ความคิดเห็นที่ 1 ท่านอาแมท ที่เคารพรัก คุณอาเขียนได้ถูกต้องครับ สมบูรณ์ 100 %  เอกองค์อัลเลาะห์(ซบ) คือพระผู้เป็นเจ้า ที่มุสลิมเรายอมกายถวายชีวิตเพื่อพระองค์ พระเจ้าคือผู้ทรงให้บังเกิด พระผู้ทรงให้ และเป็นพระผู้อภิบาลของเรา พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆจากสรรพสิ่งในโลกนี้และจักรวาล พระผู้เป็นเจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงมุสลิม แม้นมุสลิมทั้งโลกไม่ละหมาด ไม่ถือบวช ไม่ทำฮัจย์ พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้ละลายและมลายไป พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้ละลายไป ด้วยการดังนี้ จึงแยกเป็นสองส่วน เปรียบดังเสมอ พ่อแม่ และตัวเรา พ่อแม่ของเราท่านให้เราด้วยความรักมิใช่หน้าที่ เราเป็นลูก ถ้าไม่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ความเป็นผู้ให้การบังเกิดของพ่อแม่ ก็มิได้ละลายไป แต่สิ่งที่เราผู้ซึ่งเป็นผู้ถูกให้กำเนิด เป็นจิตสำนึกของเรา ที่เราจะต้องตอบแทนบุญคุณท่าน ดูแลท่าน แม้นท่านไม่ต้องการก็ตาม การที่ใครทนคนอื่น ด่าพ่อแม่เรา ทั้งที่พ่อแม่เรามีแต่ให้ เป็นพ่อแม่ที่ดี ตลอดเสมอมา โดยที่เรามิได้ออกมาปกป้องเกียตรื ของพ่อแม่เรา กลับนิ่งดูดาย ให้คนอื่นย่ำยีพ่อแม่เราดดยไรความเป้นธรรม เราผู้เป็นลูก สามารถทนได้หรือ เราผู้เป็นลูกได้ทำหน้าที่ในการปกป้องพ่อแม่เราหรือยัง สิ่งเหล่านี้คือจิตสำนึก ของความเป็นคน ที่เราพึงกระทำ ต่อผู้มีพระคุณ วันนี้มุสลิมในนี้ ได้ลุกขึ้นมาเพื่อรักษาเกียตริภูมิ ของเราในฐานะประชาชาติมุสลิม เราไม่อาจนิ่งดูดายต่อการกระทำของเหล่าทรชนคนชั่วที่มาย่ำยี ศาสนาและพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้เทิดทูนเหนือหัว ถึงแม้นว่าเราไม่ออกมาปกป้องเกียตริไม่ออกมาดำเนินการใดๆ พระเจ้าไม่มีวันที่จะมาลายสิ้นไป แต่สิ่งที่มลายสิ้นไปคือตัวเราที่เราสูญเสียความเป็นคนไป  มิได้กระทำหน้าที่ของความเป็นคน ที่พึงสำนึกต่อพระผุ้มีพระคุณให้เราได้เกิด ได้ลืมตาดูโลกในสถานะมุสลิม และเรามุ่งหวังที่จะตายภายใต้สถานะว่า"มุสลิม"     แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 16:32:11 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:06:58

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าตังคำถามเกียวกับพระเจ้า มุสลิมที่มีความรุ้จะยินดีอย่างยิ่ง เพราะจะได้มีดอกาศพิสูจนืให้ต่างศาสนิกได้รับรุ้การมีอยุ่ของพระเจ้าโดยใช้องค์ความรุ้สมัยใหม่มาพิสุจน์คัมภียืกรุอานเพื่อยืนยัน แต่ถ้าล้อเลียนพระเจ้า นั้นเป็นเรื่องที่เรายอมไม่ได้ เราต้องแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วย เพียงแต่ต้องอยู่ในกรอบของศาสนา    มุสลิมยอมไม่ได้เพราะเรารักพระเจ้าที่สุดรักยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง   108. และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขอ(*1*) อื่นจากอัลลอฮ์ แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการละเมิด(*2*) โดยปราศจากความรู้ ในทำนองนั้นแหละ เราได้ให้สวยงามแก่ทุกชาติ(*3*) ซึ่งการงานของพวกเขา และยังพระเจ้าของพวกเขานั้น คือการกลับไปของพวกเขา แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน” (1)  หมายถึงบรรดาเจว็ดหรือคนขอและผู้อันได้แก่โต๊ะวะลีและโต๊ะกะร่อมัติ เป็นต้น (2)  คือละเมิดขอบเขตแห่งอำนาจและการเป็นพระเจ้าของพระองค์ (3)  หมายถึงแก่บุคคลในทุกชาติที่ไม่ศรัทธาต่อนะบีของเขา โดยเห็นชอบต่อสิ่งที่ชัยฏอนชี้นพวกเขา จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:15:54

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่าบ่างเรื่องไม่ถุูกบ่างเรื่องก็ถูก  มันผสมกันอยู่ ไม่ถึงกับถูกหมด ผมไม่เห็นด้วยกับข้อความเหล่านี้ "ความเชื่อของมุสลิมในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย"   แต่ถ้าเราไปเปิดคัมภียืดูเราจะพบคำจำนวนมาก ที่พระเจ้าถ้าทายผู้อ่านคัมภีย์ให้พิสูจนืคัมภีย์ของพระองค์ "คัมภีร์ (อัลกุรอาน) เราได้ประทานลงมาให้แก่เจ้าซึ่งมีความจำเริญ เพื่อพวกเขาจะได้พินิจพิจารณาอายาต(โอการ)ต่างๆของอัลกุรอานและเพื่อปวงผู้มีสติปัญญาจะได้ใคร่ครวญ" (อัลกรุอาน บทศอด :29) "ความเชื่อศรัทธาต่อพระเจ้าบังคับให้มุสลิม,จำเป็นต้องป้องกันพระเจ้าในทุกๆกรณี" พระเจ้าไม่ได้เรียกร้อง แต่เพราะมุสลิมรักพระเจ้าอย่างหมดหัวใจ ท่านลองคิดดูถ้ามีใคร ไปด้่าพ่อแม่ท่านว่า ไอ้....  ไปด่าว่า.......  ละก็วาดภาพล้อเลียนที่อุบาสแม่ท่านกำลัง....กับหมา กับบิดาของท่านท่านจะอยู่เฉยไม่ ถึงแม่พ่อแม่ท่านห้ามไว้ท่านก็ยอมไม่ได้อยู่ดี   แล้วภาษาอะไรกับมุสลิมที่รักพระเจ้ายิ่งกว่าชีวิตของของเค้าและคนที่เค้ารัก จะนั้งอยู่เฉยๆปล่อยให้วาดรู้อุบาส กล่าวเสียๆหายๆ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:35:03

ความคิดเห็นที่ 4 ถามหน่อยเถิด คุณแมทท์ไม่เคยตั้งคำถามในใจเลยหรอว่าจริงๆแล้วพระเจ้ามีอยู่จริงรึเปล่า เวลาเรียนหรืออ่านหนังสือเกียวกับวิทยาศาสตร์ เช่น บิงแบง พวกแนว ทฤษฎีสัมพันทภาพ พวกแนวควันตัม ไม่เคยรุ้สึกตั้งคำถามในใจบ้างหรอ ว่าตกลงมันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ หรือมีผูบงการ ที่มีอำนาจทำถุกสิงทุอย่าง หรือมหาพรมเป็นผู้สร้าง  หรือเทวดาช่วยกันสร้าง จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:41:56

ความคิดเห็นที่ 5 เหนื่อยหน่ายกับ login โกหก นี่จริงๆ การดูหมิ่นและเหยียดหยามพระเจ้าของมนุษย์นั้นไม่ได้เกิดจากความคิดอ่านของ ผุ้กระทำผิดมารยาทสังคม แต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์เองที่บันดาลให้เกิดขึ้น  ทั้งนี้เพราะว่ามุสลิมศรัทธาว่าพระเจ้าเป็นผุ้สร้างและให้จิตวิญญาณ ต่อมนุษย์ พระองค์จึงทรงมีอำนาจใน การควบคุมความรู้สึกนึกคิดหรือ ดลใจให้ผู้นั้นกระทำเพื่อพิสูจน์ในความศรัทธาที่แท้จริงของมุสลิมต่อพระองค์      ถ้ามุสลิมอ่านข้อเขียนของผมในกระทู้นี้ซึ่งเข้าใจยากเนื่องจากการใช้ภาษาของผม โปรดตั้งคำถามเพื่อผมจะได้อธิบายเพิ่มเติม  แต่มุสลิมผู้ใดเข้าใจที่ผมเขียนแล้ว เขาจะไม่มีความจำเป็นที่จะโต้ตอบ ผู้ที่ดูหมิ่นความศรัทธาต่อพระเจ้าเลย และจะเอาเวลาที่ถกเถียงกันนี้ไปทำประโยชน์ หรือการกุศลอย่างอื่นจะได้ประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์มากกว่าการ โต้เถียง แบบ “ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่” แบบเมื่อเราอยู่ในสมัยเด็กๆ  ซึ่งจะเพิ่มการแตกร้าวระหว่างสมาชิกในห้องนี้เพิ่มขึ้น และไม่หมดสิ้น แปลว่า ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องปกป้องศาสนา ดูดาย? นี่แหละครับการบ่อนทำลายอิสลามจริงๆ เอางี้ เราสามารถบอกได้ว่า การปฏิเสธพระเจ้าการ ไม่รู้จักพระเจ้า นั้นไม่ได้เกิดจากความคิดอ่านของ ผุ้กระทำผิดมารยาทสังคม แต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์เองที่บันดาลให้เกิดขึ้น   แล้วก็ไม่ต้องเรียกร้องเชิญชวนหรือไงครับ? แต่พระองค์ทรงลงกุรอานแก่เราว่า 22:67. สำหรับทุก ๆ ประชาชาติเราได้กำหนดพิธีทางศาสนาขึ้นโดยที่พวกเขาปฏิบัติพิธีนั้น(*1*) ดังนั้นคนหนึ่งคนใดอย่าได้โต้แย้งเจ้าในกิจการนั้น และจงเรียกร้องเชิญชวนไปสู่พระเจ้าของเจ้า(*2*) แท้จริงเจ้านั้นอยู่บนแนวทางที่เที่ยงธรรม แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 16:46:35 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:46:03

ความคิดเห็นที่ 6 Normally, when I meet an atheist, the first thing I like to do is to congratulate him and say, " My special congratulations to you", because most of the people who believe in God are doing blind belief - he is a Christian, because his father is a Christian; he is a Hindu, because his father is a Hindu; the majority of the people in the world are blindly following the religion of their fathers. An atheist, on the other hand, even though he may belong to a religious family, uses his intellect to deny the existence of God; what ever concept or qualities of God he may have learnt in his religion may not seem to be logical to him. My Muslim brothers may question me, "Zakir, why are you congratulating an atheist?" The reason that I am congratulating an atheist is because he agrees with the first part of the Shahada i.e. the Islamic Creed, ‘La ilaaha’ - meaning ‘there is no God’. So half my job is already done; now the only part left is ‘il lallah’ i.e. ‘BUT ALLAH’ which I shall do Insha Allah. With others (who are not atheists) I have to first remove from their minds the wrong concept of God they may have and then put the correct concept of one true God. LOGICAL CONCEPT OF GOD My first question to the atheist will be: "What is the definition of God?" For a person to say there is no God, he should know what is the meaning of God. If I hold a book and say that ‘this is a pen’, for the opposite person to say, ‘it is not a pen’, he should know what is the definition of a pen, even if he does not know nor is able to recognise or identify the object I am holding in my hand. For him to say this is not a pen, he should at least know what a pen means. Similarly for an atheist to say ‘there is no God’, he should at least know the concept of God. His concept of God would be derived from the surroundings in which he lives. The god that a large number of people worship has got human qualities - therefore he does not believe in such a god. Similarly a Muslim too does not and should not believe in such false gods. If a non-Muslim believes that Islam is a merciless religion with something to do with terrorism; a religion which does not give rights to women; a religion which contradicts science; in his limited sense that non-Muslim is correct to reject such Islam. The problem is he has a wrong picture of Islam. Even I reject such a false picture of Islam, but at the same time, it becomes my duty as a Muslim to present the correct picture of Islam to that non-Muslim i.e. Islam is a merciful religion, it gives equal rights to the women, it is not incompatible with logic, reason and science; if I present the correct facts about Islam, that non-Muslim may Inshallah accept Islam. Similarly the atheist rejects the false gods and the duty of every Muslim is to present the correct concept of God which he shall Insha Allah not refuse. (You may refer to my article, ‘Concept of God in Islam’, for more details) QUR’AN AND MODERN SCIENCE The methods of proving the existence of God with usage of the material provided in the ‘Concept of God in Islam’ to an atheist may satisfy some but not all. Many atheists demand a scientific proof for the existence of God. I agree that today is the age of science and technology. Let us use scientific knowledge to kill two birds with one stone, i.e. to prove the existence of God and simultaneously prove that the Qur’an is a revelation of God. If a new object or a machine, which no one in the world has ever seen or heard of before, is shown to an atheist or any person and then a question is asked, " Who is the first person who will be able to provide details of the mechanism of this unknown object? After little bit of thinking, he will reply, ‘the creator of that object.’ Some may say ‘the producer’ while others may say ‘the manufacturer.’ What ever answer the person gives, keep it in your mind, the answer will always be either the creator, the producer, the manufacturer or some what of the same meaning, i.e. the person who has made it or created it. Don’t grapple with words, whatever answer he gives, the meaning will be same, therefore accept it. SCIENTIFIC FACTS MENTIONED IN THE QUR’AN: for details on this subject please refer to my book, ‘THE QUR’AN AND MODERN SCIENCE – COMPATIBLE OR INCOMPATIBLE? THEORY OF PROBABILITY In mathematics there is a theory known as ‘Theory of Probability’. If you have two options, out of which one is right, and one is wrong, the chances that you will chose the right one is half, i.e. one out of the two will be correct. You have 50% chances of being correct. Similarly if you toss a coin the chances that your guess will be correct is 50% (1 out of 2) i.e. 1/2. If you toss a coin the second time, the chances that you will be correct in the second toss is again 50% i.e. half. But the chances that you will be correct in both the tosses is half multiplied by half (1/2 x 1/2) which is equal to 1/4 i.e. 50% of 50% which is equal to 25%. If you toss a coin the third time, chances that you will be correct all three times is (1/2 x 1/2 x 1/2) that is 1/8 or 50% of 50% of 50% that is 12½%. A dice has got six sides. If you throw a dice and guess any number between 1 to 6, the chances that your guess will be correct is 1/6. If you throw the dice the second time, the chances that your guess will be correct in both the throws is (1/6 x 1/6) which is equal to 1/36. If you throw the dice the third time, the chances that all your three guesses are correct is (1/6 x 1/6 x 1/6) is equal to 1/216 that is less than 0.5 %. Let us apply this theory of probability to the Qur’an, and assume that a person has guessed all the information that is mentioned in the Qur’an which was unknown at that time. Let us discuss the probability of all the guesses being simultaneously correct. At the time when the Qur’an was revealed, people thought the world was flat, there are several other options for the shape of the earth. It could be triangular, it could be quadrangular, pentagonal, hexagonal, heptagonal, octagonal, spherical, etc. Lets assume there are about 30 different options for the shape of the earth. The Qur’an rightly says it is spherical, if it was a guess the chances of the guess being correct is 1/30. The light of the moon can be its own light or a reflected light. The Qur’an rightly says it is a reflected light. If it is a guess, the chances that it will be correct is 1/2 and the probability that both the guesses i.e the earth is spherical and the light of the moon is reflected light is 1/30 x 1/2 = 1/60. Further, the Qur’an also mentions every living thing is made of water. Every living thing can be made up of either wood, stone, copper, aluminum, steel, silver, gold, oxygen, nitrogen, hydrogen, oil, water, cement, concrete, etc. The options are say about 10,000. The Qur’an rightly says that everything is made up of water. If it is a guess, the chances that it will be correct is 1/10,000 and the probability of all the three guesses i.e. the earth is spherical, light of moon is reflected light and everything is created from water being correct is 1/30 x 1/2 x 1/10,000 = 1/60,000 which is equal to about .0017%. The Qur’an speaks about hundreds of things that were not known to men at the time of its revelation. Only in three options the result is .0017%. I leave it upto you, to work out the probability if all the hundreds of the unknown facts were guesses, the chances of all of them being correct guesses simultaneously and there being not a single wrong guess. It is beyond human capacity to make all correct guesses without a single mistake, which itself is sufficient to prove to a logical person that the origin of the Qur’an is Divine. CREATOR IS THE AUTHOR OF THE QUR’AN The only logical answer to the question as to who could have mentioned all these scientific facts 1400 years ago before they were discovered, is exactly the same answer initially given by the atheist or any person, to the question who will be the first person who will be able to tell the mechanism of the unknown object. It is the ‘CREATOR’, the producer, the Manufacturer of the whole universe and its contents. In the English language He is ‘God’, or more appropriate in the Arabic language, ‘ALLAH’. QUR’AN IS A BOOK OF SIGNS AND NOT SCIENCE Let me remind you that the Qur’an is not a book of Science, ‘S-C-I-E-N-C-E’ but a book of Signs ‘S-I-G-N-S’ i.e. a book of ayaats. The Qur’an contains more than 6,000 ayaats, i.e. ‘signs’, out of which more than a thousand speak about Science. I am not trying to prove that the Qur’an is the word of God using scientific knowledge as a yard stick because any yardstick is supposed to be more superior than what is being checked or verified. For us Muslims the Qur’an is the Furqan i.e. criteria to judge right from wrong and the ultimate yardstick which is more superior to scientific knowledge. But for an educated man who is an atheist, scientific knowledge is the ultimate test which he believes in. We do know that science many a times takes ‘U’ turns, therefore I have restricted the examples only to scientific facts which have sufficient proof and evidence and not scientific theories based on assumptions. Using the ultimate yardstick of the atheist, I am trying to prove to him that the Qur’an is the word of God and it contains the scientific knowledge which is his yardstick which was discovered recently, while the Qur’an was revealed 1400 year ago. At the end of the discussion, we both come to the same conclusion that God though superior to science, is not incompatible with it. SCIENCE IS ELIMINATING MODELS OF GOD BUT NOT GOD Francis Bacon, the famous philosopher, has rightly said that a little knowledge of science makes man an atheist, but an in-depth study of science makes him a believer in God. Scientists today are eliminating models of God, but they are not eliminating God. If you translate this into Arabic, it is La illaha illal la, There is no god, (god with a small ‘g’ that is fake god) but God (with a capital ‘G’). Surah Fussilat: "Soon We will show them our signs in the (farthest) regions (of the earth), and in their own souls, until it becomes manifest to them that this is the Truth. Is it not enough that thy Lord doth witness all things?" [Al-Quran 41:53] [Please also visit the section Especially for those with a Curious Mind ]  by Dr. Zakir Naik จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:12:06

ความคิดเห็นที่ 7 ด้วยความนับถือคุณจิมเช่นกัน  ความรักความศรัทธาต่อพระองค์อัลลออ์นั้นเป็นความรักศรัทธาต่อ เอกพลานุ ภาพ ซึ่งมีอำนาจสูงสุด ทางจิควิญญาณ ซึ่งอำนาจนี้ไม่มี อะไรที่จะยิ่งใหญและ ทำลายล้างได้  แต่ความรักความกตัญญูต่อพ่อแม่เราเป็นสภาวะของมนุษย์ ซึ่ง อำนาจและพล กำลัง จะทดถอยไปตามอายุไข และลูกๆก็จะเจริญเติบโตขึ้นมา และด้วยความ กตัญญู รู้คุณ ตามสัญชาติญาณ ลูกจะปกป้อง เกียรติ, ชื่อเสียง,ศักดิ์ศรี และวงศ์ ตระกูล ไม่ให้ผุ้ใดมนุษย์ด้วยกัน ดูหมิ่นท่านทั้งสองได้ นั้นคือความรู้สึกของมนุษย์ และเป็นแนวทางที่พระเจ้าบัญญัติไว้ให้มนุษย์เราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าเราไม่ ปกป้องเกียรติ, ชื่อเสียง,ศักดิ์ศรี ของพ่อแม่เราแล้ว, นั้นคือตัวเราที่เราสูญเสีย ความเป็นคนไป มิได้กระทำหน้าที่ของความเป็นคน ที่พึงสำนึกต่อพระผุ้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิดเรามา เพราะท่านทั้งสองไม่มีพลานุภาพเทียบเคียงพระเจ้า ตามที่ผมเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า; "ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วมันเป็นจริตของมนุษย์ที่เกิดความโกรธแค้นในเมื่อมี ผู้มาดูถูกและยั่วยุ,ในทางตรงกันข้ามพิสูจน์ให้เห็นว่า,”มุสลิม เราไม่แน่ใจในความ ศรัทธต่อพระเจ้าว่าเป็นความจริงหรือไม่เราจึงมีความโกรธแค้น?”  ในประวัติศาสตร์ มีผุ้คนที่เชื่อศรัทธาต่อพระเจ้าได้สูญเสียชีวิตนับไม่ถ้วนเพื่อ  ป้องกันเกียรติของพระเจ้า แต่ก็ไม่อาจจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้ การที่พระเจ้า  ทดลองความศรัทธาของเราว่า เชื่อฟังตามแนวทางของพระองค์หรือไม่ โดยดล  ใจให้ มนุษย์ดูหมิ่นพระองค์ ก็เพื่อให้มุสลิมฝึกหัดความอดทน และความมีสติ ถ้า  เรา ควบคุมอารมณ์และสติไม่ได้แสดงว่า เรายังไม่เดินตามแนวทางที่ถุกต้อง และ  ความศรัทธาของเราสั่นคลอน     เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ พระเจ้าต้องการให้อิสลามเป็น  สิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของมวลมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ความอดทนจึงเป็นสิ่ง  สำคัญมากที่มุสลิมจะต้องมี เพื่อสร้างความเป็นที่นับถือให้กับตัวเรา และเป็นที่รัก  ใคร่ ทั้งมิตรและศัตรู พระเจ้าทรงหยั่งรู้ดีถึงความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อพระองค์  แต่พระองค์ต้องการให้มุสลิมฝึกฝนในเรื่องนี้ให้มากๆ จนเป็นนิสัย,สิ่งที่กล่าวมานี้  อยู่ในหลักคำสอนของอิสลามทั้งนั้น  ผมหวังว่าคุณจิมคงเข้าใจที่ผมกล่าว ปล.   หลักการของ กลุ่ม อัซ-ซาบิกูน ในประเทศไทย นั้นควรนำไปใช้ในสมัย1400 ปี   มาแล้ว ในระยะเวลาที่สังคมยังไม่เจริญพอไม่เหมาะกับ มุสลิมในปัจจุบัน ใน   ความเห็นส่วนตัวผม เพราะมีแต่ความรุนแรง และ บางครั้ง หลอกลวงสังคม   และเห็นแก่ตัว ดูถูกเหยียดหยาม ความศรัทธาของผู้ที่มีความคิดไม่ตรงกับกลุ่ม   ถ้ามุสลิมในเวบนี้มีความรู้ภาษาอังกฤษอย่างดีแล้วจะหาบทความดีๆอ่านประดับ   ความรู้ได้มากจากอินเทอเนท  ถ้าเข้าใจว่า "GOD IS"  เขาจะปราศจากความ   เขลา และไม่ถูกหลอกลวงอย่างง่ายดาย  "จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกเจ้าจงนำหลักฐานของพวกท่านมาถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง" (2:111) จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:14:08

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ  ใจนิ่ง เอามาแปะเสียยาว อ่านรู้เรื่องหรือเปล่า สงสาร คนที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งบ้าง, คุณรู้เรื่องช่วย แปลเป็นภาษาไทยดีกว่า ผู้ที่ไม่เข้าใจ ไวยกรณ์ อังกฤษจะได้เข้าใจได้ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:17:52

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องที่ผมเขียนนี้ไม่มีสิ่งใดที่ต่อต้านมุสลิม ถ้าผู้ใดยังต้องการจะฟาดฟันกับผู้ใดเชิญตาม สบายครับแต่ไม่ใช่ในกระทู้นี้ เพราะผมจะไม่ มีการตอบโต้กับ  ill-mannered ของผู้ใด   ถ้าผู้ใดอยากเรียนไวยกรณ์อังกฤษ เพื่อประ  โยชน์ในการเข้าใจ อัลกุรอานภาษาอังกฤษ  ให้ถูกต้องผมยินดีที่จะช่วยเท่าที่รู้ แต่ขอให้  มีความสุภาพ อย่างผู้ที่ได้รับการอบรมณ์ที่ดี แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 17:34:14 แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 17:31:37 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:29:29

ความคิดเห็นที่ 10 คุณใจนิ่ง.. คุณถามผมว่า.. ความคิดเห็นที่ 4 MsgStatus(Msv[4], 4); ถามหน่อยเถิด คุณแมทท์ไม่เคยตั้งคำถามในใจเลยหรอว่าจริงๆแล้วพระเจ้ามีอยู่จริงรึเปล่า เวลาเรียนหรืออ่านหนังสือเกียวกับวิทยาศาสตร์ เช่น บิงแบง พวกแนว ทฤษฎีสัมพันทภาพ พวกแนวควันตัม ไม่เคยรุ้สึกตั้งคำถามในใจบ้างหรอ ว่าตกลงมันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ หรือมีผูบงการ ที่มีอำนาจทำถุกสิงทุอย่าง หรือมหาพรมเป็นผู้สร้าง  หรือเทวดาช่วยกันสร้าง จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 16:41:56    เคยครับเมื่อตอนอายุเท่าๆคุณ แต่ผมไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องแม้แต่จาก มุสลิม เช่นคุณและ ผู้รู้ของคุณ    ถ้าผมถามคุณว่า พระเจ้าคืออะไร?  คุณจะตอบให้เข้าใจได้อย่างสั้นๆว่าอย่างไร? โดยไม่ชักแม่น้ำทั้ง 5,  คุณเองไม่ใช่หรือที่เข้าใจว่าพระเจ้า ของ ยิว, คริสเตียน และ ฮินดู เป็นพระเจ้าองเดียวกันกับ พระเจ้าที่"มุสลิม" เชื่อถิอศรัทธา ความคิดเห็นที่ 21 MsgStatus(Msv[21], 21);   ความคิดเห็นที่ 19 MsgStatus(Msv[19], 19); ..... ส่วนนายซากริไนค์ ในกระทู้ดังกล่าว ก็ อ.ชลิตเมืองไทยนะแหละครับ เค้าเคยอ้างว่า พระพุทธเจ้าเชื่อว่ามีพระเจ้า กล่าวว่าพระศรีอาริยเมตตรัยคือ นบีมูฮัมหมัด รึเคยอ้างว่า พระเยซูเรียกตนว่า บุตพระเจ้า นบีมูฮัมหมัดก็ใช่ จนโดนคนทำคลิปแก้ออกมา ซึ่งตอนนี้ก็มาว่าฮินดูก็พระเจ้าองค์เดียว เฮ่อ ศาสนเปรียบเทียบ กับ ศาสนเบี่ยงเบนมันคนละแบบกัน ใครเชื่อก็เอา แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 19:47:28       ความคิดเห็นที่ 9 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11988064/Y11988064.html MsgStatus(Msv[9], 9); ปัจจุบัน ก็เป็นที่ทราบ กันแล้ว ว่าพระเจ้าผู้ทรงอำนาจ ของ ยิว คริสตื อิสลาม ฮินดูเป็น พระเจ้าองค์เดียวกัน จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 15:17:10  นำเสนอโดย...นายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม เช่นกัน แต่ผมรู้สึกว่า คุณใจนิ่งจะได้รับความรู้ที่สับสน จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 12:27:37   จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:44:45

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นเหตุผลที่ ไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิงนะครับ กับการอ้างว่า การดูหมิ่นและเหยียดหยามพระเจ้าของมนุษย์นั้นไม่ได้เกิดจากความคิดอ่านของ ผุ้กระทำผิดมารยาทสังคม แต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์เองที่บันดาลให้เกิดขึ้น  ทั้งนี้เพราะว่ามุสลิมศรัทธาว่าพระเจ้าเป็นผุ้สร้างและให้จิตวิญญาณ ต่อมนุษย์ พระองค์จึงทรงมีอำนาจใน การควบคุมความรู้สึกนึกคิดหรือ ดลใจให้ผู้นั้นกระทำเพื่อพิสูจน์ในความศรัทธาที่แท้จริงของมุสลิมต่อพระองค์  คุณกำลังผลักให้เป็นความรับผิดชอบ หรือการกระทำของพระเจ้าเองที่ให้พวกนั้นทำชั่ว ถ้าเช่นนั้น พวกนี้ไม่ต้องรับผิดชอบแล้วใช่ไหม เพราะพระเจ้าดลใจให้พวกมันทำความชั่วเอง? การอ้างแบบนี้ใช้ได้หรือ? นี่หรือความเข้าใจของผู้ที่อ้างตนเป็นมุสลิม? ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นการอนุมัติจากพระเจ้า ใช่ครับถูกต้อง แต่พระองค์ให้อิสระในการเลือกกระทำดี หรือกระทำชั่ว ถ้าคนคนนึงทำชั่ว จะอ้างว่าเพราะพระเจ้าดลบันดาลให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ มันต้องโทษตัวคนผู้นั้นแทน นั่นเพราะคนผู้นั้นกระทำความผิด กระทำบาปโดยตัวเองเลือกเอง เช่นกัน การดูหมิ่นดูแคลนพระผู้เป็นเจ้า มันไม่ทำให้พระเจ้าตกต่ำหรอกครับ แต่มันเป็นหน้าที่ของผู้ที่ศรัทธาในการปกป้องศาสนาของพระเจ้าไว้ให้ไม่ถูกใส่ร้าย บิดเบือน และเหยียดหยาม อีกทั้ง ถ้าเรานิ่งดูดายในกรณีที่ พระเจ้าถูกใส่ร้ายว่า สร้างขึ้นโดยมนุษย์? ก็เท่ากับยอมรับเช่นนั้นหรือ? แล้วถ้ามนุษย์เข้าใจไปผิดๆ ล่ะครับ ไม่เท่ากับเราสนับสนุนให้การกระทำชั่วนั้นแพร่กระจายออกไป หรืออย่างไร อิสลามสอนว่า 1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลาได้ตรัสว่า ความว่า “และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่เชิญชวนไปสู่ความดี และใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบ และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จ”(อาลิอิมรอน : 104) 2. อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลาได้ตรัสว่า ความว่า “พวกเจ้านั้นเป็นประชาชาติที่ดียิ่งซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นสำหรับมนุษยชาติ โดยที่พวกเจ้าใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้ปฏิบัติในสิ่งที่มิชอบ และศรัทธาต่ออัลอฮฺ...”(อาลิอิมรอน : 110) 3. จากอะบีสะอีด อัลคุฎรีย์ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้กล่าวว่าฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมได้กล่าวว่า «مَنْ رَأَى مِنْكُمْ مُنْكَراً فَلْيُـغَيِّرْهُ بِيَدِهِ، فَإنْ لَـمْ يَسْتَطِعْ فَبِلِسَانِـهِ، فَإنْ لَـمْ يَسْتَطِعْ فَبِقَلْبِـهِ، وَذَلِكَ أَضْعَفُ الإيمَانِ». ความว่า “ผู้ใดในหมู่พวกท่านพบเห็นสิ่งชั่วช้าหนึ่งๆ ก็จงเปลี่ยนแปลง (ขจัด) สิ่งนั้นด้วยมือของเขา แต่หากว่าเขาไม่สามารถ (ระงับสิ่งเหล่านั้นด้วยมือ) ก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยลิ้น (วาจา) ของเขา แต่หากเขายังไม่สามารถ (ระงับสิ่งนั้นด้วยวาจา) ก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยจิตใจของเขา (ความรู้สึกที่รังเกียจต่อสิ่งนั้น) และ (การเปลี่ยนแปลงด้วยจิตใจนั้น) นั้นถือว่าเป็นศรัทธาที่อ่อนแอที่สุด” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษที่ 49)     หรือการที่จะให้อดทนนิ่งดูดายการใส่ร้าย ด่าทอพระเจ้านั้น แปลว่า การด่าทอพระเจ้า ไม่ใช่การทำชั่วหรือ? ในสายตาของ login แมทท์ นี่คุณกำลังจะบอกใช่ไหมว่า ไม่ใช่ความชั่วอะไร ในการด่าทอพระเจ้า มุสลิมดูดายไปเถอะ ทั้งๆที่ กุรอ่านสั่งใช้ให้ชักชวนสู่ความดี ยับยั้งจากความชั่ว   แล้วการปฏิเสธศรัทธาล่ะ จะบอกได้หรือว่า เป็นเพราะพระเจ้าดัลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น แบบนั้นเราไม่ต้องไปเผยแผ่ศาสนาหรืออย่างไร? แต่อัลลอฮฺก็ทรงให้เราเชิญชวนมารับอิสลามอยู่ดี         แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 17:46:00 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:45:06

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นได้ชัดว่าพวกเดียวกันกับ ผู้ที่พยายามระรานอิสลาม ปัญหาจริงๆ มันเกิดจากผู้ที่อยู่ไม่สุข พยายาม เข้ามาเบียดเบียนอิสลาม ด้วยการตั้งกระทู้ หรือเข้าไปป่วน ถ้าไม่มีพวกนี้ก็อยู่อย่างสงบได้ login แมทท์ เงียบ แล้วก็กลับมาพยายามบอกให้มุสลิมนิ่งเฉย ดูดายให้พระเจ้าถูกพวกนี้เหยียดหยาม ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์ไม่ทรงตกต่ำ เพราะคำพูดของพวกชั่วทั้งหลาย แต่ความเป็นมุสลิมของคนที่ทนดูการเหยียดหยามนี้อยู่ได้เนี่ย ความเป็นมุสลิมเขาเหลืออยู่เท่าไหร่ เหลืออยู่ไหม ถ้ามีความสามารถในการ ดำเนินการ แต่กลับไม่ทำอะไรเลย? กุรอ่านก็บอกให้เรา ชักชวนสู่ความดี ห้ามปรามการทำชั่ว หรือการด่าทอพระเจ้าไม่ใช่ความชั่วในสายตา ของ login แมทท์ ซ้ำยังให้ร้ายพระเจ้า โยนความผิดให้พระเจ้า ด้วยการบอกว่า เพราะพระองค์ดลบันดาลเสียอีก บอกได้คำเดียวเลยว่า เลวมาก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 17:51:08

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณคุณแมทที่ไปสังเกตเห็นนึกว่าไม่มีใครเห็นซะแล้ว   เรื่องนี้เค้ายืนยันมาแล้ว ต่อน่าประชาชนเป็น หมื่น  ที่อินเดีย ในการดีเบท ซึ่งเป็นการดีเบทระหว่างกูรูของทั้งสองศาสนา ในหัวข้อ The Concept of GOD in Hinduism and Islam in the light of the sacred scriptures  ระหว่าง ดร.ซากิร ไนต์ กับสีสีระวีชากัร จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 20:06:02

ความคิดเห็นที่ 14 ก็สมัยคุณแมทย์ยังไม่มีคนอย่าง ดร ซากริ ไนย์  ยูซุฟ เอสเต   เชคมุอัมหมัดฮัซซาน และ อีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในยุโรป   scholarระดับ top ยุคปัจจุบัน ยุคผมเป้นยุครุ่งเรื่องของ  scholar สายดีเบท สายพิสูจน์ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุโรป   ไม่ใช้สายฟิก ที่มักจะเป็นชาวอาหรับเหมือนในอดีต เพราะพวกเชคอาหรับวันๆไม่ต้องทำอะไรมากแค่สังสอนคนให้เป็นคนดี ซึ่ง แตกต่างจากเชคในยุโรปหรืออินเดียทีวันๆต้องดีเบทกับต่างศาสนิกต้องเผยแพร่ศาสนาทำให้เชคในยุโรปค่อนข้างแอคทีพ และพยายามผลิคตงานทางวิชาการต่างๆทำให้ศาสนาเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการเรียนรุ้และเข้าใจ พระเจ้าคืออะไร?   คำตอบอยู่ในกรุอานในซูเราะฮฺ อัลอิคลาส 1. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ 2. อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นที่พึ่ง 3. พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ 4. และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 20:25:28

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นใจคุณแมทท์ และก็นับถือไปพร้อมกัน ความเห็น อาจแตกต่างกันได้ แต่ความไม่โกรธแค้นของคุณแมทท์ ในหลายๆเรื่อง ทั้งจากต่างศาสนา หรือศาสนาเดียวกัน ทำให้ผมอดนับถือไม่ได้ครับ จากคุณ : yod_envi เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:26:27

ความคิดเห็นที่ 16 มันมีเรื่องเล่าว่า  ผมจำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากไหน มีโจรคนหนึ่ง ไปขโมยและทำร้ายร่างกายเจ้าของบ้าน ขณะที่โดนตำรวจจับ  โจรบอกว่า "จะจับผมทำไม ที่ผมทำลงไป เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า" "ตำรวจ ก็จับขโมยกดหัวลงแล้วพูดว่า การที่ข้ามาจับเอ็ง ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นกัน?" ในเรื่องการจัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านั้น อิสลาม ให้เรา   "แก้ปัญหา ด้วยสิ่งที่ดีกว่า กอ่นจะผิณหลัง " ผมเองก็ยอมรับการแก้ปัญหา ของผมและเด็กๆในนี้ยังมีโทสะอยู่บ้าง แต่ ก็อยู่บนความตั้งใจดีที่ ผมเองก็ใกล้จะปล่อยวางได้แล้ว แต่ยังไม่สุด ยังกดไม่อย่ แต่ปัญหาคือ มันมีประหาประเด็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ เช่นการกล่าวหาชาติพันธ์ การกล่าวหาป้ายสีว่ากอ่การร้าย การกล่าวหาว่ากลับกลอก การกล่าวว่าตั้งป้อมยึดประเทศ การกล่าวหาแบบนี้ เป็นการความผิดระหว่าง มนุษย์กับมุนษย์ ซึ่ง  การผิณหลังให้โดยไม่ทำอะไรเลย ไม่พ้นที่ เราจะยิ่งโดนป้ายสี ตราบใดที่ตัวผู้กระทำผิดยังไม่ถูกนำมาลงโทษ อย่างไรผมก็ทราบดีว่าที่นี่ไม่มีกฏ และ การโจมตีศรัทธาระหว่างกัน เป็นเรื่องทำได้ จึงต้องทำใจและใหอภัยเท่าที่ทำได้ ผมเองอยากให้ลุงแมทท์ Take Action ในส่วนการกล่าวร้ายต่อมสุลิม ที่ขาดหลักฐาน โดยไม่จำเป็นต้องแตะในประเด็นเรื่องพระเจ้า หรือ ช่วยอธิบาย เรื่องนี้ เป็นกระทู้ๆ ไป เพื่อให้ เพื่อนห้องศาสนา อยู่กันอย่างสันติ  แล้วจึงมาห้ามปราม คนที่กำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ให้อยู่ในขอบเขตไม่ทะลุโทสะ สุดท้าย เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่ทำให้ผมมาอยู่ตรงนี้ และตอบโต้กระทู้เหล่านั้น เช่นกัน ตราบใดที่ผมยังยึดในทางเลือกที่พระองค์มอบให้ นั่นคือ  ด้วยสิ่งที่ดีกว่า ส่วนที่สิ่งที่เลวร้ายจากการเลือกของผมนั้น เพราะตัวผมเอง พระองค์ให้ทางเลือกเราแล้ว และ ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ขอลุงแมทท์พิจรณา จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:38:37

ความคิดเห็นที่ 17 และ ผมขอให้มุสลิมที่นี่เอง รวมทั้งตัวผม ช่วยกันลดโทสะ ต่อผู้หยาบคายต่อศรัทธา ผมเองตั้งเบรกไปแล้วว่าจะไม่เข้า กระทู้เจ้า Faraday แต่ทนไม่ได้เพราะ มันดันเล่นใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือนี่ละ ยังไงก็ช่วยกันเตือนนะครับ ผิณหลัง และ โพสสิ่งที่ดีกว่า เป็นกระทู้ๆไป คิดว่าคงจะดีขึ้น ผมเองจะพยายามเช่นกัน ที่จะไม่เข้าไปแตะกระทู้สาดโคลนอีก โฟกัสที่ ให้สิ่งที่ดีกว่าให้มากที่สุด ไปก็แล้วกัน จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:48:25

ความคิดเห็นที่ 18 ผมนับถือคุณแมทท์ในเรื่องนี้  คุณแมทท์ค่อนข้างใช้คำสุขุม ใจเย็นไม่บูมบาม  ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของผมวงการศาสนาในประเทศไทยค่อนข้างเปลียนแปลงไปมากจากอดีตมาก และเปลียนแปลงอย่างรวดเร็วมาก ปัจจุบัน เรามีทีวีดาวเทียมศาสนาถึง สี่ ช่อง เรามีองค์กรเอกชนทางศาสนาต่างๆทีเรียกร้องสิทธิให้กับมุสลิม  และพวกชีอะก็แทบหมดความสำคัญ เนื่องจากคนยุคผมเค้ารุ้จักตับไตใสพุงของนิกายนี้หมดแล้ว สวนแนวคิดอื่นๆก้เช่นกัน เหลือเพียงสอง แนวคิดหลักๆเท่านนั้น คือกลุ่มที่เน้นยึดการตีความในมุสฮับซาฟีอี กับกลุ่มที่เน้นการเดิมตามแนวทางชาวซาลาฟแบบทุกระเบียบนิ้ว ที่ปะทะทางความคิดกันอยุ่ ประกอบกับบรรดานักศึกษายุคปัจจุบันให้ความสนใจในการศึกษาศาสนามากขึน มีการตั้งกลุ่มองคืกรในมหาลัย มีการเขียนหนังสือขาย กันเอง จัดบรรยาย และเรามีเชคระดับโลกอย่างดร.อิสมาแอ ลุตฟี ที่ได้รับเกียรถือกุญแจ ประตูวิหารกะบะห์ด้วยซึ่งมีไม่กีคนในโลกและเป้นผู้ก่อตังมหาลัยอิสลามยะลา หรือเชครีฎอ ที่เป็นลูกศิษของอูลามาชื่อดังในอียิป เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 21:57:24

ความคิดเห็นที่ 19 จริงๆผมก็เห้นด้วยกับคุณแมทท์  ผมเห็นต่างนิดนึงตรงที่ ในฐานะเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ควรจะมีอารมณ์กันได้    จึงน่าจะเป็น การ "ปกป้อง" ว่าคืออะไร มากกว่านะครับ  คือผมหมายถึงว่า วิธีแบบใหนที่ควรจะเป็นการ ปกป้อง จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:21:34

ความคิดเห็นที่ 20 ท่าน Yaoharee ด้วยประโยคของท่านที่มานำเสนอ ***มันมีเรื่องเล่าว่า  ผมจำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากไหน***** มีโจรคนหนึ่ง ไปขโมยและทำร้ายร่างกายเจ้าของบ้าน ขณะที่โดนตำรวจจับ  โจรบอกว่า "จะจับผมทำไม ที่ผมทำลงไป เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า" "ตำรวจ ก็จับขโมยกดหัวลงแล้วพูดว่า การที่ข้ามาจับเอ็ง ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นกัน?" ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ เรื่องนี้ท่านจุฬาต่วนสุวรรณศาสตร์ จุฬาราชมนตรี ได้สนอที่สำนักอันยุมันอิสลาม ตรอกโรงภาษีครับ พี่จิมเรียนมาจากที่นั่นครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ท่านอาแมท ครับ ผมไม่ได้เป็นลูกศิษย์กลุ่ม อัซซาบิกูน ผมเป็นลูกศิษย์จุฬาต่วน อัลมัรฮูม อาจารย์ยะห์ยา ลาตีฟี (รฮ) ท่านอัลมัรฮูม อาจารย์อาบีดีน (รฮ)  อาจารย์ซีฮาบุดดีน  อาจารยือิสมาแอล วิสุทธิปราณี อัลมัรฮูมอาจารย์ซาฟีอี วันแอเลาะ ซึ่งเป้นทั้งครูและมีศักด์ เป้นโตะหยังของผม นักวิชาการใหม่ๆ ผมไม่ได้ปลื้มอะไรนักหนา ยังอีกห่างไกลที่ทำให้ผมยอมรับได้  ต้องรอดูกันต่อไป  ได้แต่นับถือในฐานะเค้าอุทิศตนเพื่อศาสนาอิสลามเท่านั้น ญาตผมหลายคนเป็นโตะครู เป็น บาบอในภาคใต้ เค้านิ่งกว่านี้มากครับ แก้ไขเมื่อ 23 เม.ย. 55 22:50:24 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 22:28:52

ความคิดเห็นที่ 21 ขอทำความเข้าใจไปตามลำดับอาวุโสนะครับด้วยความนับถือในประสบการณ์และผู้ที่มีความจริงใจต่อผม ก่อนอื่น คุณก็ทราบดี ว่าจุดยืนผมในเรื่องศาสนาคงเหมือนเดิมตั้งแต่สนทนาในเวบมรดก และอาจารย์บางท่านในเวบสติวเด้นตั้งแต่ที่พวกเขายังเรียนอยู่ในไคโร อียิปต์       เมื่อรู้จักคุณจิมและได้คุยกันเป็นส่วนตัว ผมก็มีความรักนับถือเหมือนญาติคนหนึ่ง และมีความเกรงใจมากที่จะเขียนอะไรอย่างที่เคยเขียนมาแล้ว เมื่อมีปัญหาและเห็นอะไรที่ ผมเห็นจากภายในสังคมพันทิปนี้, ผมก็โทรมาหาปรึกษากับคุณจิม เพื่อขอให้ร่วมมือในการแก้ปัญหาด้วยกัน ถ้าโทรไม่มีใครรับผมก็หลังไมค์ถึง ซึ่งไม่มีความลับอะไร หรือนินทาผู้ใด     ผมทราบดีว่าคุณจิมอยู่ในฐานะลำบากที่จะยืนอยู่ท่ามกลางความ ยุ่งยากและปัญหาของการพิพาทนี้ อาจจะเพราะความเข้าใจผิดว่ามีกลุ่มทำลายล้างอิสลาม(ซึ่งมุสลิมในที่นี้บางคน รวมผมเข้าไปด้วย) หรือ ผมเองอาจจะมองไม่เห็นและเข้าใจก็ได้เนื่องจากผมไม่จัดเจนในเรื่อง กลยุทธในการใช้บอรด์ เช่นในพันทิปนี้ ทำลายล้างอิสลาม   ผมพยายามติดต่อหลายท่านด้วยมิตรภาพ เพระาอยากทราบสาเหตุในการ โต้ตอบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้   สิ่งที่ผมทราบได้อย่างแน่นอนก็คือ  ไม่มีผู้ใด ในที่นี้ ที่ต้องการทำลายล้างอิสลามและหรือ ต้องการเหยียบย่ำความศรัทธาของมุสลิม อย่างแน่นอน    ผู้ใหญ่ไทยสมัยนี้ผู้มีความรู้และประสบการณ์ ชีวิตก็ไม่แตกต่างจากสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ และคนหนุ่มในสมัยนี้ ก็มีอารมณ์และความรุนแรงในการป้องกันเกียรติของตัวเอง ไม่ต่างไปจากผมและคนรุ่นเดียวกับผมเมื่อสมัยเด็กๆ    ต่างกันที่ เทคโนโลยี ไม่สดวกรวดเร็วและการหาข้อมูล ไม่รวดเร็ว เหมือนในสมัยนี้ เท่านั้น  ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาทางศาสนาเป็นสาเหตุสำคัญ, แต่เป็นปัญหาส่วนตัวบุคคล ซึ่งในการ ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการโต้ระหว่างบุคคล เป็นวิธีที่ ได้ผลดีที่สุดในการเข้าถึงอารมณ์ของกันและกัน   ในการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นอารมณ์ของผู้ศรัทธา เป็นเครื่องมือ ที่มีประสิทธิภาพมากในการ ยั่วยุโทษะของผู้ที่ เผลอตัวไปจากแนวทาง "สันติ" ของหลักศรัทธาของทั้งสองฝ่าย  วิธีการนี้ เป็นวิธีการที่ "ซัยตอน" ทางจิตวิญญาณและ ในร่างมนุษย์ มักจะใช้กันในการทำลายความศรัทธาของ มนุษย์ต่อพระเจ้าและต่อองค์พระศาสดา  ผมจะขอยกตัวอย่างในที่นี้ให้เราเห็นว่า "สมาชิกชาวคริสเตียน" ผู้ซึ่งนับถือพระเจ้าเช่นกัน เช่นเดียวกับผมที่เป็นมุสลิมด้วยความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างมีเหตุผลส่วนตัว และมีคำจัดความของพระเจ้าด้วยความเข้าใจของผมอย่างสั้นๆ, เราไม่มีความโกรธในเมื่อมีผู้กล่าวร้ายดูหมิ่นพระเจ้าหรือพระศาสดา   เนื่องจากผมและเพื่อน ชาวคริสเตียน เข้าใจดีว่า ทั้งพระเจ้าและพระศาสดานั้น อยู่สูงเหนือความชั่วทั้งหลาย ที่จะกระทบกระเทือนต่อคำหยาบคายและการสาปแช่งต่างๆของสามัญชนได้  ซึ่งผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าและเชื่อฟังคำสอนจากพระศาสดาแล้ว ย่อมไม่มีจิตสั่นคลอนต่อ สิ่งเหล่านี้   ผมขอชมเชยพี่น้องชาวคริสเตียนที่มีความศรัทธาใกล้ชิดกับมุสลิมที่สุด รวมทั้งท่านสมาชิกพุทธศาสนิกชนทุกๆท่าน ที่มีความอดทนในเรื่องนี้และวางตัวอย่างสงบและพยายามที่จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ด้วยกัน   การที่ผมกล่าวชมเช่นนี้  ไม่ใช่ว่าผมพยายามจะ  "Kiss Ass" (ผมขออภัยในคำศัพท์) ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ "หาความดีใส่ตัวเอาความชั่วให้ผู้อื่น"  แต่เป็นการนิยมชมชอบในมารยาทและจริยาธรรมของสมาชิกดังกล่าวจากก้นลึกของหัวใจอย่างแท้จริง  เนื่องจากผมได้พบเหตุการณ์เช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ความหยาบคายไม่อาจจะแก้ปัญหาอะไรได้เลย  ซึ่งเป็นความแท้จริง ถ้าเราสามารถอดทนต่อความหยาบคายได้อย่าง 100% แล้วเราจะเป็นผู้ไกล้กับความมั่นคงต่อความศรัทธาของเรามากที่สุดเท่าที่เราสามารถจะไกล้ได้  คุณYaoharee ก็เป็นมุสลิมหนุ่มผู้หนึงที่มีความคิดเป็นผุ้ใหญ่อย่างเต็มที่ ที่ยืนหยัด อยู่ในหลักการของอิสลาม คือความยุติธรรม และพยายามเรียกร้องให้ผมมองความยุติธรรมให้เสมอเหมือนกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งผมก็เคารพในคำขอร้องอย่างสุภาพและมีเหตุผล คุณYaoharee เป็นมุสลิมท่านแรกที่เรียกร้องให้ผมมา "คลุก" กับปัญหานี้ และหาทางปรองดองในเรื่องนี้ สิ่งที่ผมสามารถจะทำได้ ในทางฝ่ายพุทธสมาชิกนั้นก็แค่เพียงติดต่อเพื่อนๆที่รูจัก และสืบเสาะหาสาเหตุในเรื่องนี้ แต่ผมไม่อาจจะไปล่วงเกิน อบรมสั่งสอนผู้ใดได้เพราะผมไม่มีสิทธิทั้งในด้านความศรัทธาและความเป็นญาติพี่น้อง และด้วยมารยาทสิ่งที่ทำได้ก็คือ ขอความร่วมมือในการ ทำให้อารมณ์เยือกเย็นลงของอีกฝ่ายหนึ่ง  สำหรับทางด้านมุสลิมแล้วผมก็มีคุณYaoharee และคุณจิมที่สามารถจะพูดคุยกันได้ แต่มุสลิมผู้อื่นที่ไม่ได้ร่วมในการโต้เถียงและวางตัวเป็นกลาง เขาก็ดูอยู่ห่างๆ เท่าที่เห็น   ส่วนมุสลิมคู่พิพาทนั้น เขาไม่ได้ยอมรับว่าผมเป็นมุสลิมด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่อาจจะติดต่อพูดคุยได้ด้วยเพราะทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่อ้างถูกต้องตามหลักการของอิสลามที่ออกจากสมองของผมกลายเป็นเรื่องโกหกไปหมด,  แต่ในความรู้สึกของผมจากคำกล่าว,ที่นิยมกล่าวกันว่า "มุสลิมเป็นพี่น้องกัน" ทำให้ผมตัดเรื่องส่วนตัวออกและ แสดงความคิดเห็นตามหลักการของอิสลาม คือการลดลาวาศอก ถ้าต่างคนต่างเถียงกันแล้วต่างคนต่างไม่มีโอกาสได้ฟังเหตุผลของกันและกัน  มุสลิมทุกคนต้องเชื่อในกฎแห่งสภาวะการณ์ของพระองค์อัลลอฮฺผู้รู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นและบุคคลใดจะเป็นผู้กระทำ แต่พระเจ้าจะวางเฉยปล่อยให้บุคคลผู้นั้นเลือกทางเองว่าจะปฏิบัติตามทางของพระเจ้า หรือ ทางของ ซัยตอน "การที่มนุษย์ได้กระทำความดี - ความชั่วนั้น พระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ไม่ได้เป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของเขาคนนั้นมาก่อนเลย สิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับการกระทำหรือการตัดสินใจของมนุษย์เอง เพราะพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงให้อิสระและเสรีภาพแก่มนุษย์ทุกคนที่จะเลือกทางเดินของเขาเอง"  ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ผมทำได้คือการเตือนเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะต้องไปร่วมในการโต้เถียงในเรื่องอุปนิสัยส่วนตัวของกันและกันจึงจะเรียกว่าให้ความยุติธรรมต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน สำหรับคุณYaoharee นั้นผมสามารถจะกล่าวต่อกันได้อย่างตรงไปตรงมาตามเนื้อผ้าทั้งหน้ากระทู้และหลังกระทู้ เนื่องจากเขามีความเป็นผู้ใหญ่ที่มีจุดยืนของตัวเอง ไม่ตกกระใดไปตามพวกพ้อง ซึ่งพุทธสมาชิกเกือบทุกๆท่าน ที่สนิทสนมกับผมมองเห็นและเข้าใจในเรื่องนี้   คุณจะเห็นว่าในกระทู้หลังสุดของคุณYaoharee ที่ถูกย้ายไป ผมรู้สึกปิติมากที่คุณYaoharee ได้ทำตามที่ผมแนะนำ คือ ขอเปิดใจสนทนากับคุณ ซามูไรหมูตอน อย่างเปิดเผยและจะรักษาความยุติธรรมให้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด และผมเองก็ติดต่อกับคุณซามูไรเพื่อขอสนทนาด้วย ซึ่งไม่ได้รับคำตอบจากเขา และหวังว่า คุณซามูไร คงให้โอกาสผมได้สนทนากันได้ นี่คือเรืองราวที้งหมดที่ทำให้ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาด้วยใจจริง และในหัวข้อกระทู้นี้ไม่มี ความเท็จ หรือการก้าวร้าวต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระเจ้าองค์เอกพลานุภาพที่มีอำนาจสูงสุด นั้นพระองค์สามารถที่จะอยู่เหนือความชั่วร้ายต่างๆ โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์ผู้ใดมาปกป้องพระองค์ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างและทดลองความอดทนของมนุษย์อยู่ทุกๆวินาฑี ทุกๆลมหายใจ   ในเมื่อมุสลิมมีความศรัทธาเช่นนี้ ว่าชิวิตในดุนยาเป็นเพียงการทดลองความศรัทธาที่แท้จริงต่อพระเจ้าแล้ว  เหตไฉนจึงไม่มีศรัทธาว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นการฝึกความอดทนของมุสลิมโดยพระเจ้า, แต่ปล่อยให้ตัวเองหลงไปแนวทางของ "ซัยตอน" เลือก การวิวาทเป็นทางที่ดีกว่า "ความสันติ" ซึ่งเป็นแนวทางของ อัลลอฮ์ตะอาลา และเป็นหลักการที่สำคัญของอิสลาม   การที่มุสลิมเลือกเชื่อ การทดสอบของพระเจ้าไปตามอารมณ์ของตนเองนั้น แสดงถึงการ ไม่มีอีมา่น หรือความศรัทธาที่มั่นคง และอาจจะตกอยู่ในสภาพของ "มูนาฟิกีน" หรือผู้สับปรับตลบตะแลงได้ โดยไม่ตั้งใจ, ด้วยเหตุนี้ความยุติธรรมที่ผมให้แก่ฝ่ายมุสลิมในที่นี้ต่อผู้ที่ไม่มีความไว้ใจผมก็เพียงแค่นำหลักการของพระเจ้ามาเตือนใจเขาเหล่านั้นเท่านั้น ............. จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 05:45:47

ความคิดเห็นที่ 22 ความคิดเห็นที่ 13   คุณใจนิ่ง    การตัดสินว่าเราจะมีอีม่านหรือความศรัทธาต่อพระเจ้าที่แท้จริงนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่มีผู้ใดมาตัดสินใจหรือบอกเราว่า สภาวะนั้นๆคือพระเจ้า โดยเฉพาะ "ศาสนาหรือลัทธิฮิดูนั้น อัลกุรอานไม่ได้วางรากฐานของอิสลาม บนบรรทัดฐานความศรัทธาของศาสนาฮินดู  มุสลิมจะยึดสิ่งอื่นใดในหลัก "เตาฮีด" ไม่ได้นอกจากอัลกุรอานบัญญัติไว้เท่านั้น     ท่านรอซุลได้รับคำสั่งจากพระองอัลลอฮ์ตะอาลา ให้ยอมรับศรัทธาต่อศาสนาของ ท่านนะบีอิบรอฮิมโดยตรงดังต่อไปนี้    "They said, 'Be you Jews or Christians in order to be guided.' Say, 'We follow the religion of Abraham, monotheism; he never was an idolworshiper.'" (2:135)     "Abraham was neither Jewish, nor Christian; he was a monotheist; a Muslim; he never was an idolworshiper. The people most worthy of following Abraham are those who followed him, and this prophet (Muhammad), and those who believed. God is the Lord of the believers." (3:67-68) "Then we inspired you (O Muhammad) to follow the religion of Abraham, monotheism; never was he an idolworshiper." (16:123)   ถ้ากลุ่ม กลุ่ม อัซ-ซาบิกูน ยึดหลักการและความคิดในการเปรียบเทียบ สภาวะของพระเจ้า เท่าเทียมกับสภาวะพระเจ้าของศาสนาฮินดู ว่าอยู่ในสภาวะเดียวกัน แล้ว หลัก เตาฮีดของ อิสลามจะเปลี่ยนไป เนื่องจาก  Dr Zakir Naik ใช้วิธีเลือกการเปรียบเทียบในสิ่ง ที่ตนต้องการเท่านั้นเพื่อให้ถูกอารมณ์ของชาว ฮินดู เพื่อให้มารับอิสลาม โดยไม่คำนึงถึง อัลกุรอาน  เขาพยายามที่จะ บิดเบนบัญญัติในอัลกุรอานให้ตรงกับ คัมภีร์ของฮินดู โดยใช้ อ้างเเอา   أسماء الله الحسنى หรือ 99 พระนาม  ของอัลลออ์ ในอัลกุรอาน มาเปรียบกับนามที่เรียกพระเจ้าใน ลัทธิฮินดู เป็นการเปรียบเทีบแบบ จับแพะชนแกะ และสรุปเอาเองว่า ดังนั้น พระเจ้าของ "ฮินดูก็คือพระเจ้าที่อิสลามนับถืออยู่ แต่ว่า Dr Zakir Naik ไม่นำเรื่องที่สำคัญในศาสนาฮินดูมาอ้างนั้นคือ Do Hindus Worship Idols?  In Hinduism there are many words to describe the nature of God, and we will refer to them as the need arises, but in this regard, the most relevant word is acintya, which means "inconceivable," "beyond thought." The true nature of God is, therefore, beyond the ability of human beings to understand, yet we have a need to reach out in our mind and try to conceive of God, so we create an image of God in our minds. This mental image of God is an idol. Most people, including Hindus, think of an idol solely as a graven or carved image and, while this is true, an idol is a carved image, it is also a form that begins in the mind. It is a mental form. Consequently, mental forms are also idols. ถ้าเราเข้าใจศาสนาฮินดูโดยละเอียดแล้ว "พระเจ้าของฮินดู" ไม่ใช่พระเจ้าของท่านนะบีอิบรอฮิมตามที่อัลกุรอาร มีคำสั่งให้ท่านรอซุลมูฮัมมัด ศรัทธา การอ้างอิงหลายๆเรื่องใน คลิป นั้น ไม่ต่างจาก คลิปของ นายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม กับนายชลิตเลย  ซึ่งผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณใจนิ่งจึงไม่ฉงนใจบ้างเลยว่า ท่านกูรูทางศาสนาเช่นนายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม จึงไม่มีความละเอียดละออในการ นำวิทยากรมาประกอบการอธิบายศาสนาอิสลามที่ถูกต้องตามหลักการขององค์อัลลอฮ์ตะอาลาที่ทรงบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ความคิดเห็นที่ 13 MsgStatus(Msv[13], 13); ขอบคุณคุณแมทที่ไปสังเกตเห็นนึกว่าไม่มีใครเห็นซะแล้ว   เรื่องนี้เค้ายืนยันมาแล้ว ต่อน่าประชาชนเป็น หมื่น  ที่อินเดีย ในการดีเบท ซึ่งเป็นการดีเบทระหว่างกูรูของทั้งสองศาสนา ในหัวข้อ The Concept of GOD in Hinduism and Islam in the light of the sacred scriptures  ระหว่าง ดร.ซากิร ไนต์ กับสีสีระวีชากัร จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 20:06:02 ความคิดเห็นที่ 14   คุณอ้างว่าในสมัยผมยังไม่มีคนอย่าง Dr Zakir Naik และ ...ฯลฯ ในสมัยผมเด็กนั้นผมโชคดีอย่างที่ไม่มีคนอย่าง นายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม, นายชลิต ,Dr Zakir Naik  และผู้รู้ในกลุ่ม  อัซ-ซาบิกูน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผมเข้าใจอัลกุรอานได้อย่างถูกต้องและมีความ ศรัทธาต่อพระเจ้า องค์เดียวอย่างถูกต้อง และเป็นมุสลิมที่ไม่หลอกลวงสังคม "หรือที่เรียกว่า มูนาฟิกีน" กล้าพูดกล้าเขียนในสิ่งที่มุสลิมสมัยนี้ ปฏิบัติออกนอกลู่นอกทางของ หลักการอิสลามอย่างแท้จริง ตามอัลกุรอาน   Zakir Abdul Karim Naik (Urdu: ذاکر عبدالکریم نائیک; born 18 October 1965) is an Indian public speaker on the subject of Islam and comparative religion.   คุณใจนิ่งจะเห็นว่า Zakir Naik อายุไม่มากมายนัก ประมาณ 46-47 ปี ซึ่งเป็นเด็กเกิดในสมัยเดียวกับผมแต่หลังผมหลายปี คุณทราบดีว่าในสมัยผมการเรียนในสมัยนั้นทางวิทยาศาสตร์ยากมากกว่าในสมัยนี้ หลายสิบเท่า เนื่องจากการสอบใช้การสอบแบบอธิบาย เช่น "จงอธิบายระบบทางเดินอาหารของคนตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก" นี่เป็นข้อสอบคัดเลือกเข้าเรียนวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงข้อ หนึ่งใน 20 ข้อ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ไม่มีการ เลือก ขีด ถูกขีดผิด ไม่มีการเดา    คุณลืมไปอย่างว่าผมศึกษาและทำงานทางวิทยาศาสตร์อยู่ในสหรัฐอเมริกามา ตั้งแต่ นาย Zakir Naik อายุเพิ่ง 5 ขวบ ผมจบอัลกุรอาน หัวเล็ก และ หัวใหญ่ ตั้ง แต่ Zakir Naik  ยังไม่เข้าเรียนอนุบาลภาษา "อุรดู" เลยแต่ผมไม่ทราบว่าแกเรียนไวยกรณ์อรับเมื่อใด?     ถ้าความชำนาญของ Zakir Naik ในการตีบททางศาสนาอย่างเช่น นายชลิต วงศืเสงี่ยม นี้ ผมว่าเขาจะนำมุสลิมออกนอกทางของอัลลอฮ์ หมด ซึ่งรวมทั้งคุณด้วยที่กำลังมืดมัวและสับสนระหว่างพระเจ้าของ ท่านนะบีอิบรอฮิมและ"พระเจ้าของฮินดู" ความคิดเห็นที่ 14 MsgStatus(Msv[14], 14); ก็สมัยคุณแมทย์ยังไม่มีคนอย่าง ดร ซากริ ไนย์  ยูซุฟ เอสเต   เชคมุอัมหมัดฮัซซาน และ อีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในยุโรป   scholarระดับ top ยุคปัจจุบัน ยุคผมเป้นยุครุ่งเรื่องของ  scholar สายดีเบท สายพิสูจน์ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุโรป   ไม่ใช้สายฟิก ที่มักจะเป็นชาวอาหรับเหมือนในอดีต เพราะพวกเชคอาหรับวันๆไม่ต้องทำอะไรมากแค่สังสอนคนให้เป็นคนดี ซึ่ง แตกต่างจากเชคในยุโรปหรืออินเดียทีวันๆต้องดีเบทกับต่างศาสนิกต้องเผยแพร่ศาสนาทำให้เชคในยุโรปค่อนข้างแอคทีพ และพยายามผลิคตงานทางวิชาการต่างๆทำให้ศาสนาเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการเรียนรุ้และเข้าใจ พระเจ้าคืออะไร?   คำตอบอยู่ในกรุอานในซูเราะฮฺ อัลอิคลาส 1. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ 2. อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นที่พึ่ง 3. พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ 4. และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 20:25:28  พระเจ้าคืออะไร? คุณเข้าใจจากอัลกุรอานว่าอย่างไร จากบัญญัติเหล่านั้น นั่นคือ ความเข้าใจของคุณในการที่จะอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจ ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ผมต้องการทราบจากคุณและของอาจารย์ของคุณ ผมต้องการทราบว่าคุณจะบรรยายสภาวะและพลานุภาพของพระเจ้าได้อย่างไรจึงจะทำให้ผู้ที่ไม่รู้จักคำว่าพระเจ้าเขาใจอย่างสั้นๆ ถ้าคุณนึกได้เมื่อใดกรุณานำมาอธิบายด้วย  คุณทราบหรือไม่ว่า มุสลิมส่วนมากทั้งในอเมริกา,ยุโรป และในภาคตะวันออกกลาง ไม่ประทับใจในการฟัตวาของ  ดร.Zakir Naik  อย่างที่คุณโฆษณาเลย ซึ่งไม่ต่างจาก สมาชิกในเวบพันทิป ไม่ตื่นเต้นและสนใจในการบรรยาย และเห็นภาพ นายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม ที่คุณนำคลิปมาลง ทุกครั้งที่ผมเห็นผมอยากจะทวงถามความรับผิดชอบของเขาใน การปฏิเสธว่าไม่รู้จักและศึกษานายชลิตมาก่อน   แต่ความเป็นจริงแล้ว นายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม  อาศัยความรู้ในเรื่อง คนกำพร้าขี่อูฐมาจาก นาย Zakir Naik  แล้วนำนายชลิตมาเป็นตัวประกอบ ด้วยเหตุนี้ผมจึงยังไม่หายข้องใจในการที่เขา หลอกลวงสังคมมุสลิมและสังคมไทยโดยรวม แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 05:53:32 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 05:46:50

ความคิดเห็นที่ 23 เรียนท่านแมทท์ สหายในทางธรรม มุสลิมผู้อาวุโสที่นับถือของ กรองคำ ขอแสดงปีติจิต และอนุโมทนา ใน หลักสันติธรรม ที่ท่านฯได้แสดงให้ปรากฏแก่สังคมห้องศาสนา บนหน้าแผ่นดินโลกแบนของเว็บพันทิป คือกระทู้นี้ ท่านฯได้อุทิศตนทั้งกายทั้งจิตใจเพื่อความถูกต้องในข้อธรรมตามหลักศาสนาด้วยความวิริยะอดทน  ท่านฯได้แสดงความตั้งใจ, เปิดใจจริง บ่งบอกเจตนาที่จะชี้ถึง ธรรมตามจริง ด้วยความเป็นศาสนิกอิสลามผู้ศรัทธาด้วยปัญญา ท่านฯมีความเข้าใจ ธรรมตามจริง ตามทรรศนะแห่งคติธรรมในแก่นศาสนา อันเราท่านพึงมี~พึงยึดถือไว้ ด้วยความซื่อตรงต่อเนื้อหาที่แท้จริงของข้อธรรมใดๆนั้นๆ และ...ไม่ว่าจะมีสิ่งอันใดที่จะปรากฏขึ้นต่อไปในเวลาข้างหน้าในสังคมศาสนา ณ พันทิปดอทคอม แห่งนี้         ขอเรียนให้ท่านฯทราบไว้ว่า บทความจากสำนึกในจิตแท้ของท่านฯ คือเนื้อหาในกระทู้นี้  ได้หยุดยั้งความตั้งใจของ กรองคำ ให้มี สติจิตสำนึก เกิดการทบทวนไตร่ตรองใหม่ อย่างน้อย ๓ เรื่อง ๓ ประการสำคัญ ที่ได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว         ซึ่ง ณ เวลานี้ ขอยกไว้ก่อน ฯ hadith found in 'The Book of Faith (Kitab Al-Iman)' of Sahih Muslim.      It is narrated on the authority of Tariq b. Shihab : It was Marwan who initiated (the practice) of delivering khutbah (address) before the prayer on the 'Id day.       A man stood up and said : Prayer should precede khutbah. He (Marwan) remarked, This (practice) has been done away with.       Upon this Abu Sa'id remarked : This man has performed (his duty) laid on him. I heard the Messenger of Allah as saying : He who amongst you sees something abominable should modify it with the help of his hand; and if he has not strength enough to do it, then he should do it with his tongue, and if he has not strength enough to do it, (even) then he should (abhor it) from his heart, and that is the least of faith. หะดิษที่แสดงอยู่ในกรอบข้างบนนี้ ด้วยระดับความเข้าใจที่แตกต่างของไวยากรณ์ จะสร้างเสริมให้มีการตีความที่ห่างไปจากความหมายบนภาษาอะรับ-อารบิกหรือไม่ ?       โดยเฉพาะกับประโยค idm.นี้ > and that is the least of faith. <       ที่ปรากฏ-พบเห็นในภาษาไทยที่ถอดความแล้วจะให้ความหมายไว้ว่า [การเปลี่ยนแปลงด้วยจิตใจนั้น] ถือว่าเป็นศรัทธาที่อ่อนแอที่สุด กันทั้งสิ้น ทั้งๆที่ หัวใจ หรือจิตใจเป็นส่วนที่สั่งการให้เกิดได้ทั้งการกระทำและคำพูด[มือและลิ้น]แต่กลับเป็น อ่อนแอที่สุด ในท้ายบทนี้ไป  ดังเช่นที่เว็บศาสนาตามลิ้งก์นี้ ๑.www.piwdee.net/Islamsoksa4/islam018.html~และนี่คืออีหม่านที่อ่อนแอที่สุด مَنْ رَأَى مِنْكُمْ مُنْكَرًا فَلْيُغَيِّرْهُ بِيَدِهِ، فَإِنْ لَمْ يَسْتَطِعْ فَبِلِسَانِهِ، فَإِنْ لَمْ يَسْتَطِعْ فَبِقَلْبِهِ، وَذَلِكَ أَضْعَفُ الإِيمَانِ» ๒. www.oknation.net/blog/print.php?id=680500~คำสั่งเสียของบรรดานบีศาสนทูตที่มีต่อลูกๆ ท่านแมทท์กรุณาชี้แนะในส่วนนี้ตามไวยากรณ์ en~us.ที่ยกมานั้นให้เป็นวิทยาทานโดยทั่วกันด้วย  เพราะโดย คหสต.และทรรศนะทางพุทธของ กรองคำ หะดิษนี้มีหลักคิดโยงไปได้ถึง ๑ ในพรหมวิหารธรรม ๔ คือข้อ อุเบกขา       และ อุเบกขา ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติที่ปุถุชนคนเราท่านจะทำให้เกิดขึ้นได้สมบูรณ์โดยง่ายดาย อย่างเช่นที่เปรียบเทียบกันมาแบบลวกๆด้วยคำว่า "วางเฉย" นั้นเลย-นะครับ. ในโอกาสนี้ กรองคำ ขอแสดงปีติจิตชื่นชมและอนุโมทนา ในข้อคิด~สังวรธรรม ที่ท่านฯได้แสดงไว้ให้เป็น สันติธรรมแท้จริง ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยบัญญัติ อัล-กุรอาน จากเอกองค์อัลลอฮฺ ๑ ซูเราะฮฺ ๑ อายะอฺห์ ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา ! พวกเธอคนใดออกจากศาสนาของตนไป อัลลอฮฺก็จะทรงนำพวกหนึ่งมาแทน เป็นพวกที่พระองค์ทรงรักพวกเขา และพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อศรัทธาชน เป็นที่เกรงขามของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะเสียสละและต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิคนใด นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์จะทรงประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และ อัลลอฮฺ คือ พระผู้ทรงกว้างขวาง พระผู้ทรงรอบรู้ [ซูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ : 54] "O you who believe, whoever of you becomes a rebel against his deen (know that in his place) Allah will bring a people whom He loves and who love Him, humble towards the believers, harsh towards the disbelievers, fighting in the way of Allah, and not fearing the blame of anyone who blames." (Qur'an, Al-Maidah 5:54) Credit : missionIslam *แก้ไขเพิ่มเติมlinkเพื่อความถูกต้องของแหล่งข้อมูลอ้างอิง แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 07:15:25 จากคุณ : กรองคำ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 05:54:50

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดีครับ คุณอาแมท และพี่กรองคำ ผมยังห่วงว่าพี่กรองคำหายไปไหนนาน ผมชอบ พารากราฟท่อนสุดท้าย ของพี่กรองคำ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ดูกร บรรดาผู้มีศรัทธา ! พวกเธอคนใดออกจากศาสนาของตนไป อัลลอฮฺก็จะทรงนำพวกหนึ่งมาแทน เป็นพวกที่พระองค์ทรงรักพวกเขา และพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อศรัทธาชน เป็นที่เกรงขามของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะเสียสละและต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิคนใด นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์จะทรงประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และ อัลลอฮฺ คือ พระผู้ทรงกว้างขวาง พระผู้ทรงรอบรู้ [ซูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ : 54]   ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ขอบคุณครับพี่กรองคำ สำหรับท่านอาแมท ผมก็ขอขอบคุณในไมตรีเช่นกัน ที่ผมให้การเคารพคุณอาแมท เพราะผมเข้าใจหัวใจของคุณอาแมท หลังจากรสนทนากัน ประกอบกับคุณอาแมท เป้นมุสลิม รุ่นเทอร์โบ อายุน้อยกว่าคุณพ่อผม 2-3ปีเท่านั้น ต้องขอประทานโทษคุณอาแมท  ที่ผมจะเปรียบเทียบคุณอาแมท เหมือนดอกไม้สีหนึ่งในกระถาง หรือ แจกัน อัล-อิสลาม ซึ่งเป็นความแตกต่างที่ผสมผสานกับดอกไม้สีอื่นที่มีมากกว่าในกระถางเดียวกัน ดอกไม้ในกระถางที่มีสีเดียวในแจกันก็คงจืดชืด ไม่มีการแยกแยะทางด้านมิติได้ ผมไม่อยากให้เห็นภาพโต้แย้งกันเองอย่างรุนแรงระหว่าง ดอกไม้หลากสี ในแจกันเดียวกัน รังจะทำให้แจกันนั้นตกมาแตก เรื่องไหนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป  เรื่องไหนที่มันขัดแย้งกันก็หลีกเลี่ยงที่จะสนทนากัน เช่นเรื่อง เอกองค์อัลเลาะห์ (ซบ) ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคุยกันได้ เราก็คุยกัน เรื่องที่คุยและจบกันไม่ลงในนี้ เช่นเรื่องหะดีษ  ก็ไม่ต้องคุยกัน ไม่ต้องท้าวความไปหาอีกฝ่าย ที่เป็นสาย อะหะลุ้ลกรุอาน และ สายสลาฟ ไม่ต้องโจมตีว่าอีกฝ่ายนั้นผิด  มุสลิม สายใหม่ สายเก่า ก็ไม่ต้องนำประเด็นที่เป็นข้อโต้แย้งกันงัดขึ้นมาพูด สาย ซุฯนะห์วัลญามาอะห์ ก้ไม่ต้องไปโจมตี ชีอะห์ นักวิชาการรุ่นเก่า ก็ไม่สบอารมย์ ชีอะห์เช่นเดียวกัน สอนในห้องเรียนเกี่ยวกับชีอะห์ เช่นเดียวกัน แต่เค้าไม่ออกมาเทคแอคชั่น ทางใครทางมัน มอบทุกอย่างไว้ ที่เอกองค์อัลเลาะห์ (ซบ) เรือง อาจารย์ชารีฟ  กับ ชลิต เรื่องนี้มันจบไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เหมือนหมอกควันที่อาจหลงเหลือบ้าง ผมก็อยากให้คุณ อาแมท ปล่อยเลยๆผ่านไปบ้าง ไม่เอามาเป้นอารมย์  ผมก็อยากให้จบตรงนี้ ไม่อยากให้เป็นประเด้นที่คนต่างศาสนิกที่ไม่ประสงค์ดี นำมาเชื่อมต่อโยงใหม่ นักธุรกิจ นักบริหาร จะถือประโยคนึงว่า " Pass is Pass " นักบริหารจะไม่ย้อนไปหา Issue ที่มันผ่านมาแล้ว แต่จะพูดในสิ่งที่กำลังเกิดและแก้ปัญหา  พร้อมหาทางป้องกันไม่ให้ปัญหานี้เกิดซ้ำขึ้นมาอีก สรุป เพื่อเป็นการประสานสันติและความเข้าใจ ทั้งในศาสนาเดียวกัน และระหว่างศาสนา ผมใคร่เรียนปรึกษาท่านอาวุโส ทั้งสอง รวมทั้งเพื่อนๆสมาชิกในห้องศาสนาทุกท่านที่ผ่านมาเห้นข้อความนี้ว่า """  หยุด""""  และช่วยกันประคับประคองมิตรภาพ กันในนี้ให้เป็นประจักษ์ ส่วนการก้าวล่วงกัน ระหว่างศาสนา หรือในศาสนาเดียวกัน ก้ขอ  "ให้หยุด" และเป็นแง่ในการเผยแพร่ทางวิชาการ และคุยกันถกกันในเฉพาะตัวเนื้อหาเท่านั้นเท่านั้น "หยุดพาดพิง ตัวบุคคล" ถ้าทำได้อย่างนี้จะเสมือน "บัฟเฟอร์" ที่ไม่ให้เกิดการกระทบกันอย่างรุนแรง ท่านอาวุโส ทั้งสอง และเพื่อนๆทุกศาสนา เห็นว่าเป็นอย่างไร?   ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑  โดยความคิดเห็นส่วนตนของผมนั้น   ถ้ามีความคิดเห็นไม่ตรงกัน "ผมจะวิพากศ์วิจารณ์ ในตัวเนื้อหาเท่านั้น" จะไม่วิพากศ์ วิจารณ์ในตัวบุคคล ซึ่งผมยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ส่วนคอมเม้นท์ต่อจากนี้ผมคงมีเวลาเขียนแค่เที่ยงวันนี้ จากนี้ยันถึงต้นเดือนหน้าผมอาจห่างหายไปจากห้องศาสนาแห่งนี้ ด้วยความเคารพทุกท่าน จิม           แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 07:33:14 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 07:31:42 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 07:16:57 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 07:16:26 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 07:14:11 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 07:12:43

ความคิดเห็นที่ 25 เรียนคุณจิมที่นับถือ ผมขอยกฮาดีษบทนี้ให้คุณจิมดูเพื่ออธิบายให้คุณกรองคำและมุสลิม ท่านอื่นๆได้เข้าใจ   فقال أبو سعيد أما هذا فقد قضى ما عليه سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول من رأى منكم منكرا فليغيره بيده فإن لم يستطع فبلسانه فإن لم يستطع فبقلبه وذلك أضعف الإيمان  ความจริงผมไม่เชื่อเรื่องฮาดีษที่ปราศจากเหตุผล แต่ฮาดีษบทนี้ มีเหตุผลดที่ดี เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจที่จะสละเวลาในช่วงชิวิตสุดท้ายของผม ทำสิ่งที่ถูกต้องตาม บรรทัดฐานในอัลกุรอาน เพื่อเป็นข้อเตือนใจให้ มุสลิมได้รำลึก ในการกระทำสิ่งที่ถุกต้อง  อย่างน้อยที่สุดในความมีศรัทธาต่ออิสลาม ถ้าเราเห็นสิ่งที่เป็นความผิดและเป็นการกระทำที่ผิดและไม่ยุติธรรมตามหลักการของอิสลาม เราจะต้องแสดงให้เห็นว่าสิ่งนั้นผิดและระลึกอยู่ในใจเสมอว่ามันไม่ถูกต้อง ในเวบเหล่านี้มีการสอนหลายอย่างที่ขัดกับหลักการของอิสลามตามบรรทัดฐานของอัลกุรอาน  เวบมรดกอิสลาม  เวบกลุ่ม กลุ่ม อัซ-ซาบิกูน   เรื่องเวบมรดกนั้นขอพักไว้ก่อน สำหรับ กลุ่ม อัซ-ซาบิกูน ที่ "คุณใจนิ่ง" นำมาเผยแพร่ ซึ่งมีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าขัดต่อหลักการของอิสลามตามที่ผมอธิบายไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรตักเตือนตาม ฮาดีษบทนี้ โดยไม่ต้องเกรงใจว่าผู้ใดจะโกรธ เนื่องจาก  เป็นสิ่งที่ไม่ถุกต้อง ทำให้เกิดความเข้าใจผิด การเกรงกลัวมนุษย์ว่าจะโกรธในการอธิบายหลักการของอิสลามให้ถูกต้องนั้น แสดงว่า เราไม่มีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง  ตัวอย่างที่ผมอธิบายเรื่อง "Stoning" ว่าไม่มีในหลักการของอิสลามนั้น ยังมีผู้ยืนยันขัดต่อความจริงของอิสลาม สิ่งนี้จำเป็นจะต้องชี้แจงให้ถูกต้อง โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อความหยาบคายและการถูกดูหมิ่นในแง่ใดๆก็ตาม ทั้งนี้เพราะว่า บัญญัติของพระเจ้าย่อมสำคัญกว่า การเกรงกลัวในความหยาบคายอันเกิดจาก การยั่วยุของซัยตอน  การไม่อธิบายหลักการที่ถูกต้องให้ผู้ต่างศรัทธาเข้าใจ  เป็นสาเหตุที่อิสลาม ถูกดูถูกจากผู้ที่ไม่เข้าใจ, ในขณะเดียวกันผมจะไม่โต้ตอบความหยาบคายของผู้ใดทั้งสิ้นนอกจากแสดงความคิดเห็นให้ถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้   เรื่องของนายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม ยังไม่จบเนื่องจากว่า ยังมีการเผยแพร่ในสิ่งที่รู้แก่ใจแล้วว่าไม่ถูกต้อง ในขณะนี้ ในเวบพันทิปนี้ โดยใช้ นาย Zakir Naik  มาสอนแทนนายชลิต    ทางที่ดีคุณควรเชิญชวนให้ดอกไม้ในกระถางนั้น รวมเป็นสีเดียวกันที่ถูกต้อง คือเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยยึดอัลกุรอานเป็นบรรทัดฐานตามแบบฉบับของท่านรอซูล                           *********************** แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 09:44:31 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 09:40:20

ความคิดเห็นที่ 26 คนเราถ้าพิสูจน์ว่าไม่โกหก ก็ทำได้ง่ายนิดเดียว โดยการหาความจริงมา แล้วไหนหรือความจริงของแมทท์? ผมก็ยังไม่พบอะไร ในบทความของแมทท์ นอกจากความพยายาม kiss ass โดยเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นอยู่เช่นเดิม แล้วคราวนี้ ก็เอาความไม่ดีให้กับอัลลอฮฺเสียด้วย การดูหมิ่นและเหยียดหยามพระเจ้าของมนุษย์นั้นไม่ได้เกิดจากความคิดอ่านของ ผุ้กระทำผิดมารยาทสังคม แต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์เองที่บันดาลให้เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะว่ามุสลิมศรัทธาว่าพระเจ้าเป็นผุ้สร้างและให้จิตวิญญาณ ต่อมนุษย์ พระองค์จึงทรงมีอำนาจใน การควบคุมความรู้สึกนึกคิดหรือ ดลใจให้ผู้นั้นกระทำเพื่อพิสูจน์ในความศรัทธาที่แท้จริงของมุสลิมต่อพระองค์ คุณกำลังผลักให้เป็นความรับผิดชอบ หรือการกระทำของพระเจ้าเองที่ให้พวกนั้นทำชั่ว ถ้าเช่นนั้น พวกนี้ไม่ต้องรับผิดชอบแล้วใช่ไหม เพราะพระเจ้าดลใจให้พวกมันทำความชั่วเอง? การอ้างแบบนี้ใช้ได้หรือ? นี่หรือความเข้าใจของผู้ที่อ้างตนเป็นมุสลิม? ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นการอนุมัติจากพระเจ้า ใช่ครับถูกต้อง แต่พระองค์ให้อิสระในการเลือกกระทำดี หรือกระทำชั่ว ถ้าคนคนนึงทำชั่ว จะอ้างว่าเพราะพระเจ้าดลบันดาลให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ มันต้องโทษตัวคนผู้นั้นแทน นั่นเพราะคนผู้นั้นกระทำความผิด กระทำบาปโดยตัวเองเลือกเอง เช่นกัน การดูหมิ่นดูแคลนพระผู้เป็นเจ้า มันไม่ทำให้พระเจ้าตกต่ำหรอกครับ แต่มันเป็นหน้าที่ของผู้ที่ศรัทธาในการปกป้องศาสนาของพระเจ้าไว้ให้ไม่ถูกใส่ร้าย บิดเบือน และเหยียดหยาม อีกทั้ง ถ้าเรานิ่งดูดายในกรณีที่ พระเจ้าถูกใส่ร้ายว่า สร้างขึ้นโดยมนุษย์? ก็เท่ากับยอมรับเช่นนั้นหรือ? แล้วถ้ามนุษย์เข้าใจไปผิดๆ ล่ะครับ ไม่เท่ากับเราสนับสนุนให้การกระทำชั่วนั้นแพร่กระจายออกไป หรืออย่างไร อิสลามสอนว่า 1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลาได้ตรัสว่า ความว่า “และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่เชิญชวนไปสู่ความดี และใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบ และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จ”(อาลิอิมรอน : 104) 2. อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลาได้ตรัสว่า ความว่า “พวกเจ้านั้นเป็นประชาชาติที่ดียิ่งซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นสำหรับมนุษยชาติ โดยที่พวกเจ้าใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้ปฏิบัติในสิ่งที่มิชอบ และศรัทธาต่ออัลอฮฺ...”(อาลิอิมรอน : 110) 3. จากอะบีสะอีด อัลคุฎรีย์ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้กล่าวว่าฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมได้กล่าวว่า «مَنْ رَأَى مِنْكُمْ مُنْكَراً فَلْيُـغَيِّرْهُ بِيَدِهِ، فَإنْ لَـمْ يَسْتَطِعْ فَبِلِسَانِـهِ، فَإنْ لَـمْ يَسْتَطِعْ فَبِقَلْبِـهِ، وَذَلِكَ أَضْعَفُ الإيمَانِ». ความว่า “ผู้ใดในหมู่พวกท่านพบเห็นสิ่งชั่วช้าหนึ่งๆ ก็จงเปลี่ยนแปลง (ขจัด) สิ่งนั้นด้วยมือของเขา แต่หากว่าเขาไม่สามารถ (ระงับสิ่งเหล่านั้นด้วยมือ) ก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยลิ้น (วาจา) ของเขา แต่หากเขายังไม่สามารถ (ระงับสิ่งนั้นด้วยวาจา) ก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยจิตใจของเขา (ความรู้สึกที่รังเกียจต่อสิ่งนั้น) และ (การเปลี่ยนแปลงด้วยจิตใจนั้น) นั้นถือว่าเป็นศรัทธาที่อ่อนแอที่สุด” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษที่ 49) หรือการที่จะให้อดทนนิ่งดูดายการใส่ร้าย ด่าทอพระเจ้านั้น แปลว่า การด่าทอพระเจ้า ไม่ใช่การทำชั่วหรือ? ในสายตาของ login แมทท์ นี่คุณกำลังจะบอกใช่ไหมว่า ไม่ใช่ความชั่วอะไร ในการด่าทอพระเจ้า มุสลิมดูดายไปเถอะ ทั้งๆที่ กุรอ่านสั่งใช้ให้ชักชวนสู่ความดี ยับยั้งจากความชั่ว แล้วการปฏิเสธศรัทธาล่ะ จะบอกได้หรือว่า เป็นเพราะพระเจ้าดัลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น แบบนั้นเราไม่ต้องไปเผยแผ่ศาสนาหรืออย่างไร? แต่อัลลอฮฺก็ทรงให้เราเชิญชวนมารับอิสลามอยู่ดี   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 09:51:12

ความคิดเห็นที่ 27 ถามจริงๆ ไม่อายหรืออย่างไร ที่บอกแบบนี้   คุณอ้างว่าในสมัยผมยังไม่มีคนอย่าง Dr Zakir Naik และ ...ฯลฯ ในสมัยผมเด็กนั้นผมโชคดีอย่างที่ไม่มีคนอย่าง นายชารีฟ วงศ์เสงี่ยม, นายชลิต ,Dr Zakir Naik  และผู้รู้ในกลุ่ม  อัซ-ซาบิกูน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผมเข้าใจอัลกุรอานได้อย่างถูกต้องและมีความ ศรัทธาต่อพระเจ้า องค์เดียวอย่างถูกต้อง และเป็นมุสลิมที่ไม่หลอกลวงสังคม "หรือที่เรียกว่า มูนาฟิกีน" กล้าพูดกล้าเขียนในสิ่งที่มุสลิมสมัยนี้ ปฏิบัติออกนอกลู่นอกทางของ หลักการอิสลามอย่างแท้จริง ตามอัลกุรอาน มีหรือที่แมทท์อธิบายกุรอ่านได้อยากถูกต้อง ผมก็รู้นะครับว่า พูดไป คนที่สนับสนุนแมทท์นั้น ก็ยังสนับสนุนอยู่เช่นเดิม เพราะส่วนมากก็เป็นคนต่างศาสนา ที่จงเกลียดจงชังอิสลามอยู่แล้ว แต่ผมก็ต้องพิมพ์ต่อไป เพื่อให้รู้ว่า ใครคือคนโกหก และใครคือ จอมหลอกลวง     ส่วนประโยคนี้ ผมอยากให้คนอ่าน ทั้งที่สนับสนุน และต่อต้านอ่านดูให้ดีว่า นี่เป็นวิธีการของ คนที่เรียกตัวเองว่า ผู้ใหญ่ไหม เป็นวิธีการของคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ชายหรือเปล่า?   คุณใจนิ่งจะเห็นว่า Zakir Naik อายุไม่มากมายนัก ประมาณ 46-47 ปี ซึ่งเป็นเด็กเกิดในสมัยเดียวกับผมแต่หลังผมหลายปี คุณทราบดีว่าในสมัยผมการเรียนในสมัยนั้นทางวิทยาศาสตร์ยากมากกว่าในสมัยนี้ หลายสิบเท่า เนื่องจากการสอบใช้การสอบแบบอธิบาย เช่น "จงอธิบายระบบทางเดินอาหารของคนตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก" นี่เป็นข้อสอบคัดเลือกเข้าเรียนวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเพียงข้อ หนึ่งใน 20 ข้อ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ไม่มีการ เลือก ขีด ถูกขีดผิด ไม่มีการเดา    คุณลืมไปอย่างว่าผมศึกษาและทำงานทางวิทยาศาสตร์อยู่ในสหรัฐอเมริกามา ตั้งแต่ นาย Zakir Naik อายุเพิ่ง 5 ขวบ ผมจบอัลกุรอาน หัวเล็ก และ หัวใหญ่ ตั้ง แต่ Zakir Naik  ยังไม่เข้าเรียนอนุบาลภาษา "อุรดู" เลยแต่ผมไม่ทราบว่าแกเรียนไวยกรณ์อรับเมื่อใด?     ถ้าความชำนาญของ Zakir Naik ในการตีบททางศาสนาอย่างเช่น นายชลิต วงศืเสงี่ยม นี้ ผมว่าเขาจะนำมุสลิมออกนอกทางของอัลลอฮ์ หมด ซึ่งรวมทั้งคุณด้วยที่กำลังมืดมัวและสับสนระหว่างพระเจ้าของ ท่านนะบีอิบรอฮิมและ"พระเจ้าของฮินดู" พยายามโฆษณาตัวเอง พยายามโปรโมทตัวเอง กล่าวอ้างเรียกความน่าเชื่อถือว่า ตัวเองเก่งอย่างนั้น ทำงานอย่างนี้ เอาคนที่มีชื่อเสียงมา แล้วพยายาม เขียนข้อความโปรโมทตัวเอง ข่มเข้าไป แต่ผมถามหน่อยว่า คุณเคยเปิดเผยตัวเองหรือเปล่าว่าคุณเป็นใคร ด็อกเตอร์ ซากิรฺ เป็นแพทย์ และนักการศาสนาผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้กล้าที่สามารถพูดคุยกับผู้คน ออกสื่อ และสนทนากับคนต่างศาสนาได้อย่างเปิดเผย ข้อมูลความรู้ เพียบพร้อม ผลงานก็เป็นที่ประจักษ์   แล้วแมทท์ล่ะ เป็นใคร เพราะเท่าที่สนทนากันคือ แมทท์เป็นบุคคลที่ไม่เปิดเผยตน ความรู้ด้านกุรอ่าน มีไม่มาก ส่วนใหญ่ลอกมาจากเว็บโจมตีอิสลาม หรือเว็บบิดเบือนอิสลาม (เท่าที่ตามอ่าน) ภาษาอังกฤษ ไม่ได้เก่งอะไร แสดงความไม่รู้มาก็มี ภาษาอาหรับ ก็ลักจำเขามา คำบางคนถ้าเป็นคนที่เป็นมุสลิมเขาจะไม่เรียกแบบแมทท์เรียกเลย   นอกนั้นไม่มีอะไรพิสูจน์ว่า แมทท์จบอะไร เรียนอะไร รู้แค่ไหน ได้แค่แอบแฝงอยู่ตามเว็บ     คนแบบนี้หรือครับ จะมาโจมตี ด็อกเตอร์ ซากิรฺ?     พิจารณาเอาเองนะครับ ผมก็ไม่รู้ว่า เพื่อความสะใจในการโจมตีอิสลามหรืออะไร แต่ คุณคิดว่า คนดีดี เขาจะทำแบบที่แมทท์ทำไหม?       แต่ที่แน่ๆ มุสลิมดีดี เขาไม่โทษพระเจ้าหรอกครับ ที่บอกว่า คนทำเลว เพราะพระเจ้าดลบันดาลให้เขาทำ เพราะอัลลอฮฺ ให้อิสระในการเลือกของเขาแล้ว จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:09:18

ความคิดเห็นที่ 28 ท่านอาแมท และท่านแครอท ทั้งสองท่าน เป็นคนที่ผมให้ความเคารพ ในวิชาการ และในตัวบุคคล ของท่านทั้งสอง แต่ตัวผมเองยึดถือแนวทาง ด้านวิชาการ ค่อนไปในแนวทางของท่านแครอท เพราะผมได้ร่ำเรียนมาทางสายนี้ จะมีผิดแผก ก็ตรงยุทธศาสตร์ และประสบการณ์ในการต่อกร กับ กลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี ต่อ อัล-อิสลาม ทว่าในประเด็นแบบนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันรุนแรง ผมอยากให้เห็นการสนทนาทั้งสองท่านเป็นการถกกัน ในตัวเนื้อหา มิใช่ในตัวบุคคล ผมขอเสนอดั่งนี้คือ แบ่งเป้นสองสายอุปมาดั่งนี้  สายเหยี่ยว และพิราบ -ท่านอาแมท เดินสาย การทำความเข้าใจในรูปแบบสันติภาพ ในแนวทางที่ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งกันเองภายในศาสนาอิสลาม ให้ภาพออกมาเป้นที่ประจักษ์ เพราะผมเกรงว่าจะมีอาการแทรกซ้อน จากคนต่างศาสนิกที่ไม่หวังดี ลากคุณอาแมท ลงไปปล้ำกับหมู -ท่านแครอท ผม และเพื่อนมุสลิม จะใช้แนวทางการปกป้องเกียติของอิสลาม รูปแบบ ทีตนเองถนัด และรับผิดชอบต่อตนเองกันไป จะเห้นด้วยหรือไม่เห้นด้วยแล้วแต่จะพิจรณากันครับ ด้วยความเคารพทั้งสองท่าน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:16:32

ความคิดเห็นที่ 29 ด็อกเตอร์ ซากิรฺ ไนต์   เป็นแพทย์  มาก่อน และที่อินเดียเค้าคัดจากคนหลายร้อยล้าน  เค้าเพิ่งหันเหตัวเองมาเป็นนักบรรยายศาสนา แต่เค้ากลับมีชื่อเสียงแสงหน้าพวกที่เรียนด้านศาสนามา เค้าศาสามารถจำคัมภีย์ได้เป็นจำนวนมาก หลายศาสนา ได้รับเชิญไปบรรยายหลายประเทศ เค้าได้รับสมยานามว่าเป็นดีดาสพลัส จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:21:42

ความคิดเห็นที่ 30 ที่ผมต้องรีบเขียน คอมเม้นท์เพราะผมจะไม่มาห้องนี้หลายวันทีเดียว ด้วยความห่วงใย ต่อศาสนาอิสลาม และต่อพี่น้องมุสลิมทุกท่าน ที่ต้องออกแรงในการปกป้องศาสนาอิสลามในรูปแบบที่ตนเองถนัด ผมเองแม้นตัวจะไม่ได้อยู่แต่หัวใจของผมนั้นยังผูกพันธ์กับศาสนาของเราและเพื่อนๆที่นี่ทุกท่าน จึงขอฝากแนวทางการรับมือจากผู้ประสงค์ดีต่อสาสนาอิสลาม ของเราไว้ในมือ พี่น้องๆมุสลิมทุกท่าน ผมจะขอพรต่อเอกองค์อัลเละห์ผู้อภิบาลของพวกเราทุกคน ขอให้ดลบันดาลแสงสว่างในจิตใจของคนที่มืดมิด ได้สว่างขึ้นและขอพลังต่างๆจากพระองค์ ในการปกป้องเกียตรของอิสลามได้บรรลุผลด้วยเทอญ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:32:24

ความคิดเห็นที่ 31 อีกอย่างถ้าซากริ ไนต์ พูดเท็จวันนั้นคงหน้าแตกไปทั้งอินเดีย แล้วละเพราะช่อง Peace TV  ไปหลายที่ทั่วโลก  และวันนั้นมีคนรอรับชมเป็นจำนวนมากเพราะเป็นการดีเบทครังประวัติศาสตร์ที่เป็นระดับกูรูทั้งสองศาสนามาดีเบทกัน   ดดีที่ชลิดโดนจับได้ซะก่อน ไม่งันถ้าในอนาคตชารีฟ ไปดีเบทกับชาวพุทธ เกิดยกข้อมูลของนายชลิดมา มุสลิมคงได้หน้าแตกไปทั้งประเทศ :)  ผมว่าคุณแมทย์เลิกอคติได้แล้ว  นะครับ ความจริงที่ดร.ซากิร ไนย์บอกก็ปรากฏมาแล้วว่าจริง  ส่วนของนายชลิดความจริงก็ปรากฏมาแล้วว่าไม่จริง  อย่าไปเหมารวมซิครับ อีกอย่างนายชลิดเป็นพวกดะวะตับลีค ซึ่งอยุ่คนละแนวกับชารีฟและซากริ ไนต์ ที่เป็นพวกตามแนวทางซาลาฟ จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:33:08

ความคิดเห็นที่ 32 คุึณจิมคุณเขียนในทำนองที่ว่าผมทำลายอิสลาม คุณเข้าใจเช่นนั้นจริงหรือ?   คุณจิมเชื่อหรือว่าการเชื่อในพระเจ้าของศาสนาฮินดู อยู่ในบรรทัดฐานเดียวกันกับศาสนาอิสลาม? ผมเคยกล่าวแล้วว่าผมอยู่ตัวตนเดียวได้กับความถูกต้อง และความถูกต้องเป็นสิ่งที่มุสลิมควรกระทำ ถ้าคุณจิมจะป้องกันอิสลามจากการทำลายของผมแล้ว ต้องนำสิ่งที่ถูกต้องมาเสนอให้สังคมเขาเห็น  ครับ และ เริ่มจากการหาบัญญัติ Stoning มาแสดงให้ทุกๆท่านเห็น ว่าผมโกหกแล้วทุกๆท่านในเวบนี้ก็จะหยุดอ่านความคิด เห็นของผม เรื่องก็จบ ทุกๆท่านทางพรรคคุณก็จะสบายใจ การคุยกับผม ไม่ต้องเกรงใจเรื่องอายุ สังคมที่ผมอยู่เคย ชินต่อเรื่องเช่นนี้ จะใช้ภาษาเดียวกับผู้ที่คุณนับถือผมก็จะ ไม่คิดมากครับ ผมไม่ต้องการที่จะประกวดเรียงความกับผู้ใด เพราะผม ไม่มีคำคม ที่จะใช้นอกจากการเขียนอย่างตรงไปตรงมา ถ้าทำให้ผุ้ใด ขุ่นเคืองใจ ผมมีแต่ความสงสารให้เท่านั้น ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมผมอาจจะไม่สูงเข้าระดับ พรรคคุณ แต่ประสบการณ์ทำให้ผมทราบดีว่า ผู้ใดรู้อะไร บ้าง ถูกหรือผิด  ผมบอกก็ได้ ผมทำงานเก็บขยะและล้างห้องเก็บศพในโรง  พยาบาลแห่งหนึ่ง ในเมืองเล็กๆในอเมริกา จบอาชีวะศึกษา  หวังว่าทุกๆท่านทางพรรคคุณคงมีความสุขขึ้นนะครับ ผมต้องขอตัวพักผ่อนก่อน... ขอโทษด้วยครับ จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 10:57:07

ความคิดเห็นที่ 33 สำหรับคุณใจนิ่ง เมือ่ผมเก็บขยะและซากศพเรียบร้อยแล้ว ผมจะแนะนำ นายชลิตจากอิน เดียให้คุณรู้จักภายหลัง จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:00:20

ความคิดเห็นที่ 34 ผมว่าประเด็นท่านแมทท์ ไม่ได้เกี่ยวกับการ ยอมให้สิ่งสูงสุดทางจิตวิญญาณท่านถูกด่า แต่พูดถึง"ท่าทีตอบโต้" เมื่อมีกลุ่มคนซึ่งไม่นับถือเอกองค์สูงสุด มาตั้งธงสงสัยคำสอน 1. "ปกป้อง" 2. "ป้องกันตัว" 3. "ตอบแทนสาสม" 4. "กระทำเกินกว่าเหตุ" ผมเชื่อเต็มอกว่า ถ้ามีเกรียนใดๆมาใส่ร้าย รุกล้ำสิ่งสูงสุดของท่านแมทท์ โดยชาวมุสลิมดูดายไม่ปกป้อง ท่านแมทท์จะไม่อยู่เฉยแน่นอน แต่ในสถานการณ์นี้ ฝั่งมุสลิมเปิดเกมรุกทั้งใน-นอกบอร์ด (ยอมรับความจริงซะทีเถอะ ว่ามีจริง) ครั้นเมื่อฝุ่นตลบในบอร์ด ฝั่งท่านแมทท์เองกลับยิงขึ้นจุดสูงสุดซ้ำๆ เป็นระลอกๆ การปรับท่าทีของท่านแมทท์ในกรณีนี้ ถือว่า เข้าใจสถานการณ์ที่สุด ในการยอมประนีประนอม เพื่อลดกระแส โดยเอาตัวเข้ารับคำด่าจากคนในแทน บางท่านอาจมองว่า ท่านแมทท์หน้าอย่าง-หลังอย่าง แต่ผมมองว่าท่านแมทท์อธิบายไม่เก่งเลย ในหลายประเด็น แต่พยายามทำให้ดูเป็นตัวอย่างมากกว่า สำหรับคนหนุ่มรุ่นๆ ใจยังร้อน อยากมองต้นเหตุให้สั้นที่สุด คือ บังคับอีกฝ่ายให้คิดตรงกับคุณ ถือว่า สอบตกในการมองสถานการณ์แบบ bird eye view เพราะถ้าย้อนขึ้นไปดูวิธีตอบโต้ข้อ 3,4 ด้านบน คือ การตอบโต้ผุ้ต่างศรัทธาโดยใช้อารมณ์นำ ทั้ง 2 ข้อ ถ้าฝ่ายที่ถูกตอบโต้ด้วยอารมณ์ หายเจ็บ การกลับมาแก้แค้น ย่อมเกิดขึ้นในอนาคต คุณทราบหรือ ว่าที่โดนอยู่ตอนนี้ มาจากการผูกใจเจ็บเมื่อตอนไหน? ปีไหน? เหตุจากการที่มีคนตอบโต้ด้วยไฟความรังเกียจผู้ต่างศรัทธา ใช้อารมณ์นำ ทำลายให้สิ้นซาก ให้เงียบกริบ ดังเช่นข้อ3,4 ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่เห็นอารมณ์นั้นกัน แต่ในใจคิดว่า"สาสมแล้ว"ทั้งนั้น จะหยุดสงครามด้วยสงคราม? จะหยุด ทั้งๆที่ไม่มีใครกล้ามองตรงไปที่ตัวปัญหาด้วยซ้ำ งั้นหรือ? อย่างที่เคยบอก "ฆ่าคุณซามูไรฯทิ้ง คิดว่าปัญหาจบไหม?" รอบหน้ามีคนมาสงสัยคำสอนอีก จะมีบทเดิม จบที่แยกห้องไหม? "มี" --------------- จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:00:41

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณลุงแมทท์ครับ ตัวผมเ่องก็จะพยายาม ไม่เล่นตามเกมส์ และั ลดโทสะเช่นกัน และจะนำแนวทางสันติัที่ลุงแมทท์แนะนำ อันมีหลักการจากอัลกุรอานนั้นมาใช้อย่างที่สุด ด้วยความเคารพครับลุง จากคุณ : Yaoharee เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:04:31

ความคิดเห็นที่ 36 ท่านอาแมท ที่เคารพ ผมมิได้กล่าวหาท่านอาแมท เช่นนั้น คุณอาลอง อ่านดีๆครับ หัวใจของการเขียนของผมคือ รักษาทางใครทางมัน อาแมทลองพิจรณาดูครับ ผมให้การเคารพแบบที่รักษาคำพูดไว้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ส่วนในสายเชือกแนวทางนั้น ผมก็ยึดสายเชือกในแนวทางของผม คุณอาแมท ยึดสายเชือกของคุณอา น้องๆแนสลาฟ ก็ยึดของเค้า น้องๆสาย ใหม่ สายเก่า ก็ยึดแบบของเค้า เราไม่ทะเลาะกัน ทางใครทางมัน นี่คือหัวใจของผม ครับคุณอา การให้การเคารพของผมต่อคุณอา ก็คง เหมือนเดิม คนละเรื่องกันครับ ขออัลเลาะห์ทรงโปรดครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ คุณอาครับรบกวนคุณอาย้อนกลับไปที่กระทู้ที่แล้วของคุณอา มีคนโยนขี้ให้คุณอา อีกแล้วครับ   แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 11:13:39 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:12:42

ความคิดเห็นที่ 37 พี่น้องพุทธศาสนิกชนที่เดินผ่านมาทุกท่าน คงจะเห็นแล้วนะครับว่ากระทู้นี้ ตามหัวข้อคือคุณอาแมท เรียนแนวทางในการปกป้องอัลอิสลาม ในรูปแบบของคุณอาแมท ที่นำเสนอพี่น้องมุสลิมได้พิจรณา ผมเองพยายามที่จะประสานความเข้าใจระหว่างมุสลิม ด้วยกัน แต่ก้มีคนบางคนที่ไม่ใช่มุสลิม มาสอดแทรกตรงกลาง ถือธงเชียร์ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้วยหวังดี หรือประสงค์ร้ายกันแน่ พี่น้องพุทธ และศาสนิกอื่นๆ ที่มีใจรักสงบ ผมคงยกวิจรณญานข้อนี้ ว่าสมควรกระทำหรือไม่ ไว้ด้วยครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ ทว่าวันใดวันหนึ่ง มีมุสลิม ท่านนึงบ้าจี้ เอาพฤติกรรมนี้เป้นบันทัดฐาน ไปถือธงเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายนึงในกิจกรรมภายในของศาสนาอื่นๆบ้าง สังคมมันคงป่วนน่าชมเลยละครับ   ด้วยความเคารพทุกท่าน จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:22:14

ความคิดเห็นที่ 38 ผมไม่ได้แตะฮะดิษ ผมไม่ได้แตะอัลกุอ่าน ผมไม่ได้แตะพระเจ้า ผมมาในฐานะเพื่อนท่านแมทท์ ถ้าจะมาเชียร์พุทธ ก็ขอให้ใช้กติกาด้านบนนะครับ ห้ามแตะสิ่งสำคัญ*ให้เหมือนกัน ผมว่าชาวพุทธแฟร์อยู่แล้ว --------- copy ภาพความเห็นนี้ผมไว้เป็นพยานกันเยอะๆ ด้วยนะ แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 11:43:34 แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 11:28:08 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:26:48

ความคิดเห็นที่ 39 ผมไม่เรียกการเถียงแบบ ไก่เกิดก่อนไข่ แต่ผมเรียกมันว่า น้ำผึ้งหยดเดียว ครับพี่ การพูดถึงสิ่งหนึ่งคนหนึ่ง แล้วไปนำประเด็นอื่นมาสมทบ ทำให้กระทบกันคนอื่นๆต่อไปอีก มันก็กระจายไม่จบสิ้นนะครับ รึการตอบในเชิงเหยียดหยามผู้สนทนา แทนที่จะสร้างความแนบแน่น ก็เลยกลายเป็น แยกตัว นั่นหละวิถีใครก็ของคนนั้น แง่บๆ จากคุณ : itoursab เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 12:31:06

ความคิดเห็นที่ 40 ขออัลลอฮฺ ตอบแทนความดีแก่ พี่น้อง ''มุสลิม'' ในที่นี่ ที่คอยปกป้อง ศาสนาอิสลาม ค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 19:55:54

ความคิดเห็นที่ 41     การสอนของซุนนีย์มุสลิมดั่งเดิมเกี่ยวกับความศรัทธาที่แท้จริงต่อพระเจ้า (orthodox Sunni belief)          พระเจ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องการความเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังจาก มนุษย์เพราะมันไม่ได้เป็นอันตรายต่อพระองค์,และพระองค์ไม่มีความจำเป็นจะต้องให้รางวัลต่อเราถ้าเราเชื่อฟังพระองค์ถ้าพระองค์ประสงค์ที่จะไม่ให้, และพระองค์อาจจะให้รางลัลแก่เราถ้าเราไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ได้          นี่คือเหตุผลผลที่ ซุนนีย์มุสลิมสมัยก่อนเก่า มีความเชื่อและ สอน กัน ต่อๆมา ว่าเมื่อพระองค์อัลลอฮ์ให้รางวัลแก่ผู้ใด พระองค์ให้ เพราะ พระมหา กรุณาของพระองค์ซึ่งมีอย่างเหลือเฟือ, ที่พระองค์ กระทำ เช่นนั้น ไม่ใช่ เพราะ ว่าพระองค์จำเป็นต้องทำหรือเป็นเพราะว่า เรามีสิทธิที่จะได้รับรางวัล, ถ้าเราจะถามว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำถามเช่นนี้ จึงไม่อาจจะใช้กับเอกพลานุภาพของพระเจ้าได้          ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องลงโทษผู้ใดถ้าผู้นั้นไม่เชื่อฟังพระองค์ และถ้าพระองค์ประสงค์พระองค์สามารถที่จะลงโทษแก่เราถ้าเราเชื่อฟังพระองค์์ ในการสอนเช่นนี้เราได้เรียนรู้ว่า เมื่อไรก็ตาม ที่พระองค์ลงโทษผู้ใด พระองค์ไม่ได้กระทำความผิดต่อผู้นั้น, ทั้งนี้เพราะว่าการที่เราจะเชื่อฟังและไม่เชื่อฟังพระองค์นั้น ไม่เกิดผลอันใดต่อพระองค์, พระองค์ลงโทษเขาผู้นั้นโดยปราศจากความลำเอียงและ ถ้าเราจะถามว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำถามเช่นนี้ จึงไม่อาจจะใช้กับเอกพลานุภาพ ของพระเจ้าได้           เหตุผลที่คำถามว่า “ทำไม?” จะนำมาใช้กับทั้งสองกรณีนี้ไม่ได้เนื่องจากเรา ไม่ทราบในสิ่งที่พระเจ้าทรงล่วงรู้  การสอนเช่นนี้มีอยู่ใน คู่มือการสอน ของ ซุนนีย์มุสลิมแต่ดังเดิม คือ บางทีเหตุการที่บังเกิดขึ้นแก่ มนุษย์ เราบางครั้งดูไม่ยุติธรรมเลย คนดีกลับต้องตายเร็วด้วย อุบัติเหตุ หรือถูกคนเลวฆ่าตาย ส่วนคนทำชั่วกลับร่ำรวยสุขสบาย           มุสลิมที่ฉลาดและไม่โง่เขลาจนเกินที่จะช่วยเหลือได้ด้วยวิชาการจึงมองว่า การอธิบาย ตาม การสอน ที่ดั่งเดิมของซุนนีย์มุสลิม ในความ มีศรัทธาต่อพระเจ้านั้น, เราจะต้องไม่มีข้อสงสัยหลังจาก ที่เราได้มีความศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว         การทดสอบความอดทนของมุสลิมโดยให้มีผู้ดูหมิ่นพระองค์นั้นเป็นเรื่องที่เกิด ขึ้นเนื่องจาก"พระเจ้าคือพระเจ้า"ที่มนุษย์ไม่อาจจะหยั่งรู้หรือคาดหมายว่าพระองค์ จะทรง กำหนดให้อะไรเกิดขึ้นแก่เรา          ผู้ที่โง่เขลามักจะแก้ปัญหาและความไม่เข้าใจในเหตุผลด้วยความหยาบคาย เนื่องจากไม่อาจจะ หาเหตุผลที่แท้จริงในการแสดงความศรัทธาต่อพระเจ้า ที่เขาปฏิญาน ว่าจะศรัทธาต่อพระองค์อย่างมั่นคงได้ เขาจะเกาะกลุ่มด้วยกันเนื่องจากขาดความมั่นใจในตัวเองในการใช้สติปัญญานึกคิด ไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเองได้   เนื่องจากความรู้ความเข้าใจ ในตัวปัญหา และที่สำคัญคือขาดมารยาทสังคม เนื่องจากเขาไม่เข้าใจคำสอนจากคัมภีร์ เล่มที่สองของเขาเองที่มีสอนทั้งสองแบบจะเลือกแบบใดตามอารมณ์ที่ต้องการ  ผมจึงเสนอ คำสอนข้อนี้ไห้ไปศึกษาหาความเข้าใจให้ถูกต้อง จะได้เป็นมุสลิมที่ดีไและอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยความสงบสันติ          فقال أبو سعيد أما هذا فقد قضى ما عليه سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول من رأى منكم منكرا فليغيره بيده فإن لم يستطع فبلسانه فإن لم يستطع فبقلبه وذلك أضعف الإيمان        ถ้ายังไม่เข่้าใจการสอนในฮาดีษบทนี้ ซึ่งเป็นฮาดีษที่สอนในการแก้ไขและปรับปรุงสังคม ถ้าเรามีศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง      สำหรับเรื่องการให้อภัยนั้น ถ้า Uneducated Muslims ที่ไม่เคยศึกษาอัลกุรอาน นอกจากฮาดีษ และไม่พบการให้อภัยในฮาดีษ ผมแนะแนะนำให้ ลองอ่านการสอนของ "ท่านนะบีอีซา" ซึ่งผมอ่านพบและขออนุญาต จขกท นำมาโพสต์ไว้ในที่นี้ เพื่อประโยขน์ในการศึกษา เพื่อจะได้เช้าใจว่าการสอนมารยาทสังคมที่ดีนั้นมีอยู่ในทุกๆศาสนา ซึ่งไม่ยากที่จะหาความรู้ได้เลย ด้วยเหตุนี้การดูถูกความศรัทธาของผู้อื่น จึงไม่เทียบบรรทัดฐานของศาสนาหนึ่งศาสนาใดได้     (คริสเตียน) เราจะยกโทษให้คนที่ทำร้ายเราได้อย่างไร...??? MsgStatus(Msv[0], 0); ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ทุกคนเคยถูกเข้าใจผิด, ถูกทำให้ขุ่นเคืองใจ, ถูกทำร้าย ทั้งนั้น แล้วเราจะตอบสนองอย่างไรเมื่อมันเกิดขึ้น? พระคัมภีร์บอกว่าเราควรให้อภัย หนังสือเอเฟซัส 4:32 บอกว่า “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” หนังสือโคโลสี 3:13 ก็พูดคล้าย ๆ กันว่า “จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน” หัวข้อหลักในข้อพระคัมภีร์ทั้งสองข้อคือเราต้องยกโทษให้ผู้อื่น เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ทรงยกโทษเรา ทำไมเราจึงต้องต้องยกโทษด้วยเล่า? ก็เพราะเราก็ได้รับการยกโทษด้วยเหมือนกันนั่นเอง! การยกโทษจะเป็นเรื่องง่ายหากคนที่ทำผิดกับเราเข้ามาขอโทษเราด้วยความเสียใจและสำนึกผิด แต่พระคัมภีร์บอกว่าเราจะต้องยกโทษให้ผู้ที่ทำผิดต่อเราโดยไม่มีเงื่อนไข การไม่ยอมยกโทษแสดงถึงความขุ่นเคืองใจ, ความขมขื่น, และความโกรธ – ซึ่งไม่มีอะไรแสดงถึงลักษณะของคริสเตียนเลย ในคำอธิษฐานของพระเจ้า เราขอให้พระเจ้าทรงยกโทษให้เราเหมือนกับที่เรายกโทษให้คนอื่น (มัทธิว 6:12) พระเยซูตรัสในหนังสือมัทธิว 6:14-15 ว่า “เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน” เมื่อพูดถึงข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ ที่พูดถึงการยกโทษของพระเจ้า หนังสือมัทธิว 6:14-15 เป็นหนังสือที่คิดว่าดีที่สุดเกี่ยวกับการไม่ยอมยกโทษให้คนอื่น หนังสือพูดว่าคนที่ไม่ยอมยกโทษให้คนอื่นคือคนที่ไม่เคยรู้จักกับการยกโทษจากพระเจ้าเช่นกัน เมื่อใดที่เราพลาดเป้าหมายโดยการไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า เราก็ทำบาปต่อพระองค์ เมื่อใดที่เราทำความผิดต่อผู้อื่น เราไม่เพียงแต่ทำบาปต่อเขาเท่านั้นแต่เราทำบาปต่อพระเจ้าด้วย เมื่อเรามองถึงพระเมตตาอันมากมายมหาศาลของพระเจ้าที่ทรงยกโทษการละเมิดทั้งสิ้นให้เรา เราก็จะรู้ว่าเราไม่มีสิทธิที่จะหวงการให้อภัยเอาไว้ เราได้ทำบาปต่อพระเจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมากกว่าที่คนอื่นเคยทำกับเราทั้งสิ้น หากพระเจ้าทรงยกโทษให้เราได้มากถึงขนาดนั้น ทำไมเราจึงจะยกโทษให้คนอื่นบ้างไม่ได้? คำอุปมาของพระเยซูในหนังสือมัทธิว 18:23-35 เป็นตัวอย่างที่มีพลังมากสำหรับความจริงนี้ พระเจ้าทรงสัญญาว่าเมื่อเราเข้ามาหาพระองค์ขอให้พระองค์ยกโทษให้ พระองค์ก็ทรงยกโทษให้อย่างไม่มีข้อผูกมัด (1 ยอห์น 1:9) การยกโทษของเราไม่ควรมีขอบเขต เหมือนอย่างที่การยกโทษของพระเจ้าซึ่งไม่มีขอบเขตเช่นกัน (ลูกา 17:3-4)                               .......................................... "แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา" โรม 5:8 "เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์" ยอห์น 3:16                             ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่านครับ   จากคุณ : ศรัทธาพลัง เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 11:38:35 ถูกใจ : แมทท์, แมวเก้าแต้ม, ปุ้ม 007, Mana--Amen แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 55 06:22:11 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 02:35:35

ความคิดเห็นที่ 42 เป็นการใช้เหตุผล เพื่อสนับสนุนความไม่มีเหตุผล นั่นคืออะไร สิ่งที่ถูกต้อง พระเจ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องการความเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังจาก มนุษย์เพราะมันไม่ได้เป็นอันตรายต่อพระองค์ แต่การกล่าวอ้างอันไม่ถูกต้อง   ความไม่โกรธแค้นคือความศรัทธาหรือ "อีมา่น" ที่แท้จริงของมุสลิม ... การดูหมิ่นและเหยียดหยามพระเจ้าของมนุษย์นั้นไม่ได้เกิดจากความคิดอ่านของ ผุ้กระทำผิดมารยาทสังคม แต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์เองที่บันดาลให้เกิดขึ้น  ทั้งนี้เพราะว่ามุสลิมศรัทธาว่าพระเจ้าเป็นผุ้สร้างและให้จิตวิญญาณ ต่อมนุษย์ พระองค์จึงทรงมีอำนาจใน การควบคุมความรู้สึกนึกคิดหรือ ดลใจให้ผู้นั้นกระทำเพื่อพิสูจน์ในความศรัทธาที่แท้จริงของมุสลิมต่อพระองค์ ... จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 15:33:34 ถูกใจ : mce, มะลิร้อยมาลัย, itoursab, แมวเก้าแต้ม bookmark เก็บเข้าคลังกระทู้ ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ หน้าหลัก กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป   นี่ คือการอ้างที่ไม่ถูกต้อง ศาสนาคริสต์เอง ที่คุณพยายามยกมาให้อ่าน ก็ยังไม่นับว่าถูกต้องครับ ถ้าคิดแบบนี้ เพราะมันคือการโทษอัลลอฮฺว่า การทำชั่วของมนุษย์ คือการดลใจของพระเจ้า ไม่ใช่ความคิดอ่านของผู้นั้นเอง และสำหรับผู้ที่อ้างกุรอ่านนั้น ยิ่งถือว่าขัดกับกุรอ่าน เต็มที่ เพราะอัลลอฮฺทรงบอกดังนี้ และความชั่วใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากตัวของเจ้าเอง (อัล-กุรอาน บทอันนิซาอฺ โองการที่ 79) แล้วจะ มาบอกหรือว่า การกระทำชั่ว โดยการกล่าวด่าทอพระเจ้านั้น เป็นเพราะพระองค์เอง? ไม่ทราบว่าศาสนาไหนสอนหรือครับ? แต่ที่แน่ๆ ไม่น่าใช่อิสลามนะครับ ที่จะอ้างแบบคุณอ้าง ในทางกลับกัน การที่เกิดผู้ที่ดูถูกดูหมิ่นพระเจ้าขึ้นมา แล้วอัลลอฮฺให้เรามุสลิมได้มาพบเจอกับพวกชั่วช้าเหล่านี้ สามารถมองได้เช่นกันว่า อัลลอฮฺให้เราได้พบการทดสอบ ในการที่เราจะยับยั้งการทำชั่วเหล่านั้น เพื่อไม่ให้การทำชั่วเหล่านั้นลุกลาม และกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นดาษดื่น ด้วยความไร้ยางอาย ด้วย เพราะอัลลอฮฺทรงตรัสว่า 1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลาได้ตรัสว่า ความว่า “และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่เชิญชวนไปสู่ความดี และใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่มิชอบ และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จ”(อาลิอิมรอน : 104) 2. อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลาได้ตรัสว่า ความว่า “พวก เจ้านั้นเป็นประชาชาติที่ดียิ่งซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นสำหรับมนุษยชาติ โดยที่พวกเจ้าใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้ปฏิบัติในสิ่งที่มิชอบ และศรัทธาต่ออัลอฮฺ...”(อาลิอิมรอน : 110) 3. จากอะบีสะอีด อัลคุฎรีย์ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ ได้กล่าวว่าฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมได้กล่าวว่า «مَنْ رَأَى مِنْكُمْ مُنْكَراً فَلْيُـغَيِّرْهُ بِيَدِهِ، فَإنْ لَـمْ يَسْتَطِعْ فَبِلِسَانِـهِ، فَإنْ لَـمْ يَسْتَطِعْ فَبِقَلْبِـهِ، وَذَلِكَ أَضْعَفُ الإيمَانِ». ความว่า “ผู้ใดในหมู่พวกท่าน พบเห็นสิ่งชั่วช้าหนึ่งๆ ก็จงเปลี่ยนแปลง (ขจัด) สิ่งนั้นด้วยมือของเขา แต่หากว่าเขาไม่สามารถ (ระงับสิ่งเหล่านั้นด้วยมือ) ก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยลิ้น (วาจา) ของเขา แต่หากเขายังไม่สามารถ (ระงับสิ่งนั้นด้วยวาจา) ก็จงเปลี่ยนแปลงด้วยจิตใจของเขา (ความรู้สึกที่รังเกียจต่อสิ่งนั้น) และ (การเปลี่ยนแปลงด้วยจิตใจนั้น) นั้นถือว่าเป็นศรัทธาที่อ่อนแอที่สุด” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษที่ 49) หรือ การที่จะให้อดทนนิ่งดูดายการใส่ร้าย ด่าทอพระเจ้านั้น แปลว่า การด่าทอพระเจ้า ไม่ใช่การทำชั่วหรือ? ในสายตาของ login แมทท์ นี่คุณกำลังจะบอกใช่ไหมว่า ไม่ใช่ความชั่วอะไร ในการด่าทอพระเจ้า มุสลิมดูดายไปเถอะ ทั้งๆที่ กุรอ่านสั่งใช้ให้ชักชวนสู่ความดี ยับยั้งจากความชั่ว แล้วการปฏิเสธศรัทธาล่ะ จะบอกได้หรือว่า เป็นเพราะพระเจ้าดัลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น แบบนั้นเราไม่ต้องไปเผยแผ่ศาสนาหรืออย่างไร? แต่อัลลอฮฺก็ทรงให้เราเชิญชวนมารับอิสลามอยู่ดี ถ้าเรานิ่งดูดายในกรณีที่ พระเจ้าถูกใส่ร้ายว่า สร้างขึ้นโดยมนุษย์? ก็เท่ากับยอมรับเช่นนั้นหรือ? แล้วถ้ามนุษย์เข้าใจไปผิดๆ ล่ะครับ ไม่เท่ากับเราสนับสนุนให้การกระทำชั่วนั้นแพร่กระจายออกไป หรืออย่างไร จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 07:13:55

ความคิดเห็นที่ 43 สวัสดียามเชัาค่ะคุณแมทท์และเพื่อนสมาชิกทุกๆท่าน ดิฉันไม่ได้มาเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนะคะ ดิฉันก็ยังมีความรู้สึกดีๆกับเพื่อนๆชาวมุสลิมทุกๆท่าน ฝากสุภาษิตจีนให้คุณแมทท์ "真金不怕火 ทองแท้ไม่กลัวไฟ" ปรัชญาจีน.. ปลูกต้นไม้ต้องเพาะเลี้ยงรากมันไว้ ปลูกคุณธรรมต้องฝึกจิตใจ ฝากเพื่อนๆชาวมุสลิมทุกๆท่าน ขอให้เรามีมิตรภาพที่ดีต่อกันและกัน ขอบคุณค่ะ ปล. ฝากถามคุณแมทท์ว่า การจะเป็นคนมีคุณธรรมที่ดี จะต้องมีการศึกษาที่สุงด้วยหรือไม่? .. คนมีการศึกษาน้อย หรือไม่ได้ร่ำเรียนเลย เขาจะมีคุณธรรมที่ดีได้หรือไม่? คุณแมทท์คิดเห็นยังไงคะ? ฝากไว้หนึ่งข้อค่ะ จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 07:53:06

ความคิดเห็นที่ 44 สวัสดียามค่ำกับท่านแมทท์ กับท่านมะลิร้อยฯ และกับเพื่อนสมาชิกฯ ศาสนิกแห่งห้องศาสนา ณ พันทิปดอทคอม[คือบนโลกแบนๆแผ่นนี้] ทุกๆท่าน จากปรัชญาจีน.. ปลูกต้นไม้ต้องเพาะเลี้ยงรากมันไว้ ปลูกคุณธรรมต้องฝึกจิตใจ @ ตามที่ท่านมะลิร้อยฯได้นำมากล่าวไว้ ในข้อธรรมจาก อัล-กุรอาน คือวิวรณ์ธรรมแห่ง เอกองค์อัลลอฮฺ ก็มีบทที่กล่าวสั่งสอนเป็นตรรกธรรม เปรียบเทียบถึงคุณธรรมความดีของมนุษย์ ด้วยลักษณะธรรมชาติของผลจากการปลูกต้นไม้ - ไว้ด้วยเช่นกัน       เพราะฉะนั้นแลท่านฯทั้งหลาย... ด้วยเนื้อหาที่เป็นส่วนของพระธรรมคำสอน  แม้ว่าจะไม่ เสมอกัน ไปเสียทุกบรรทัดแห่งความเหมือน   แต่ เนื้อหาในแก่นแกนแห่งสาระธรรมในคำสอนของศาสนานั้นๆต่างหากเล่า ที่เหมือนกับเป็น ผืนผ้าอันได้ทอขึ้นโดยช่างทอผ้าหมู่บ้านเดียวกัน  ซึ่งเมื่อสำเร็จสู่คุณลักษณะแห่งผ้าคือใช้ประโยชน์ได้ดีแล้ว จึงส่งออกไปสู่ผู้ต้องการใช้        ผู้ที่ต้องการใช้ผ้าคือ มนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่มีที่อยู่ที่อาศัยอยู่ทั่วไปในทุกๆดินแดนที่สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตแพร่พันธุ์อยู่ได้       และ มนุษย์ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวบนโลกนี้ ที่รู้จักการทอผ้า รู้ถึงวิธีใช้-แยกแยะคุณสมบัติของผ้าที่จะเอามาเป็นเครื่องนุ่งห่ม ห่อหุ้ม-ปกปิดร่างกาย       นอกจาก ผืนผ้า จะทำให้มนุษย์ด้วยกันรู้และเข้าใจโดยง่ายว่า สิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่นี้-นั้น ไม่ใช่สัตว์ที่มนุษย์กำลังระดมกันล่าเพื่อใช้เป็นอาหาร เพราะเห็นการนุ่งห่ม อันมีความแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายอย่างเห็นได้โดยง่ายแล้ว  ผืนผ้า-เนื้อผ้ายังปกป้องความโหดร้ายของธรรมชาติ คืออากาศร้อนหนาวที่มีอยู่รอบตัวมนุษย์ และกับทั้งแยกแยะความเป็นเผ่าพงษ์วงวารของพวกเขาเหล่าใดๆนั้นๆให้ชัดเจน คือมีรูปแบบของการใช้ผ้าเพื่อการนุ่งห่มปกคลุมที่ต่างกันไปอีกด้วย           และความผันแปรของสรรพสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติใดๆนั้นๆนั่นเอง ที่-ก็มีผลต่อพฤติกรรมแห่งกลุ่มมนุษย์เหล่านั้นกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน ศีลธรรมและข้อธรรมที่ก่อศรัทธาขึ้นมาด้วยหลักธรรมตามคำสอนของศาสนา ทุกศาสนา  จึงอุปมาได้ดั่งเป็น ผืนผ้า ที่ทำให้เราท่านทั้งปวงต่างจากสัตว์ และความแตกต่างกันของความศรัทธาในข้อธรรมตามจริงใดๆ ก็เนื่องจากสิ่งแวดล้อมของคนผู้ตั้งศรัทธานั้น ๆ นั่นเอง [และ...นี่คือความหมายจากที่ได้กล่าวมาข้างบนนั้น] และ การได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ถึงผลของ คุณธรรมความดี จึงทำให้เราท่านทั้งหลายรู้จักหลีกให้พ้นจาก ความชั่วร้าย  ที่จะอุปมาได้ก็คือ อาการร้อน หนาว กลัว โกรธ หวง หลง โลภ เคียดแค้น ชิงชัง อาฆาตจองเวร ฯลฯ เป็นต้น อันเกิดจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้แก่ ธรรมชาติในสังคมใดๆนั้นๆ ด้วยกัน นั่นเอง ฯ อาจจะเป็น คหสต. ของ กรองคำ ที่ใช้ไม่ได้เลย  แต่ สาธุชน ศาสนิกชน สมาชิกฯเราท่านทั้งหลาย ก็โปรดช่วยกันพิจารณาในส่วนนี้  และจง ยก-ชี้แนะ ถึงความถูกต้อง/หากว่าจะมีความไม่ถูกต้อง ความไม่พ้องไม่เข้ากันปรากฏอยู่ หรือหากมีความเห็นต่าง จากการยกมาเทียบเคียงไว้ด้วยกัน ของ ศีลธรรมในศาสนา ที่ กรองคำ พิจารณาด้วย ข้อธรรมตามจริง ... ก็โปรดแสดงฯด้วย จึงขอยกมาไว้ให้ท่านสมาชิกฯ บรรดาศาสนิกชน-คือคนที่มีศาสนา ทุกศาสนา ได้ร่วมกันพิจารณาส่วนพ้องดังกล่าวไว้ ณ กระทู้นี้ - ดังนี้... [เป็นมรดก-บันทึกเก่า  ที่พันทิปดอทคอมได้กรุณาเก็บไว้ให้-เพื่อชนรุ่นหลัง ก็เห็นว่ายังเหมาะสมจึงขอยืม - ยกมาปรับใช้ตามกรณีฯ] จากบทบัญญัติใน อัล-กุรอาน ซูเราะอฺห์ บท อิบบรอฮิม[๑๔] 14. Ibrahim - Abraham (سورة إبراهيم) - Revealed in Makkah http://iknowledge.islamicnature.com/quran/surah/14/lang/thai/ ขอยกมาในข้อที่ กรองคำ เห็นว่าทรงในเนื้อหาอันมี แก่นธรรม ที่พิจารณาแล้วก็  พ้อง~คล้องจอง  เข้ากันได้ในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ข้อที่เป็นแนวทางสู่การไตร่ตรองเพื่อปฏิบัติ  เพื่อให้เกิด สันติธรรม ขึ้นในจิตสำนึก ตามสภาวะธรรมอันพึงมี ด้วยความที่ตนยังรู้ตนว่าเป็นศาสนิกชน-คือเป็นคนมีศาสนาจริงๆ เพื่อจะได้ใช้เป็นวิถีทาง  เป็นลู่ทางชักพาให้มีการประพฤติตนเข้าสู่ความเป็น  สันติ อย่างแท้จริง  ต่อไป Ibrahim~Verse 1 | (14:1) อะลิฟ ลาม รอ ... คัมภีร์ที่เราได้ประทานลงมาแก่เจ้า เพื่อให้เจ้านำมนุษย์ออกจากความมืดมนทั้งหลาย สู่ความสว่าง  ด้วยอนุมัติของพระเจ้าของพวกเขา สู่ทางของพระผู้เดชานุภาพ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai Ibrahim~Verse 24 | (14:24) เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์ไว้ว่า อุปมา คำพูดที่ดี ดั่งต้นไม้ที่ดี  รากของมันฝังแน่นลึกมั่นคง และกิ่งก้านของมันชูขึ้นไปในท้องฟ้า PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai Ibrahim~Verse 25 | (14:25) ผลของมันจะออกมาทุกกาลเวลา โดยอนุมัติของพระเจ้าของมัน  และ อัลลอฮฺ ทรงยกอุทาหรณ์แก่ปวงมนุษย์เพื่อพวกเขาจะได้รำลึก PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai Ibrahim~Verse 26 | (14:26) และอุปมา คำพูดที่เลว ดั่งต้นไม้ที่อับเฉาถูกถอนราออกจากพื้นดิน  มันไม่มีความมั่นคงเลย PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai Ibrahim~Verse 27 | (14:27) อัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้ศรัทธา หนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยู่ ทั้งในโลกนี้ และในปรโลก  และอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้อธรรมหลงทาง  และอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai Ibrahim~Verse 28 | (14:28) เจ้าไม่เห็นดอกหรือ บรรดาผู้เปลี่ยนความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เป็นการปฏิเสธศรัทธา และได้นำกลุ่มชนของพวกเขาลงสู่ที่พำนักอันหายนะ” PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai Ibrahim~Verse 29 | (14:29) นรกญะฮันนัมที่มีเปลวไฟร้อนจัดของมัน และมันเป็นที่พำนักอันชั่วช้า PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai Ibrahim~Verse 30 | (14:30) และพวกเขาได้ตั้งภาคีคู่เคียงกับอัลลอฮฺ  เพื่อให้พวกเขาหลงทางของพระองค์  จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “พวกท่านจงร่าเริงกันเถิด เพราะแท้จริงทางกลับของพวกท่านย่อมไปสู่ไฟนรก” PlayTafsirAdditional LanguagesBookmarkShareDownload VerseLink Thai   ความหมายของการปฏิเสธศรัทธา  ในแนวคิดของ กรองคำ ไม่เคยยึดหลักคิดในข้อที่ว่า การปฏิเสธ ที่กล่าวในอัล-กุรอาน หมายความถึงเพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่ง ที่ถอดถอนศรัทธาของตนออกจากความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวแห่ง อัล-อิสลาม [คือเอกองค์อัลลอฮฺ] แต่ การปฏิเสธศรัทธา ยังเป็นการกล่าวถึง-ชี้ตรงเข้าสู่ พฤติกรรมของมนุษย์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังในคำสั่งสอนที่เป็น โองการฯ อันปรากฏชัดเจนแล้วในบทบัญญัติข้อใดๆนั้นๆ   การละเมิดหรือประพฤติในสิ่งอันหรือการใดๆที่อยู่ตรงกันข้ามจากบัญญัติฯหรือข้อธรรมใน อัล-กุรอาน  นั่นคือการไม่เชื่อฟัง นั่นคือการปฏิเสธศรัทธาของตนที่บอกว่ามีอยู่กับข้อธรรม-บทบัญญัตินั้นๆ ที่กล่าวขึ้นมานี้ เป็นด้วยความเห็นส่วนตัวจริงๆ และได้ยึดถือมานานแล้ว นับตั้งแต่ได้มีโอกาสเรียนวิชาศาสนาเปรียบเทียบกับท่านอาจารย์แสง จันทร์งาม และพบกับข้อธรรมใน อัล-กุรอาน หลายร้อยบท ที่พ้องแก่การศึกษาเพื่อการปฏิบัติธรรม และเมื่อได้บวชเรียนก็ยิ่งได้โอกาสอันดี คือมีเวลาค้นหา~พิจารณา~เปรียบเทียบฯ ทำเวลาช่วงนั้นให้ได้ประโยชน์ ด้วยข้อธรรมเปรียบเทียบจาก อัล-กุรอาน เทียบกับพระไตรปิฎก มากขึ้นไปอีก พบบทใดซูเราะฮฺ์ใดอายะอฺห์ใดที่มีความพ้องไปได้กับแนวข้อธรรมทางพระพุทธศาสนา ก็จะถือว่า บทใดๆนั้นๆ คือ ข้อธรรม อันเป็นทั้ง อนุโลมและปฏิโลมแห่ง ศีล  คือเป็นศีลธรรมสำหรับมนุษย์ ที่มีปรากฏใน แก่นธรรมของศาสนาอิสลาม  ซึ่งคนทุกคนสามารถนำมาฝึกฝนตนเอง เพื่อความเจริญและสวัสดีแก่ตนเอง ในสังคมแบบอยู่ร่วมกัน โดยที่ไม่ขัดแย้งกันในตนเอง เพราะโดยการไตร่ตรองในการศึกษาธรรมะที่แก่นของข้อธรรมใดๆนั้นๆ ก็ย่อมจะไม่มีการเห็นผิดไปว่าต้องเป็น มุสลิม เท่านั้น ที่-จึงจะศรัทธาในข้อธรรมจาก อัล-กุรอาน ได้ แต่จะกลับเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาว่าเป็น/มี ข้อธรรมตามจริง ที่นำมายึดเหนี่ยวจิตใจได้ โดยไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็น มุสลิม เท่านั้น เช่นเดียวกันกับ ข้อธรรมตามจริง อันเป็น ศีลธรรมสำหรับมนุษย์ ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและบัญญัติไว้ อันปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎก ของพระพุทธศาสนา ณ โอกาสแห่งการแสดงข้อธรรมว่าด้วยวิถีทางแห่ง สันติธรรม ของท่านแมทท์ สหายทางธรรมผู้อาวุโส นี้  กรองคำ ก็ขอยก ข้อธรรม~พุทธธรรมเปรียบเทียบ มาลงไว้ เนื่องจากใจความที่ปรากฏอยู่ในพุทธธรรมนี้มีความพ้องกันอย่างใกล้เคียง ด้วย แก่นแกนในหลักธรรม ใดๆนั้นๆ ดังกล่าว    วิสฺสาสา ปรมา ญาติ  นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (๓ หน) พระบรมศาสดาฯสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ... พระองค์ทรงสรรเสริญ วิสฺสาส ปรมา ญาติ อยู่เหมือนกันว่า เป็นญาติอย่างยิ่ง ฯ          @ ณ บัดนี้อาตมภาพจักได้แสดงธรรมมิกถา เฉลิมเพิ่มเติมศรัทธาของเจ้าภาพ  ซึ่งเป็นผู้มีสมานฉันท์ พร้อมใจซึ่งกันและกันด้วยมารดาและบุตร พร้อมด้วยวงศาคณาญาติ  เนื่องด้วยสายโลหิต และเนื่องด้วยความคุ้นเคย เนื่องด้วยสายโลหิตเรียกว่า " ญาติ" ..... ... และที่เนื่องต่อกันด้วยความคุ้นเคย จึงเรียกว่า "วิสฺสาส ปรมา ญาติ"   [ขอยกมาเพียงส่วน ๑]   ๒. เงาของญาตินั้นร่มเย็น           พระพุทธเจ้าก็ตรัสเป็นคำที่เป็นคติสอนใจได้มากกว่า "เงาของญาตินั้นร่มเย็น" เป็นภาษาบาลีย่อ ๆ ง่าย ซึ่งแปลความเป็นไทยแล้วก็ได้ความอย่างนี้ "ร่มเงาของญาตินั้นร่มเย็น"            ท่านทั้งหลายลองนึกดูว่า ถ้าญาติดีกันจริง ๆ แล้ว ญาตินั้นก็ร่มเย็นเหมือนกับต้นไม้ใหญ่  แต่ถ้าญาติไม่ดีก็ตรงกันข้าม ก็กลายเป็นร้อนอีกเหมือนกัน ถ้าหากว่าเป็นญาติที่ดีก็กลายเป็นความร่มความเย็นอย่างนั้น การที่จะนับว่าเราเป็นญาติกันหรือไม่เป็นญาติกันนั้น สำคัญอยู่ที่จิตใจ คือเราต้องมีจิตใจสูง มีจิตใจที่ดีต่อกันเป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่ได้เป็นญาติเพียงแต่คบกันเป็นมิตร ถ้าหากว่าเอื้อเฟื้อกันเรายังคงเคารพนับถือรักใคร่ แต่คนที่เป็นญาติกัน ถ้าหากว่ามีธรรมต่อกันแล้ว ก็ยิ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิด สนิทสนมกัน หมายเหตุ.- บท ความนี้ จำผู้ที่เขียนไม่ได้ ซึ่งเราพิจารณาเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขออนุญาตนำเสนอให้อ่านกัน ณ ที่นี้ หากผลที่ดีเกิดขึ้น ขอมอบให้เจ้าของบทความ และขอให้เป็นสมบัติของสาธารณะ ผู้ต้องการคัดลอกเพื่อเป็นธรรมทานก็ขอเชิญ คัดลอกเอาไปได้ตามอัธยาศัย  <คลิกเพื่อศึกษา-อ่านเพิ่มเติม] Ibrahim~Verse 27 | (14:27) อัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้ศรัทธา หนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยู่ ทั้งในโลกนี้ และในปรโลก  และอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้อธรรมหลงทาง  และอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ (An-Nisaa) 79. ความดีใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากอัลลอฮฺ (*1*) และะความชั่วใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากตัวของเจ้าเอง (*2*) และเราได้ส่งเจ้าไปเป็นร่อซูลแก่มนุษย์ และเพียงพอแล้วที่ อัลลอฮฺ ทรงเป็นพยาน (*3*) (1)  เนื่องจากปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงแนะนำไว้ (2)  เนื่องจากฝ่าฝืนคำแนะนำของพระองค์ (3)  คือเป็นพยานยืนยันในการกระทำของมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงรู้เห็นทุกอย่างในสิ่งที่มนุษย์กระทำ และอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้อธรรมหลงทาง  และอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ผู้ปฏิเสธศรัทธา กับ ผู้อธรรม ...  หากพิจารณาด้วยปัญญาจากการผ่านการศึกษาข้อธรรม คือเป็นคนมีธรรมะอย่างแท้จริงจากการศึกษาลงในแก่นข้อธรรมใดๆนั้นๆ       ไม่ติดอยู่แค่ตีความตามอักขระและยกหลักฐานจากตำราใดๆนั้นๆ วนเวียนอยู่เพียงแค่อ่านซ้ำ ๆ แต่ถ่ายเดียวแล้ว ย่อมจะรู้ว่า ทั้งสองประเภทของบุคคลเช่นนั้น อยู่ในกลุ่มความหมายใดของคำสอนของศาสนา      ซึ่งเมื่อมองเห็นแก่นธรรมตามจริงในข้อธรรม ดูออก คือเข้าใจด้วยจิตใจของตัวตนเองชัดเจนแล้ว ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับที่ท่านมะลิร้อยฯได้ยกมา... จากปรัชญาจีน.. ปลูกต้นไม้ต้องเพาะเลี้ยงรากมันไว้ ปลูกคุณธรรมต้องฝึกจิตใจ ..ซึ่ง... สันติธรรม ย่อมเกิดขึ้นในจิตที่เป็นธรรมนั้นๆ และจะนำออกมาใช้เป็นรูปธรรมได้ด้วยตนเอง *แก้ไขตกหล่นเน้นคำสำคัญและเพิ่มเติมบางข้อความ~และซ่อมลิ้งก์ อีก ๑ ครั้ง ข้อความเดิม : หมายความถึงการที่ใครคนใดคนหนึ่ง ที่เขาไม่รับเชื่อการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวแห่ง อัล-อิสลาม แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 04:30:47 แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 01:10:48 แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 55 22:37:15 จากคุณ : กรองคำ เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 21:26:02

ความคิดเห็นที่ 45 และ ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และวันปรโลกแล้วไซร้ แน่นอนเขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล” (อันนิซาอ์ 136) จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 55 23:24:11

ความคิดเห็นที่ 46 สวัสดียามค่ำครับคุณกรองคำและคุณมะลิร้อยมาลัย คุณมะลิร้อยมาลัย..เพื่อนที่เต็มไปด้วยคำคมและปรัชญาจีนที่ดี  ผมต้องขออภัยด้วยที่เงียบไป  เนื่องจากต้องทำงานอย่างเคย และได้ เกิด Accident เล็กน้อย ขณะที่ทำการเก็บ ขยะและรวบรวม ชิ้นส่วน ของซากศพที่เขาชำ แหละแล้วเข้าถุงปลาสติกเพื่อนำไปเผาทิ้ง. scalpel ที่หลงลืมอยู่ในขยะ,ทะลุผ่านถุงมือ ตัดฝ่ามือซ้าย ต้องไป ER เย็บ 6 เข็ม (Stitches or sutures)  ที่เล่านี่เพื่อจะตอบคำถามของคุณมาลิร้อยมาลัย เกี่ยวกับความยากลำบากของการเรียนรู้จากการทำงานในอาชีพของผม, แต่ก็ยังมีผู้ที่ มี คุณธรรม สูงและความรู้ดีอย่างท่านทั้งสองท่านให้ความเมตตา โน้มตัวลงมาเป็นมิตรทางธรรมกับผม โดยปราศจากความรังเกียจ เนื่องจาก คุณทั้งสองมีทั้งความรู้และ คุณธรรมในหัวใจ ที่คุณทั้งสองไม่ถือว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญระหว่างมิตรภาพ  การที่ ไม่เอาเรื่องการศึกษามาเป็นเรื่องสำคัญในการสนทนานั้น เนื่องจากกว่า มิตรสหาย ที่รักกันมากๆนั้น เรารักกันที่น้ำใจ และ ความซื่อตรงต่อกัน ถ้าผมเห็นผู้ที่มีความรู้ระดับสูงเช่น โท หรือ เอก, แสดงความ เป็นผู้อธรรมแล้ว ไม่มีความเกรงใจที่จะตำหนิเลย ถึงแม้ ว่าจะมีการศึกษาสูงเท่าใดมากกว่า คนเก็บขยะก็ตาม เนื่องจากทำตัวเป็น PUBLIC FIGURE และใช่ความรู้หลอกลวง ผู้ที่ ขาดโอกาสในการเรียนรู้ โดยเฉพาะในทางธรรม ดังเรื่องที่เราเห็นกันในกระทู้หลอกลวงต่างๆ ทั้ง ผู้บรรยายไทย และ ต่างประเทศ ที่มี มากในระยะนี้  ความไม่เปิดใจให้กว้างยอมรับความรู้ใหม่ๆเป็นการปิดกัน ความก้าวหน้าของตัวเอง ซึ่งเป็นการขาดทุนของชีวิตประการหนึ่ง เคย มีครั้งหนึ่งที่ พยายามที่จะอธิบายไวยกรณ์อังกฤษให้เด็กรุ่นใหม่ซึ่งไม่มีความเข้าใจในการใช้ภาษาอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากครูผู้สอน และนักสอนภาษาสมัยนี้พยายามที่จะหาทางที่จะ Simplify ไวยกรณ์ให้เด็กเข้าใจง่ายๆ นำคำจำกัดความใหม่ๆมาใช้ ในส่วนต่างๆ ของคำพูด   แทนที่จะทำให้เด็กเข้าใจได้ถูกต้อง กลับกลายเป็นการจำกัดความรู้ของเด็กให้ติดอยู่กับ TERM ที่จำกัด สมองและความ เข้าใจให้แคบลง เมื่อไปคุยกับผู้ที่เข้าใจมากกว่า และ เข้าใจรากหรือโครตภาษาดีกว่า ก็งุนงง และโต้เถียงด้วยความรู้อันจำกัด, คนประเภท นี้มีให้แต่ความสงสาร เหมือนกับดึงลาให้ออกจากโรงนาที่ไฟกำลังไหม้, ดึงเท่าใดก็ไม่ยอมออกจากอันตรายของความร้อนและยอมตายอยู่ ในนั้น  ถ้าคุณมาลิร้อยมาลัยอ่านกระทู้ต่างๆที่ มีการใช้คำหยาบคายในการสนทนาธรรมกันในที่นี้ คุณก็จะได้คำตอบในตัว ของมันเองว่า การมีการศึกษาที่ดีนั้น มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับคุณธรรมของบุคคลหรือไม่? ...............   อาชีพคนเก็บขยะนี้อันตรายพอควรครับ  ตอนนี้ต้องหยุดงาน 2-3 วัน นี่แหละครับ  ความงกๆเงิ่นๆของคนชราภาพ..ฮุฮุ ^-^ แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 12:03:34 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 07:29:06

ความคิดเห็นที่ 47 สำหรับคุณกรองคำสหายรัก   สหายผู้ที่ไม่เคยทอดทิ้งผมในเรื่องความรู้ทางธรรมทั้งทางพุทธศาสนาและศาสนาอิสลาม และผู้ที่สน ใจ ในการศึกษาศาสนาอิสลาม ถึง ขนาดที่เข้าใจอัลกุรอานได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุผล, ผมอ่านทบทวน ความคิดเห็นที่ 44 ของท่าน หลายครั้งว่าถ้าผม เห็นด้วยกับท่านแล้ว จะเป็นการเชื่อถือที่เป็นการสร้างภาคีหรือขัดกับหลักการของอิสลามหรือไม่? เพื่อให้ห่าง จากการติฉินนินทาของท่านผู้ที่มีความรู้จำกัด     เมื่อผมอ่านดูแล้ว ผมได้ทราบอย่างแน่ชัดว่าคุณมีความเข้าใจอัลกุรอานอย่างมีเหตุผล และผมมีความชื่นชมมากที่คุณสามารถ ที่จะนำมา อธิบายได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมขอสรุปอีกครั้งดังนี้      พระเจ้าทรงบัญญัติไว้ใน บัญญัติ 14:24-27ให้เราเข้าใจดังนี้        พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงให้เรื่องราวเปรียบเทียบในเรื่อง, “การใช้วาจาที่ดี” ซึ่ง หมาย ถึง การกล่าวแต่ในสิ่งอื่นๆที่ดีในเรื่อง ต่างๆนอกเหนือจากเรื่องราวของ พระองค์ อัลเลาะห์, สิ่งดีต่างๆ ที่เราสามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา,ซึ่งมีรากฐานมา จาก การ เข้าใจถึงความศรัทธา ต่อ “ศาสนาอิสลามของพระองค์อัลลอฮ์”เปรียบ เสมือน ต้นไม้ ที่มีความ สมบูรณ์,เป็นต้นไม้ที่มีรากฝังลึกและมั่นคงอยู่บนแผ่นดิน, และเจริญเติบ โตสูงขึ้นและสูงขึ้นมีกิ่งก้านสาขาผลิใบที่เขียวขจีชัวกาล, มีผลไม้สะพรั่งอยู่ ตลอดปี และความเจริญเติบโตไปถึง สรวงสวรรค์     อัลลอฮฺทรงยืนยันต่อบรรดาผู้ศรัทธาอย่างหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการ มีชีวิตอยู่ทั้งในโลกนี้ และในปรโลก,และอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้ อธรรมหลงทางและอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ (“Orthodox Sunni Belief”)   สรุป.   1.ศาสนาอิสลาม เปรียบได้ดัง ต้นไม้แห่งความศรัทธาที่ดีที่สมบูรณ์     2.การมีศรัทธาต่อพระเจ้า เปรียบเสมือนรากของต้นไม้แห่งความ ศรัทธา ที่มีรากฐานที่มั่นคง    3.การปฏิบัติศาสนากิจอย่างสม่ำเสมอ,การละหมาด,การถือศีลอด,การจ่ายกุศลบุญ “ซะกาต”, หรือ “خمس‎ “ (ภาษี 20%ของมุสลิมชีอะต์),การมี ความอด ทนต่อความชั่วช้าทั้งหลาย(จิฮาด) เปรียบเสมือนกิ่งก้านของต้นไม้นั้น     4.การยึดอัลลอฮ์เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณ, การมีมารยาทที่สุภาพ ไม่ หยาบคาย, เคร่งครัดต่อหลักปฏิบัติทางศาสนา และการละเว้นต่อทุกๆ สิ่ง,ทุกๆอย่างที่เป็นสิ่งต้องห้ามทางศาสนา เปรียบเสมือนใบไม้ที่ เขียว ขจีของต้นไม้นั้น     จากการประทานบทเปรียบเทียบของพระเจ้าดังกล่าวนี้ ชี้ให้เห็น ลักษณะและ คุณ สมบัติ ที่ดีของมุสลิมที่มี คุณภาพคือผู้ที่ มีความ ยึดมั่น ในความ ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์อย่างมั่นคง และจะต้องเชื่ื่อว่า..  “พระองค์อัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ (“Orthodox Sunni Belief”) ”     สำหรับอัลกุรอานบัญญัติที่  4:79   Whatever good, (O man!) happens to thee, is from Allah; but whatever evil happens to thee, is from thy (own) soul. and We have sent thee as a messenger to (instruct) mankind. And enough is Allah for a witness. [Yusufali 4:79]     บัญญัตินี้ ถูกประทานมา ในปีแรกที่ท่านศาสนทูตได้ย้ายเข้ามาอยู่ใน กรุงมาดีนะ และในปีนั้นพืชผลการเก็บเกี่ยว ไม่ดีเท่ากับทุกๆปีที่ผ่านมา ชาวยิวดั้งเดิม ที่อาศัยอยู่ ในกรุงมาดีนะ ได้โอกาสในการอ้างว่า การที่เกิด การเก็บเกี่ยวไม่ดีในปีนั้น เนื่องมาจาก การย้ายมาของท่านรอซุลมูฮัมมัดั้นเอง  เพื่อทำลายความศรัทธาต่อมุสลิมใหม่แห่งกรุงมาดีนะ  “บัญญัตินี้จึงแสดงให้เข้าใจอย่างแจ้งชัดว่า ทุกๆสิ่งนี้นมาจากอัลลอฮ์ และ ทุกๆสิ่งที่มาจาก อัลลออ์นั้นเป็นสิ่งดี แต่สิ่งใดที่เป็นความชั่วช้า และความ หายนะ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเรานั้น เป็นผลมาจากการกระทำของเราเอง”   หรือถ้าจะอธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆก็คือ ความดีและความชั่ว, ความโปรดปราณและการลง โทษนั้นมาจากพระเจ้าในฐานะที่พระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงซึ่งเรา จะเห็นว่าพระองค์ ปล่อยให้ ซัยตอนลอยนวล เที่ยวไล่ชักจูงมนุษย์ให้หลงผิดประพฤติชั่ว อยูตลอดเวลา เมื่อ มนุษย์ เผลอตัว หรือด้วยความโง่เขลา ของมนุษย์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ความ มีอิสระทาง จิตใจ ของมนุษย์ สามารถที่จะเลือกทางเดินตามต้องการ ซึ่งมีทั้งความดีและความชั่วซึ่ง เกิดจากการ สร้างของ พระเจ้า     ถ้าผู้ที่ ด่าว่าพระเจ้า เลือกที่จะด่าว่า พระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่เลว และชั่วช้า ก็เนื่องจาก เขาเลือก ในสิ่งเลวที่พระเจ้าสร้างไว้ในตัว ซัยตอน  และในขณะเดียวกัน (ตามความคิดเห็น ของผม) การเลือกสิ่งเลวเช่นนั้นของมนุษย์ผู้ใดก็ตามเป็นการกระทำความชั่ว ซึ่งเกิดจากการกระทำ ของผู้นั้น  ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็เป็นการทดลองความศรัทธาของ มุสลิมที่เลือกทางเดิน ตาม แนวทางของพระเจ้าหรือไม่,  และถ้ามุสลิมไปด่าทอตอบด้วยโทษะจริตของตัวเอง ที่ไม่เข้าใจ คำสอน ของพระเจ้า ที่ทรงบัญญัติไว้ ตามที่อธิบายไว้ ใน  บัญญัติ 14:24-27 แล้ว “เขาผู้นั้นได้แสดงถึงความสั่นคลอนในความศรัทธาของเขา ซึ่งเปรียบ เสมือน ต้นไม้ซึ่ง มีรากที่ไม่มั่นคง เมื่อถูกพายุร้าย  พัดผ่านมา ก็อ่อนไหวและ โค่นหักไปในที่สุด” ถ้าคุณกรองคำจะเสริมอะไรที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ไม่เข้าใจคำอธิบายของผมกรุณาทำได้อย่างไม่ต้องเกรงใจผม จะขอบคุณมาก   แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 07:47:08 แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 07:39:42 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 07:36:16

ความคิดเห็นที่ 48 สวัสดียามเช้าค่ะคุณแมทท์ อ้าว...มือคุณแมทท์ได้รับบาดเจ็บหรือค่ะ ขอให้หายไวๆน่ะคะ ขอถามด้วยความสงสัยค่ะ คุณเก็บซากศพเลยหรือคะ ศพอะไรค่ะ? คุณเรียกซะดิฉันต๊ก กะ ใจ  ..... ซากเป็ด หรีอ ซากไก่ ถ้าซากศพเนี่ย ศพคนหรีอค่ะ (ล้อเล่นน่ะ) ...................................... พูดเข้าเรื่องดีกว่า ดิฉันพูดหรีออธิบายไม่เก่งหรอกค่ะ อย่างเรื่องศาสนาเนี่ย ดิฉันคิดว่าถ้ามีความเห็นต่างกัน ก็พบกันคนล่ะครึ่งทางก็ล่ะกัน แต่จุดศุนย์รวมก็ศาสนาเดียวกัน นับถือศาสดาเดียวกัน ก็มาจากพ่อคนเดียวกัน คนเราต่างคนต่างมาพบกันร้อยพ่อพันแม่จะให้คิดเหมือนกันก็คงเป็นไปไม่ได้ หวังเพียงแค่ยอมรับฟังกันด้วยใจที่เป็นกลางก็พอแล้วล่ะค่ะ ดิฉันขอมอบมิตรภาพดีๆให้เพื่อนมุสลิมทุกๆท่านด้วยน่ะค่ะ หากดิฉันเคยก้าวล่วงหรือล่วงเกิน ก็ต้องขออภัยทุกๆท่านด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 08:28:46 จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 08:28:23

ความคิดเห็นที่ 49 มันมีหลักแห่งความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์คือ.......     ไม่มีใครในโลกพ้นความตายไปได้ ทุกๆชีวิตยังอยู่ใต้กฏนี้ ฉนั้นไม่แตกต่างกัน จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 09:34:58

ความคิดเห็นที่ 50 คุณมะลิร้อยมาลัย ี่    เดี๋ยวจะมาตอบคำถามให้ต้อง                                                                                     ไปหาภาพมาประกอบ ก่อน แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 18:50:29 จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:47:25

ความคิดเห็นที่ 51 โอ้...โห...คุณแมทท์ ไม่ทราบไปหารูปถึงไหนคะ? ไปตั้ง 2 ช.ม แล้ว ยังไม่มาอีก แล้วจะได้ดูมั้ย?คะ เนี่ย จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 21:02:54

ความคิดเห็นที่ 52 คุณ มะลิร้อยมาลัย  สวัสดีครับ เล่าให้คุณฟังแล้วมันก็จะเป็นเรื่องโกหกที่เหลือเชื่อ อีกเรื่องหนึ่ง คุณถามด้วยความสงสัยว่า.. “คุณเก็บซากศพเลยหรือคะ ศพอะไรค่ะ? คุณเรียกซะดิฉันต๊ก กะ ใจ  ..... ซากเป็ด หรีอ ซากไก่ ถ้าซากศพเนี่ย ศพคนหรีอค่ะ (ล้อเล่นน่ะ)” คุณล้อเล่นมาผมก็จะล้อเล่นไป ซึ่งจะถือว่า มีสาระไม่ได้.....ห้า  ๆ  ๆ   ห้า   (หัวเราะอย่างเหน็ดเหนื่อย)       ดูจากรูปที่นำมาให้เห็น ซึ่งเป็นรูปที่ คล้ายคลึง กับอาชีพ เก็บขยะและซากศพ ที่เป็นงานประจำ แต่เนื่องจากเกษียณแล้ว จึงกลายเป็นงานอดิเรก เพื่อให้อารมณ์ไม่หงอยเหงาจนเกินไป  คุณมะลิจะเห็นเศษเนื้อ และเศษผม ขยะเหล่าน้นจะต้อง ถูกนำไปเผา กลิ่นคาวเลือดนั้น  ประสาทกลิ่นสัมผ้ส ใช้เวลา ๕ ถึง๑๐ นาฑี ก็จะเคยชิน  คุณมะลิจำเรื่อง “ลุงทุย” ได้ไหม?  ฮิฮิ แกเคยชินกับการเผาสด อย่างไร อาชีพนี้ก็อย่างนั้น         การเปิดกระโหลกน้น ต้องใช้มีด ฝานหนัง รอบหน้าผากไปถึงท้ายทอย แล้ว ตะหลบไว้ข้างหลัง แล้วใช้เลื่อยวงเดือน ตัดกระโหลกโดยจัด ความลึกไม่ให้ไป ถูก สมอง แล้วเปิด กระโหลก ออก            จะเห็นว่า คนเราสิ้นสุดอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเรียนจบอะไรสูงเท่าใดไม่สำคัญ ถ้าเป็นผู้ที่นำเรื่องโหกมาหลอกลวงสังคม ไม่ว่า แขกหรือไทย (แขกจริงๆ) ไม่ได้แสดง ให้เห็นถึงว่า การศึกษา มีผลโดยตรงต่อคุณธรรมของบุคคลเลยแม้แต่น้อย        การที่ผมต่อต้านการสังหารโหดด้วยการปาหินใส่ กระโหลก มนุษย์ ชายหญิงของ มุสลิมที่โง่เขลาและงมงายเชื่อ ต่อการโกหก ของผู้รู้ ที่หลอกลวง ที่ทำในนามของอิสลาม นั้น ก็เพราะว่า จะเตือนให้ผู้ที่สนับสนุน การกระทำดังกล่าวว่าเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธาตามหลักการของอิสลามน้น, ได้เข้าใจว่า บรรดาผู้รู้ที่ล่อลวงในการทำชั่วในศาสนาอิสลามนั้นมาในรูปแบบต่างๆกัน       เป็นนักธรรมจบเปรียญ ๙ ก็มี จบ โท หรือ ด้อกเตอร์(หมอ) ไม่ใช้ ทางปรัชญา (PhD.) ก็มี (หมอที่จุฬาที่ฆ่าเมีย และในสมัยผม ก็มี หมอที่เอาภรรยาไปฆ่าโยนศพทิ้งน้ำ),ผู้ท่ต้งตัว เป็นอาจารย์ทางศาสนาก็มีมาก      เมื่อมีผู้เอาความจริงออกจากกระโหลกของ คนพวกนี้มาเปิดเผย  มันไม่ใช่เรื่องโกหก  ดังเช่นการเปิดกระโหลก ของศพพวกนี้ เพื่อหาความจริง ทางพยาธิวิทยา ที่ทำให้คนตาย เพื่อที่จะได้ทราบสาเหตุและนำมาแก้ไขในรายต่อไป            ผมจึงพยายามที่จะนำความจริงทางศาสนาอิสลาม โดยการผ่ากระโหลก ทางความคิดของพวกผู้รู้เหล่านี้ ทีหลอกลวงสังคม และสร้างความเสียหายให้เกิดความแตกแยกในสังคม ซึ่งทุกคร้งที่เห็นว่ามีการโกหกเกิดขึ้น เช่น การที่ หมอแขกอินเดียที่จบปรฺิญญา ทางแพทย์ โกหก ชาว มุสลิมว่า ยิว คริสเตียน   และมุสลิม มีความศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เีดียว กันกบ ชาวฮินดู   แต่ต่างกันที่การ สะกดคำว่า GOD และ  GOD’S เท่าน้น ซึ่ง มุสลิมแนวเก่า(ระบบใหม่) กลุ่ม อัซ-ซาบิกูล ในสังคมไทย เชื่อตามเช่นคำสอนดังกล่าว,...จริงหรือ?   เมื่อคุณมาลิ ทราบว่าอะไรคือ งานอดิเรกของผมในขณะนี้แล้ว คิดว่า คงไม่ตัตมิตรภาพในทางธรรม นะครับ ผมบอกตั้งแต่เริ่มแล้วว่า จะถือว่ามีสาระอะไรไม่ได้....Trick or Treat? จากคุณ : แมทท์ เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 05:46:35

ความคิดเห็นที่ 53 โอย....สยอง...สุดยอดอาชีพที่ทำให้ปลงได้ต่อสังขารของมนุษย์ คนเราสิ้นสุดที่ตรงนี้เอง ไม่มีใครหลีกหนีพ้น  จะช้าจะเร็วก็หนีไม่พ้นความตาย ลุงทุยที่คุณแมทท์พูดถึง ลุงเป็นสัปเหร่อค่ะ ปัจจุบันคงสียชีวิตไปแล้วมั้งคะ ดิฉันคิดว่าอาชีพลุงทุยน่ายกย่อง น่าสรรเสริญค่ะ ถ้าไม่มีคนอย่างลุงทุย ป่านนี้ศพคงเกลื่อนเมือง   คุณแมทท์บอกว่า "เนื่องจากเกษียณแล้ว จึงทำเป็นงานอดิเรกเพื่อไม่ให้อารมณ์ หงอยเหงาจนเกินไป" แต่ดิฉันคิดว่างานนี้น่าจะหนักหนาสาหัสมากกว่าน่ะคะ ถ้าเป็นบ้านเรานั้น งานอดิเรกสำหรับผู้สูงวัยก็จะไม่หนักอย่างนี้คะ ทีแรกดิฉันคิดว่าคุณแมทท์เก็บซากไก่ แต่คิดว่าคุณใช้ภาษาไทยไม่ถูก ก็เลยล้อคุณไปอย่างนั้นเอง ใครจะไปคิดไกลถึงซากศพล่ะคะ  คุณเนี่ยสุดยอดเก่งเลย จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 09:55:43

ความคิดเห็นที่ 54 สวัสดีค่ะคุณแมทท์ เมื่อเช้ามาดูภาพใน ค.ห 52 ไปแล้ว  ด้วยความรู้สึกอย่างหนึ่ง ตอนเย็นเข้ามาดูใหม่อีกครั้ง ด้วยความรู้สึกอีกอย่างซึ่งแตกต่างกับความรู้สึกเมื่อเช้านี้     ท่านกรองคำคะ ท่านเห็นงานอดิเรกของเพื่อนท่านรึยังคะ ดิฉันอยากฟังข้อคิดทางธรรมของท่านเกี่ยวกับภาพนี้น่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : มะลิร้อยมาลัย เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:03:47