ์ด้วย ว่ามีแต่เพียงนามรูปเท่านั้น
ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สืบต่้อกันไปเรื่อยๆ เป็นเหตุเป็นปัจจัย
เช่นนี้จึงพ้นไปจากมิจฉาทิฏฐิทั้งสอง คือ ตายแล้วสูญ
และมิจฉาทิฏฐิที่เห็นว่าจิตเป็นของเที่ยง
------------------------------------------------
พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญบารมี มา ๔ อสงไขย กำไรแสนมหากัปป์
ทรงได้รับการพยากรณ์ครั้งแรก จากพระทีปังกรพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดง เรื่องภพชาติไว้นับครั้งไม่ถ้วน ทรงรู้ชัดในเรื่องเหล่านี้โดยที่สุด
ตัวอย่างเช่น
-------------------------------------------------------
[๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดใจด้วยใจอย่างนี้แล้ว ย่อมรู้ชัด
บุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตผ่องใสว่า ถ้าบุคคลนี้พึงทำกาละในสมัยนี้ พึงตั้งอยู่
ในสวรรค์เหมือนที่เขานำมาเชิดไว้ฉะนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตของเขา
ผ่องใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แหละเพราะเหตุที่จิตผ่องใส สัตว์บางพวกในโลกนี้
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
-------------------------------------------------------
จะเห็นได้ว่า ทรงแสดงเรื่องเหล่านี้ไว้มากมายหลายแห่ง
การแสดงเรื่องสวรรค์ก็เป็นหนึ่งใน อนุปุพพิกถา อันจะเป็นเหตุ
ให้จิตของบุคคลผู้ฟังมีความอ่อนลง มีปัญญาเห็นชอบ
ต่อจากนั้นจึงได้แสดงโทษของ วัฏฏสงสาร
และยังความเพียรที่แท้จริงในการออกจากวัฏฏสงสารให้เิกิดขึ้นแก่ผู้นั้น
-------------------------------------------------------
การรู้เห็นเข้าใจถูกในเรื่องเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่มีคุณมีประโยชน์โดยส่วนเดียว
นำไปสู่ความดับทุกข์
และการจะเข้าถึงความดับทุกข์นั้น ก็จำเป็นต้องรู้ชัดใน สังเวควัตถุ
ความสลดสังเวชในภัยแห่ง ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
เมื่อได้รู้ชัดมีปัญญาเห็นถูกแล้ว จึงจะเกิดความเพียรชอบ ที่มีกำลังพอ
ที่จะเจริญเบื้องต้นแห่งพระกรรมฐาน จนเข้าถึงพระไตรลักษณ์
อันได้แก่ ขณิกชาติ ชรา มรณะ คือความเกิดดับของรูปนาม
และเข้าถึง มรรค ผล และการพ้นไปจากวัฏฏสงสารได้ในที่สุด