เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 9
|
 |
บทที่ 9 อักขระของนักเวท
“ทำไมเจ้าจึงไม่ตอบโต้”
นัยน์ตาเรียวรีสีดำฉายรอยแปลกใจ แม้บุรุษซึ่งเป็นเป้าหมายครึ่งหนึ่งของตนนั้นจะเคยเป็นคนที่ตัดใจทำร้ายผู้อื่นได้ยากจนน่ารำคาญ หากก็ไม่เคยลังเลที่จะตอบโต้ โดยเฉพาะเมื่อต้องสู้กับสัตว์อสูร
“แบบนี้ก็น่าเบื่อแย่น่ะสิ”
บุรุษหนุ่มพูดพลางเอนหลังนั่งพิงปล่องไฟบนหลังคาแห่งหนึ่งซึ่งไม่ห่างไกลนัก กับสมรภูมที่ตนเฝ้าดูและเป็นผู้บงการ
ม่านเวทมนตร์คุ้มกันเริ่มอ่อนแสงบางลงทุกที ในขณะที่สการ์เล็ตหายใจหอบเพราะรู้สึกร้อนผ่าวราวกับมีเพลิงปะทุขึ้นมาบนกลางอก ปลายนิ้วพ่อมดกดอยู่ตรงนั้นและมันกำลังส่องแสงสีแดงเรืองรองออกมา
ครั้นคาอิลร่ายคาถา กลุ่มก้อนพลังงานซึ่งบังเกิดขึ้นมาตรงหน้าเขาพลันแตกตัวออกก่อนพุ่งเข้าใส่อสูรร้ายทั้งสอง ในคราแรกมันถูกสกัดกั้นและทำลายด้วยเพลิงไฟกับใบมีด ทว่าปีศาจวิหคคงไม่อาจคาดคิดว่าการตอบโต้ของพ่อมดนั้นมิได้มีเพียงระลอกเดียว
แทบจะทันทีที่ถูกก้อนพลังซ้ำกระหน่ำซัด ร่างที่สร้างจากเพลิงกาฬจึงไม่อาจรับไหวต้องสลายกลายเป็นไอร้อนในที่สุด ด้านอสูรอีกตนที่คงอยู่ยังตั้งหลักต่อสู้แม้ร่างกายจะเสียหายไปมาก ปีศาจนกกรีดเสียงร้องขย่มขวัญ แต่มันไม่น่ากลัวสำหรับพ่อมดอีกต่อไป
คาอิลเสริมเวทมนตร์ไปที่เท้า เขากระโดดรวดเดียวจนเข้าถึงตรงหน้าสัตว์อสูร มันถึงกับผงะเพราะยังไม่อาจเรียกอาวุธกลับมาทัน จอมอาคมนั้นไม่รั้งรอ เขาจ้วงฝ่ามือที่อาบด้วยอาคมแห่งการทำลายไปที่อักขระเวทบนอกปีศาจสาว
ตัวอักษรเวทมนตร์ส่องประกายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่ร่างอสูรจะผุกร่อนกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวกระจายหายไปกับสายลมแรงอย่างรวดเร็ว
“เป็นเจ้าจริง ๆ ดีรอส”
ตุ๊กตารูปสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งนกที่คาอิลคว้าได้จากกลางหัวใจของปีศาจ มันมีอักษรสลักอยู่ตรงกลางของลำตัว
ตัวอักษรเวทมนตร์นั้นมีลักษณะจำเพาะที่สามารถระบุถึงตัวตนของผู้ใช้ มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือเลียนแบบได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจสูงส่งเพียงใดก็ตาม
ทั้งนี้ก็เพื่อการดำรงไว้ซึ่งความถูกต้องและยุติธรรมแห่งองค์กรของผู้ฝักใฝ่ในมนตรา
เมื่อนึกถึงตรงนี้ผู้มีเวทมนตร์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างแผ่วเบาอยู่ในลำคอ
เพื่อความถูกต้องอย่างนั้นหรือ...
เพื่อความยุติธรรมอะไรกัน...
แล้วสิ่งที่เกิดกับเขาเล่าจัดเรียกประการใด
สิ่งที่สลักอยู่บนร่างกายนี้เป็นหลักฐานว่าผู้อื่นได้กระทำสิ่งใดกับเขาเอาไว้บ้าง
เช่นเดียวกับเส้นผมที่หงอกขาวบนศีรษะของเขา มันก็คือหลักฐานที่หลงเหลือของการถูกช่วงชิงพลังชีวิตและอิสรภาพไป เพียงน้อยคนนักที่จะรู้ถึงสาเหตุของมันก็เท่านั้นเอง
มันคือของขวัญจากกิลด์เมสทิคที่มอบให้เขาตลอดมา...ของขวัญที่เขายินดีรับเอาไว้เองแม้มันจะทำให้ต้องทุกข์ทรมานเจียนตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เพียงเพื่อจะคงอยู่ถึงบัดนี้...
ราวกับกระจกร้าวบนอากาศนั้นแตกทะลาย หากแต่ไม่เหลือเศษซากแห่งหายนะใดเอาไว้ให้ใครเห็น ปุถุชนคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งเวทมนตร์ทั้งสามต่างมองรอบตัวอย่างตกตะลึงและงงงัน เหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านไปเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเอง
ไม่มีปีศาจหรือสัตว์อสูร ไม่มีซากบ้านเรือนที่ถูกทำลาย พื้นและถนนหนทางยังคงสภาพราบเรียบดีอยู่ตามเดิม เสียงของผู้คน เหล่าแมลง นกร้องและใบไม้ไหวแว่วมาให้ได้ยินเหมือนเช่นเคยอยู่ทุก ๆ วัน
กระนั้นสิ่งที่ทำให้ทั้งสามต้องวิตกก็คือพ่อมดที่กำลังทรุดนั่งลงบนพื้น
บาดแผลบนหลังของคาอิลไม่ลึกแต่ก็ทำให้เสียเลือดได้มากพอจนสติของเขาเริ่มรางเลือน ทั้งอย่างนั้นผู้ใช้อาคมก็ยังพยายามรั้งสติตนให้คงอยู่
หลับไม่ได้...เขาไม่อยากหลับ หากไร้สติขึ้นมาตอนนี้จะเกิดอะไรบ้างก็ไม่รู้
“เจ้าเจ็บมากหรือ” สการ์เล็ตเอ่ยถามหลังจากเห็นแววตาของคาอิลที่ช้อนขึ้นมามองหน้าตน มันสะท้อนถึงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างเหลือทนจนอดใจเสียขึ้นมามิได้
“ให้ข้าดูบาดแผลสักหน่อยเถอะ”
เจ้าหญิงเอ่ยด้วยความปรารถนาดี แต่พ่อมดกลับเบิกตาโพลงแล้วปัดมือนางที่แตะไปบนไหล่ของเขาออก ก่อนจะกระถดตัวถอยหลังห่างไปอีกคืบ
“อย่า! “ ผู้ใช้อาคมพูดเสียงดัง เขาเว้นคำกล่าวครู่หนึ่งราวกับเพิ่งรู้สึกตัวแล้วจึงปรับทั้งสีหน้าและน้ำเสียงให้กลับมานุ่มนวลตามเดิม
“อย่าเห็นแผลข้าจะดีกว่า ท่านกลัวเลือดอยู่ไม่ใช่หรือครับ เดี๋ยวต้องลำบากมาดูแลคนเป็นลมเสียอีกคน”
“ข้าเคยกลัว”
เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียตรัสเสียงเรียบแล้วจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำเงินประหลาดด้วยความเคลือบแคลง
“แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไร”
พ่อมดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง เขาสูดลมหายใจแผ่วแล้วคลี่ยิ้มบางเหมือนที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“สตรีมักจะขยาดบาดแผลที่น่ากลัวและกลิ่นเลือด ทว่าข้าคงเข้าใจผิดคิดไปเองว่าคุณหนูผู้อ่อนโลกน่าจะเป็นเช่นนั้น”
คำหยอดของเขาไม่กระตุ้นอารมณ์โกรธรัชทายาทหญิงได้อย่างที่คิด นางยังจ้องเขาด้วยสายตาไม่เชื่อถือแกมคาดคั้น กระทั่งสองบุรุษเห็นทีว่าเลือดจะไหลจากกายผู้ใช้เวทจนหมดตัวเสียก่อนแน่ จึงตัดสินใจแทรกกลางเข้าไปอาสา
“ให้พวกเราช่วยห้ามเลือดและทำแผลก่อนดีไหมครับ ลูกพี่ หน้าท่านซีดจนน่ากลัวเหลือเกินแล้ว”
คำขาน ‘ลูกพี่’ กับสีหน้าทั้งสองที่แสดงออกมายามเอ่ยปาก ทำให้พ่อมดถึงกับปรับสีหน้าไม่ถูกและเจ้าหญิงตีสีหน้าไม่เป็น
เมื่อพิจารณาจากท่าทางแล้วถึงพวกเขาจะอาสาด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ แต่ผู้ใช้อาคมขอเลือกช่วยตัวเองจะดีกว่า ครั้นรู้สึกว่าต้นกำเนิดเวทมนตร์ของตนจะกลับมาใช้ได้ปรกติดังเดิมแล้ว
“อย่าดีกว่า ข้าเกรงใจ”
คาอิลคว้ากระดาษซึ่งตัดแต่งอย่างเรียบง่ายเป็นรูปตุ๊กตามนุษย์ออกมาพร้อมกับกล่าวภาษาเวท เกิดเป็นสตรีสาวสองนางซึ่งมีหน้าตางดงามและรูปร่างอวบอึ๋ม ทั้งคู่ตรงเข้าทำการห้ามเลือดและปฐมพยาบาลพ่อมดจนเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว
การกระเพื่อมจากแรงโน้มถ่วงของโลกซึ่งปรากฏบนเรือนร่างสาวรับใช้ของพ่อมด ทำเอาคู่หูบุรุษอ้วนผอมลอบกลืนน้ำลายไปหลายอึกขณะจ้องมองสองสาวด้วยสายตาวาววามอย่างไม่กระพริบ ผิดกับเจ้าหญิงที่มีสีหน้าอีกแบบหนึ่ง
ชอบแบบนี้กันทั้งนั้นสินะ...ผู้ชาย
เมื่อการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จสิ้นจนคาอิลสามารถลุกยืนไหว เขาจึงหันไปกล่าวเสียงเข้มกับโฟและไฮมะ
“ยังจะรออะไรอยู่ ถึงจะรอเรียกร้องเงิน เราก็ไม่คิดจ่ายให้หรอกนะ”
สองคู่หูทำหน้าตื่นก่อนรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“พวกข้าหาได้คิดเช่นนั้นไม่ ท่านอุตส่าห์ช่วยชีวิตเราอย่างยากลำบากเพียงนี้ ยังจะให้มีกะใจเรียกร้องสิ่งใดอีก เราสองคนเพียงต้องการช่วยเหลือท่านเป็นการตอบแทนบ้างเท่านั้น”
พ่อมดส่ายหน้าครั้งหนึ่งแล้วจึงตอบวาจาพวกเขา
“ไม่จำเป็น หากหมดธุระแล้วก็เชิญพวกท่านจากไปได้ทุกเมื่อ”
เขาไม่อยากพูดไปให้มากความ ว่าสองคนนี้ต่างหากที่ต้องซวยเพราะมาเกี่ยวข้องกับพวกตน
คาอิลแกล้งมองจ้องโฟและไฮมะด้วยสายตาวาววับ เขาขยับกรอบแว่นลงเล็กน้อยพอจะเผยให้เห็นลูกตาของตนซึ่งส่องประกายวาวราวกับอมนุษย์ให้สองบุรุษได้เห็นอย่างชัดเจน พร้อมกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเข้มแกมข่มขู่
“ข้าชักรำคาญขึ้นมาแล้ว ถ้าไม่รีบไปเสียทีล่ะก็...จะสาปให้เป็นกบซะเลย”
ปากที่อ้าออกหมายจะค้านการผลักไสโดยไม่ให้แสดงความช่วยเหลือเพื่อตอบแทนกลับหุบลงอย่างทันควัน สองบุรุษลอบมองตากันแล้วรีบค้อมศีรษะก่อนจรลีจากไปอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน! ”
สการ์เล็ตส่งเสียงร้องเรียกก่อนที่คู่หูอ้วนผอมจะไปไกลลับตา นางวิ่งตามพวกเขาไปแล้วยื่นเงินให้จำนวนหนึ่ง
“จงรับเอาไว้เถิด มันน่าจะพอสำหรับค่าเสียหายของสินค้าที่พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ”
น้ำตาของโฟและไฮมะเอ่อคลอเบ้า พวกเขาต่างพากันค้อมศีรษะอยู่หลายครั้งแทนการกล่าวคำขอบคุณ
คาอิลพ่นลมหายใจออกมาขณะเก็บตุ๊กตาสาวซึ่งกลับสู่ร่างกระดาษเข้าอกเสื้อ เขาหันไปเอ่ยกับเจ้าหญิงที่ก้าวเท้ากลับเข้ามาในรัศมีของการได้ยิน
“ถ้าท่านคิดจะปกครองผู้คนก็ควรต้องหัดใจแข็งเอาไว้บ้าง แม้ไม่อยากทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน แต่บางครั้งก็ต้องมีบทเรียนให้หลาบจำ จะได้ไม่มีใครคิดกระทำผิดซ้ำรอยเดิมอีก”
“การรู้จักอภัยและมีเมตตาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ควรมี โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่เหนือผู้อื่น พวกคนที่หลงผิดอาจคิดได้และกลับตัว หากได้รับความเมตตาและการอภัยอย่างจริงใจสักครั้ง หรือเจ้าไม่คิดเช่นนั้น”
นัยน์เนตรหวานของคนรั้นทอประกายเยือกเย็นอย่างยึดมั่นในอุดมคติของตนยามจ้องสบประสานกับดวงตาสีแปลกซึ่งฉายแววไม่ต่างกัน นางถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมาแล้วหลุบตาลงก่อนเปิดดวงเนตรขึ้นใหม่ด้วยแววที่อ่อนลงกว่าเดิม
“ข้ายังไม่อาจอภัยให้กับการกระทำของเจ้า แต่อย่างน้อยก็คิดว่าเจ้ายังไม่ใช่คนที่เลวร้ายอย่างที่สุด จิตใจเจ้ายังหลงเหลือความเมตตามากพอจะมอบให้กับคนที่มุ่งร้ายตนเอง ทั้งที่จะปล่อยเอาไว้ก็ได้”
เจ้าหญิงจ้องมองพ่อมดแน่วนิ่งในขณะที่อีกฝ่ายเบนหน้าไปคล้ายต้องการหลบสายตา
“บางครั้งเจ้าก็ดี แต่หลายทีก็ร้าย บอกหน่อยได้ไหม เข้าใกล้ข้าด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่ ข้าไม่อาจทำใจเชื่อเหตุผลไร้สาระที่เจ้าอ้างมาในคราแรกได้จริง ๆ ถ้ายอมบอกออกมาตอนนี้ข้าอาจอภัยให้ในหลาย ๆ สิ่งที่เจ้าทำไม่ดีเอาไว้ก็ได้ ว่าอย่างไรล่ะ...คาอิล”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ท่ามกลางสายลมและเสียงใบไม้ไหว สายตาพ่อมดนั้นไม่รู้ว่าจ้องมองสิ่งใดอยู่กันแน่ แต่เรียวปากของเขากลับขยับเนิบช้าทำให้เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูอ่อนระโหย
“ไม่ต้องเข้าใจหรอก... ไม่ต้องอภัยให้ก็ได้... เพราะสุดท้ายก็ไม่เหลือความหมายใดอยู่ดี”
นัยน์ตาสีน้ำเงินแวววาวเหลียวกลับมาที่สการ์เล็ตก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งดุจเดิม
“น่าจะถึงเวลาที่ท่านควรกลับได้แล้ว ขออภัยที่ข้าไม่อาจไปส่งท่านไหว จึงขอให้ตัวแทนไปก็แล้วกัน”
คาอิลปล่อยตุ๊กตากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นลอยกลางอากาศ ปรากฏเป็นร่างเขาอีกคนหนึ่งซึ่งมีรอยยิ้มอ่อนโยนต่างจากผู้สร้างอยู่บ้างสักเล็กน้อย เขาค้อมศีรษะแล้วผายมือเชิญเจ้าหญิง
สการ์เล็ตมองคาอิลอีกครั้งก่อนออกเดินโดยไม่กล่าวลา ตุ๊กตาของพ่อมดเองก็เหมือนไม่มีปาก เขาเงียบมาตลอดทางจนนางไม่อาจอดสงสัยว่ามันจะพูดได้ไหม เจ้าหญิงลอบเหลียวมองตัวแทนพ่อมดอยู่บ่อยครั้งจนกระทั่งถึงทางออกของช่องลับ เขาจึงยอมอ้าปากพูดขึ้นมา
“ข้ามาส่งได้เท่านี้ ขอให้รัตติกาลที่ดีจงเป็นของท่าน ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังและรอยยิ้มละมุนจางหายไปพร้อมกับร่างพ่อมดที่กลับสู่สภาพของตุ๊กตากระดาษ มันค่อย ๆ ร่วงหล่นลงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เจ้าหญิงไม่อาจจากไปโดยปล่อยสิ่งนี้เอาไว้ในสถานที่มืดและเยียบเย็น นางเก็บแผ่นตุ๊กตาขึ้นมา จ้องมองรอยอักษรลวดลายสละสลวยซึ่งขีดเขียนเอาไว้ตรงกลางกระดาษพลางนึกถึงผู้สร้างมันขึ้นมา
แม้จะรู้สึกโกรธหรือรังเกียจสัมผัสอันหยาบคายของชายหนุ่มผู้นี้เพียงใด แต่ใยหนอเจ้าดวงใจ...จึงไม่อาจเกลียดดวงตาสีประหลาดคู่นั้นได้ลง
อีกด้านหนึ่งซึ่งหลายคนต่างคิดว่าเหตุการณ์ได้สงบลงแล้ว ยังมีบุรุษที่ยืนยิ้มอย่างอารมณ์ดีบนชายคาใกล้กับย่านที่คาอิลเพิ่งจากไป
เขาได้เห็นโอกาสบางอย่างแล้ว...จากสีหน้าที่พ่อมดแว่นผู้นั้นไม่เคยแสดงให้ใครเห็น
จากคุณ |
:
AMA-chun
|
เขียนเมื่อ |
:
14 มี.ค. 55 17:14:56
|
|
|
|