|
สาเหตุที่ราคาหุ้นมันเฟ้อก็เพราะว่า มันมีกลไกตลาดครับ มี Demand มี Supply ซึ่งก็ไม่ได้เฉพาะ Demand-Supply ของตัวหุ้นเองเท่านั้น มันยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ อีกมากมาย เช่นว่า สมมติ พรุ่งนี้-มะรืนนี้ดันมีสงครามใกล้ๆ บ้านเรา เกิดความไม่แน่นอนที่ทำให้ต่างคนต่างอยากจะเก็บเงินตัวเองเอาไว้ คนที่มีเงินก็ไม่ซื้อ คนอยากขายก็พากันขาย อยากได้เงินกลับคืนมาไว้ก่อน ราคาหุ้นก็ร่วงแน่ๆ และจะร่วงแบบไม่เกี่ยงพื้นฐานเลยด้วย ไม่มีใครมัวมาคิดหรอกครับ ว่าถ้าบ้านปูลงมาเท่านี้แล้วจะรับ ถ้าปตท.ลงมาสัก 12% ก็จะเก็บ
แม้ในความเป็นจริงแล้วจะมีความเป็นไปได้น้อยมากๆ ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีและถ้ามองในรายละเอียดจริงๆ รอบๆ ตัวเราตอนนี้ก็มีอีกหลายปัจจัยที่จะทำให้คนอยากดึงเงินออกจากตลาดหุ้น บางอันก็คิดกันว่าจะเกิดแต่ก็เหมือนจะอีกนาน บางอย่างเกิดขึ้นแล้วแต่ซ่อนอยู่ มันเป็นไปได้ทั้งนั้น บางเรื่องมันก็เล็กน้อยเสียเหลือเกิน เช่น บางคนเห็นฮั่งเส็งแดงก็ขาย บางคนเห็นหุ้นอีกตัวน่าสนกว่าก็ขาย แต่ในตลาดอันกว้างใหญ่นั้นทุกอย่างมันสัมพันธ์กันหมด สมดุลของกลไกตลาดมันไม่ได้มั่นคงแข็งแกร่งขนาดที่ว่าจะไม่มีสิ่งใดจะกระทบมันได้ (ไม่งั้น ราคาหุ้นมันไม่เคลื่อนไหวเลยแน่ๆ ) มันกลับอ่อนไหวกว่าที่จะนึกออกด้วยซ้ำไปและยิ่งราคาห่างไกลจากจุดที่คนส่วนใหญ่จะคาดคิดเท่าไหร่ มันก็ยิ่งบอบบางลงไปอีก นี่พูดรวมๆ ทั้งหุ้นรายตัวและดัชนีรวมนะครับ
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ลองมองเจาะเข้ามาที่หุ้นแต่ละตัวดูสิครับ จะพบว่าทำไมหุ้น TF ถึงขึ้นไปถึงหลักพัน ทำไม N-PARK ถึงลงจากหลักร้อยมาเหลือหลักหน่วยของสตางค์ ก็เพราะว่าแต่ละตัวมันมี Demand ที่ต่างกัน และก็มีเหตุผลที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้นต่างกันไปอีก แต่สรุปง่ายๆ ก็คือแค่ “หุ้นตัวนึงมีคนเต็มใจซื้อที่ราคาเป็นพัน หุ้นอีกตัวสลึงนึงก็ไม่มีใครอยากได้” อย่าไปยึดติดว่าเราซื้อหุ้นมาที่ราคาเท่าไหร่มากนัก นั่นมันราคาของเราคนเดียวครับ ถ้าอยากรู้ว่าราคาที่แท้จริงของมันคือเท่าไหร่ต้องถามตลาด Bid สูงสุดมันอยู่ที่เท่าไหร่เราก็ขายได้เท่านั้น นั่นแหล่ะ ราคาของมัน (ณ เวลานั้น) แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าตลาดมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา เราก็ต้องดูทิศทางให้ดีๆ ไม่ว่าพื้นฐานแย่แค่ไหน ถ้ามันจะไปต่อมันก็จะไปต่อ ไม่ว่าพื้นฐานดีแค่ไหนถ้ามันจะลง มันก็จะลง
หุ้นบางตัวก็มีคุณสมบัติที่เหมาะสม หรือบางตัวก็ได้ปัจจัยที่เหมาะสมมาเกื้อหนุน มันคือเหตุผลว่าทำไมราคา IVL, PTL, AJ, etc. ถึงขึ้นเป็นเท่าตัวๆ ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ หุ้นบางตัวก็แค่ตกเป็นจุดสนใจของตลาดที่จู่ๆ ก็มีแต่คนมารุมซื้อและคนที่มีหุ้นก็รู้จึงไม่ค่อยอยากจะขายกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมราคา UAC, ARIP, NINE, etc. ถึงติด Ceiling ในเวลาอันสั้น แต่ถึงจุดๆ นึงมันก็จะมีสมดุลของมันครับ ราคามันจะปรับตัวของมันเองตลอดเวลา
แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 53 05:30:32
จากคุณ |
:
จันทร์เย็น
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ธ.ค. 53 03:16:24
|
|
|
|
|