ต้องขอออกตัวก่อนว่า ภาษาที่ผมใช้ในบทความนี้อาจจะสวิงสวายในบางส่วน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการไม่ให้บทความมันออกแนววิชาการน่าเบื่อ แต่ถ้าสามารถทำให้ผู้อ่าน อ่านไปยิ้มไปหัวเราะไปด้วยได้ รวมถึงผมสามารถโน้มน้าวให้ผู้อ่าน"เห็น"ในสิ่งที่ผมอยากจะสื่อสารได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของผม ไม่เสียทีนั่งพิมพ์อยู่นานสองนาน
การปฏิรูปที่ดิน: การทะลวงคอขวดที่ปิดกั้นศักยภาพของไทยสู่สถานะประเทศชั้นนำด้านแหล่งอาหาร-พลังงานทดแทน-การท่องเที่ยวของโลก
ผมขึ้นชื่อเรื่องบทความของตนเองแบบนี้คงทำให้หลายคนสงสัยและกังขาว่า "จริงเร้อ?" " 'เว่อร์ไปเปล่า?" แต่หากผมจะขอสำทับต่อไปว่า
"ผู้นำของประเทศคนใดทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นจริงได้ ผู้นำท่านนั้นจะกลายเป็นรัฐบุรุษ/รัฐสตรีในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอนาคต และพรรคการเมืองใดที่สามารถผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นความจริงได้ พรรคการเมืองนั้นจะกลายเป็นตำนานของการเมืองไทยในอนาคตที่จะถูกจดจำไปชั่วลูกชั่วหลานด้วยเช่นกัน!"
หากผมจะกล่าวเช่นนี้ด้วยล่ะ..จะว่าอย่างไร? จริงหรือไม่จริงขอให้เรามาตรองดูกันด้วยเหตุผลนะครับ
1. โจทย์ปัญหาสำคัญเรื่องที่ดินในประเทศไทย
ที่ดินเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของฐานชีวิตสำหรับทุกคนและมีอยู่จำกัด ดังนั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าที่ดินเป็นสินค้าเสรีเหมือนสินค้าทั่วไปในตลาดทุนนิยมเสรี การที่รัฐและอำนาจทุนเข้าถือครองที่ดินอย่างไม่จำกัด สร้างความเหลื่อมล้ำให้สังคมอย่างใหญ่หลวง มีที่ดินจำนวนมากที่ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า เพราะรัฐครอบครองโดยไม่ใช้ประโยชน์ หรือ ผู้อำนาจทุนถือครองเพื่อเก็งกำไร สูญเสียกำลังการผลิตทางเศรษฐกิจจากที่ดินประเภทนี้ไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็มีเกษตรกรไร้ที่ทำกินหรือมีที่ทำกินไม่เพียงพอจำนวนมาก จนต้องเช่าที่ดินอันเป็นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และไม่สนใจหรือไม่มีอะไรจูงใจให้อยากจะพัฒนาคุณภาพของที่ดินเพื่อการเกษตร ที่ดินมีราคาแพงจนประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก
ในความเป็นจริง กลไกตลาดไม่เคยทำงานอยู่ในสุญญากาศ แต่ทำงานอยู่ท่ามกลางเงื่อนไขและกติกาหนึ่งๆเสมอ เงื่อนไขและกติกาเกี่ยวกับการจัดการที่ดินในประเทศไทยก่อให้เกิดการกระจุกตัวของที่ดินในมือคนกลุ่มน้อย จึงเกิดข้อเสนอว่าจำเป็นต้องแก้ไขเงื่อนไขและกติกาเกี่ยวกับการจัดการที่ดิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการเกษตรของประเทศ โดยฝากภาระการสร้างความมั่นคงด้านอาหารทั้งของครอบครัวและของสังคมโดยรวม ไว้กับเกษตรกรรายย่อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งมีจำนวนอยู่ถึง 40 กว่าล้านคนทั่วประเทศ ให้สามารถพัฒนาไปสู่อาชีพที่มีความมั่นคงและมีรายได้ไม่น้อยไปกว่าภาคการผลิตอื่นๆ
2. การปฏิรูปที่ดินเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญไปสู่สังคมไทยยุคใหม่ ทำให้สามารถแซงหน้าแม้แต่ประเทศญี่ปุ่นได้ในอนาคต
เอาอีกแล้ว...หลายคนชักสงสัยว่าผมขึ้นไตเติลแต่ละที "ทั้งเว่อร์ & ฝันเฟื่องไปหรือเปล่า?" ผมก็อยากจะตอบว่า นี่แหละครับคือปัญหาของสังคมไทยและของคนไทย พวกเราส่วนใหญ่ไม่มีจินตภาพหรือถูกกดอยู่ด้วยทัศนคติและค่านิยมในสังคมไทยยุคเก่าบุราณกาล ทำให้คิดว่าประเทศไทยเรามันก็ได้แค่นี้แหละ ไอ้ประเทศกำลังพัฒนา ที่พยายามจะซอยเท้ายิก ทำท่าอยากจะเป็นประเทศชั้นนำในภูมิภาคซะเหลือเกิน แต่ดันย่ำต๊อกอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้เพราะเราเชื่อว่า "เรามันก็ได้แค่นี้"
จนเดี๋ยวนี้มาเลเซียแซงหน้าเราไปแล้ว เวียดนามก็กำลังหันมามองเราอย่างยิ้มกริ่มและวิ่งแซงหน้าเราไป แม้แต่ลาว/เขมรก็ทำท่ามองมาที่เรา โดยคิดในใจว่า "อย่าเผลอเชียวนะเมิง..เดี๋ยวตูแซงแน่ๆ ฮ่าๆๆ" เพราะทรัพยากรธรรมชาติในประเทศเขายังมีอยู่มากที่รอการพัฒนา อย่าคิดเชียวนะครับว่า แม้แต่ประเทศลาวก็ไม่อาจแซงเราได้...ไม่จริงเลย หากเรายังติดอยู่กับปัญหาการเมืองย่ำอยู่กับที่อยู่แบบนี้ เราติดแง่กอยู่ในหล่มความขัดแย้งทางการเมืองมา 5-6 ปีจนแขกมาเลย์กับพี่เวียตแซงหน้าเราไปแล้วครับ และหากเราไม่สามารถทะลวงคอขวดที่ขวางการพัฒนาเรื่องที่ดินของเราไปไม่ได้ รับรองในอนาคตเราต้องเรียกพี่ลาวกับน้องไทย แทนพี่ไทยน้องลาวอย่างในปัจจุบันแน่ๆ
ทำไมการปฏิรูปที่ดินจึงเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญไปสู่สังคมไทยยุคใหม่ ทำให้เราสามารถแม้แต่จะแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นได้ในอนาคตล่ะ? สังคมไทยเราเปรียบได้กับปิระมิดครับ พวกเราที่เป็นชนชั้นกลางอยู่ตรงกลางของตัวปิระมิด โดยมีชาวไร่ชาวนาและผู้ใช้แรงงานที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นฐานของปิระมิด กับคนอีกจำนวนน้อยที่ถือครองที่ดินจำนวนมากอยู่บนยอดปิระมิด ผมเป็นวิศวกรผมจึงอธิบายได้ง่ายมากๆ
เราลองนึกถึงตึกสูงสัก 100 ชั้นสิครับ หากฐานรากของตึกไม่แข็งแรง/ไม่มั่นคง พอโดนกระแสแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวเข้าไปก็ทำท่าสั่นไหวและล้มครืนลงมาแล้ว ฉันใดก็ชั้นนั้น ฐานรากของตึกสูงก็คือคนชั้นล่างคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกกดอยู่ครับ หากคนเหล่านี้ไม่มีเศรษฐกิจหรือความมั่นคงที่ดีพอ ตึกที่เราอาศัยอยู่(คือประเทศไทยเรา)จะตั้งตระหง่านอยู่ได้อย่างไร? แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวก็เหมือนกระแสความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในยุคโลกาภิวัฒน์
นั่นแหละครับ หากเศรษฐกิจชุมชนฐานรากของประเทศเราเข้มแข็ง ต่อให้มีอีก 10 วิกฤติเศรษฐกิจโลก ก็ไม่อาจ\"สะเทือนซาง\"ประเทศไทยหรือตึกไทยของเราได้ครับ แต่หากเรายังไม่ทะลวงคอขวดตรงนี้ของเราไปได้ เราก็เตรียมตัวร้อนๆหนาวๆกับความอ่อนไหวของโลกโลกาภิวัฒน์ อย่างที่กำลังเกิดกับประเทศกรีซและไอร์แลนด์อยู่ในเวลานี้ ในอนาคตได้เลยครับ (เรายังไม่ลืมฝันร้ายในปี 40 กันใช่ไหม?)
ปัญหาความไม่มั่นคงของคนรากหญ้านำมาซึ่งปัญหาสังคมอื่นๆ ต่อเนื่องเป็นปัญหาลูกโซ่\"แบบจัดเต็ม\"ให้สังคมไทยเราเลยครับ ปัญหาผลผลิตทางการเกษตรน้อย ข้าวราคาแพง น้ำมันปาล์มขาดและราคาแพง ปัญหายาเสพติด/อาชญากรรมก็ตามมาติดๆ ก็คนเขาไม่มีทางออกนี่ครับ ไม่มีที่ทำกิน ไม่มีโอกาสทางสังคม เมื่อขายยาได้เงินมาก คนก็กล้าเสี่ยงทำ ปัญหาอุบัติเหตุทางรถยนต์ ปัญหาไอ้บ้าคลั่งยาเอามีดจี้คอเด็กเป็นตัวประกัน ปัญหาโสเภณี ปัญหาคนแห่เข้ามาทำงานในเมืองจนแออัด ฯลฯ โอ้ย..อีกสารพัดปัญหาวิ่งตามมาติดๆ
เห็นไหมครับว่า ปัญหาคนรากหญ้าไม่มีที่ทำกิน/ที่ดินหลุดจากมือ มันนำมาซึ่งปัญหาทางสังคมต่อเนื่องแบบจัดเต็มให้สังคมไทยอย่างไร? ไม่ต้องรู้เรื่องทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกก็สามารถเข้าใจเรื่องพื้นๆแบบนี้ได้
3. สังคมไทยต้องการจินตภาพร่วมกันของคนไทยในการกระทุ้งคอขวดที่กีดขวางศักยภาพของประเทศ
คนไทยเราไร้จินตภาพแบบคนในประเทศพัฒนาแล้วจริงๆ ประเทศในยุโรปมีกติกาทางสังคมที่ทำให้ช่องว่างทางสังคมหรือความเหลื่อมล้ำทางสังคมเกิดขึ้นได้น้อย เขาจึงเจริญรุ่งเรืองได้มากกว่าเรา ไม่ใช่เพราะเขาเก่งกว่าเราหรือเขาวิเศษกว่าเราเลย แต่เพราะสังคมของเขามีกฎหมายและกติกาที่ทำให้คนรวยกับคนจนในสังคมมีฐานะต่างกันไม่มาก ผิดกับคนจนบ้านเราที่มีหนี้สินอีรุงตุงนัง ไม่มีทางออก ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งเสียที่ทำกิน/ที่ดินหลุดจากมือ
ท่านอ.หมอประเวศ..ปรมาจารย์ทางสังคมของใครหลายๆคน ท่านและคณะปฏิรูปฯก็พยายามอย่างเหลือเกินที่จะขอร้อง/อ้อนวอนให้เศรษฐีคนไทย"ยอม"คายที่ดินในมืออกมาเพื่อสังคม (ดูใน http://www.prawase.com ได้ครับ) แต่ผมอยากแสดงความเห็นว่า เศรษฐีทั้งหลายท่านจะไม่คายที่ดินหรอกครับ "อ๊ะ..ทำไมฉันต้องมาคงมาคายที่ดินที่เป็นของฉันด้วยล่ะ?..เอ๊อ...เรื่องไรล่ะ? เรื่องไรๆ" จนกว่าเราจะทำให้ท่านเกิดจินตภาพอันบรรเจิดร่วมกัน หากประเทศไทยเรากลายเป็นประเทศมหาอำนาจขนาดย่อมๆของโลกได้
แน๊ะ...ว่าไปนั่น เอ้า..จริงๆนะครับ ผมอยากถามกลับว่า ประเทศไทยขาดศักยภาพตรงไหนที่จะขัดขวางไม่ให้เราเป็นมหาอำนาจได้ ในอนาคตโลกจะก้าวสู่ยุคสังคมอาหารและพลังงานแบบเต็มตัวในเวลาอีกไม่เกิน 10 ปีครับ ดังนั้น วิสัยทัศน์ประเทศไทย 2020 ของเราควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด!
-เรามีทั้งแผ่นดินที่โยนเมล็ดอะไรไปตรงไหนมันก็ทำท่าจะแตกหน่อแทงยอดเป็นต้นไม่ใหญ่ขึ้นมาได้ ประเทศยุโรปมีแบบนี้อย่างเราไหม? แล้วแบบนี้ฐานะมหาอำนาจทางด้านอาหารมันจะไปไหนเสีย?
-เรามีทั้งทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทยที่รอเราไปขุดขึ้นมา (ภายหลังเจรจาร่วมค้าร่วมใช้ประโยชน์กับเขมรได้สำเร็จ)
-เรามีพืชให้พลังงานอย่างมันสำปะหลัง ฯลฯที่ทำเป็นพลังงานชีวมวลได้แบบไม่รู้จบ (หากเราจัดการและรักษาที่ดินของเราดีๆ) เรามีแสงแดดส่องจ้าทั่วประเทศ ร้อนกันจนบ่นโอ๊ย..ร้อนอิ๊บอ๋ายไทยแลนด์ แต่ในอนาคตอันใกล้หากเซลแสงอาทิตย์ถูกพัฒนาให้มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ หากเราส่งเสริมการวิจัยในด้านนี้ของเราเอง เราจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางพลังงานของโลกได้นะครับ
-ฯลฯ
4. สังคมไทยสมัยใหม่ในฐานะมหาอำนาจด้านอาหาร-พลังงานทางเลือก-การท่องเที่ยวของโลก
แต่ทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดที่ผมเล่ามาให้ฟังมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยในขณะนี้ เพราะคนไทยเรา ใจเล็ก-จิตแคบ-วิชั่นไม่กว้างไกล-ไร้จินตภาพของสังคมไทยสมัยใหม่ร่วมกัน ไงครับ? ฝรั่งมันถึงกระแนะกระแหน and ดูถูกเราว่า ประเทศไทยเราอะไรๆก็ดีไปหมดเลย มีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่เสียอย่างเดียวประเทศไทยดันมีคนไทยอาศัยอยู่... เจ็บไหมครับพี่น้องเอ๊ยยยย...?
มันจะไม่ดีกว่าหรือครับ หากเรามีที่ดินรกร้างในมือหรือที่ดินรอให้ราคามีสูงๆ/ถนนตัดผ่าน ลดน้อยลง แต่เราได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยยุคใหม่ที่เจริญผิดหูผิดตา เศรษฐกิจรากหญ้าเข้มแข็ง/ชุมชนพอเพียง ฐานรากตึกมั่นคง ฮ่าๆๆ ตูไม่ต้องกลัวไอ้บ้าจอร์จ โซรอซกับไอ้ไอเอ็มเอฟมันเข้ามาทึ้งประเทศอีกแล้ววววว....
สังคมไทยยุคใหม่ที่ได้รับการปฏิรูปที่ดิน เราจะมีข้าวและผลิตผลการเกษตรกินอย่างเหลือเฟือ เราเป็นมหาอำนาจทางอาหารของโลก อาชญากรรมเราน้อยลง ส่งลูกส่งหลานไปเรียนหนังสือเราก็ไม่ต้องห่วงอาชญากรรม ไม่ต้องกังวลถึงไอ้บ้าที่มันไม่รู้เดินมาจากไหนก็เอามีดมาจี้คอลูกหลานเรา เรามีเมืองที่มั่งคั่งเพราะเก็บภาษีได้มาก ซุ้มประตูแบบยุโรปรึ ถนนปลอดฝุ่นรึ ถนนไร้สายไฟฟ้ารึ ตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่สวยๆรึ ทำไมเราจะสร้างหรือมีขึ้นไม่ได้ แถมของเราสวยวิจิตรปราณีตกว่า มันทำได้หมดแหละครับ ถ้าประเทศเรามั่งคั่งขึ้นมา
เมื่อท่านๆปล่อยที่ดินออกมาเพื่อกระจายจัดสรรให้คนจนได้ใช้ประโยชน์ กรุงเทพรถมันก็จะได้ไม่ติดเพราะเรากระจายเมืองออกไปต่างจังหวัด ต่อไปไม่ใช่แค่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรจะศิวิไลซ์นะครับ ต่างจังหวัดก็เป็นเมืองได้ครับ ผมเป็นวิศวกรนี่ผมเห็นโอกาสที่ดีของเมืองไทยเรามากมายก่ายกองเลยในอนาคต หากเราจัดสรร/กระจายที่ดินออกไปได้ เมืองไทยเรามีศักยภาพทางการท่องเที่ยวเพียงพอที่จะทำให้เราเป็นมหาอำนาจทางด้านการท่องเที่ยวได้ด้วยครับ (ลองดูตัวอย่างใน http://topicstock.pantip.com/chalermkrung/topicstock/2008/09/C7021657/C7021657.html จริงๆยังมีอีกมากนะครับ เมืองร็อคนี่แค่ตัวอย่างเดียวเท่านั้น)
ในอนาคตอีกไม่นาน ถ่านหิน-ก๊าซธรรมชาติ-น้ำมันมันจะหมดไปจากโลกครับ ประเทศตะวันออกกลางจากเสือมันจะกลายเป็นลูกแมว แต่ประเทศไทยเราเพิ่งเจอน้ำมันและกาซธรรมชาติ แถมเรามีพืชทางเลือกให้พลังงาน เรามีแสงอาทิตย์ที่เราบ่นในตอนนี้ว่าร้อนอิ๊บอ๋าย แต่ในอนาคตอันใกล้เราจะกลายเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานทางเลือกด้วยครับ
5. มรรควิถีเพื่อการอัพประเทศไทยขึ้นสู่สถานะประเทศชั้นนำในภูมิภาคหรือของโลกนี้ได้
ปัญหาการเมืองในปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่แก้ได้ง่ายมากเลยครับ เพียงแต่เราหันหน้าเข้าหากัน เรามาร่วมกำหนดบทบาทที่พอเหมาะพอดีของแต่ละภาคส่วน ของคนแต่ละสีในสังคมไทย เราเป็นพี่น้องบนแผ่นดินของพ่อหลวงเดียวกันนะครับ (ดูได้ใน http://topicstock.pantip.com/rajdumnern/topicstock/2011/06/P10675120/P10675120.html
เรามามองข้ามช็อตไปที่การเดินหน้าปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ร่วมกันเลยดีกว่าครับ เบื่อและ...ประเภทย่ำต็อก/ซอยยิกอยู่กับที่ แต่เราจะมาร่วมจับมือกันเดินไปข้างหน้าพร้อมกันดีกว่าครับ
-ร่วมมือร่วมใจให้การสนับสนุนการปฏิรูประบบข้อมูลที่ดินเพื่อการเกษตร และการปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่ของประเทศ
-ให้การสนับสนุนและเห็นดีเห็นงามกับการกำหนดเพดานการถือครองที่ดินที่เหมาะสม
-ร่วมมือในการกำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร และคุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
-เห็นดีเห็นงามกับการออกกฏหมายภาษีที่ดิน (และภาษีมรดก หากเป็นไปได้)
-ให้ความสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตรอย่างแข็งขัน
รัฐควรจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตรขึ้นเพื่อนำเงินไปซื้อที่ดินที่ถือครองเกินขนาดจำกัด หรือที่ดินซึ่งเป็นหลักประกันหนี้เสียของธนาคาร ซึ่งควรจะมีราคาถูกลงอย่างรวดเร็ว เมื่อกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดิน หรือภาษีทรัพย์สินที่ก้าวหน้าได้เริ่มใช้บังคับ ธนาคารที่ดินย่อมบริหารที่ดินซึ่งได้มานี้กระจายไปยังเกษตรกรไร้ที่ทำกินหรือมีไม่พอได้ ในขณะเดียวกันธนาคารก็ยังอาจมีส่วนช่วยให้เกษตรกรเข้า ถึงแหล่งทุนได้ในปริมาณที่จำเป็น และด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นไปได้ในการประกอบการด้านการเกษตร เช่น ร่วมค้าประกันหนี้กับสถาบันการเงินให้เกษตรกร
กองทุนธนาคารที่ดินควรมีโครงสร้างการบริหารแบบกระจายอำนาจ ในระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับชาติ (แต่สามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสด้วย) เพื่อกระจายภารกิจความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมไปยังชุมชนและท้องถิ่นทุกระดับการปฏิรูปการจัดการที่ดิน เพื่อการเกษตรให้มีความเป็นธรรมในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากข้อเสนอเบื้องต้นดังกล่าวนี้แล้ว สังคมยังอาจมีข้อเสนออื่นๆ ตามมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งยังต้องมีการดำเนินการด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น การกระจายอำนาจการตัดสินใจไปสู่ประชาชนและท้องถิ่น การเสริมความเข้มแข็งของภาคประชาชน
การเปิดโอกาสให้ประชาชนและชุมชนสามารถร่วมกันบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากร ตลอดจนการพัฒนาองค์กรประชาชนให้เป็นกลไกสำคัญของการปฏิรูปที่ดินและจัดการที่ดิน อันเป็นฐานชีวิตของตนเอง (ที่มา: http://www.thaireform.in.th/news-highlight/item/5853-2011-05-15-16-09-02.html
6. บูรณาการนโยบายของรัฐ แบบขับเคลื่อนนโยบายเป็นองค์รวมไปพร้อมๆ กัน
การปฎิรูปใหญ่ที่ดินของประเทศ เข้ากั๊นเข้ากัน ทั้งสอดรับและขับเคลื่อนไปพร้อมกันได้อย่างเป็นบูรณาการเลยครับ ทั้ง
-สร้างที่พักหนี้ให้เกษตรกร
-เพิ่มรายได้/เพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนอย่างป็นระบบ นอกเหนือไปจากการประกันรายได้
-กองทุนตั้งตัวได้ ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย แต่สำหรับพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศด้วย
-กองทุนหมู่บ้าน
-OTOP แบบปูพรมทั่วประเทศของจริง เมื่อมีที่ดินและโอกาสให้คนไทยรากหญ้าทั้งประเทศ
-ควรให้ศก.ชุมชนเชื่อมโยงนโยบายรัฐบาลใหม่
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310546913&grpid=00&catid=&subcatid=
-ฯลฯ
การขับเคลื่อนการทำงานเพื่อสานนโยบายให้เป็นรูปธรรมแบบองค์รวมพร้อมๆกันไป ต้องการการทำงานแบบเอาพื้นที่ เอางานและเป้าหมายเป็นตัวตั้ง แต่โครงสร้างราชการในการบริหารราชการแผ่นดิน ทำงานแบบเอากรมกองเป็นตัวตั้ง ปัญหาหนึ่งๆต้องการความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน ยกตัวอย่างปัญหาน้ำท่วมต้องความร่วมมือจาก
-การพยากรณ์และตรวจตามพายุจากกรมอุตุนิยมวิทยา (กระทรวงไอซีที)
-การบริหารจัดการ กักเก็บ/ผันผลักดันน้ำของกรมชลประทาน (กระทรวงเกษตรฯ)
-การตรวจตามน้ำหลากโดยอาศัยสถานีโครงข่ายแบบรีลไทม์ของกรมทรัพยากรน้ำ-กรมชลประทาน-กรมพัฒนาที่ดิน
-การแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม โดยกรมน้ำฯ กรมชลฯ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(กระทรวงมหาดไทย) กรมโยธาธิการ(งานเมืองเทศบาลต่างๆ)
-การเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสพอุทกภัย โดยกรมป้องกันฯ และกองทัพภาค
เห็นไหมครับ งานๆเดียวใช้กรมกองจากต่างกระทรวงตั้ง 4-5 กระทรวง หากทำงานโดยระบบวิธีแบบราชการไม่มีวันทันกาลได้เลย หน่วยงานต่างๆต้องได้รับนโยบายจากภาครัฐให้เอางานเป็นตัวตั้ง กรมกองเป็นเพียงหน่วยต่างๆ ที่เข้ามาทำงานร่วมกัน จะใช้วิธีราชการไม่ได้เด็ดขาด แล้วมันก็เป็นแบบนี้ในทุกๆเรื่องทุกๆปัญหา
--------------------------------------------------------------
ท่านครับ... ในอดีตเราบางคนอาจถูกมองเป็นจำเลยของสังคม โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีมากๆที่ท่านจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เปลี่ยนสถานะของท่านและครอบครัว รวมไปถึงพรรคการเมือง จากจำเลยสังคมได้กลายเป็นรัฐบุรุษ/รัฐสตรีและตำนานของการเมืองไทยในอนาคตก็คราวนี้แหละครับ
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 22:59:40
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 22:23:11
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 22:22:14