....ความหมายของสักกายทิฏฐิ ถ้าดูตามที่แยกแยะออกมาตามตำรา ได้แก่ สักกายทิฏฐิ ๒๐ คือ ความเห็นผิดในขันธ์ ๕ รวม ๒๐ อย่าง .... ได้แก่ มีความเห็น ๔ อย่างต่อขันธ์ทั้ง ๕ เช่น เห็นตนเป็นรูป เห็นรูปเป็นตน เห็นตนมีในรูป เห็นรูปมีในตน ( เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ..ก็ทำนองเดียวกัน)
....อันนั้นคือท่านแยกแยะแจกแจงความหมายออกมาตามอาการของขันธ์ทั้ง ๕
แต่จุดเริ่มต้นที่เป็นรากเหง้าของสักกายทิฏฐิ ก็คือ อาการหลงที่เกิดจากการรวมตัวของ "ตัวจริง" กับ "ตัวปลอม" มาสวมรวมซ้อนเป็นตัวเดียวกัน
"ตัวจริง" ในความหมายนี้ หมายถึงอะไรอย่างหนึ่งที่มีความมั่นคง คงที่ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หลวงปู่มั่นเรียกตัวนี้ว่า "ฐีติภูตัง" ,หลวงตามหาบัว เรียกตัวนี้ว่า "จิตที่ไม่ตาย" ..หรือครูบาอาจารย์อื่นๆอาจจะใช้คำเรียกแตกต่างกันออกไป "ตัวปลอม" ในความหมายนี้ หมายถึงจิตและอาการของจิตที่เกิดๆดับๆอย่างรวดเร็วตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อภิธรรม นั่นแหละ
"ตัวจริง" กับ "ตัวปลอม" ที่ว่านั้นมันรวมกันมาแต่ปางไหน นานกี่แสนโกฏิอสงไขยกัปล์ก็ไม่อาจจะรู้ได้ แต่"ตัวจริง"จะคงที่ ส่วน"ตัวปลอม" จะเปลี่ยนแปลงเกิดๆดับๆไปตลอดเวลา .... เมื่อใด "ตัวปลอม" ดับไป ตัวจริงจะแสวงหา "ตัวปลอม" ตัวใหม่อีกเรื่อยๆ ด้วยการสร้าง "ตัวปลอม" ตัวใหม่ขึ้นมา นี่คือการเวียนว่ายตายเกิดไปในภพน้อยภพใหญ่ ในวัฏฏะสงสารนั่นแหละ อันนี้แหละ{{ เทียบกันได้จากบทนี้จากธรรมบท ในพระสูตร ดังนี้คือ ....
อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ คหการกํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา. เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยว ไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์๑- แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว, ท่านจะทำเรือน อีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่๒- ของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือน เราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่อง ปรุงแต่งแล้ว, เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว. }}...
...คืออาการของ ตัณหา หรือ โลภเจตสิก เริ่มที่จุดนี้เอง คือการแสวงหาภพชาติไปเรื่อยๆๆๆ เพราะ"ตัวจริง" ยังไม่รู้ความจริง เพราะโดนอวิชชาครอบงำไว้ ... อาการหลงของ "ตัวจริง" ที่ไปสวมในตัวปลอม รวมเป็นเนื้อหนึ่งอันเดียวกับ "ตัวปลอม" นี่แหละที่เรียกว่าอวิชชาที่เป็นต้นเหตุของสังขารทั้งปวง .. การที่"ตัวจริง" ไปหลง "ตัวปลอม" ที่ตนเองสร้างขึ้นโดยที่ไม่รู้ว่า ที่แท้แล้ว"ตัวปลอม" ที่ตนสร้างขึ้นนั้นแหละเป็นผลงานการสร้างของตนแท้ๆ แล้วยังหลงเพิ่มไปอีกว่า "ตัวจริง" ของตนก็คือ "ตัวปลอม" ก็เลยเกิดความหลงผิด เข้าใจผืดว่า ตัวตนที่แท้จริงของตนก็คือ "ตัวปลอม" ตัวนี้เอง ....อาการทั้งหมดนี้แหละ ที่กลายเป็น สักกายทิฏฐิ ๒๐ ขึ้นมาในใจสัตว์ทั้งหลาย ... ต่อเมื่อวันใด อริยมรรคเกิดขึ้น เกิดมรรคญาณที่มีหัวหอกคือสัมมาทิฏฐิแทงทะลุลงไปถึงตรงนี้ ก็จะแยก "ตัวจริง" ออกมาจาก "ตัวปลอม" ลักษณะอันนี้ที่ทางสายปฏิบัติอุทานกันว่า "ถึงบางอ้อ" คือ รู้ความจริงขึ้นมาว่า "อ้อ อย่างนี้นี่เอง..." ตอนที่ "ตัวจริง" แยกออกมาจาก "ตัวปลอม" นี้ ที่ภาษาในตำรากล่าวว่า เกิดมรรคจิต นิพพานมาเป็นอารมณ์ของมรรคจิต ...อาการต่างๆ เหมือนที่บอกไว้คร่าวๆแล้วใน คห. ที่ 201 ข้างบนนั่นแหละ เปรียบเทียบเสมือนเราเอามือเรายื่นควานออกไปไปข้างนอก เพื่อหาตัวเราว่าตัวเราอยู่ไหน ก็ย่อมหาไม่เจอตัวเราสักที จนวันหนึ่งเราใช้มือนั้นวกย้อนมาจับตัวเราเอง เมื่อนั้นเราจะรู้ว่า "อ้อ..ตัวเราอยู่ตรงนี้เอง ไม่น่าควานหา งมหา ไปตั้งนาน" ... ทำนองเดียวกัน เมื่อใดที่ "ตัวจริง" มันเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ตัวมันเองนั่นแหละคือตัวจริงของมันเอง จากขณะเวลานั้นต่อมา มันก็หายจากความหลงแล้ว จะไม่หลงไปสร้างตัวปลอมอีก และจะไม่หลงว่าตัวปลอมนั้นคือตัวจริงของมัน แบบที่เคยหลงมานับภพชาติไม่ถ้วน อาการอันนี้คืออาการที่สักกายทิฏฐิหายไป เพราะรู้ความจริงขึ้นมา
( บรรยายเปรียบเทียบ พอคร่าวๆ ให้เป็นภาพขึ้นมา หวังว่าพอจะเข้าใจบ้าง ) แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 07:25:48 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 07:23:44 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 21:46:34 จากคุณ | : ศิษย์พระป่า | เขียนเมื่อ | : วันวิสาขบูชา 54 20:28:53 | | |
|