"เฮ้อ...ตั้ง 7 วันที่จะไม่ได้พบหน้าผู้ใดเลย...แม้แต่ภูวิษะเจ้า"
ทรงรำพึงออกมาโดยไม่รู้พระองค์ว่ามิทรงหาญกล้าเรียกขานนามภูวิษะโดยไร้ยศศักดิ์นำ ศรีดาราเคยตั้งข้อสงสัยประการนี้แล้วนำมาพูดคุยกับกุสุมาลย์
'พี่กุสุมาลย์ สังเกตหรือไม่'
'สังเกตสิ่งใดหรือศรีดารา?' นางย้อนถามหากแต่แน่ใจว่า ศรีดาราคงไม่ล่วงรู้ถึงภพภูมิอันประเสริฐของราชบุตรเขยองค์ใหม่เป็นแน่แท้
'พระเทวีน่ะสิ' กุสุมาลย์โล่งใจบ้างแต่ยังเก็บซ่อนสีหน้าได้ดี แล้วจึงแกล้งย้อนถาม
'ทำไมรึ?'
'พระเทวีทรงตรัสเรียก ท่านภูวิษะว่า ภูวิษะเจ้าทุกคำ...ราวกับว่าท่านเป็นเจ้าชายผู้ทรงศักดิ์จากเมืองไกล'
'ดำรงตำแหน่งเจ้าราชบุตรเขย ก็นับว่าเป็นเจ้าร่วมวงศ์วานแล้วอย่างไรเล่าศรีดารา'
'หาใช่เรื่องนั้น....แต่ข้าว่าท่วงท่าสง่างามผึ่งผายองอาจปานนั้น หากเป็นพระโอรสเมืองใดก็มิใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมไม่แสดงองค์ ปล่อยให้ผู้คนโจษขานไปต่างๆ นานา แล้วพระเทวีก็เรียกหาเป็น "ภูวิษะเจ้า" มาตลอด ฤาจะทรงรู้ความจริงประการนี้ พี่กุสุมาลย์...หากรู้สิ่งใดจงบอกกล่าวข้าบ้างเถิด' ศรีดาราสรุปแล้วจ้องมองนางพระพี่เลี้ยงด้วยแววตาสงสัย
'บอกอะไร? เราว่าเจ้าคิดมากไปหรือเปล่า? หากเจ้าราชบุตรถึงแม้จะเป็นชนชั้นสามัญธรรมดา แต่เป็นผู้มีบุญญาธิการก็ย่อมฉายส่งสง่าราศีของตนได้ มิใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย'
เมื่อไม่ได้คำตอบนางกำนัลช่างคาดเดาก็หน้ามุ่ย แต่มิกล้าวิเคราะห์สิ่งใดอีกต่อไป ปล่อยให้นางโฉมงามนึกชมปฏิภาณอันว่องไวของศรีดาราอยู่ในใจไปเงียบๆ
"หลังพิธีสยุมพรผ่านพ้นไปก็ทรงได้พบภูวิษะเจ้าทุกวันแล้วล่ะเพคะ" กุสุมาลย์ทูลตอบ
"7 วันจะว่ายาวนานก็ยาวนาน จะว่ามินานก็มินาน แต่ต้องไปอยู่ที่นั่นผู้เดียวไม่ได้พบเจอผู้ใดเราคงเหงายิ่งนัก"
"ทรงกังวลเรื่องนี้เองหรือเพคะ ภูวิษะเจ้าเองก็ต้องเก็บตัวถือศีลภาวนาปวารณาตนเป็นชาวจุมภะ 7 วัน ที่ตำหนักเยี่ยมพิรุณปลายอุทยาน โดยไม่ได้พบผู้ใดเหมือนกันเพคะ ส่วนหม่อมฉันกับศรีดารานำพระกายาหารไปส่งให้ที่เทวสถานทุกวันเพคะ มิได้ห่างหายไปไหน แต่คงไม่ได้อนุญาตให้พบพระเทวี ทรงอดทนหน่อยนะเพคะไม่กี่วันเอง"
ย่ำค่ำของคืนนั้นเมื่อมณีรัตติกาลขยับขึ้นครองนภา มหิตาเทวีแต่งองค์ด้วยภูษาสีขาวสะอาดตาเข้าสู่เทวสถานแห่งนาคเจ้า แสงไฟตะเกียงสาดส่องออกมาทางทวารโคปุระและช่องบัญชรเป็นระยะ ด้วยว่าตลอดเจ็ดราตรีนี้ห้ามมิให้กองไฟใดในเทวสถานแห่งนาคะเทพนี้ดับได้ ตลอดช่องทางเดินจึงถูกจุดคบเพลิงสว่างไสว และตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องอารตีและไม้หอมนานาชนิดที่เผาลงในกระถาง เสียงสวดมนตราดังเป็นท่วงทำนองสูงสลับต่ำ บางครั้งฟังดูคล้ายผู้คนมากมายกำลังโหยไห้ บางคราเสียงประสานนั้นนิ่มเบาแผ่วพลิ้วดังเสียงธาราสวรรค์ไหลเอื่อยเรื่อยริน
หากมีผู้ใดเดินผ่านในบริเวณนี้คงต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับเสียงพิธีกรรมอันเคร่งขรึม เวลาแห่งมนตรานั้นก้องกังวานติดต่อกันไปหลายชั่วยาม จวบจนกระทั่งดวงดาราฟื้นตื่นจากนิทรา ปรากฏขึ้นกะพริบวิบไหวอยู่บนผืนกำมะหยี่ดำที่หุ้มห่อท้องฟ้าไปจรดแดนดิน แลดวงจันทราลอยเด่นขึ้นทอแสงรัศมีอยู่กลางเวหา เสียงสวดคร่ำครวญเพื่อถวายแด่จอมนาคราชจึงค่อยยุติลง
มหิตาเทวีทรงเปลื้องภูษาออกจนหมด แล้วปล่อยวรกายเปลือยเปล่าให้จมดิ่งลงในสายน้ำ ที่คณะพราหมณ์ตระเตรียมไว้ให้ทรงสรงหลังเสด็จพิธีกรรม น้ำในสระนั้นอุ่นจนเป็นไอร้อนขึ้นมา ด้วยแรงน้ำที่ถูกส่งจากท่อดินเผาใต้ปราสาท พัดผ่านหินที่เผาจนแดงร้อน และถูกนำมาโรยไว้ในช่องตะแกรงรอบกำแพงสระรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านั่น พร้อมๆ กับน้ำพุตามมุมทั้งสี่ของสระ ซึ่งปั้นประดับไปด้วยจตุบาทชาติสี่ชนิดอ้าปากพ่นสายนทีออกมา
น้ำอุ่นกำลังดีอีกทั้งยังเจือไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนละมุนของพฤกษาไพรที่ผสมลงไป และประดับแต่งด้วยกลีบดอกไม้สีขาวและเหลืองที่โรยเอาไว้จนเต็มสระ ทำให้สบายพระกายายิ่งนัก พระเทวีทรงทอดองค์ประทับนิ่งไปกับกระแสน้ำ พลางหรุบเปลือกพระเนตรลงพริ้มด้วยความผ่อนคลาย
เวลาผ่านไปนานเท่าใดนั้นมหิตาเทวีมิได้ทรงใส่พระทัยนัก เพราะมิมีผู้ใดกล้าล่วงก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามา ในขณะที่พระนางทรงพระสำราญกับการสรงอยู่ หากแต่จู่ๆ พระกรรณก็แว่วเสียงคล้ายมีสิ่งหนึ่งกำลังแหวกสายน้ำ เมื่อแรกมิได้ทรงลืมพระเนตรขึ้นด้วยเข้าใจไปว่าดำริไปเอง แต่ต่อมาเสียงนั้นดังขึ้นคล้ายขยับเคลื่อนใกล้เข้ามา จึงไม่แน่พระทัยแล้วว่ากำลังอยู่ตามลำพังเพียงองค์เดียว จะว่าเป็นจิตตะนั้นก็หาใช่เพราะพญางูเผือกถูกเก็บอยู่ในห้องหับมิดชิด มิได้ปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่านในเวลากลางคืนได้ เมื่อรำลึกได้ดังนี้ทรงเบิกพระเนตรขึ้น แล้วผินพักตร์ไปยังที่มาของเสียง
ฉับพลันนั้นพระเทวีผู้ทรงสิริโฉมแม้ยามสรง ก็ต้องตกพระทัยจนตะลึงนิ่งอึ้งชะงักวรกายไป เรียวโอษฐ์อิ่มสีชาดนั้นเผยอค้าง แต่หาได้มีสุรเสียงใดเล็ดลอดออกมา เมื่อทอดพระเนตรเห็นวรองค์สูงสง่า และดวงพักตร์งามปานสลักเสลาของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏขึ้นกลางสายน้ำนั้น
"ภูวิษะเจ้า!!"
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++