 
ความคิดเห็นที่ 19 |
การปฏิสนธิของสัตว์เป็นสิ่งแก้ไขไม่ได้ จะเป็นเช่นนั้นไปจนกว่าจะสิ้นภพนั้น เมื่อปฏิสนธิ จะมี "เพศภาวะ" กำหนดขึ้นในขณะปฏิสนธิ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพศของบุคคล "แปลง" ไม่ได้ เพราะมี "ภาวรูป" แสดงเพศ ปรากฏอยู่ในทุกๆ เซล แม้ความไม่มีเพศ คือไม่มีภาวรูปอยู่เลย ก็ถือเป็นเพศ(ไร้เพศ)ที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
พระบัญญัติทรงห้ามบรรพชานั้น กำหนดหมายเอาผู้ที่ไม่มี ปุริสภาวรูป คือไม่มีภาวะบุรุษเพศ ไม่ได้ขึ้นกับรสนิยมหรือรูปแบบในการเสพกาม ที่เกิดความเร่าร้อนอย่างหนึ่ง ดับได้ด้วยการกระทำหนึ่ง ฯลฯ
กะเทยบางประเภท ที่เรียกว่า อุภโตพยัญชนก นั้นมีความพิสดารในการปรากฏเพศ เช่นเกิดเป็นชาย แต่เมื่อเกิดความยินดีในบุรุษ องค์กำเนิดก็จะ "แปลงร่าง" กลายเป็นหญิง
คำตอบรับขณะทำพิธีอุปสมบท พระอุปัชฌาย์ถาม "ปุริโสสิ๊" การจะตอบ "อามะ ภันเต" ก็ขึ้นกับผู้ตอบว่า พูดตามจริงหรือไม่ การสำเร็จเป็นภิกษุ ก็ขึ้นกับการประกาศเจตนานั้นเอง ถ้าเขาปิดบังอำพรางไว้ คือมุสา - การบวชนั้นก็ไม่สำเร็จแก่เขา
เกี่ยวกับชายที่มีรสนิยมทางเพศเป็นเกย์ ยินดีในบุรุษเพศด้วยกัน ถ้าเขาเป็นบุรุษ รู้ตระหนักว่าขณะนั้น ตัวเป็นบุรุษ ก็ตอบไป ก็ไม่มีปัญหา
ปัญหามีอยู่ว่าในทางหลักการ หรือทฤษฎี พวกอุภโตพยัญชนก อาจแปลงร่างในท่ามกลางพิธีโดยไม่มีใครรู้ก็เป็นไปได้ เช่น อยู่ต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์หรือพระหัตถบาสมีรูปงาม ชายนั้นเกิดหวั่นไหวยินดี พลันนั้น องค์กำเนิดก็แปลงไปเป็นเครื่องเพศสตรี แต่ก็เป็นไปโดยที่ผู้อื่นไม่รู้ เพราะอยู่ภายในเครื่องนุ่งห่ม.. ขณะนั้นคำถาม "ปุริโสสิ๊" เขาก็ตอบออกไปว่า "อามะภันเต" เขาก็ย่อมจะไม่สำเร็จเป็นภิกษุ แม้ว่าเนื้อหนังจะเป็น ปุริสภาวรูป (ดูคำอธิบายในอรรถกถาข้างบน จะเห็นว่าท่านกำหนดอธิบายไว้แล้ว - ลิงฺค ได้แก่ รูปร่างสัณฐานที่บอกเพศ ที่มีมาแต่เกิด อธิบายว่าถ้าปฏิสนธิเป็น ปุริสภาวรูป ขณะเมื่อคลอด องค์กำเนิดย่อมเป็นบุรุษแน่นอน แม้จะเป็นอุภโตพยัญชนกก็ตาม)
สรุปว่า ผู้บวชย่อมจะรู้อยู่ว่า เขาเป็นใคร
การที่จะมีความปรารถนาที่จะ เอาปากอมองคชาติของบุรุษอื่น ฯลฯ หรือได้เห็นบุรุษอื่นแล้ว เกิดริษยา (ใครลองอธิบายซิ) ฯลฯ ความเร่าร้อนจึงสงบไป การเสพความพึงใจในกาม จะเป็นการอ้าอมองค์กำเนิด หรือให้องค์กำเนิดล่วงทวาร ฯลฯ ก็เป็นเรื่องกรรมบันดาลให้เกิดความปรารถนา เกิดตัณหาผุดขึ้นในใจ เป็นความเร่าร้อน กรณีก็ไม่ต่างจากบุรุษปกติ เร่าร้อนเมื่อนึกถึงสตรี
เป็นเรื่องทางใจที่ต้องระงับดับด้วยใจ แต่ไม่ได้เป็นเครื่องขัดขวาง ห้ามบรรพชา
กล่าวสำหรับสตรี เช่นในยุคที่ภิกษุณียังไม่ขาดสูญ หากหญิงที่ยินดีแต่หญิงด้วยกัน แต่เมื่อแรกปฏิสนธินั้นเป็น "อิตถีภาวรูป" คือเป็นเพศหญิง และขณะที่กล่าวตอบปวัตตินีหรืออุปัชฌาย์ฝ่ายหญิง ขณะนั้น "รูปร่างสัณฐานที่บอกเพศ" ยังเป็นหญิง หญิงนั้นย่อมอุปสมบทเป็นภิกษุณีได้ (กรณีหากหญิงนั้นเป็น อิตถีอุภโตพยัญชนก แปลงร่างได้ เมื่อหญิงนั้นยินดีในสตรีด้วยกัน องค์กำเนิดก็จะผันแปรแปลงร่างกลายเป็น "องคชาติ" ขึ้นมาฉับพลันทันใด)
ทั้งกรณีบุรุษและสตรี จะเห็นได้ว่า แม้แต่การแปลงร่างขององค์กำเนิดที่เกิดขึ้นในเวลาข้างขึ้นข้างแรม ไม่ได้เกิดจากขณะที่มีความยินดีทางเพศ คือจะมีหรือจะไม่มีอารมณ์เพศกับเพศเดียวกันก็ตามที แต่เมื่อถึงข้างขึ้นข้างแรม ก็เป็นอันแปลงร่างเมื่อนั้น กรณีนั้น (อรรถกถา) ยังว่า ห้ามบวชเฉพาะ "ปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์" เท่านั้น นั่นคือถ้าไม่ได้แปลงร่าง ก็บวชได้
สรุปได้ว่า แม้เป็นอุภโตพยัญชนก อันเป็น "กะเทยในอุดมคติ" ก็ยังบวชได้ เพราะความข่มกลั้นระงับกิเลสในใจ มิให้เกิดความยินดีทะยานขึ้นมาครอบงำใจ การแปลงร่าง แปลงองค์กำเนิดให้ผันแปรเปลี่ยนเพศฉับพลัน ก็จะไม่ปรากฏขึ้นเลย ตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้ จึงไม่สำคัญว่าเขาปฏิสนธิเป็นกะเทยหรือไม่
สำคัญตรงที่ ภาวรูป ที่มีแต่กำเนิด และ รูปสัณฐานบ่งบอกเพศในขณะแสดงเจตนาขอบวช เป็นเพศอะไร
---------------------
กำลังจะโพส เผอิญได้เห็น #18 คุณมหาวิหารตอบคุณชาล้นถ้วย
เรื่องของลูกชายของโสไรยเศรษฐี กลับเพศเป็นหญิง กัมมัชรูป ทำให้องค์กำเนิดแปลงไปเป็นหญิง แต่ "ภาวรูป" ยังคงเป็น ปุริสภาวรูป แม้องค์กำเนิดจะกลายร่างเป็นหญิงไปแล้ว ภาวรูป เป็นลายพิมพ์ถาวรที่ปรากฏในทุกอณูเนื้อกาย จะไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เลย ทำนองเดียวกับการปฏิสนธิเป็น ทวิเหตุกบุคคล แม้จะกระทำความเพียรอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้คุณลักษณะเปลี่ยนแปลงไปเป็น ติเหตุกบุคคล
( หมายเหตุ การปฏิสนธิเป็น "ทวิเหตุกบุคคล" ไม่อาจบรรลุฌาน บรรลุมรรคผล ได้เลยในภพนั้น )
แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 54 20:38:00
แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 54 16:35:05
แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 54 16:30:11
แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 54 16:27:37
จากคุณ |
:
ระนาดเอก
|
เขียนเมื่อ |
:
11 เม.ย. 54 16:25:00
|
|
|
|